ห้ามมิให้นางกลัวคงยาก แต่ห้ามมิให้เขาแตะต้องนางนั้นยากกว่า ปิดตานางไว้เช่นนี้ถือว่าปรานีนางมากแล้ว แม้เขาชอบดวงตากระจ่างใสของนางมากเพียงใด แต่มิอาจทนเห็นแววตาคู่นี้แสดงความรังเกียจหรือหวาดกลัวเขาได้ เพียงเหนี่ยวรั้งความรู้สึกของมนุษย์ที่มีอยู่น้อยนิดไว้นั้น เขามิอาจทำร้ายนางได้ เหิงหยางเซิงประคองร่างบางลงนอนแล้ว เขาลุกขึ้นปลดเปลื้องเสื้อผ้าของตนออกจนหมด เขาผู้ซึ่งถูกกำหนดให้เป็นจอมมารแม้ไม่มีกฏว่าทายาทเท่านั้นที่เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคเพลิงอัคนี แต่เขาเป็นลูกชายคนเดียวที่เหลือรอดจากการฝึกฝน ทั้งดื่มยาพิษ ฝึกยุทธ์ และเพราะการดื่มยาพิษทำให้ร่างกายของเขาบางส่วนมีรอยไหม้คล้ายถูกเหล็กเผาไฟมานาบผิวกาย ในบางคราวเขากลายเป็นกึ่งมนุษย์กึ่งมารปีศาจ หิวกระหายโลหิตโดยเฉพาะโลหิตของมนุษย์ แต่ทุกคราวที่ดื่มเลือดมนุษย์นั้น ความรู้สึก ความทรงจำของมนุษย์ผู้นั้นจะถูกถ่ายทอดมาสู่ตัวเขาด้วย ‘บิดา ข้ารังเกียจโลหิตมนุษย์’ แม้เขาจะอยู่ในวัยสิบขวบแต่ได้กลืนกินเลือดมนุษย์เป็นครั้งแรก รับรู้ถึงความโสมมในจิตใจของมนุษย์ซึ่งไม่ต่างจากน้ำโคลนสกปรก ยิ่งเมื่อเติ
“ซินหราน! เจ้าลืมหน้าที่ตัวเองหรือไร น้ำชาของท่านจอมมารล่ะ” “เจ้าค่ะ” บรรยกาศทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เคยเป็นมา พ่อครัวเจี่ยนสบตากับพ่อบ้านจูโหย่งเจา แม้ไม่เอ่ยปากพูดอะไรแต่ก็เข้าใจได้ จะว่าไปแล้ว สำหรับซินหราน....ปล่อยให้นางเคยใช้ชีวิตอย่างไรก็ทำเช่นนั้นน่าจะดีที่สุด ทุกอย่างดำเนินไปเช่นที่เคยเป็นมา ราวกับว่าซินหรานไม่เคยถูกส่งตัวเข้าห้องของท่านจอมมาร กลางวันของซินหรานใช้ชีวิตปกติ คอยรับใช้ท่านจอมมาร ทำตามที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาสั่ง และเข้าครัวช่วยงานพ่อครัวเจี่ยน ทว่ายามค่ำคืน ห้องนอนของนางมักถูกบุกรุกด้วยบุรุษเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่ แม้เตียงของงนางทั้งเล็กและแคบแต่ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคในการรังแกนางเลยสักนิด ทุกครั้งที่นายท่านของซินหรานเข้ามาคือเวลาที่นางทิ้งตัวลงนอนและหลับใหลไปแล้ว หญิงสาวแทบไม่รู้สึกตัวจนกระทั้งผิวกายกระทบไอร้อนจากเรือนกายใหญ่โตและ...เขามักปิดตานางเสมอ “นายท่าน...” “ชู่ว” แรกๆ นางตื่นตระหนก แต่ผ่านไปหลายค่ำคืน นางเองก็...พอใจอยู่ลึกๆ กับการไม่ต้องมองเห็นการกระทำอันน่า
“ฮืม” ชายชราผงกศีรษะรับ “ไปเปลี่ยนน้ำชาให้ข้าหน่อย เสร็จแล้วมีอะไรจะทำก็ไปทำเสีย” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำสั่งอย่างว่าง่าย เดินไปที่มุมห้องยกกาน้ำชาใส่ถาดแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ กลับไปที่ห้องครัว นอกจากจะเปลี่ยนน้ำชาแล้ว นางตั้งใจหาขนมของว่างจัดให้พ่อบ้านชราสักจาน ระหว่างเดินกลับมาอีกครั้ง นางพบกับหญิงสาวในชุดสีแดงเลือดนกที่นำของมามอบให้นาง “เอ่อ...แม่นาง” ซินหรานเรียกเสียงเบา คล้ายกลัวคนอื่นได้ยิน และเพราะตนเองไม่รู้ชื่ออีกฝ่าย แต่กระนั้นคนถูกเรียกชะงักเท้าพอเห็นว่าเป็นนางจึงส่งยิ้มให้ “แม่นางซินหราน” “คือ...” ซินหรานมองซ้ายมองขวา เห็นโต๊ะกลมสำหรับนั่งพักผ่อนริมสวนย่อม จึงเดินไปวางถาดขนมและกาน้ำ นางสูดลมหายใจลึก ล้วงมือไปหยิบถุงหอมใบน้อยออกมาแล้วยื่นให้หญิงสาวผู้นั้น “ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ไม่มีของมีค่าใด แต่ถุงหอมนี้ข้าทำเองฝากท่านมอบให้แม่นางจางเย่วถิงด้วยเจ้าค่ะ” “ขอเป็นเพียงสิ่งที่มาจากความตั้งใจของแม่นางซินหราน ประมุขของข้าย่อมปลื้มปิติยิ่งนัก” หญิงสาวยิ้มแล้วยื่นมือไปรอรับ
“ซินหราน”หญิงสาวสะดุ้งเฮือก นางเพิ่งได้สติและเหลียวมองรอบกายจึงรู้ว่าถูกท่านจอมมารพากลับมาที่ห้องของตนเองไม่รู้ตัว ดวงตาของนางยังมีความหวาดกลัวฉายฉาบอยู่ชัดเจน เหิงหยางเซิงใช้ปลายนิ้วกร้านเชยคางมนขึ้น โน้นหน้าลงกัดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ แต่เรียกสติของหญิงสาวได้ นางกะพริบตาแล้วยกมือขึ้นดันอีกฝ่ายออก แม้ร่วมรักหลับนอนกับเขาหลายครั้งแล้วแต่ท่าทีขัดขืนนี้เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ทุกครั้งก่อนจะผ่อนลงด้วยแรงขับเคลื่อนของบุรุษร่างสูงใหญ่“ไยต้องตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ เจ้ามิใช่เคยเห็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่กัน” เสียงกระซิบยั่วเย้าชิดริมฝีปากของหญิงสาว ซินหรานตัวสั่นระริกขึ้นมาทันทีและก้าวถอยหลังอย่างหลบหลีกสัมผัสที่ได้รับ ปลายนิ้วของชายหนุ่มเกี่ยวพันเส้นผมของหญิงสาวไว้แม้ร่างเล็กถอยไปจนแผ่นหลังของนางชิดผนังห้องแล้ว เขาจึงตวัดปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมของนางเล่นแล้วกระตุกเบาๆ“สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเจ้า” เหิงหยางเซิงก้าวเข้าไปประชิดร่างบอบบาง แผ่นอกแกร่งเบียดชิดร่างหญิงสาวที่ไม่อาจขยับตัวถอยหนีได้อีกแล้ว“ข้าคือคนที่ปกป้องเจ้า มิใช่...”ซินหรานไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของท่านจ
ซินหรานรู้ดีว่าการเอาของมีค่าติดตัวมากเกินไปย่อมไม่ปลอดภัย แม้นางจะมีคนของพรรคกระเรียนแดงคอยช่วยเหลือ ไม่แน่ว่าสตรีอย่างจางเย่วถิงจะเล่นตลกอะไรกับนางหรือไม่ ทางที่ดี นางแค่หาทางออกไปจากที่นี่ แล้วค่อยหาหนทางให้ตัวเองได้ อย่าลังเลอีกเลย ซินหราน รีบก้าวออกไปจากที่นี่เถิด ป่านนี้ท่านจอมมารไปที่หุบเขาเพื่อหลอมกระบี่แล้ว อีกสี่ปีจะมีการประลองยุทธ์อะไรสักอย่าง นางได้ยินพ่อบ้านจูโหย่งเจาเปรยให้ฟังบ้าง แต่นางไม่ได้ใส่ใจนัก รู้เพียงแค่ว่านี้เป็นโอกาสเดียวที่นางจะไปจากที่นี่ หวังว่านางจะมีเวลามากพอ เพราะทุกคนเข้าใจว่าซินหรานยังอ่อนเพลียอยู่ เมื่อคืนท่านจอมมารอยู่กับนางทั้งคืนจนรุ่งสาง ท่านจอมมารเพิ่งก้าวออกมาจากห้องเล็กของนาง ทั้งที่ห้องของท่านจอมมารอยู่ติดกัน แต่เขากลับยอมอยู่ในห้องเล็กๆ นั้นร่วมกันนาง เรื่องเหล่านี้องครักษ์ลับทั้งหลายต่างพากันมองหน้างุนงง แต่ไม่มีใครปริปากเอ่ยเรื่องนี้ออกมา หญิงสาวหน้าตาซีดเซียวจนไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม หลังจากกินอาหารเช้าที่ค่อนไปทางสายแล้ว พ่อครัวเจี่ยนไม่รั้งให้นางช่วยงานในครัวเช่นทุกวัน นอกจากขับไล่ใ
‘ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่รู้วันเกิดของตัวเองเช่นกัน’ เขาเป็นเด็กกำพร้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองเกิดวันเดินปีไหน พ่อบ้านจูโหย่งเจาลงทะเบียนไว้อย่างไรก็ว่าตามนั้น เขาจำชีวิตก่อนที่จะมาอยู่เกาะเพลิงอัคนีไม่ได้แล้ว ท่าเรือมีผู้คนมากมาย เขาเคยพาซินหรานออกมาเดินเที่ยวตลาดเล่นอยู่ไม่กี่ครั้ง นางไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะแยะ แต่อย่างไรนางซึ่งเป็นสตรีย่อมชื่นชอบดูข้าวของต่างๆ ขณะที่เขาตั้งใจจะเดินทางกลับเข้าคฤหาสน์พรรคเพลิงอัคนี สายตาเขามองเลยไปยังแผงขายหวีแบบต่างๆ หวีไม้หอมลายดอกไม้เหมยนั้นดูเข้ากับจี้หยกที่เขาเตรียมให้นางอยู่พอดี “อ้อ! ท่านอู่เฉียง!” พ่อค้าทักทายจำบุรุษผู้นี้ได้เพราะอู่เฉียงติดตามจอมมารเหิงหยางเซิงอยู่เสมอ อู่เฉียงเพียงส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้ ก้มหน้าก้มตาเลือกดูหวีไม้หอมให้ซินหราน “ช่างเป็นหญิงสาวที่โชคดียิ่งนัก” คราวนี้อู่เฉียงเลิกคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมองพ่อค้า “หมายความเช่นไร?” “ท่านเลือกหวีให้สตรีมิใช่รึ” พ่อค้าเกาศีรษะแกรกๆ “ข้าจึงเอ่ยว่าหญิงสาวผู้นั้นโชคดียิ่งนัก” “
ตั้งแต่วันที่ได้เข้าไปอยู่ที่พรรคเพลิงอัคนีนางไม่เคยออกจากเกาะเลยสักครั้ง เป็นเวลายาวนานถึงแปดปี เมื่อนางตัดสินใจหลบหนีออกจากเกาะเพลิงอัคนีก็ไม่มีที่ให้ไป นางจำหมู่บ้านที่จากมาไม่ได้แล้ว แต่กระนั้นนางไม่คิดจะไปอยู่ที่พรรคกระเรียนแดง นางเพียงหวังใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ‘แม่นางซินหรานอย่าได้กังวลใจไป’ หญิงคนหนึ่งเอ่ยกับนางในวันที่ล่วงรู้ว่านางมีอาการแพ้ท้อง ‘ประมุขของเราสั่งไว้แล้ว หากแม่นางซินหรานต้องการไปที่ใดให้พวกเราส่งแม่นางก่อนกลับพรรคกระเรียนแดง ด้วยเหตุนี้แม่นางไม่จำเป็นต้องหลบหนี ขอเพียงบอกสถานที่มา พวกเราจะพาไปส่งเอง’ ซินหรานอ้ำอึ้งพูดไม่ออก หรือจะกล่าวให้ถูกคือนางไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ใด ‘อีกประมาณสิบลี้จะมีอารามชี ที่นั่นไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ แม่นางซินหรานสามารถขอพักอาศัยได้’ เพราะตัวเองไม่มีที่ให้ไป นางเองหวังแค่จะไปตั้งหลักที่นั่นก่อนแล้วค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไร คนของพรรคกระเรียนแดงทำตามที่พูดไว้พานางมาส่งที่อารามชีจริงๆ คนที่นี่ดูไม่แปลกใจเท่าใดนัก พวกเขาส่งนางและมอบเสื้อผ้าข้าวของให้เล็กน้อย ไม่มีส
นางจึงได้รับปันข้าวสารและแป้งเพื่อทำอาหารให้เด็กๆ รายได้จากการปักผ้าไม่มากพอจะเลี้ยงเด็กทุกคน นางจึงให้เด็กที่ตัวโตๆ ออกไปหาของป่ามาเป็นอาหาร บางส่วนนำไปขายที่ตลาด และช่วงไหนที่มีคนเดินทางผ่านมากหน่อย นางทำขนมเปี๊ยะให้เด็กๆ เอาไปขายที่ตลาด ยามว่างมีเวลาก็สอนพวกเขาอ่านเขียนเช่นที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาเคยสอนนาง เห็นเด็กๆ กลุ่มนี้แล้วนางนึกถึงเด็กประหลาดที่เคยพบเจอที่เกาะเพลิงอัคนี จำได้อย่างดีว่าอู่ชิงและอู่ยินเล่าว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ถูกทำมาฝึกเป็นนักฆ่านั้นเป็นเด็กกำพร้าหรือเด็กที่ถูกบิดามารดาขายทิ้ง นางจึงได้แต่หวังว่าการเลี้ยงดูเด็กๆ กลุ่มนี้จะช่วยลบภาพเด็กประหลาดที่นางเคยเห็นชะตากรรมอันเลวร้ายของพวกเขามาแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่า ออกจากเกาะเพลิงอัคนีแล้ว สิ่งที่นางเคยเรียนรู้ที่นั้นได้นำมาใช้ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ และนำพาชีวิตตัวเองให้ก้าวเดินต่อมาได้ แม้ล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่เพราะมีรอยยิ้มสดใสและมืออวบอ้วนของเฉิงเอ๋อร์ทำให้นางมีความหวังและกำลังใจ “เด็กๆ ได้เวลากินข้าวแล้ว” ซินหรานตะโกนออกไป เพียงครู่เดียวเด็กๆ ก็มาช่วยกันยกอาหารไปที่โต๊ะ ซึ่งต้องใช้โต๊ะสี่เหลี่ยมสอ