ตั้งแต่วันที่ได้เข้าไปอยู่ที่พรรคเพลิงอัคนีนางไม่เคยออกจากเกาะเลยสักครั้ง เป็นเวลายาวนานถึงแปดปี เมื่อนางตัดสินใจหลบหนีออกจากเกาะเพลิงอัคนีก็ไม่มีที่ให้ไป นางจำหมู่บ้านที่จากมาไม่ได้แล้ว แต่กระนั้นนางไม่คิดจะไปอยู่ที่พรรคกระเรียนแดง นางเพียงหวังใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ‘แม่นางซินหรานอย่าได้กังวลใจไป’ หญิงคนหนึ่งเอ่ยกับนางในวันที่ล่วงรู้ว่านางมีอาการแพ้ท้อง ‘ประมุขของเราสั่งไว้แล้ว หากแม่นางซินหรานต้องการไปที่ใดให้พวกเราส่งแม่นางก่อนกลับพรรคกระเรียนแดง ด้วยเหตุนี้แม่นางไม่จำเป็นต้องหลบหนี ขอเพียงบอกสถานที่มา พวกเราจะพาไปส่งเอง’ ซินหรานอ้ำอึ้งพูดไม่ออก หรือจะกล่าวให้ถูกคือนางไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ใด ‘อีกประมาณสิบลี้จะมีอารามชี ที่นั่นไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ แม่นางซินหรานสามารถขอพักอาศัยได้’ เพราะตัวเองไม่มีที่ให้ไป นางเองหวังแค่จะไปตั้งหลักที่นั่นก่อนแล้วค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไร คนของพรรคกระเรียนแดงทำตามที่พูดไว้พานางมาส่งที่อารามชีจริงๆ คนที่นี่ดูไม่แปลกใจเท่าใดนัก พวกเขาส่งนางและมอบเสื้อผ้าข้าวของให้เล็กน้อย ไม่มีส
นางจึงได้รับปันข้าวสารและแป้งเพื่อทำอาหารให้เด็กๆ รายได้จากการปักผ้าไม่มากพอจะเลี้ยงเด็กทุกคน นางจึงให้เด็กที่ตัวโตๆ ออกไปหาของป่ามาเป็นอาหาร บางส่วนนำไปขายที่ตลาด และช่วงไหนที่มีคนเดินทางผ่านมากหน่อย นางทำขนมเปี๊ยะให้เด็กๆ เอาไปขายที่ตลาด ยามว่างมีเวลาก็สอนพวกเขาอ่านเขียนเช่นที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาเคยสอนนาง เห็นเด็กๆ กลุ่มนี้แล้วนางนึกถึงเด็กประหลาดที่เคยพบเจอที่เกาะเพลิงอัคนี จำได้อย่างดีว่าอู่ชิงและอู่ยินเล่าว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ถูกทำมาฝึกเป็นนักฆ่านั้นเป็นเด็กกำพร้าหรือเด็กที่ถูกบิดามารดาขายทิ้ง นางจึงได้แต่หวังว่าการเลี้ยงดูเด็กๆ กลุ่มนี้จะช่วยลบภาพเด็กประหลาดที่นางเคยเห็นชะตากรรมอันเลวร้ายของพวกเขามาแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่า ออกจากเกาะเพลิงอัคนีแล้ว สิ่งที่นางเคยเรียนรู้ที่นั้นได้นำมาใช้ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ และนำพาชีวิตตัวเองให้ก้าวเดินต่อมาได้ แม้ล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่เพราะมีรอยยิ้มสดใสและมืออวบอ้วนของเฉิงเอ๋อร์ทำให้นางมีความหวังและกำลังใจ “เด็กๆ ได้เวลากินข้าวแล้ว” ซินหรานตะโกนออกไป เพียงครู่เดียวเด็กๆ ก็มาช่วยกันยกอาหารไปที่โต๊ะ ซึ่งต้องใช้โต๊ะสี่เหลี่ยมสอ
เป็นอย่างที่ป้าหวังพูดไว้ไม่มีผิด วันรุ่งขึ้นก็มีคนจากอารามชีมาตามให้นางไปช่วยงานที่นั่น และเพราะเฉิงเอ๋อร์เป็นเพียงเด็กวัยสามขวบที่ตัวโตเท่าเด็กหกขวบ นางจึงต้องพาลูกชายตัวน้อยขึ้นเขาไปอารามชีด้วยกัน “เจ้าอย่าได้กังวลไป ทำหน้าที่ของตัวเองก็พอ” ซือไท่เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบใบหน้ามีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา “พระสนมหลิวเสียนเฟยมีเรื่องไม่สบายใจจึงอยากมาทำสมาธิที่นี่” ซินหรานได้แต่พยักหน้ารับ แม้สงสัยแต่ไม่เอ่ยปากถามถือคติว่ารู้น้อยย่อมปลอดภัย ซือไท่เอ่ยกับซินหรานไม่มากความนัก บอกกล่าวเพียงแค่ว่าพระสนมหลิวเสียนเฟยจะมาพำนักที่นี่สามหรือสี่วัน จะมีคนจากในวังมาตรวจดูความเรียบร้อยและตระเตรียมเรื่องการรักษาความปลอดภัย ซินหรานซ่อมแซมเปลี่ยนผ้าม่านในห้องพักที่จะใช้เป็นห้องรับรองหลิวเสียนเฟย “เฉิงเอ๋อร์มาช่วยแม่จับมุมผ้านี่ก่อน” นางเอ่ยสั่งลูกชาย ตัวน้อย ความจริงไม่จำเป็นต้องให้เด็กตัวเล็กๆ อย่างเฉิงเอ๋อร์มา ช่วยแต่เพราะนางกลัวว่าลูกจะซุกซนไปไกลตาจึงได้เรียกไว้ก่อน เด็กชายตัวป้อมจึงเดินมาหยิบชายผ้าให้มารดาได้ใช้กรรไกรตัดได้อย่างสะดวก
วันที่กลับไปแล้วไม่เห็นนางอยู่ที่นั้น เขาแทบกลายเป็นคนบ้า โกรธเกรี้ยวคลุ้มคลั่งจนถูกผู้อื่นล่ามด้วยโซ่เส้นใหญ่ขังในคุกใต้ดิน ส่งเสียงร้องโหยหวนดุจสัตว์ป่า จนกระทั้งท่านจอมมารตีกระบี่เพลิงอัคนีสำเร็จจึงได้มาปล่อยตัวเขา ซึ่งก็ใช้เวลากว่าครึ่งปี ครึ่งปีที่เขาถูกล่ามในคุกใต้ดิน สภาพร่างกายที่ต้องพักฟื้นนานนับเดือน จนกระทั้งจอมมารเหิงหยางเซิงเอ่ยปากกับเขา ‘เจ้าไร้ประโยชน์ต่อข้าอีกแล้ว อยากทำสิ่งใดก็ทำเถิด’ เขาจึงออกเดินทางจากเกาะเพลิงอัคนี สืบหาน้องสาวตัวน้อยที่โอบอุ้มนางจากหมู่บ้านแห่งนั้น เขาไปถึงพรรคกระเรียนแดงแต่ไม่ได้ข่าวใด ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนางไม่เคยก้าวเท้าออกจากเกาะแปดปีเต็มจะไปที่ใดได้ เวลานั้นเขามืดแปดด้าน และได้พบกั๋วกงกงอีกครั้ง หลายครั้งที่เขามาทำภารกิจลับก็คือสังหารคนที่กั๋วกงกงหมายหัว แม้ยุทธภพมีจุดยืนว่ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการ แต่พรรคมารอย่างเพลิงอัคนีไม่สนใจกฏนี้อยู่แล้ว นักฆ่าหลายคนถูกซื้อตัวเข้าไปรับใช้คนในวัง ‘หากยังไม่มีที่ไป เจ้าจงมารับใช้ข้า’ ยามนั้นเขาคิดเพียงแค่ว่าอาศัยที่กั๋วกงกงเป็นที่รู้จักมาก เขา
ซินหรานกล่าวลาแล้วเดินออกมาด้วยรอยยิ้ม ความจริงนางไม่คิดอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้นานนักแต่ไม่คิดว่าจะอยู่มาถึงสี่ปี ตอนนี้เฉิงเอ๋อร์เติบโตอย่างรวดเร็วเป็นที่ผิดปกติจนผู้อื่นสังเกตเห็นได้ชัด นางกลัวว่าคนอื่นจะกลัวเฉิงเอ๋อร์แล้วคิดไปว่าเขาเป็นภูติผีปีศาจ นางจึงคิดจะย้ายออกจากหมู่บ้านนี้ไป แต่เป็นห่วงเด็กๆ ที่อยู่กับนาง ให้กลับไปเร่ร่อนอย่างเดิมคงไม่ดี กลับไปอยู่อารามชีก็ไม่ได้ นางจึงตั้งใจฝากฝั่งเด็กๆ ไว้ที่สำนักศึกษาของท่านอาจารย์จงอิน บุรุษผู้นี้จิตใจอ่อนโยนมีเมตตา หลังจากที่นางปรึกษากับอาจารย์จงอินก็เห็นความหนักใจอยู่มาก แต่นางสามารถจ่ายค่าเล่าเรียนให้เด็กๆ ล่วงหน้าได้ และคิดว่าเด็กๆ เหล่านี้เริ่มดูแลกันเองได้แล้ว นางจำเป็นต้องขายเครื่องประดับในหีบนั้นสักสี่ห้าชิ้นน่าจะเพียงพอ เงินที่ได้จากการปักผ้าและขายขนมนั้นส่วนใหญ่นำมาใช้จ่ายประจำวัน เด็กตัวโตหน่อยเริ่มทำงานเล็กๆ น้อยๆ ขายแรงงานในตลาด แน่นอนว่าแต่ละคนไม่อยากขายตัวเป็นบ่าวรับใช้ จึงยอมทำงานเช่นนี้ นางวางแผนให้เด็กๆ ทั้งหมด แต่นางยังไม่ได้บอกกล่าวกับเด็กๆ เลย ไม่รู้ว่าจะทำพูดอย่างไรดี กลัวว่าเด็กๆ ที่เรียกนางว่า ‘แม่’ ทุกคำจะโกรธ
หญิงสาวที่ยามนี้อายุยี่สิบแล้ว ร่างบอบบางเอนตัวลงนอนตามแรงคะยันคะยอของลูกๆ ที่นางไม่ได้อุ้มทอง บางคนวิ่งไปเอาผ้าชุบน้ำมาให้ อีกคนเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดหน้าให้นาง เสียงทำอาหารมื้อเย็นในครัว นางส่งยิ้มอ่อนแรงและโบกมือให้ทุกคนออกไปก่อน ตั้งใจหลับตาพักผ่อนชั่วครู่ ทว่ากลับผล็อยหลับไป จนได้ยินเสียงเอะอะด้านนอก นางจึงลุกขึ้นเดินออกมานอกห้องนอน“เฉิงเอ๋อร์อยู่ไหน”“ไม่รู้ ข้าไม่เห็นเขาตั้งแต่บ่ายแล้ว”“กระต่ายของเฉิงเอ๋อร์ไม่อยู่ เฉิงเอ๋อร์แอบขึ้นเขาอีกหรือเปล่า”“แต่ปกติเฉิงเอ๋อร์กลับบ้านตรงเวลานะ”“ท่านแม่ไม่สบาย อย่าให้ท่านแม่รู้ ข้าจะออกไปตามเฉิงเอ๋อร์”หัวใจคนเป็นแม่กระตุกวูบ สองขาพาร่างบอบางเดินไปด้วยสีหน้าไร้สีเลือด“เมื่อครู่พวกเจ้าพูดว่าอะไรนะ”“ท่านแม่!” เด็กๆ พากันตกใจไม่คิดว่ามารดาได้ยิน“เฉิงเอ๋อร์ล่ะ” นางกวาดสายตามองหาร่างเล็กของลูกชาย เจ้าก้อนแป้งนุ่มอยู่ที่ไหนล่ะ “เฉิงเอ๋อร์”“ท่านแม่” ชิงถิงเข้ามาประคองมารดา “ข้าขอโทษ ข้าดูแลน้องไม่ดี ข้าจะออกไปตามเฉิงเอ๋อร์”“พวกเราจะออกไปตามเฉิงเอ๋อร์” เด็กๆ รีบแย่งกันพูดซินหรานพยายามสงบใจ ฟ้าใกล้มืดแล้ว เฉิงเอ๋อร์แม้ซุกซนแต่กลับบ้านตรงเ
“อ่า! เจ้ามีของดีแต่ไม่แบ่งข้า เช่นนี้ยังเห็นข้าอยู่ในสายตารึ” นางหยิบขนมเปี๊ยะส่งเข้าปากแล้วเคี้ยวอย่างไม่สนใจมารยาท “นี่เป็นขนมเปี๊ยะที่อร่อยที่สุดในหมู่บ้านเน่าๆ แห่งนี้” อดีตองครักษ์ของเหิงหยางเซิงได้แต่ยืนมองสตรีผู้นี้กินของกินของผู้อื่นหน้าตาเฉย “หมดแล้วรึ” จางเย่วถิงถามเมื่อกัดกินขนมเปี๊ยะสองชิ้นหมดไปแล้ว เมื่อเห็นอู่เฉียงนิ่งงันไปนางก็ยักไหล่ ปัดมือไปมาให้เศษขนมร่วงจากมือ “เอาเถิด ข้าไปซื้อที่บ้านของนางก็ได้” สิ้นประโยคจางเย่วถิงก็ใช้วิชาตัวเบากระโจนแผ่วหายไปอย่างรวดเร็ว อู่เฉียงงุนงงไม่เข้าใจสิ่งที่จางเย่วถิงทำ ขนมเปี๊ยะนั้น สองวันมาแล้ว นางยังกินได้อย่างหน้าตาเฉยทั้งที่เขารู้ว่าประมุขพรรคกระเรียนแดงเรื่องมากเรื่องอาหารการกินขนาดไหน ยามที่นางมาให้ท่านจอมมารถอนพิษร้อยชาย ซินหรานต้องวิ่งหัวหมุนเพื่อเตรียมสุราอาหารให้ประมุขพรรคกระเรียนแดงจอมตะกละและหื่นกามผู้นี้ ประเดี๋ยวนะ คงไม่ใช่.... ร่างเล็กๆ ของเด็กชายตัวน้อยชะเง้อมองไปนอกถ้ำ ดวงตาที่เคยเป็นสีนิลยามนี้เปลี่ยนเป็นสีแดงวาววับจ้องม
“แม่ไม่เป็นอะไร” นางปลอบใจลูก สัมผัสได้ถึงกรุ่นไอโทสะของบุตรชาย เฉิงเอ๋อร์จับมือมารดาที่มีผ้าเช็ดหน้าพันอยู่ เลือดซึมออกมาจากผ้าที่เปื้อนเปรอะ มือเล็กจับมือมารดาด้วยความระมัดระวัง ทว่าร่างกายเล็กๆ นั้นเริ่มเกร็ง ใบหน้าน้อยสะบัดหันไปมองคนที่ทำร้ายมารดา ดวงตาของเขาพลันกลายเป็นสีแดงดุจย้อยด้วยโลหิต แยกเขี้ยวที่โค้งยาวออกมา “เฉิงเอ๋อร์! แม่ไม่เป็นอะไร!” นางพยายามเรียกสติลูก หารู้ไม่ว่ากลิ่นเลือดของนางทำให้ลูกชายถูกโทสะเข้าครอบงำ “มันผู้ใดบังอาจแตะต้องแม่ของข้า!” เฉิงเอ๋อร์พุ่งตัวออกไปหมายกำจัดคนที่มารังแกมารดา ซินหรานคว้าร่างลูกชายไม่ทัน เผลอหวีดร้องด้วยความตกใจ ทว่ามือใหญ่ข้างหนึ่งกระชากคอเสื้อของเด็กน้อยไว้ก่อน ดวงตาสีโลหิตคู่นั้นหันขวับมาจ้องมองเขา แต่ชายหนุ่มไม่มีท่าหวาดกลัวใดๆ เขาเพียงใช้มืออีกข้างดีดปลายนิ้วที่กลางหน้าผากของเด็กน้อย เฉิงเอ๋อร์ผงะไป เด็กน้อยสะบัดหน้าไปมาหลับตาลงครู่หนึ่งก่อนลืมตาอีกครั้งดวงตาจึงกลับเป็นเช่นเดิม ซินหรานมัวแต่กังวลเรื่องเฉิงเอ๋อร์ ลืมมองชายร่างสูงผู้นี้ไปเสียสิ้น นางเห็นเขาวาดมือไปด้านข้างเพ