“ฮืม” ชายชราผงกศีรษะรับ “ไปเปลี่ยนน้ำชาให้ข้าหน่อย เสร็จแล้วมีอะไรจะทำก็ไปทำเสีย” “เจ้าค่ะ” หญิงสาวรับคำสั่งอย่างว่าง่าย เดินไปที่มุมห้องยกกาน้ำชาใส่ถาดแล้วเดินออกไปอย่างเงียบๆ กลับไปที่ห้องครัว นอกจากจะเปลี่ยนน้ำชาแล้ว นางตั้งใจหาขนมของว่างจัดให้พ่อบ้านชราสักจาน ระหว่างเดินกลับมาอีกครั้ง นางพบกับหญิงสาวในชุดสีแดงเลือดนกที่นำของมามอบให้นาง “เอ่อ...แม่นาง” ซินหรานเรียกเสียงเบา คล้ายกลัวคนอื่นได้ยิน และเพราะตนเองไม่รู้ชื่ออีกฝ่าย แต่กระนั้นคนถูกเรียกชะงักเท้าพอเห็นว่าเป็นนางจึงส่งยิ้มให้ “แม่นางซินหราน” “คือ...” ซินหรานมองซ้ายมองขวา เห็นโต๊ะกลมสำหรับนั่งพักผ่อนริมสวนย่อม จึงเดินไปวางถาดขนมและกาน้ำ นางสูดลมหายใจลึก ล้วงมือไปหยิบถุงหอมใบน้อยออกมาแล้วยื่นให้หญิงสาวผู้นั้น “ข้าเป็นเพียงบ่าวรับใช้ ไม่มีของมีค่าใด แต่ถุงหอมนี้ข้าทำเองฝากท่านมอบให้แม่นางจางเย่วถิงด้วยเจ้าค่ะ” “ขอเป็นเพียงสิ่งที่มาจากความตั้งใจของแม่นางซินหราน ประมุขของข้าย่อมปลื้มปิติยิ่งนัก” หญิงสาวยิ้มแล้วยื่นมือไปรอรับ
“ซินหราน”หญิงสาวสะดุ้งเฮือก นางเพิ่งได้สติและเหลียวมองรอบกายจึงรู้ว่าถูกท่านจอมมารพากลับมาที่ห้องของตนเองไม่รู้ตัว ดวงตาของนางยังมีความหวาดกลัวฉายฉาบอยู่ชัดเจน เหิงหยางเซิงใช้ปลายนิ้วกร้านเชยคางมนขึ้น โน้นหน้าลงกัดริมฝีปากล่างของนางเบาๆ แต่เรียกสติของหญิงสาวได้ นางกะพริบตาแล้วยกมือขึ้นดันอีกฝ่ายออก แม้ร่วมรักหลับนอนกับเขาหลายครั้งแล้วแต่ท่าทีขัดขืนนี้เป็นปฏิกิริยาตอบโต้ทุกครั้งก่อนจะผ่อนลงด้วยแรงขับเคลื่อนของบุรุษร่างสูงใหญ่“ไยต้องตื่นตระหนกตกใจเช่นนี้ เจ้ามิใช่เคยเห็นครั้งแรกเสียเมื่อไหร่กัน” เสียงกระซิบยั่วเย้าชิดริมฝีปากของหญิงสาว ซินหรานตัวสั่นระริกขึ้นมาทันทีและก้าวถอยหลังอย่างหลบหลีกสัมผัสที่ได้รับ ปลายนิ้วของชายหนุ่มเกี่ยวพันเส้นผมของหญิงสาวไว้แม้ร่างเล็กถอยไปจนแผ่นหลังของนางชิดผนังห้องแล้ว เขาจึงตวัดปลายนิ้วพันเกี่ยวเส้นผมของนางเล่นแล้วกระตุกเบาๆ“สถานที่ที่อันตรายที่สุดคือที่ที่ปลอดภัยที่สุดของเจ้า” เหิงหยางเซิงก้าวเข้าไปประชิดร่างบอบบาง แผ่นอกแกร่งเบียดชิดร่างหญิงสาวที่ไม่อาจขยับตัวถอยหนีได้อีกแล้ว“ข้าคือคนที่ปกป้องเจ้า มิใช่...”ซินหรานไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของท่านจ
ซินหรานรู้ดีว่าการเอาของมีค่าติดตัวมากเกินไปย่อมไม่ปลอดภัย แม้นางจะมีคนของพรรคกระเรียนแดงคอยช่วยเหลือ ไม่แน่ว่าสตรีอย่างจางเย่วถิงจะเล่นตลกอะไรกับนางหรือไม่ ทางที่ดี นางแค่หาทางออกไปจากที่นี่ แล้วค่อยหาหนทางให้ตัวเองได้ อย่าลังเลอีกเลย ซินหราน รีบก้าวออกไปจากที่นี่เถิด ป่านนี้ท่านจอมมารไปที่หุบเขาเพื่อหลอมกระบี่แล้ว อีกสี่ปีจะมีการประลองยุทธ์อะไรสักอย่าง นางได้ยินพ่อบ้านจูโหย่งเจาเปรยให้ฟังบ้าง แต่นางไม่ได้ใส่ใจนัก รู้เพียงแค่ว่านี้เป็นโอกาสเดียวที่นางจะไปจากที่นี่ หวังว่านางจะมีเวลามากพอ เพราะทุกคนเข้าใจว่าซินหรานยังอ่อนเพลียอยู่ เมื่อคืนท่านจอมมารอยู่กับนางทั้งคืนจนรุ่งสาง ท่านจอมมารเพิ่งก้าวออกมาจากห้องเล็กของนาง ทั้งที่ห้องของท่านจอมมารอยู่ติดกัน แต่เขากลับยอมอยู่ในห้องเล็กๆ นั้นร่วมกันนาง เรื่องเหล่านี้องครักษ์ลับทั้งหลายต่างพากันมองหน้างุนงง แต่ไม่มีใครปริปากเอ่ยเรื่องนี้ออกมา หญิงสาวหน้าตาซีดเซียวจนไม่มีใครกล้าเอ่ยถาม หลังจากกินอาหารเช้าที่ค่อนไปทางสายแล้ว พ่อครัวเจี่ยนไม่รั้งให้นางช่วยงานในครัวเช่นทุกวัน นอกจากขับไล่ใ
‘ไม่เป็นไร ข้าเองก็ไม่รู้วันเกิดของตัวเองเช่นกัน’ เขาเป็นเด็กกำพร้าจะรู้ได้อย่างไรว่าตนเองเกิดวันเดินปีไหน พ่อบ้านจูโหย่งเจาลงทะเบียนไว้อย่างไรก็ว่าตามนั้น เขาจำชีวิตก่อนที่จะมาอยู่เกาะเพลิงอัคนีไม่ได้แล้ว ท่าเรือมีผู้คนมากมาย เขาเคยพาซินหรานออกมาเดินเที่ยวตลาดเล่นอยู่ไม่กี่ครั้ง นางไม่ชอบสถานที่ที่มีคนเยอะแยะ แต่อย่างไรนางซึ่งเป็นสตรีย่อมชื่นชอบดูข้าวของต่างๆ ขณะที่เขาตั้งใจจะเดินทางกลับเข้าคฤหาสน์พรรคเพลิงอัคนี สายตาเขามองเลยไปยังแผงขายหวีแบบต่างๆ หวีไม้หอมลายดอกไม้เหมยนั้นดูเข้ากับจี้หยกที่เขาเตรียมให้นางอยู่พอดี “อ้อ! ท่านอู่เฉียง!” พ่อค้าทักทายจำบุรุษผู้นี้ได้เพราะอู่เฉียงติดตามจอมมารเหิงหยางเซิงอยู่เสมอ อู่เฉียงเพียงส่งเสียงในลำคอเป็นเชิงรับรู้ ก้มหน้าก้มตาเลือกดูหวีไม้หอมให้ซินหราน “ช่างเป็นหญิงสาวที่โชคดียิ่งนัก” คราวนี้อู่เฉียงเลิกคิ้วแล้วเงยหน้าขึ้นมองพ่อค้า “หมายความเช่นไร?” “ท่านเลือกหวีให้สตรีมิใช่รึ” พ่อค้าเกาศีรษะแกรกๆ “ข้าจึงเอ่ยว่าหญิงสาวผู้นั้นโชคดียิ่งนัก” “
ตั้งแต่วันที่ได้เข้าไปอยู่ที่พรรคเพลิงอัคนีนางไม่เคยออกจากเกาะเลยสักครั้ง เป็นเวลายาวนานถึงแปดปี เมื่อนางตัดสินใจหลบหนีออกจากเกาะเพลิงอัคนีก็ไม่มีที่ให้ไป นางจำหมู่บ้านที่จากมาไม่ได้แล้ว แต่กระนั้นนางไม่คิดจะไปอยู่ที่พรรคกระเรียนแดง นางเพียงหวังใช้ชีวิตเรียบง่ายไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ใด ‘แม่นางซินหรานอย่าได้กังวลใจไป’ หญิงคนหนึ่งเอ่ยกับนางในวันที่ล่วงรู้ว่านางมีอาการแพ้ท้อง ‘ประมุขของเราสั่งไว้แล้ว หากแม่นางซินหรานต้องการไปที่ใดให้พวกเราส่งแม่นางก่อนกลับพรรคกระเรียนแดง ด้วยเหตุนี้แม่นางไม่จำเป็นต้องหลบหนี ขอเพียงบอกสถานที่มา พวกเราจะพาไปส่งเอง’ ซินหรานอ้ำอึ้งพูดไม่ออก หรือจะกล่าวให้ถูกคือนางไม่รู้ว่าตัวเองจะไปที่ใด ‘อีกประมาณสิบลี้จะมีอารามชี ที่นั่นไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในยุทธภพ แม่นางซินหรานสามารถขอพักอาศัยได้’ เพราะตัวเองไม่มีที่ให้ไป นางเองหวังแค่จะไปตั้งหลักที่นั่นก่อนแล้วค่อยว่ากันว่าจะทำอย่างไร คนของพรรคกระเรียนแดงทำตามที่พูดไว้พานางมาส่งที่อารามชีจริงๆ คนที่นี่ดูไม่แปลกใจเท่าใดนัก พวกเขาส่งนางและมอบเสื้อผ้าข้าวของให้เล็กน้อย ไม่มีส
นางจึงได้รับปันข้าวสารและแป้งเพื่อทำอาหารให้เด็กๆ รายได้จากการปักผ้าไม่มากพอจะเลี้ยงเด็กทุกคน นางจึงให้เด็กที่ตัวโตๆ ออกไปหาของป่ามาเป็นอาหาร บางส่วนนำไปขายที่ตลาด และช่วงไหนที่มีคนเดินทางผ่านมากหน่อย นางทำขนมเปี๊ยะให้เด็กๆ เอาไปขายที่ตลาด ยามว่างมีเวลาก็สอนพวกเขาอ่านเขียนเช่นที่พ่อบ้านจูโหย่งเจาเคยสอนนาง เห็นเด็กๆ กลุ่มนี้แล้วนางนึกถึงเด็กประหลาดที่เคยพบเจอที่เกาะเพลิงอัคนี จำได้อย่างดีว่าอู่ชิงและอู่ยินเล่าว่าเด็กส่วนใหญ่ที่ถูกทำมาฝึกเป็นนักฆ่านั้นเป็นเด็กกำพร้าหรือเด็กที่ถูกบิดามารดาขายทิ้ง นางจึงได้แต่หวังว่าการเลี้ยงดูเด็กๆ กลุ่มนี้จะช่วยลบภาพเด็กประหลาดที่นางเคยเห็นชะตากรรมอันเลวร้ายของพวกเขามาแล้ว ไม่เคยคิดเลยว่า ออกจากเกาะเพลิงอัคนีแล้ว สิ่งที่นางเคยเรียนรู้ที่นั้นได้นำมาใช้ในหมู่บ้านเล็กๆ แห่งนี้ และนำพาชีวิตตัวเองให้ก้าวเดินต่อมาได้ แม้ล้มลุกคลุกคลานไปบ้าง แต่เพราะมีรอยยิ้มสดใสและมืออวบอ้วนของเฉิงเอ๋อร์ทำให้นางมีความหวังและกำลังใจ “เด็กๆ ได้เวลากินข้าวแล้ว” ซินหรานตะโกนออกไป เพียงครู่เดียวเด็กๆ ก็มาช่วยกันยกอาหารไปที่โต๊ะ ซึ่งต้องใช้โต๊ะสี่เหลี่ยมสอ
เป็นอย่างที่ป้าหวังพูดไว้ไม่มีผิด วันรุ่งขึ้นก็มีคนจากอารามชีมาตามให้นางไปช่วยงานที่นั่น และเพราะเฉิงเอ๋อร์เป็นเพียงเด็กวัยสามขวบที่ตัวโตเท่าเด็กหกขวบ นางจึงต้องพาลูกชายตัวน้อยขึ้นเขาไปอารามชีด้วยกัน “เจ้าอย่าได้กังวลไป ทำหน้าที่ของตัวเองก็พอ” ซือไท่เอ่ยน้ำเสียงราบเรียบใบหน้ามีรอยยิ้มเปี่ยมเมตตา “พระสนมหลิวเสียนเฟยมีเรื่องไม่สบายใจจึงอยากมาทำสมาธิที่นี่” ซินหรานได้แต่พยักหน้ารับ แม้สงสัยแต่ไม่เอ่ยปากถามถือคติว่ารู้น้อยย่อมปลอดภัย ซือไท่เอ่ยกับซินหรานไม่มากความนัก บอกกล่าวเพียงแค่ว่าพระสนมหลิวเสียนเฟยจะมาพำนักที่นี่สามหรือสี่วัน จะมีคนจากในวังมาตรวจดูความเรียบร้อยและตระเตรียมเรื่องการรักษาความปลอดภัย ซินหรานซ่อมแซมเปลี่ยนผ้าม่านในห้องพักที่จะใช้เป็นห้องรับรองหลิวเสียนเฟย “เฉิงเอ๋อร์มาช่วยแม่จับมุมผ้านี่ก่อน” นางเอ่ยสั่งลูกชาย ตัวน้อย ความจริงไม่จำเป็นต้องให้เด็กตัวเล็กๆ อย่างเฉิงเอ๋อร์มา ช่วยแต่เพราะนางกลัวว่าลูกจะซุกซนไปไกลตาจึงได้เรียกไว้ก่อน เด็กชายตัวป้อมจึงเดินมาหยิบชายผ้าให้มารดาได้ใช้กรรไกรตัดได้อย่างสะดวก
วันที่กลับไปแล้วไม่เห็นนางอยู่ที่นั้น เขาแทบกลายเป็นคนบ้า โกรธเกรี้ยวคลุ้มคลั่งจนถูกผู้อื่นล่ามด้วยโซ่เส้นใหญ่ขังในคุกใต้ดิน ส่งเสียงร้องโหยหวนดุจสัตว์ป่า จนกระทั้งท่านจอมมารตีกระบี่เพลิงอัคนีสำเร็จจึงได้มาปล่อยตัวเขา ซึ่งก็ใช้เวลากว่าครึ่งปี ครึ่งปีที่เขาถูกล่ามในคุกใต้ดิน สภาพร่างกายที่ต้องพักฟื้นนานนับเดือน จนกระทั้งจอมมารเหิงหยางเซิงเอ่ยปากกับเขา ‘เจ้าไร้ประโยชน์ต่อข้าอีกแล้ว อยากทำสิ่งใดก็ทำเถิด’ เขาจึงออกเดินทางจากเกาะเพลิงอัคนี สืบหาน้องสาวตัวน้อยที่โอบอุ้มนางจากหมู่บ้านแห่งนั้น เขาไปถึงพรรคกระเรียนแดงแต่ไม่ได้ข่าวใด ผู้หญิงตัวเล็กๆ อย่างนางไม่เคยก้าวเท้าออกจากเกาะแปดปีเต็มจะไปที่ใดได้ เวลานั้นเขามืดแปดด้าน และได้พบกั๋วกงกงอีกครั้ง หลายครั้งที่เขามาทำภารกิจลับก็คือสังหารคนที่กั๋วกงกงหมายหัว แม้ยุทธภพมีจุดยืนว่ายุ่งเกี่ยวกับเรื่องทางการ แต่พรรคมารอย่างเพลิงอัคนีไม่สนใจกฏนี้อยู่แล้ว นักฆ่าหลายคนถูกซื้อตัวเข้าไปรับใช้คนในวัง ‘หากยังไม่มีที่ไป เจ้าจงมารับใช้ข้า’ ยามนั้นเขาคิดเพียงแค่ว่าอาศัยที่กั๋วกงกงเป็นที่รู้จักมาก เขา
ดวงตาร้อนแรงที่จ้องมองเหมือนจะกลืนกินทำให้ซินหรานต้องหลับตารับรู้สัมผัสร้อนผ่าวจากเรียวลิ้นของเขาที่แทรกเข้ามาในโพรงปาก มือใหญ่ปล่อยฝ่ามือนางที่อาจไม่ขยับไปจากแผ่นอกของเขาได้เปลี่ยนมัดร่างนางให้แนบชิดกับร่างของเขาแน่นขึ้นราวกับจะผสานเป็นเนื้อเดียว ลิ้นร้อนไล่ลุกเร้ากับลิ้นน้อยๆ จนยอมจำนนให้เกี่ยวกระหวัด เสียงครางครือในลำคอของหญิงสาวทำให้บุรุษหนุ่มฮึกเฮิมดันร่างบางไปชิดก้อนหินกลมเกลี้ยงก้อนใหญ่ให้แผ่นหลังของนางแนบชิด ดอกบัวคู่งามจึงเชิดชันท้าท้ายให้บุรุษหนุ่มอ้าปากครอบครอง เม้มริมฝีปากดูดดึงจนหญิงสาวไม่อาจกลั้นเสียงครวญครางของตนเองได้ “ประเดี๋ยวมีใครมาเห็น” นางใช้สองมือที่อ่อนแรกผลักเขาออก “ไม่มีหรอก” เขาหัวเราะชั่วร้ายในลำคอ “หากมีก็แค่ควักตาออกเสีย” ซินหรานไม่รู้จะโต้เถียงอย่างไร เขาดึงดันจะกลืนกินนางและเขาก็ทำให้นางไม่เหลือสติสัมปชัญญะใดๆ อีก ราวกับร่างกายของนางก็โหยหิวสัมผัสของเขาเช่นกัน นางถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อเขายอมเลิกทรมานทรวงอกของนาง ทว่าริมฝีปากร้ายพรมจูบหน้าท้องของนาง เพราะรู้ว่าเขากำลังจะทำอะไร นางรีบร้องห้ามทั้งที่ตัวเองอ่
ใครเลยจะรู้ว่าคำสั่งแรกในฐานะฮูหยินของประมุขพรรคเพลิงอัคนีคือการสั่งให้ทุกคนเดินทางพร้อมกันไม่มีแยกเป็นสองขบวนตามที่เหิงหยางเซิงตกลงกับเฉินเอ๋อร์ “ตั้งแต่คลอดเฉินเอ๋อร์ออกมา เขาไม่เคยห่างจากข้าเลยสักครั้ง ท่านจะผลักไสให้ข้ากับลูกแยกกันได้อย่างไร” เหิงหยางเซิงได้แต่ก้มหน้ารับชะตากรรม แม้หญิงสาวผู้นี้จะยังคงเป็นซินหรานที่แลดูอ่อนแอบอบบางไร้ปากเสียง แต่ยามที่นางต้องการสิ่งใดก็ไม่นิ่งเงียบอีกต่อไป แต่อย่างน้อยเขาก็ผลักไสให้อู่เฉียงไปไกลหูไกลตา และจางเย่วถิงที่แสร้งทำเป็นอยากเดินทางด้วย แต่เพราะนางยังต้องการยาอายุวัฒนะนั้นอยู่จึงออกไล่ล่าช่วงชิงยาวิเศษที่ถูกเปลี่ยนมือไปแล้ว ก่อนเอ่ยคำลา ซินหรานคืนหยกประจำกายของจางเย่วถิง ที่ผ่านมานางไม่เคยคิดว่าหยกชิ้นนี้มีความหมายมากขนาดนี้ แม้สิ่งนี้จะทำให้นางออกคำสั่งคนของพรรคกระเรียนแดงได้ก็ตาม แต่จางเย่วถิงกลับยิ้มแล้วส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยปาก “สิ่งใดที่ข้าให้แล้วย่อมไม่เอาคืน ถือเสียว่าข้าให้เป็นของขวัญเจ้าก็แล้วกัน” ด้วยเหตุนี้ซินหรานจึงไม่อาจปฏิเสธได้อีก นางเก็บหยกชิ้นนั้นไว้แล้ว
“อู่ชิงอู่ยินเอาม้าของข้าให้อู่เฉียงไป”“ขอรับ” คนที่อยู่ด้านนอกรีบตอบรับ หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายผ่านไป เดิมทีจอมมารเหิงหยางเซิงต้องการเดินทางกลับเกาะเพลิงอัคนีทันทีและแน่นอนว่ากลับไปครั้งนี้มีฮูหยินติดตามกลับไปด้วย ทว่าเมื่อเร่งรีบออกจากหมู่บ้านมาเพื่อไม่ต้องการพบกับคนของทางการ ทั้งหมดจึงได้ไปอาศัยหลบอยู่อีกหมู่บ้านไม่ไกลมากนักเพื่อให้อู่เฉียงได้รักษาตัว แต่สิ่งที่เหนือความคาดหมายคือพระสนมหลิวเสียนเฟยผู้นี้ไม่ยอมเดินทางกลับเมืองหลวง“ข้าจะอยู่ดูแลผู้มีพระคุณสักสามสี่วันจะเป็นไรไป” แม้นางจะไม่ให้ใครเอ่ยถึงนางในฐานะพระสนมคนโปรดขององค์ฮ่องเต้ แต่ลักษณะท่าทางสูงส่งแม้กระทั้งน้ำเสียงเย่อหยิ่งถือดีนั้นก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงได้ เหิงหยางเซิงผู้เป็นประมุขพรรคมารมิชอบใจท่าทีเช่นนี้ เขาต้องการเดินทางกลับอยู่ทุกวันคืนไม่ใช่เพียงไม่ชอบท่าทีของสตรีผู้นี้แต่เพราะไม่ต้องการให้ซินหรานอยู่ใกล้อู่เฉียงแม้บาดแผลจะทำให้เสียเลือดมากแต่เพราะมีพ่อบ้านจูโหย่งเจาอยู่จึงดูแลรักษาอู่เฉียงให้ฟื้นกำลังได้อย่างรวดเร็ว ในวันที่สามก็สามารถเคลื่อนไหวร่างกายได้ปกติ และถูกจอมมารเหิงหยางเซิงขึงตาขับไล่อย่างไม่ไว้หน้า เ
สุดท้ายก็ไม่ต่างจากสุนัขขี้เรื้อนไม่เหลือหน้าตาให้หยัดยืนใน ยุทธภพ เปลี่ยนแปลงตนเอง เข้าไปในวังวนของวังหลวง หวังให้ตำแหน่งของตนสูงสุด แต่สุดท้ายกลับถูกเจ้าเด็กเมื่อวานซืนทำลายป่นปี้ ด้วยความแค้นทำให้กั๋วกงกงลืมกลยุทธไปหมดสิ้นต่อสู้เหมือนคนตาบอดสะเปะสะปะไปมา ยิ่งสู้ยิ่งไม่อาจยอมรับความแพ้พ่าย หางตาเห็นสตรีสวมหน้ากากผู้นั้นยืนอยู่คนเดียว จึงเปลี่ยนเป็นพุ่งเป้าไปที่หญิงสาวบอบบาง ซินหรานเบิกตากว้างที่จู่ๆ กั๋วกงกงเปลี่ยนเป้าหมายพุ่งมาที่นาง ทว่าเมื่อประสายสายตากันกลับเป็นกั๋วกงกงที่ชะงักงันแล้วกรีดร้องคลุ้งคลั่ง “ไม่จริง! ข้าจะไม่ตายเช่นนั้น! ข้าไม่มีวัน...!” ยังไม่ทันจบประโยคดี แสงสีเพลิงจากกระบี่อัคนีพิฆาตก็แทงทะลุร่างของกั๋วกงกง ดวงตาคู่นั้นก้มมองปลายกระบี่ที่ทะลุหน้าอกตนเอง ใบหน้าบิดเบี้ยวเอี้ยวมองไปด้านหลัง เห็นเพียงรอยยิ้มโหดเหี้ยมของเหิงหยางเซิง เขาบิดข้อมือทำให้กระบี่ควานเนื้อเรียกโลหิตให้หลั่งออกมาจนนองพื้น “เจ้า...เจ้ามัน...มาร...ปีศาจ...ร้าย” “ถูกต้อง ข้าคือจอมมารเหิงหยางเซิงแห่งพรรคเพลิงอัคนี” เพียงชั
ไม่ต่างจากเมื่อครั้งที่นางเป็นเด็กแปดขวบ หญิงสาวเบิกตาโต ความทรงจำที่เลือนลางไปเต็มทีแล้วกลับเด่นชัดขึ้นมาอีกครั้ง บ้านของนางไฟไหม้ บิดามารดาฉุดแขนให้นางวิ่งออกมา ทว่าบิดาถูกคนร้ายใช้ดาบฟันกลางหลัง แต่กระนั้นก็ยังกอดนางกับมารดาไว้ คนร้ายหัวเราะทั้งที่มารดาหวีดร้องเหมือนคนเสียสติ พุ่งเข้าไปใช้เพียงมือเปล่าทุบตีคนเหล่านั้น หนึ่งนั้นใช้ฝ่ามือฟาดใส่หน้ามารดาถึงกับเซถลาล้มลง พวกมันหัวเราะร่ากระตุกเท้ามารดาไว้แล้วฉีกทึ้งเสื้อผ้าของมารดา‘หนีไป! หนีไป!’เด็กน้อยตัวแข็งทื่อก้าวเท้าไม่ออก ร่างเล็กของเด็กหญิงวัยแปดขวบถูกฉุดกระชากอย่างแรงจนแขนเสื้อของเด็กหญิงขาด เด็กหญิงตัวน้อยหวีดร้องสุดเสียง พยายามสะบัดแขนขาที่ถูกเกาะกุมด้วยชายร่างใหญ่หลายคนที่ล้อมตัวนางอยู่ เด็กหญิงสู้แรงชายเหล่านั้นไม่ได้ ร่างของนางถูกยกขึ้นเหนือพื้นแขนสองข้าง ขาสองข้างถูกมือสกปรกจับยกขึ้น แม้น้ำตาไหลอาบแก้มแต่นางยังมองเห็นเปลวเพลิง ผู้คนที่ถูกฆ่าอย่างเหี้ยมโหด บนพื้นนองไปด้วยเลือดสีแดงสด ท้องฟ้าถูกย้อมด้วยสีแดงของเปลวเพลิง เด็กหญิงหวีดร้องจนเจ็บคอไปหมด ราวกับมีเลือดผสมน้ำลาย เสียงหัวเราะราวกับคนเสียสติดังขึ้น
อู่เฉียงได้ยินเสียงเปิดประตูจึงหันกลับมามองพร้อมกับพระสนมหลิวเสียนเฟยที่ปรายตามองเล็กน้อย ซินหรานก้าวออกมายืนแล้วกวาดตามองเหมือนค้นหาสิ่งผิดปกติ “เอ่อ...ข้าคงรู้สึกไปเอง เหมือนมีผู้อื่นอยู่ที่นี่” ซินหรานอึกอักหน้าแดง นางคงกังวลเกินเหตุไป พระสนมหลิวเสียนเฟยส่งยิ้มเอ็นดูให้ ได้ยินว่าหญิงสาวผู้นี้อายุยี่สิบแล้วและมีลูกชายน่ารัก แต่ลักษณะท่าทางยังเหมือนเด็กสาวมิได้ออกเรือน ยามเขินอายก็แก้มแดงระเรื่อ ช่างดูไร้เดียงสานัก พลันอดคิดถึงตนเองยามเป็นเด็กสาวไม่ได้ นางเหม่อลอยไปครู่หนึ่งสายตาดุจตาหงส์สังเกตสิ่งที่อยู่ในมือของซินหรานนั้นคุ้นตา จึงเอ่ยถามออกไป “นี่นะหรือ?” ซินหรานยื่นหน้ากากอันนั้นส่งให้พระสนม แต่เมื่ออีกฝ่ายย้ำให้พูดคุยกับนางเช่นเดียวกับคนธรรมดาทั่วไป ซินหรานจึงเอ่ยกับอีกฝ่ายดุจสนทนากับคนที่ฐานะเท่าเทียมกัน “เจ้าได้หน้ากากนี่มาจากที่ใด” พระสนมหลิวเสียนเฟยเอ่ยถาม ดวงตามีประกายความตื่นเต้นไม่น้อย “เรียนตามตรง ท่านจอมมารให้ข้ามา เป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการที่ส่งมาให้ท่านจอมมาร แต่ข้าจำไม่ได้แล้วว่ามาจากที่ใด” “เจ้าเคยใช้หรือไม่?” ซินหรานอึกอักอยู่ครู่หนึ่งจึงเอ่ยไปตรง “ครั้
พระสนมหลิวเสียนเฟยมิได้ดึงดัน พยักหน้ารับอย่างเข้าใจและหมุนตัวเดินออกไปอย่างรวดเร็ว อู่เฉียงจ้องมองซินหรานอีกครั้ง เขาเคยมีคำพูดมากมายอยากเอ่ยถามนาง แต่ยามนี้เขากลับรู้สึกว่าตนเองได้คำตอบนั้นจากแววตาห่วงใยที่นางมีให้จอมมารแสนร้ายกาจผู้นั้นแล้ว“ข้าจะคุ้มกันอยู่ด้านนอก” “ขอบคุณพี่อู่เฉียง” นางยิ้มบางๆ มองร่างสูงหันหลังเดินออกไปแล้ว นางยื่นมือไปปิดประตูด้วยตนเองเพื่อให้มั่นใจว่าบานประตูปิดสนิท หญิงสาวระบายลมหายใจเบาๆ เมื่อหมุนตัวกลับมาภาพที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ก้าวเท้าไม่ออก“ข้าต้องเดินลมปราณ” เขาเอ่ยเสียงแหบพร่า แล้วยันตัวเองลุกขึ้นยืนเพื่อถอดเสื้อเปื้อนเลือดของตนออก ใบหน้าหวานเริ่มมีสีเลือดปรากฏ ไฉนอยู่ดีๆ เปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้เล่า นางอยู่กับคนในพรรคมารมาแปดปี แต่ไม่เคยฝึกวรยุทธ์ใดๆ เห็นเพียงอู่เฉียง อู่ชิงและอู่ยินต่อสู้ประมือกัน แต่ไม่รู้ว่ายามต้องลมปราณนี้ต้องเปลื้องเสื้อผ้าเช่นนี้ด้วย“ถ้าอายนักก็ออกไป” เหิงหยางเซิงเห็นนางยืนนิ่งงันอยู่ตรงนั้น ทั้งที่เอ่ยตำหนิขับไล่นาง แต่เพราะไม่ต้องการให้นางเห็นเขาในสภาพยับแย่เช่นนี้เพราะใช้เพลงกระบี่อัคนีพิฆาต เขาจึงเจ็บหนักเช่นนี้ ดาบเดีย
“คนอื่นๆ ล่ะ คนในหมู่บ้านจะเป็นอย่างไร!” ซินหรานตวาดอย่างลืมตัว เหิงหยางเซิงแม้จะเป็นคนใจดำ แต่ยามนี้กลับไม่กล้าพูดจาทำร้ายจิตใจซินหราน นึกถึงภาพนางที่เป็นเด็กหญิงตัวน้อยไม่พูดไม่จาอยู่นานเป็นแรมเดือน หัวใจที่เคยด้านชาพลันเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครา แม้เขาไม่ได้พูดออกไป แต่หญิงสาวกลับเข้าใจได้ ใบหน้าที่แต่เดิมซีดเซียวเพราะตกใจอยู่แล้ว ยามนี้กลับยิ่งไร้สีเลือดเข้าไปอีก สองขาแทบทรุดลงด้วยไร้เรี่ยวแรง จนเหิงหยางเซิงต้องประคองไว้“ไม่ได้”นางพึมพำ นึกเด็กๆ ที่นางเคยดูแล ป้าหวังที่เอางานปักผ้ามาให้นาง ทุกคนในหมู่บ้านที่ที่ดีกับนาง ยามนี้พวกเขามีภัย มีภัยโดยไม่รู้ตัวและไม่อาจหลบหนีได้ทัน นางจะปล่อยให้เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นไม่ได้!“เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นเกาะเพลิงอัคนีหรืออย่างไร!” เหิงหยางเซิงโต้กลับด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เขาไม่ต้องการยุ่งเกี่ยวกับคนในราชสำนักแม้แต่น้อย “เวลานี้มีคนของพรรคเพลิงอัคนีอยู่ข้างกายแค่ห้าหกคน เจ้าคิดจะใช้คนของข้าปกป้องคนนับร้อยเหล่านั้นหรือ? เจ้าคิดบ้างหรือไม่ว่าไม่ไกลจากนี้เหล่าชาวยุทธฝ่ายธรรมะนั้นรวมพิธีล้างมือในอ่างทองคำของพรรควิหคสวรรค์ คนเหล่านั้นเมื่อเข้าใจว่าข้าผู้เป็นปร
โดยไม่รู้ตัวว่าอีกฝ่ายคิดสิ่งใดอยู่ ซินหรานไม่ได้เสียงตอบในคำถามที่ต้องการ นางจึงเงยหน้าขึ้น ดวงตาสีนิลคู่นั้นจ้องมองนางราวกลืนกินนางลงไปทั้งตัว สายตาของเขาทำให้นางรู้สึกตัว ปล่อยมือใหญ่ในอุ้งมือของตนทันที ทว่าเขากลับพลิกข้อมือเป็นฝ่ายจับมือนางไว้ก่อน ไม่ยินยอมให้ปล่อยนางไป เขาจะไม่ปล่อยนางให้หลุดมือของเขาไปอีก คนที่ถูกตราหน้าเป็นมารปีศาจร้ายเช่นเขา ไยต้องคิดหาวิธีรั้งนางด้วยเล่า? บัดนี้เขาตระหนักได้ว่าก่อนหน้านี้เขาทำทุกวิธีทางให้นางหวาดกลัวจนไม่กล้าไปจากเขา แต่เมื่อนางไปขุดเอาความกล้าหาญมาจากไหน ฉวยจังหวะที่เขาอยู่ที่หุบเขาเพื่อหลอมกระบี่อัคนีพิฆาตหลบหนีออกมา แต่ ณ เวลานี้ ไม่ว่าเล่ห์กลใดที่รั้งนางไว้ได้ เขายอมหน้าหนาทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่งตอนนี้ที่แสร้งทำเป็นว่า รอยแผลนี้ทำให้เขาทุกข์ทรมานเพียงใด “เจ้าเคยเจ็บปวดถึงกระดูกหรือไม่เล่า” เขาเอ่ยพลางจ้องตานาง เก็บทุกความรู้สึกที่อยู่สีหน้าของหญิงสาว “จะ...เจ็บมากเลยหรือ?” แม้เมื่อครู่นางเพิ่งเห็นคนตายมากมาย จนเลือดนองพื้นดิน แต่ยามนี้ความสนใจของนางอยู่ที่มือขวาของเขา “ปะ...เป