เป็นเช่นนี้มานานเพียงใดมิอาจรู้ได้ เหตุใดหญิงงามเหล่านั้นถึงหวาดกลัวท่านจอมมารถึงขนาดปัสสาวะราดได้นะ เดือดร้อนให้นางต้องมาเช็ดถูทำความสะอาด และสุดท้ายคือจุดกำยานหอมในห้อง นางจัดการทุกอย่างเรียบร้อยภายเค่อเดียว ซินหรานก้มตัวลงจัดหมอนให้เข้าที่อีกครั้งเพื่อความมั่นใจ เสร็จแล้วจึงเงยตัวขึ้นแล้วหันหลังให้เตียงกว้างที่สามารถนอนได้สามหรือสี่คนเลยทีเดียว ทว่านางกลับไม่รู้ว่ามีร่างสูงใหญ่ยืนซ้อนอยู่ก่อนแล้ว เมื่อนางหมุนตัวออกมาจึงปะทะกับร่างที่สวมเพียงเสื้อคลุมตัวยาว ด้วยความตกใจ นางผงะไปด้านหลังและเสียหลักหงายหลังลงบนเตียง มือเล็กยื่นไปจับสาบเสื้อของชายตรงหน้าเพื่อยึดเหนี่ยวอย่างลืมตัว
ด้วยกำลังอันน้อยนิดของหญิงสาว ทว่าเขากลับปล่อยให้ร่างของตนโถมเข้าใส่ร่างเล็กที่หงายหลังลงบนเตียงที่เพิ่งจะเปลี่ยนผ้าปูที่นอนเสร็จ ก่อนที่ร่างของเขาจะทาบทับร่างของนาง เขาใช้มือยันเตียงไว้ได้ก่อน ไม่เช่นนั้นคนที่อยู่ด้านล่างคงเจ็บตัวไม่น้อย
ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอย่างตกใจแต่ไร้เสียงหวีดร้อง ดวงตากลมโตเบิกกว้างจองมองคนที่อยู่ด้านบน ตั้งแต่นางอยู่ที่นี่มาแปดปี รับใช้ใกล้ชิดแม้กระทั่งยามที่อีกฝ่ายอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่นางไม่เคยใกล้ชิดเขามากขนาดนี้ ชายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นจอมมารเหิงหยางเซิง
ดวงตาคมหรี่มองหญิงสาว แปลกใจที่ยามนี้บ่าวรับใช้คนนี้ดูแตกต่างจากกลางวันนัก โดยปกติใบหน้านี้มักเรียบเฉยไม่แสดงอารมณ์ใด แต่ยามนี้เขาเห็นสีหน้าตื่นตระหนกของนาง สองแก้มที่แดงระเรื่อ ตลอดจนร่างกายที่สั่นน้อยๆ เส้นผมของนางคลี่สยายอยู่บนที่นอนของเขา
ของเขา...
ซินหรานรู้ถึงแววตาที่เปลี่ยนไปของผู้เป็นนาย นางกระถดตัวถอยออกมา ความสงบนิ่งที่เคยมียามนี้กลับไม่มีเหลือ นางเค้นถ้อยคำที่จะเอ่ยออกมาไม่ออกสักคำ หญิงสาวจึงพลิกตัวแล้วตั้งใจคลานออกมา ทว่าข้อเท้ากลับถูกคว้าไว้ก่อน นางไม่กล้าสะบัดเท้าออกจึงได้แต่เอี้ยวตัวมองมือแกร่งที่ยึดข้อเท้าของนางไว้
“นายท่าน...บะ..บ่าว บ่าว”
เสียงของนางสั่น แม้กระทั่งชีพจรยังเต้นแรง ในห้องที่มีเพียงแสงสลัวจากเทียนที่ตั้งอยู่ ทว่านางเห็นมุมปากของเหิงหยางเซิงยกขึ้นเล็กน้อยเหมือนเป็นรอยยิ้ม ท่าทางคุกคามของเขาทำให้นางหวาดกลัว นางเหมือนสัตว์เลี้ยงตัวเล็กๆ ที่เขาจะทำอย่างไรก็ได้
ถูกแล้ว ตั้งแต่วันที่เขาสังหารคนที่หมายจะทำร้ายนาง เขาคือเจ้าชีวิตของนางแล้ว
“ปีนี้เจ้าอายุเท่าไหร่?”
“สะ สิบ..สิบหกแล้วเจ้าค่ะ”
ไยจู่ๆ ถามนางเช่นนี้นะ
มือแกร่งดุจคีมเหล็กปล่อยข้อเท้าของนางออก หญิงสาวชักเท้าแล้วคลานลงไปยืนอยู่ข้างเตียง
“ถ้า...ถ้าไม่มีสิ่งใดแล้ว บะ..บ่าว...บ่าวขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
นางก้มหน้านิ่งรอคอยคำพูดหรือแค่เขาส่งเสียงออกมาสักคำนางจะได้รีบวิ่งออกไป แต่ก็ยังไร้เสียงใด ทำให้นางช้อนตาขึ้นมอง นางกลับเห็นเขาเอนตัวลงนอนไม่มีท่าทีจะลุกขึ้น นางจึงถอยหลังก้าวออกไปอย่างรวดเร็ว และปิดประตูอย่างเงียบเชียบที่สุด มือเรียวเลื่อนจากบานประตูมาแตะที่หน้าอกตนเอง กดแน่นบริเวณหัวใจข่มไม่ให้ใจเต้นแรงจนคนในห้องนั้นได้ยิน แล้วรีบเดินกลับห้องนอนของตัวเอง
ซินหรานปีนขึ้นเตียงซุกตัวในผ้าห่มผืนหนา นางเป็นคนติดผ้าห่มและกลัวความหนาว อาจเพราะผ่าน ‘คืนนั้น’ มาอย่างโหดร้าย นางมักซุกตัวเองในผ้าห่มเสมือนว่านี่คือที่ๆ นางจะนอนหลับได้ แต่คืนนี้นางซุกตัวนอนขดตัวกลมแต่ยังไม่อาจข่มให้ตัวเองหลับ
ดวงตาของเขาที่จ้องมองมานั้นราวกับจะกลืนกินนางทั้งเป็น!
ชายหนุ่มบนเตียงกว้างพลิกตัวนอนหงาย เพราะเป็นคนฝึกยุทธ์ เขารับรู้ได้ว่าร่างของนางวิ่งกลับห้องที่อยู่ติดกับห้องนอนของเขาแล้ว มุมปากยกยิ้มจนแทบจะกลายเป็นหัวเราะ
หัวเราะ!
คนอย่างเหิงหยางเซิงนะหรือหัวเราะ!
เสียงหัวเราะของเขามักดังขึ้นระหว่างความเป็นและความตายของผู้อื่นเสมอ
แต่ยามนี้ เขากลับระเบิดเสียงหัวเราะขบขัน ท่าทางหวาดกลัวของสัตว์เล็กๆ ตัวนั้น ไม่ใช่ซิ! ยามนี้เจ้าสัตว์สกปรกตัวนี้กลับกลายเป็นหญิงสาวที่มีผิวกายเนียนนุ่ม เส้นผมยาวสลายดุจแพรไหม ริมฝีปากอิ่มที่เผยอขึ้นเล็กน้อย ขณะที่นอนเอนกายหัวเราะอยู่นั้น กลิ่นหอมจางที่ยังติดอยู่บนที่นอน
อา... นางมีกลิ่นกายเช่นนี้ กลิ่นหอมจางๆ ที่ทำให้ใจสงบ
นางมีตัวตนอยู่ข้างเขา เสมือนสายลมที่โอบล้อม มองไม่เห็นแต่สัมผัสได้
นางไม่เคยยิ้มให้เขา ไม่เคยหัวเราะ หรือแสดงความรู้สึกใดๆ ต่อหน้าเขาเลยสักนิด ผิดกับยามที่อยู่กับอู่เฉียง และคนอื่นๆ นางมักยิ้มและหัวเราะกับคนเหล่านั้น
แต่ไม่ใช่กับเขา
เหิงหยางเซิงนึกถึงเรื่องราวเมื่อแปดปีก่อน สัตว์ป่วยตัวเล็กๆ ที่ อู่เฉียงยอมอุ้มกลับมาเกาะเพลิงอัคนีนั้น มีอาการเหม่อลอยไม่พูดจา เป็นเช่นนั้นแต่คืนนั้นแล้ว เขายอมให้อู่เฉียงเลี้ยงสัตว์บาดเจ็บอย่างนางเพียงเพื่อใช้นางเป็นเหยื่อล่อให้อู่เฉียงยอมทำตามคำสั่งอย่างไร้เงื่อนไข อู่เฉียงเป็นนักฆ่าฝีมือดี สั่งงานครั้งใดไม่เคยพลาด แต่ความมุทะลุดุดันและไม่เสียดายชีวิตนั้นทำให้เขารำคาญใจ เขาสู้ฝึกคนเลี้ยงคนมาตั้งหลายปี สิ้นเปลืองไปมากกว่าจะได้ ‘นักฆ่า’ และ ‘องครักษ์’ ฝีมือดีขนาดนี้ หากทำอะไรบุ่มบ่ามก็จะเอาชีวิตไปทิ้งเสียเปล่าๆ โดยใช้ประโยชน์ได้ไม่เต็มที่ การมี ‘บางสิ่ง’ ที่ทำให้คนผู้นั้นเป็นห่วง ทำให้ระวังตัวเองมากยิ่งขึ้น เขาก็ยิ่งใช้ประโยชน์จากอู่เฉียงได้มากยิ่งเช่นกัน
‘หากเจ้ายังไม่ยอมพูดจา เห็นทีว่าการที่อู่เฉียงช่วยเจ้ามานั้นไร้ความหมาย และหากเจ้าเป็นเช่นนี้ก็ทำให้อู่เฉียงทำงานให้ข้ามิได้ เช่นนั้นแล้วก็เปล่าประโยชน์ที่จะเก็บเขาไว้ คนที่ไร้ค่ารู้ไหมว่าจะเป็นเช่นไร...ข้าจะกำจัดมันทิ้งเช่นเดียวกับที่เคยทำให้คืนนั้น!’
เขาเห็นแววตาไหวระริกของนาง สัตว์ตัวเล็กนั้นเริ่มสั่นสะท้าน กะพริบตาปริบๆ ปากเล็กๆ อ้าขึ้นช้าๆ พยายามเปล่งเสียงสุดกำลัง นางกลัวว่าเขาจะฆ่าอู่เฉียง
กลิ่นกายของนางในอากาศจางไปแล้ว เขาพลิกตัวนอนคว่ำ จมูกสัมผัสผ้าปูที่นอนที่นางล้มตัวลงไปเมื่อครู่ กลิ่นนางยังติดอยู่ ชายหนุ่มเผลอสูดดมกลิ่นหอมจาง มือใหญ่ขยำผ้าปูที่นอนนั่น พลันแววตากลับมาดุร้ายเป็นประกายสีแดงดุจโลหิต หญิงงามนางบำเรอมากมายที่ปรนนับัติรับใช้รองรับอารมณ์ใคร่ของเขานั้น เขามักสัมผัสได้ถึงความสกปรกโสมมที่ซ่อนอยู่ ความรู้สึกสะอิดสะเอียนจนเผลอบีบคอหญิงสาวแน่น จนกระทั้งได้ยินเสียงร้องขอชีวิตเขาจึงปล่อยมือจากลำคอนั่น
แม้เป็นหญิงงามแต่เมื่อความกลัวตายเข้ามาครอบครองสติ ทั้งร้องไห้ ทั้งปัสสาวะราด กี่ครั้งกี่คราวก็เป็นเช่นนี้ ซินหรานจึงจำเป็นต้องรับใช้ใกล้ชิดเขาเช่นกัน
ทว่าการจัดนางให้นอนในห้องเก็บของนั้น เขาย่อมรู้ดีอยู่เต็มอก เขาอยากรู้นัก ยามนางได้ยินเสียงครางกระเส่าที่ดังไปถึงห้องนั้น หญิงคนนั้นจะรู้สึกเช่นไร
แปดปีแล้ว นางไม่ใช่สัตว์ตัวเล็กๆ อีกแล้ว บัดนี้นางอายุสิบหกปี ภายใต้เสื้อผ้าเนื้อหยาบนั้นมีผิวกายเนียนนุ่มซ่อนอยู่
ใช่! นางไม่ใช่สัตว์เล็กๆ ตัวนั้นอีกแล้ว!
อู่เฉียงเพิ่งได้รับมอบภารกิจลับงานชิ้นใหม่ เขาเดินออกมาจากห้องอักษรของจอมมารเหิงหยางเซิงด้วยท่าทีนิ่งสงบ ยากคาดเดาความคิดที่อยู่ภายใต้ใบหน้าเย็นชา ใครเลยจะคาดคิดว่าประมุขพรรคมารของพวกเขา นอกจากห้องฝึกวิทยายุทธแล้ว ยังชอบอยู่ในห้องอักษรราวกับเป็นบัณฑิตอย่างไรอย่างนั้น เขาเป็นนักฆ่าอันดับหนึ่งของพรรคเพลิงอัคนี และเป็นองครักษ์ใกล้ชิดเหิงหยางเซิงที่สุด ทว่าสองปีมานี่เขาแทบไม่ได้อยู่คุ้มกันประมุขเลย มีเวลาอยู่ที่เกาะแห่งนี้แค่เดือนละไม่กี่วัน งานส่วนใหญ่ของเขากลับกลายเป็นงานที่ต้องทำนอกพื้นที่ทั้งสิ้น แม้วรยุทธ์ระดับท่านจอมมารจะไม่ต้องมีเขาเป็นองครักษ์ แต่กระนั้นเขาอดกังวลใจไม่ได้
เพราะเดินอย่างเหม่อลอย กว่าจะรู้ตัวเขามาหยุดยืนอยู่ด้านหลังที่ลานซักล้างแล้ว ลมพัดแรง ผ้าที่ตากอยู่บนราวเชือกนั้นพลิ้วสะบัดไปมา เขามองเห็นร่างบอบบางที่กำลังตากผ้า ใบหน้าหมดจดแดงเรื่อ แขนเสื้อถูกม้วนขึ้นถึงข้อศอกทำให้เห็นท่อนแขนเรียวเล็ก ผมยาวถูกเกล้าขึ้นเป็นก้อนกลมๆ สองข้างบนศีรษะของนาง ทำให้มุมปากของเขากระตุกยิ้มออกมาไม่รู้ตัว นางคิดว่าตัวเองอายุเท่าไหร่กัน ซินหรานเขย่งปลายเท้า ตากผ้าปูที่นอนรวมทั้งเครื่องนอนจนเรียบร้อยดี ลมแรงเหลือเกิน นางระบายลมหายใจออกทางปาก ยกมือขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมใบหน้าของตน นางก้มลงหมายยกตะกร้าผ้าขึ้นแล้วเดินออกมา ทว่าลมที่พัดแรงนั้นทำให้ผ้าของนางปลิวออกจากราวตากผ้า หญิงสาวอ้าปากค้าง ทิ้งตะกร้าลงพื้นแล้วกระโดดคว้าผ้าไว้ “ผ้า! ผ้าของข้า!” อู่เฉียงเห็นผ้าผืนนั้นปลิวลอยในอากาศ เขากระโดดราวเหาะเหินในอากาศ คว้าผ้าผืนนั้นไว้ให้นางได้ทันก่อนปลิวไปไกล หญิงสาวยื่นมือไปรับผ้าผืนนั้นมาแล้วรีบเอาไปตากไว้เช่นเดิม ตรวจดูจนมั่นใจแล้วจึงหันมาทางชายหนุ่ม แต่พอเห็นสีหน้าบึ้งตึงแล้วนางรู้ได้ทันทีว่าเขาคงมีเรื่องในใจเป็นแ
ซินหรานเก็บอาการตื่นตกใจซ่อนไว้ด้วยท่าทีนิ่งเฉย บรรดาคนสนิทที่มาพร้อมกับ จางเย่วผิงค้อมตัวแล้วถอยออกไปอย่างเงียบเฉียบ บ่าวรับใช้ผู้อื่นนำสุราอาหารมาวางไว้แล้วถอยออกไป ในห้องจึงเหลือเพียงแค่เหิงหยางเซิง จางเย่วถิงและซินหราน นางกลอกตามองไปยังเหิงหยางเซิง เมื่อไม่เห็นท่านจอมมารมีปฏิกิริยาใด นางจึงได้แต่ก้มหน้ายกกาสุรารินใส่จอก แต่จอกสุราหยกยังไม่ทันถูกยื่นไปใส่มือของจางเย่วถิง ซินหรานก็รู้สึกถึงแรงกระแทกจนทำให้จอกสุราตกลงพื้น นางได้แต่กระพริบตาปริบๆ กว่ารู้สึกตัวข้อมือของนางก็ถูกคว้าไว้กระชากอย่างแรงจนนางลุกขึ้นจากเก้าอี้ข้างจางเย่วถิง “นายท่าน” ซินหรานเอ่ยเสียงเบา รู้สึกเจ็บข้อมือแต่ไม่กล้าร้องโอดครวญออกไป “ระวังหน่อยท่านจอมมาร กระดูกนางเปราะบางนัก ประเดี๋ยวแตกหักขึ้นมาจะลำบากรักษา” จางเย่วถิงยกกาสุราขึ้นแหงนหน้าแล้วกรอกสุราลงคอตนเอง “เจ้าอยากเห็นหน้านาง เจ้าก็ได้เห็นแล้วนี่” จางเย่วถิงทำเสียงจิ๊กจั๊กในลำคอ แลบลิ้นเลียริมฝีปากที่เปรอะสุรา ดวงตาเป็นประกายยั่วล้อแล้วยื่นหน้าไปทางเหิงหยางเซิง “ข้าไม่ได้อยากเห็นหน้านา
“เอาปลาแห้งไปด้วย” พ่อครัวเจี่ยนหน้าบึ้งตึงแต่จิตใจดี ไม่ต่างจากพ่อบ้านจูงโหย่งเจานัก แม้ไม่ใช่หน้าที่ของเขาแต่เห็นนางใส่ใจเรื่องเล่านี้ก็รู้สึกดี ไม่เพียงแค่ อู่เฉียง หากคนอื่นที่ออกไปปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งของท่านจอมมาร นางย่อมช่วยจัดเตรียมเสบียงเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ให้เสมอ “เจ้าค่ะ” นางยิ้มกว้างแล้วเดินไปหยิบปลาแห้งมาเพิ่มให้อู่เฉียง ปกตินักฆ่าไปมาไร้ร่องรอย ทว่าสำหรับอู่เฉียง ก่อนเดินทางเขาต้องมาบอกนางก่อนเสมอ เช่นครั้งนี้ด้วย เขาหยุดยืนมองร่างบอบบางในชุดหญิงรับใช้ นึกถึงถ้อยคำที่ฝากฝั่งให้อู่ชิงและอู่ยินช่วยดูแลซินหราน ‘อยู่ที่นี่คนที่จะทำอันตรายซินหรานก็มีแค่ท่านจอมมารเพียงผู้เดียว’ อู่ชิงเอ่ยพร้อมถอนหายใจเบาๆ ‘เจ้าก็รู้ ไม่วันนี้หรือวันหน้า อย่างไรซินหรานก็ไม่ใช่สตรีที่เจ้าจะครอบครองได้’ อู่ยินได้แต่ปลอบใจ อู่เฉียงได้แต่เก็บงำถ้อยคำของตนเองไว้หมดสิ้น เขารู้ แม้ท่านจอมมารไม่เคยเอ่ยอะไรออกมาอย่างชัดเจน แต่สายตาและการแสดงออกนั้น ซินหรานไม่ได้เป็นเพียงแค่สาวใช้ข้างกายเท่านั้น มีบางอย่างที่ลึกซึ้งมากนัก เป็นสิ่งที่บุรุษผู้นั้นอาจยังไ
พ่อครัวเจี่ยนมองไปรอบๆ ยังดีที่ที่นี่เป็นห้องเก็บฟืน ต่อให้ฝนตกก็ยังไม่เปียกปอน อาจจะหนาวสักหน่อยแต่เห็นนางเอาผ้าห่มมาเพิ่มก็วางใจ อย่างไรเขาก็รู้สึกห่วงใยเจ้าเด็กซุกซนคนนี้เหมือนเป็นลูกเป็นหลาน เห็นนางมาตั้งแต่แปดขวบ ตอนนี้เป็นหญิงสาววัยสิบหกแล้ว “รีบนอนเสีย ยังมีงานให้ทำแต่เช้า” “ข้าทราบแล้วเจ้าค่ะ” นางยังแย้มยิ้มราวกับโทษที่ได้รับครั้งนี้เป็นของขวัญมากกว่าโทษ เมื่อพ่อครัวใหญ่ออกไปแล้ว นางจึงปิดประตูแล้วจัดที่หลับที่นอนให้เรียบร้อยก่อนจะนั่งบนเสื่อ หยิบเอาผ้าออกมาตัดเป็นรูปฝ่ามือของ อู่เฉียง มือของเขาทั้งหยาบกระด้างและมีรอยแผลเป็น ยามหิมะโปรยปรายเขาต้องเจ็บปวดจนเข้ากระดูกเป็นแน่ นางตัดผ้าเสร็จแล้วกำลังจะร้อยด้ายกับเข็มเพื่อเนาผ้าสองชิ้นนี้เสียก่อน แต่เปลวเทียนในห้องวูบไหว มือเล็กจึงชะงักไปและเพียงครู่หนึ่ง ฝนก็เทลงมานางนั่งบนเสื่อ กระเถิบตัวเองไปชิดผนังด้านหนึ่ง อีกด้านคือท่อนไม้ขนาดต่างๆ ที่เรียงอย่างเป็นระเบียบเพื่อสะดวกในการนำมาใช้งาน แน่นอนว่าเป็นคำสั่งของพ่อครัวเจี่ยน นางไม่ใช่คนกลัวเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า อยู่ในพรรคเพลิงอัคนีมาแปดปี ได้ยินเสียงก้อ
“ซินหราน เสร็จธุระของเจ้าหรือยัง รีบมาจัดห้องนอนให้ท่านจอมมารประเดี๋ยวนี้!” “เจ้าค่ะ ” หญิงสาวรีบขานรับ มือเล็กผลักหีบใบนั้นเข้าไปในชั้นแล้วรีบหมุนตัวเดินออกมาอย่างรวดเร็ว อากาศชื้นฝนเช่นนี้ ท่านจอมมารไม่ค่อยชอบนัก นางเห็นแค่เจ้าของร่างสูงในอาภรณ์สีดำสะบัดแขนเสื้อเดินหายไปทางหอฝึกยุทธ์แล้ว นางก็รีบเข้าไปในห้องนอนของท่านจอมมารจัดการเก็บกวาดทำความสะอาดเปลี่ยนผ้าปูที่นอนและจุดกำยานกลบกลิ่นชื้นฝนในห้อง ครบสามวันแล้ว นางคงไม่ต้องไปนอนที่ห้องเก็บฟืนแล้วซินะ หญิงสาวระบายลมหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน ยกหลังมือขึ้นปาดเหงื่อบนใบหน้า นางหอบผ้าปูที่นอนผืนเก่าแล้วเดินออกมาเพื่อนำไปซักทำความสะอาด เครื่องนอนและเสื้อผ้าของท่านจอมมารมีแต่นางเท่านั้นที่ทำความสะอาด แบบนี้จะเรียกว่านางเป็นคนโปรดได้อย่างไร บ่าวรับใช้มีตั้งมากมายแต่นางเป็นคนเดียวที่ต้องทำหน้าที่เหล่านี้ ฝนจางจากท้องฟ้าไปมากแล้ว เหลือเพียงละอองโปรยปรายแตะเส้นผม นางสูดกลิ่นฝนเข้าเต็มปอด แน่นอนว่านางชอบกลิ่นฝนอาจเพราะเป็นเติบโตมากับท้องไร่ท้องนา จึงคุ้นชินกับชีวิตที่อาศัยฟ้าฝนในการดำรงชีพแล้ว แล้วคน
“มาแล้วรึ” เหิงหยางเซิงเอ่ยขึ้นแล้วยื่นมือไปหยิบถ้วยใส่เลือดงูพิษขึ้นมาดื่มอย่างไม่สนใจอะไร เขายกดื่มรวดเดียวจนหมด ตวัดปลายลิ้นเลียริมฝีปากปรับลมปราณของตนให้รับพิษงูก่อนจะยื่นถ้วยส่งคืนพ่อบ้าน “ท่านจอมมาร ปีนี้นางอายุสิบหกแล้ว” แม้พ่อบ้านจูโหย่งเจาไม่เอ่ยชื่อ แต่ก็รู้กันว่าคนที่พูดถึงคือซินหราน “สุขภาพร่างกายของนางแข็งแรงดี หากท่านจอมมารจะใช้โลหิตของนาง...” “เจ้าออกไปได้” พ่อบ้านจูโหย่งเจาอ้าปากเหมือนจะส่งเสียงแต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ก้าวถอยหลังไปอย่างเงียบๆ แม้เขาจะเอ็นดูนาง แต่หากโลหิตของนางช่วยยับยั้งพิษในกายของท่านจอมมารได้ เขาก็ไม่ลังเลที่จะสังหารนาง เหิงหยางเซิงเดินลมปราณอยู่ครู่หนึ่ง เขาใช้พิษต้านพิษมาหลายปีหลังจากบาดเจ็บเพราะถูกลอบทำร้ายระหว่างการฝึกยุทธ์ พิษยังขับออกไม่หมด เมื่อถึงคราวที่ฟ้าหลั่งฝนทีไหร่ ราวกับโสตประสาททั้งหมดรับรู้สิ่งรอบข้างชัดเจน กลิ่น เสียง สิ่งที่ได้เห็น ล้วนทำให้เขาหงุดหงิดพลุ่งพล่านต้องการสังหารคนเพื่อให้จิตใจสงบทุกคราวไป แต่ยามนี้ขอมีเพียงนางอยู่ใกล้ จิตใจของเขาพลันสงบโดยมิต้องสังหารใครให้เหม็นกล
พื้นดินที่เปียกชื้นต้นหญ้าอ่อนถูกพรมด้วยน้ำค้าง ริมฝีปากอิ่มเผยอขึ้นอย่างตกใจเมื่อรู้สึกว่าตนเองกำลังหงายหลัง นางหลับตาเตรียมรับความเจ็บปวดที่จะได้รับ ทว่าร่างของนางไม่ได้กระแทกพื้นอย่างที่คิด แต่เอนพิงแผ่นอกแกร่งที่มายืนซ้อนอยู่ด้านหลังอย่างไม่รู้ตัว ร่างอ่อนนุ่มเอนเข้าสู่แผ่นอกอย่างไม่ได้ตั้งใจ แน่นอนว่าคนไร้ วรยุทธ์อย่างนางย่อมไม่รู้ว่าเขาเดินประชิดติดอยู่ด้านหลังนานแล้ว เดิมทีเหิงหยางเซิงคิดจะเดินลมปราณเพื่อปรับสมดุลในร่างกาย ทว่าคืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เลือดในกายเต้นระริก หงุดหงิดและร้อนรุ่มจนไม่อาจทำสมาธิได้ กระนั้นเขารับรู้ได้ว่าร่างเล็กที่อยู่ห้องนอนติดกันนั้นเปิดประตูออกอย่างเร่งรีบ เขาจึงติดตามร่าบอบบาง ใต้แสงจันทร์กระจ่างที่ไม่ต้องอาศัยแสงจากตะเกียงหรือโคมไฟ ร่างเล็กในชุดนอนเรียบง่ายยืนอยู่ในแปลงดอกไม้นานาพรรณ ผิวขาวดุจหยกขับเน้นให้นางดูงดงามราวภาพวาด เส้นผมที่มีเพียงผ้าผืนหนึ่งรวบมัดไว้ทำให้ร่างของนางดูเย้ายวนตา เหิงหยางเซิงแลบลิ้นเลียริมฝีปากของตนเองราวกับคนกระหายน้ำ ก้าวเท้าติดตามร่างบอบางที่ไม่รู้เลยว่าเขาเข้ามาใกล้เพียงใ
เพราะความกลัวทำให้นางอาศัยช่วงจังหวะที่เขายืดตัวอยู่เหนือร่างนาง หญิงสาวพลิกตัวหนีคลานดุจสุนัขออกมาได้ไม่กี่ก้าวข้อเท้าก็ถูกกระชากไว้ก่อน “นายท่าน! พอ...พอเถอะเจ้าค่ะ” นางอ้อนวอนและรู้สึกได้ว่าเขาถอดร้องเท้าของนางออกตามด้วยถุงเท้า คลึงเท้าของนางด้วยนิ้วมือของเขา “อื้อ” นางกลั้นเสียงครางของตัวเองปล่อยให้มือใหญ่และหยาบกร้านเลื่อนมือลูบไล้เหมือนสำรวจเรือนร่างของนาง ยามนี้ร่างกายทั้งตัวเหลือเพียงกางเกงชั้นในตัวน้อย นางยกมือขึ้นปกปิดทรวงอก แต่ครั้งนี้เขาโถมเข้าใส่ รวบมือของนางไว้เหนือศีรษะ กดนางไว้ใต้ร่างแล้วใช้ริมฝีปากพรมจูบบนเรือนร่างของนางอย่างตีตราเป็นเจ้าของ นางเป็นของเขา เป็นของเขาคนเดียวเท่านั้น “ยะ...อย่า” ซินหรานร้องห้ามเสียงขาดห้วง มือใหญ่ลากกางเกงชั้นในตัวน้อยออกพ้นเรียวขา นิ้วยาวที่เก็บกรงเล็บมารแล้วแทรกเข้าไปแตะกลีบดอกไม้อ่อนบางที่สั่นระริก นิ้วกร้านจากการจับกระบี่แทรกเข้าไปจนสุดโคนนิ้ว นางสะดุ้งสุดตัว จ้องมองคนที่อยู่ด้านบนแล้วส่ายหน้าไปมาจนผมยาวคลี่สยาย แม้ไม่มีเตียงอุ่นมารองรับแต่ยามนี้หญ้าอ่อนนุ่มและเสื้อผ้าที่ถูก