ครานี้ไม่เหมือนคราแรก ฮูหยินท่านนี้มีบุตรแล้วและสามีเดินทางไกลนานหลายเดือน
เสียงของฮูหยินอีกท่านหนึ่งพลันเอ่ยต่อไม่ยินยอมให้เกิดความเงียบนาน “ส่วนข้านะ สามีเป็นทหารไปประจำการยังชายแดนนานร่วมปี”
และแล้วเสียงอื้ออึงของเหล่าฮูหยินพลันดังขึ้นมาอีกครั้งทว่าครานี้มีเสียงของหลิงเวยรวมอยู่ด้วย นางร้องครางเลยทีเดียว
การเจอะเจอกันของเหล่าฮูหยินทั้งหลายเป็นการปลดเปลื้องความอัดอั้นตันใจอย่างแท้จริง สตรีหัวอกเดียวกันทั้งนั้น
ฮูหยินผู้เป็นภรรยาของนายทหารเริ่มเอ่ยต่อ “สามีของข้านั้นเขาเป็นทหารประจำชายแดนที่ห่างเหินอิสตรีนานเป็นปีๆ เมื่อกลับบ้านมาก็มักจะรักข้าหนักหนาไม่หลับไม่นอน แต่ทว่าครั้งนี้ช่างแตกต่าง เขาไปประจำการยังชายแดนห่างไกลนานสามปี ข้าจึงให้ญาติของข้าทางนั้นแอบสืบข่าวของเขา และแล้วข้าจึงได้รับรู้ว่าเขาอดใจไม่ได้จนต้องไปเที่ยวหอนางโลม”
ฮูหยินท่านหนึ่งพลันเอ่ยแทรก “นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ นะเจ้าคะ ฮูหยินหาน...”
ฮูหยินหานเจ้าของเรื่องราวรอบนี้ส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยต่อทันที “มันเป็นเรื่องธรรมดาของบุรุษ สามีของข้าก็เช่นเดียวกัน หากแต่กับสตรีในหอโคมเขียวนางนั้นกลับไม่ธรรมดา”
“อา...นึกแล้วเชียว” ฮูหยินท่านหนึ่งครางออกมา
ฮูหยินหานเอ่ยอีกครา “สตรีนางนั้นติดตามสามีของข้ามาจากชายแดนทางใต้เมื่อเดือนก่อน ข้าค่อนข้างแน่ใจว่าสตรีนางนั้นวางยาปลุกกำหนัดสามีของข้าเพราะว่ายาชนิดนี้มักถูกใช้ในหญิงคณิกาทั่วแคว้น แต่ทว่ากับมารยาของสตรีนางนั้นนับได้ว่าไม่ธรรมดา สามีของข้าถึงแม้ว่าจะเสื่อมฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดไปแล้ว แต่ฤทธิ์ของเสน่หาจากมารยาร้ายกาจของสตรีนางนั้นมิได้เสื่อมลงไปด้วย ในยามนี้สามีของข้าจึงมีฮูหยินรองเป็นเรื่องเป็นราวในขณะที่ข้าได้เป็นฮูหยินใหญ่อย่างไม่เต็มใจ”
“อา...” เสียงอื้ออึงดังเซ็งแซ่ตามด้วยการปลอบใจให้กำลังใจกันและกันพัลวัน
ตามเมืองห่างไกลและมิได้เป็นสตรีชั้นสูงนั้นการที่พูดคุยกันของเหล่าฮูหยินจึงเป็นลักษณะเช่นนี้ อีกทั้งชาวบ้านทั้งหลายยังมิใช่ขุนนางใหญ่โตตระกูลโดดเด่นอันเป็นฐานอำนาจให้ใคร การที่สามีนิยมมีมากภรรยาจึงเป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวอันใดกับการขยายสกุลถ่วงดุลหรืออำนาจวงศ์ตระกูลอะไรทั้งนั้น หากแต่เป็นเรื่องของการนอกใจกันทั้งสิ้น การปลดเปลื้องความอัดอั้นตันใจแลกกับการปลอบใจให้กำลังใจกันจึงเป็นเรื่องสามัญของคนชนบทนอกเมืองเหล่านี้
หลิงเวยได้ฟังคำของฮูหยินหานท่านนี้พลันนึกถึงเรื่องราวของตนขึ้นมา หนึ่งคือสามีเป็นทหาร สองประจำการยังชายแดนนานหลายปี และสามยาปลุกกำหนัด
ฟงชินหยางต้องรับผิดชอบนางและแต่งงานกันเนื่องจากถูกวางยาปลุกกำหนัดมิใช่เกิดจากความรักกันแต่อย่างใด
เดิมทีนางเข้าใจผิดคิดว่าเป็นฝีมือของท่านพ่อที่หมายผูกมัดเขาจึงวางแผนจัดฉากหากแต่แท้จริงแล้วกลับเป็นสตรีนางหนึ่งที่ต้องการวางยาเขาเพื่อหมายผูกมัดเขาเนื่องจากรู้ถึงนิสัยความเที่ยงตรงและความรับผิดชอบอย่างที่สุดของฟงชินหยาง
หากแต่คืนนั้นเป็นนางที่แอบหนีออกจากจวนแล้วไปหลบภัยหลับใหลในห้องพักของเขา จนกระทั่งทั้งนางและเขาถูกยาปลุกกำหนัดควบคุมเอาไว้ทั้งคู่จนเราทั้งสองได้เสียกันโดยไม่ตั้งใจ
เดิมทีเขาแต่งงานกับนางด้วยต้องรับผิดชอบและบิดาของนางยังบีบบังคับเขาให้แต่งกันภายในสามวัน
เรื่องราวระหว่างเราจึงเกิดขึ้นหลังจากนั้น
ถึงแม้ว่านางกับเขาจะมีบุตรด้วยกันถึงสองคนโดยบุตรชายคนโตอายุถึงห้าขวบแล้วแต่ทว่านางกับเขากลับเจอกันและอยู่ด้วยกันแค่เพียงปีกว่าเท่านั้น
กับบุตรชายทั้งสองเขาเองก็แทบจะไม่ผูกพันเนื่องจากเขาต้องเดินทางเคลื่อนพลไปในขณะที่บุตรชายคนโตอายุเพียงสี่เดือนและบุตรชายคนเล็กยังอยู่ในครรภ์ของนางนี่มิใช่ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเราช่างเปราะบางหรอกหรือก่อนเจอกันและแต่งงานกันยังไม่เคยทำความรู้จักสร้างความผูกพันกันด้วยซ้ำ จนเมื่อตั้งครรภ์ก็ยังใช้เวลาแค่เพียงไม่นานอยู่ร่วมเรือนชาน ทั้งยังต้องอยู่ห่างไกลกันนานถึงห้าปีสายสัมพันธ์บางเบามิจืดจางลงแล้วหรือไร…มิใช่ว่าเขามีสตรีข้างกายที่สานสัมพันธ์กันอย่างยาวนานอยู่เคียงข้างหรอกหรือนั่น!กับตัวของฟงชินหยางอาจจะหนักแน่นไม่สนใจใคร หากแต่มีสตรีมากมายที่สนใจเขาการศึกอันดุเดือดยาวนานหากเขาได้รับบาดเจ็บแล้วคนที่ทำแผลให้เขาเป็นสตรีนางหนึ่งที่ปักใจกับเขาและถ้าหากว่ามีสตรีงดงามคิดวางยาเขาจนเขาจักต้องรับผิดชอบและสร้างสายสัมพันธ์เส้นใหม่กับเขาอยู่ทางนั้นเล่า อา...หลิงเวยยิ่งคิดยิ่งดำดิ่งลึกล้ำเกิดหลุมทมิฬขนาดใหญ่ภายในจิตใจยากเกินบรรยายจู่ๆ หญิงสาวพลันนึกถึงพระชายาฮุ่ยจินขึ้นมา พระชายาฮุ่ยจินนั้นเป็นสตรีผู้ครองวังหลังทั้งยังครองใจของอ๋องเฉินเพียงหนึ่งเดียว หากแต่อ๋องเฉินมีนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญปานใด
ยามราตรีกาลอันมืดมิด สายลมหนาวเหน็บพัดโชยกรีดอากาศเข้าบาดผิวขาวนวลเนียน ทำให้สองข้างแก้มแห้งตึงหลิงเวย อยู่ในอาภรณ์สีดำสนิท กำลังเดินอย่างกล้าๆ กลัวๆ ตามริมระเบียงนอกห้องที่เป็นมุมอับและมืดมิดของโรงเตี๊ยมอี้ฉางสถานที่แห่งนี้อยู่ในตัวเมืองของเขตแดนแคว้นเฉิน ที่ปกครองโดยฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียน นางแอบย่องเข้ามายังที่แห่งนี้ได้อย่างง่ายดายมิรู้ได้ว่าทำไมโรงเตี๊ยมแห่งนี้ถึงไม่รัดกุมเอาเสียเลยจนสตรีไร้ฝีมือเช่นนางยังสามารถแอบเข้ามาได้โดยง่ายหลิงเวยคิดว่าจะแอบเข้ามาพักเพื่อเอาแรงเสียหน่อย ในเวลานี้นางกำลังรู้สึกเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน เรี่ยวแรงที่ใช้เดินทางเริ่มถดถอย หากจะเข้าพักที่โรงเตี๊ยมแบบโจ่งแจ้ง อาจจะนำมาซึ่งการตามตัวนางให้กลับไป เช่นนั้นแล้วก็มีแต่จะคงต้องใช้วิธีนี้เท่านั้น ในตัวเมืองแห่งนี้โรงเตี๊ยมมีมากมายจนนับไม่ถ้วน ห้องพักย่อมมีมากมายเช่นเดียวกัน มันจึงมิใช่การยากอันใดหากนางจะแอบเข้าไปแล้วแอบเข้าพักห้องใดสักห้องหนึ่ง หากมีคนมาเจอแล้วจับได้ว่านางแอบเข้ามานางเพียงแค่จ่ายเงินไป หากแต่การเข้ามาแบบเปิดเผยอาจจะนำมาซึ่งการถูกถามหาจากคนที่อาจจะแอบตามนางมา ไม่แน่ว่าบิดาของนางอาจจ
บุรุษหนุ่มรูปร่างใหญ่กำยำเรือนกายเต็มไปด้วยมัดกล้ามในอาภรณ์สีน้ำตาลเข้มเขากำลังเดินเข้ามายังห้องพักห้องหนึ่งภายในโรงเตี๊ยมอี้ฉางขาประจำอย่างใจเย็น ห้องพักห้องนี้เป็นห้องที่เขามักจะมาพักเป็นประจำหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจศึกรบอันหนักหน่วงแล้วเดินทางเข้ามายังเมืองหลวงของแคว้นเฉินเพื่อมารายงานตัวในเมืองหลวงถึงผลงานของตน ห้องพักของโรงเตี๊ยมแห่งนี้เป็นที่ทราบดีว่าถูกจองเอาไว้เพียงเขาและไม่ให้ใครได้เข้ามา เขาจึงเดินเข้ามาด้วยตนเอง หาได้ต้องมีหลงจู๊นำทางให้ไม่ชายหนุ่มเจ้าของใบหน้าหล่อเหลากร้าวแกร่งเจ้าของเรือนร่างสูงใหญ่เกินกว่ามาตรฐานกอปรด้วยไหล่กว้างแผ่นหลังตั้งตรงแลดูงามสง่าทุกสัดส่วนได้รูปสมบูรณ์แบบในอาภรณ์สีน้ำตาลเข้มนามว่า ฟงชินหยาง เขากำลังเดินเข้ามายังห้องพักของโรงเตี๊ยมขาประจำที่อยู่ทางด้านในสุดลึกสุดจากหลายๆ ห้องถัดออกมาจากบริเวณด้านหน้าของโรงเตี๊ยมอี้ฉาง เขาเดินเข้ามาโดยยังไม่สนใจที่จะเดินไปยังเตียงนอนเพื่อหลับใหลแต่อย่างใด เขาเดินทางมาไกลคงต้องอาบน้ำชำระร่างกายเสียหน่อยชายหนุ่มเดินเข้ามาภายในห้องได้เพียงครู่ เขาเริ่มได้กลิ่นเครื่องหอมภายในห้องพักคล้ายกับว่ามันแปลกไปแต่ก็หอมดี.
หลิงเวยที่กำลังหลับใหลอยู่เริ่มสะลึมสะลือปรือตาขึ้นมาด้วยกำลังรู้สึกร้อนแบบแปลกๆก่อนหลับไปนางจำได้ว่าอากาศช่างหนาวเย็น แต่เหตุใดยามนี้ช่างร้อนยิ่งนัก ผ้าห่มที่ควรให้ความอบอุ่นเมื่อร่างกายเหน็บหนาวกลับเกะกะหนาหนักจนนางต้องผลักออกไปอืม...ร้อน...หลิงเวยเริ่มเอื้อมมือขึ้นปัดป่ายไปมาเบาๆ ตามใบหน้าตามเนื้อตัว นางลูบคลำเลื่อนไล้ไปตามลำตัวของตนเองอย่างเหม่อลอยด้วยอารมณ์บางอย่างที่ไม่คุ้ยเคยนางไม่เคยรู้สึกร้อนแบบแปลกๆ เช่นนี้มาก่อนมันคืออันใด?ในขณะที่หญิงสาวกำลังจะสรรหาคำตอบให้กับคำถามบางเบาภายใต้จิตสำนักอันน้อยนิดของตน นางเริ่มรู้สึกร้อนขึ้นเรื่อยๆ ร้อนจนต้องพยายามปลดเปลื้องอาภรณ์ที่ห่อหุ้มร่างกายของตนเองให้ออกไป เพื่อที่ว่ามันจะสามารถคลายความร้อนแบบแปลกๆ นี้ให้เจือจางลงได้นางเคลื่อนฝ่ามือน้อยๆ ลงต่ำมาที่ผ้าผูกเอวแล้วปลดมันออกในขณะที่นัยน์ตายังคงครึ่งหลับครึ่งตื่นมองไม่เห็นสิ่งใด นางเปิดสาบเสื้อของตนออกเพียงนิดเพื่อคลายความร้อนนางมั่นใจว่าเปิดเผยอสาบเสื้อของตนเองแค่เพียงเล็กน้อยก็เท่านั้นแต่ทว่าทำไมถึงได้คล้ายกับว่ามันถูกเปิดออกกว้างมากกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งยังคล้ายกับถูกกระชากให้ออกไ
ภายในห้องพักห้องหนึ่งของโรงเตี๊ยมอี้ฉางแห่งนี้กำลังมีหญิงสาวนางหนึ่งในอาภรณ์สีฟ้าครามนั่งอยู่ตรงโต๊ะกลมมุมห้องด้วยลักษณะท่าทางคล้ายใจร้อนคล้ายใจเย็นสลับไปมา โดยมีสตรีอีกนางหนึ่งในอาภรณ์สีม่วงเข้มนั่งจิบชาอยู่ตรงตั่งนั่งข้ามกัน“ใจเย็นเถิด อวี้ถิง จะอย่างไรเสียคืนนี้ก็เป็นคืนของเจ้า”เถ้าแก้เนี๊ยของโรงเตี๊ยมนามว่าเหมยลี่นั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์พลางเอื้อนเอ่ยคำส่งตรงไปยังสตรีในอาภรณ์สีฟ้านามว่าอวี้ถิง“หึ! ข้าย่อมใจเย็น” อวี้ถิงเอ่ยขึ้น “ข้าจะรอจนกว่าเครื่องหอมทั้งภายในห้องและในอ่างอาบน้ำออกฤทธิ์อย่างเข้มข้น”“ดียิ่ง” เหมยลี่ยกยิ้มมุมปากเอ่ยตอบ “โดยเฉพาะถุงเครื่องหอมใต้หมอนนะอันนั้นยิ่งเข้มข้นยิ่งนัก หากเจ้าใจร้อนด่วนได้เข้าไปในห้องนั้นก่อนที่ท่านแม่ทัพจะล้มตัวลงนอนให้ถุงหอมใต้หมอนได้ทำงาน ดีไม่ดี ฤทธิ์ของยาปลุกกำหนัดยังไม่ทันได้ออกฤทธิ์ ท่านแม่ทัพฟงเห็นใบหน้าเจ้าเข้าคงถีบเจ้ากระเด็นออกมาจากห้อง”อวี้ถิงได้ยินพลันถลึงตาจิกกัดเหมยลี่หญิงสาวในอาภรณ์สีม่วงเข้มยิ่งยกยิ้มชอบใจแล้วเอ่ยต่อ“แต่หากเจ้ารอจนยาสำแดงฤทธิ์เดชเต็มที่แล้วเข้าไปปรากฏกายต่อหน้าท่านแม่ทัพฟง ขี้คร้านท่านแม่ทัพจะจับกระชาก
ภายนอกห้องพักด้านในสุดของโรงเตี๊ยมอี้ฉางเหมยลี่กำลังทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยมโดยการพาพยานมายังห้องพักห้องนี้ตามที่ได้นัดหมายกับอวี้ถิงเอาไว้นางช่างโชคดีเหลือเกินที่บังเอิญเจอเข้ากับกลุ่มคนของท่านใต้เท้าหลิง พวกเขาทำท่าทางคล้ายกับตามหาคนอยู่ มิรู้ได้ว่ากำลังตามหาใคร แต่เรื่องนั้นช่างมันเถิด นางเพียงอยากได้พยานให้อวี้ถิงเท่านั้น กลุ่มคนพวกนี้มีจำนวนพอเหมาะที่จะกดดันบุรุษให้รับผิดชอบได้แล้วเหมยลี่คิดอย่างปลื้มปริ่มพลางเดินนวยนาดนำทางกลุ่มผู้คน“พวกเราต้องขอขอบคุณแม่นางที่ให้ความร่วมมือ” เสียงหนึ่งบุรุษท่าทางขึงขังเอ่ยขึ้นมาทางเหมยลี่ เขาเป็นหัวหน้าทหารยามประจำจวนของเสนาบดีกรมคลังได้รับมอบหมายจากใต้เท้าหลิงอี้ถังให้ออกมาตามหาคุณหนูหลิงเวย“มิเป็นไรเลยเจ้าค่ะ” เหมยลี่กล่าวพลางโบกไม้โบกมืออมยิ้มพริ้มเพรา“หากไม่เจอคนที่ตามหาก็อย่าว่ากันเท่านั้นก็พอเจ้าค่ะ”“มิกล้า มิกล้า” ชายผู้นั้นส่งยิ้มเล็กน้อยตอบกลับ“เชิญเจ้าค่ะ ตามข้าน้อยมาเถิด” เหมยลี่ชี้ชวนอย่างชดช้อยมาตามทางเดินของโรงเตี๊ยมอี้ฉางพาเอาเหล่าบุรุษประมาณห้าคนให้เดินตามนางมาอย่างสามัคคีเวลาเพียงครู่เหมยลี่จึงมาถึงห้องพักเป้าหมาย นาง
เสียงเกือกม้าวิ่งกระทบพื้นและเสียงล้อของรถม้าที่กำลังขับเคลื่อนเหยียบดินเหยียบหินเป็นจังหวะโยกคลอนทำเอาหลิงเวยเริ่มมีสติขึ้นมาอีกคราพร้อมอาการปวดหัวและเจ็บหน่วงรุนแรงช่วงกลางลำตัว นางเป็นลมหมดสติไปหลายรอบหลังจากที่ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนให้ห้องพักนั้นแล้วเห็นตนเองอยู่ในสภาพไม่คาดฝัน“อา...เจ็บ” หลิงเวยถึงกับหลุดอุทานออกมาพร้อมกับน้ำตาที่รินไหลเป็นทางยาวสายใหม่ทับถมคราบน้ำตาหลายสายก่อนหน้านี้ นางร้องไห้มาหลายครั้งแล้วตั้งแต่ตื่นลืมตาขึ้นมา“ฟื้นแล้วหรือ” จู่ๆ เสียงทุ้มต่ำทรงพลังพลันดังอยู่ข้างๆ กายกันพาเอาหลิงเวยถึงกับสะดุ้งเฮือกใหญ่ก่อนจะเริ่มได้สติเด่นชัดหลิงเวยยิ่งกะพริบตาปริบๆ เมื่อรับรู้ได้แล้วว่านางกำลังนั่งอยู่ภายในรถม้าคันหนึ่งและข้างกายกันก็เป็นบุรุษลึกลับร่างหนาที่นางเจอบนเตียงนอนนั่น“ท่าน ท่าน ไยถึง...ฮึก...” หญิงสาวเอ่ยคำได้แค่นั้นพลันรู้สึกว่ามีก้อนปริศนาลูกใหญ่ขวางตันอยู่กลางลำคอนางมองชายหนุ่มร่างใหญ่ที่นั่งมาด้วยกันภายในรถม้าอย่างไม่เข้าใจอันใด เขากำลังนั่งกอดอกอยู่ข้างๆ นางและมองมาทางนางด้วยอาการโกรธกรุ่น สันกรามคร้ามแกร่งของเขาขบเข้าหากันแน่นจนเป็นสันนูน สายตาเรียวคมข
ภายในห้องหับอันคับแคบที่ใช้เป็นที่ซุกหัวนอนของหลิงเวยมาตลอดหลายปีหลังจากที่มารดาตายจากบัดนี้กำลังมีบ่าวรับใช้เดินเข้าเดินออกกันอย่างคึกคักผิดกับเมื่อก่อนยิ่งนักเมื่อยามก่อนนั้นเรือนของนางมีบ่าวรับใช้เข้ามาก็จริงแต่ในเมื่อนางมิใช่บุตรีคนโปรดและไม่มีมารดาเป็นที่พึ่งพิง บ่าวรับใช้พวกนี้ก็เข้ามาแค่ให้รู้ว่าเข้ามาแล้ว และทำความสะอาดอะไรก็แค่ทำแบบขอไปทีทั้งยังมิได้มาทุกวันแต่ทว่ายามนี้หลังจากที่นางตัดสินใจหนีออกไปเมื่อวานและถูกนำตัวกลับมา นางก็มีบ่าวไพร่อยู่เต็มเรือน บ้างทำความสะอาด บ้างจัดเตรียมเครื่องหอม บางคนจัดเตรียมอาภรณ์ และหลายคนกำลังดูแลหลิงเวยอย่างประคบประหงมผิดจากกาลก่อนชัดเจนแต่ไหนแต่ไรมานางไม่เคยอยู่ในสายตาของใครอยู่ไปแบบไร้ตัวตนกระทั่งออกนอกเรือนยังไม่มีใครรู้ว่านางหายไปแต่ทว่าในยามนี้แม้แต่ลุกขึ้นยืนยังมีคนมองแม้กระทั่งยามนอนยังคงมีบ่าวไพร่ตามติดมานอนคุมนางที่เตียง แล้วอย่างนี้นางจะหาโอกาสหนีอีกได้เยี่ยงไรกัน ชีวิตของหนึ่งในภรรยาจากหลายๆ นางจากบุรุษหนึ่งเดียวเฉกเช่นมารดา นางคงหนีไม่พ้นใช่หรือไม่ บุตรที่นางให้กำเนิดจะต้องเกิดมามีโชคชะตาเดียวกันหรืออย่างไรหลิงเวยได้แต่นั
กับบุตรชายทั้งสองเขาเองก็แทบจะไม่ผูกพันเนื่องจากเขาต้องเดินทางเคลื่อนพลไปในขณะที่บุตรชายคนโตอายุเพียงสี่เดือนและบุตรชายคนเล็กยังอยู่ในครรภ์ของนางนี่มิใช่ว่าสายสัมพันธ์ระหว่างเราช่างเปราะบางหรอกหรือก่อนเจอกันและแต่งงานกันยังไม่เคยทำความรู้จักสร้างความผูกพันกันด้วยซ้ำ จนเมื่อตั้งครรภ์ก็ยังใช้เวลาแค่เพียงไม่นานอยู่ร่วมเรือนชาน ทั้งยังต้องอยู่ห่างไกลกันนานถึงห้าปีสายสัมพันธ์บางเบามิจืดจางลงแล้วหรือไร…มิใช่ว่าเขามีสตรีข้างกายที่สานสัมพันธ์กันอย่างยาวนานอยู่เคียงข้างหรอกหรือนั่น!กับตัวของฟงชินหยางอาจจะหนักแน่นไม่สนใจใคร หากแต่มีสตรีมากมายที่สนใจเขาการศึกอันดุเดือดยาวนานหากเขาได้รับบาดเจ็บแล้วคนที่ทำแผลให้เขาเป็นสตรีนางหนึ่งที่ปักใจกับเขาและถ้าหากว่ามีสตรีงดงามคิดวางยาเขาจนเขาจักต้องรับผิดชอบและสร้างสายสัมพันธ์เส้นใหม่กับเขาอยู่ทางนั้นเล่า อา...หลิงเวยยิ่งคิดยิ่งดำดิ่งลึกล้ำเกิดหลุมทมิฬขนาดใหญ่ภายในจิตใจยากเกินบรรยายจู่ๆ หญิงสาวพลันนึกถึงพระชายาฮุ่ยจินขึ้นมา พระชายาฮุ่ยจินนั้นเป็นสตรีผู้ครองวังหลังทั้งยังครองใจของอ๋องเฉินเพียงหนึ่งเดียว หากแต่อ๋องเฉินมีนิสัยเจ้าชู้เจ้าสำราญปานใด
ครานี้ไม่เหมือนคราแรก ฮูหยินท่านนี้มีบุตรแล้วและสามีเดินทางไกลนานหลายเดือนเสียงของฮูหยินอีกท่านหนึ่งพลันเอ่ยต่อไม่ยินยอมให้เกิดความเงียบนาน “ส่วนข้านะ สามีเป็นทหารไปประจำการยังชายแดนนานร่วมปี”และแล้วเสียงอื้ออึงของเหล่าฮูหยินพลันดังขึ้นมาอีกครั้งทว่าครานี้มีเสียงของหลิงเวยรวมอยู่ด้วย นางร้องครางเลยทีเดียวการเจอะเจอกันของเหล่าฮูหยินทั้งหลายเป็นการปลดเปลื้องความอัดอั้นตันใจอย่างแท้จริง สตรีหัวอกเดียวกันทั้งนั้นฮูหยินผู้เป็นภรรยาของนายทหารเริ่มเอ่ยต่อ “สามีของข้านั้นเขาเป็นทหารประจำชายแดนที่ห่างเหินอิสตรีนานเป็นปีๆ เมื่อกลับบ้านมาก็มักจะรักข้าหนักหนาไม่หลับไม่นอน แต่ทว่าครั้งนี้ช่างแตกต่าง เขาไปประจำการยังชายแดนห่างไกลนานสามปี ข้าจึงให้ญาติของข้าทางนั้นแอบสืบข่าวของเขา และแล้วข้าจึงได้รับรู้ว่าเขาอดใจไม่ได้จนต้องไปเที่ยวหอนางโลม” ฮูหยินท่านหนึ่งพลันเอ่ยแทรก “นับว่าเป็นเรื่องธรรมดาสามัญมากๆ นะเจ้าคะ ฮูหยินหาน...”ฮูหยินหานเจ้าของเรื่องราวรอบนี้ส่ายหน้าไปมาแล้วเอ่ยต่อทันที “มันเป็นเรื่องธรรมดาของบุรุษ สามีของข้าก็เช่นเดียวกัน หากแต่กับสตรีในหอโคมเขียวนางนั้นกลับไม่ธรรมดา”“อา...นึ
ฮูหยินท่านนั้นรีบตอบความ “ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด แต่ประเด็นเริ่มเปลี่ยนไป มันมิใช่ประเด็นการสร้างทายาทอีกแล้ว”“อย่างไรหรือ?” ฮูหยินอีกท่านรีบต่อความ “สามีของข้าร่วมรักกับภรรยาใหม่ของเขานางนั้นในทุกๆ คืน พวกเขาร่วมรักกันทั้งยังร้องร่ำคร่ำครวญอย่างรัญจวนจนข้านอนไม่หลับเลยสักคืนเยี่ยงนั้นอยู่เป็นนานหลายเดือนก็ยังไม่มีข่าวดีแต่อย่างใด สตรีนางนั้นยังคงไม่ตั้งครรภ์เสียที แม่สามีจึงหาสตรีงดงามให้แต่งเข้าบ้านมาอีกนางหนึ่ง ครานี้เสียงครวญครางและเสียงเตียงยังคงดังโครมครามจนรุ่งสางในทุกค่ำคืน แต่สตรีนางนั้นก็ยังไม่ตั้งครรภ์ จนกระทั่งแต่งภรรยาใหม่เข้ามาอีกนาง เสียงครวญครางยังคงดังระงมในทุกค่ำคืนหากแต่ข่าวดีก็ยังไม่มีเฉกเช่นดังเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คือจิตใจของสามีที่บอกว่ารักข้าเพียงหนึ่งเดียว เขาเริ่มเปลี่ยนไป... ในยามนี้เขาไม่ใคร่ใส่ใจกับการมีบุตรเสียแล้ว เขาช่างรื่นเริงบันเทิงอย่างที่สุดในทุกค่ำคืน” “อา...” เสียงคราฮือฮาพลันดังลั่นอย่างพร้อมเพรียงเห็นได้ชัดว่าจิตใจของบุรุษช่างไม่แน่นอนเมื่อเจอสตรีงดงามและได้ร่วมรักหลากหลายหลิงเวยได้แต่เงียบฟังด้วยใจตั้งมั่นเม้มปากแน่นแน่นอนว่าฟงชิ
ยามค่ำคืนมาเยือน...ภายในงานเลี้ยงน้ำชาแห่งจวนของท่านเจ้าเมืองชางอี้ผู้ทรงอิทธิพลที่บัดนี้คลาคล่ำไปด้วยเหล่าบุรุษแลสตรีมากหน้าหลายตาที่ถูกเทียบเชิญให้มาร่วมงานอันมีเกียรติไม่ต่างจากงานในวัง เพียงแต่เป็นงานนอกวังและนอกเมืองที่มีแต่สตรีออกเรือนแค่เท่านั้น โดยฟงซือหลางกำลังนั่งร่ำสุราอยู่กับท่านเจ้าเมืองด้วยเป็นสหายสนิทกันมานานปีพร้อมกับมองหลานชายสุดที่รักทั้งสองฟงหนิงอันและฟงหนิงเฉิงวิ่งเล่นกันในขณะที่ซินหรูนั่งจิบชามองตามหลานชายทั้งสองอย่างรักใคร่ไม่ห่างไป ถัดออกมายังอุทยานที่ใช้ในการจัดงานเลี้ยงน้ำชาแห่งค่ำคืนนี้มีกลุ่มของสตรีกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งสนทนาพาทีกันอย่างออกรสออกชาติ โดยในกลุ่มของสตรีออกเรือนกลุ่มนี้นั้นมีหลิงเวยนั่งร่วมวงเป็นฮูหยินที่อายุน้อยที่สุดในกลุ่มนั่งรวมอยู่ด้วยกัน และในยามนี้กำลังมีฮูหยินท่านหนึ่งนั่งจิบชาไปบ่นเรื่องราวแห่งตนไป“ข้านะช้ำใจยิ่งนักยิ่งคิดยิ่งอยากร่ำไห้ไม่ต้องการเอื้อนเอ่ยแม้เพียงครึ่งคำ” ฮูหยินท่านนั้นเริ่มเอ่ยวาจาหลังจากจิบชาประหนึ่งว่าดื่มเหล้าไปจนหมดหนึ่งจอกแล้วเว้นประโยคเอาไว้แค่เพียงเท่านั้น แต่ในเมื่อนางเกริ่นนำแล้วถึงเพียงนี้ เสียงอื้ออึงในวงส
ฟงหนิงเฉิงพยักหน้าหงึกหงักตอบรับทันกันถึงแม้ว่าเขาจะยังอยู่ในครรภ์มารดาเมื่อบิดาเดินทางจากไป “ท่านพ่อของเรา”หลิงเวยถึงกับใบหน้าหม่นแสงลงทันใดเมื่อได้ยินคำว่าพี่ใหญ่ซึ่งหมายถึงฟงชินหยางผู้เป็นสามีที่นางคิดถึงแทบขาดใจในทุกๆ วันทุกยามเวลา และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดหนักหนาเมื่อลูกชายทั้งสองเอ่ยคำว่า ท่านพ่อ ทั้งๆ ที่พวกเขายังไม่เคยมีโอกาสเรียกอย่างนั้นต่อหน้าฟงชินหยางเสียด้วยซ้ำ ฟงลี่หลินที่รู้ตัวแล้วว่าเผลอไผลสะกิดใจพี่สะใภ้ถึงกับชะงักงันเมื่อมองเห็นสามคนแม่ลูกตรงหน้าที่ทำท่าน่าเห็นใจอึดใจหญิงสาวพลันต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อถูกซินหรูตีไหล่ของนางเบาๆ ไปหนึ่งทีเป็นการลงโทษ ซินหรูที่มักจะตามติดหลานชายทั้งสองตลอดเวลาจึงรีบเข้าไปช่วยแก้สถานการณ์หม่นหมองให้สะใภ้ของตนอย่างเข้าใจในหัวอกเดียวกันอย่างทันทีเนื่องจากนางเองก็เคยผ่านช่วงเวลาเยี่ยงนี้มาแล้วทั้งสิ้น ในยามนั้นนางต้องเลี้ยงลูกน้อยเพียงลำพังในขณะที่สามีไปออกรบนานหลายปีเช่นเดียวกัน“เวยเอ๋อร์” ซินหรูเอ่ยเรียกสะใภ้เสียงเบา “คืนนี้มีงานเลี้ยงน้ำชาที่จวนท่านเจ้าเมือง เจ้าช่วยไปเป็นเพื่อนแม่ได้หรือไม่” การไปพบปะสังสรรค์กับเหล่าผู้คนย่อมนับว่าดียิ่ง
ในยามนั้นนางกำลังตั้งครรภ์บุตรคนที่สองได้สามเดือน และบุตรชายคนแรกที่คลอดออกมาอายุได้เพียงสี่เดือนเท่านั้นเมื่อสิ้นศึกครานั้นที่ใช้เวลาจัดการร่วมสามปี ฟงชินหยางยังคงต้องอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนเพื่อสะสางดินแดนร่วมกับชินอ๋องผู้ครองหัวเมืองหลักของแคว้นนามว่าเฉินจิ้นเหอพระอนุชาคนสนิทของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนตามคำสั่งของพระองค์ที่ต้องการรวบรวมดินแดนให้เป็นปึกแผ่นภายใต้การปกครองหนึ่งเดียวแห่งพระองค์ หลังจากนางตั้งครรภ์บุตรคนที่สองแล้วคลอดเขาออกมา จนกระทั่งยามนี้นับเป็นเวลาถึงห้าปีแล้วที่สามีของนางยังคงต้องทำภารกิจทางการทหารกระทั่งอยู่ประจำการที่ค่ายทหารชายแดนทางตอนเหนืออันห่างไกล เพื่อคอยเคียงข้างเป็นทัพหน้าแด่เฉินชินอ๋องสะสางดินแดนตามคำสั่งของฮ่องเต้เฉินหยางหมิงเซียนและมันยังเป็นห้าปีที่ทรมานนางจนแทบขาดใจ นางต้องทนเหงาหงอยกับการนอนอย่างเดียวดายบนเตียงใหญ่เพียงลำพังนานถึงห้าปีหากนางยังไม่เคยมีสามีนางคงนอนได้สบาย แต่ในเมื่อนางมีสามีแล้วและนอนร่วมเตียงกับเขาทุกคืนก่อนหน้านั้นนางจึงได้เปลี่ยนไปคืนแรกยังไม่ทรมานเท่าไหร่ คืนต่อๆ มาก็ยังพอทนได้ปีแรกนางเริ่มทรมานเป็นเรื่องเป็นราว ปีต่
กลางลานฝึกอันกว้างขวางหลังจวนตระกูลฟง...เสียงดาบหอกทวนกระบี่ยังคงดังโชร้งเชร้งเคล้งคล้างผสมปนเปกันเหมือนดังเช่นทุกๆ ครั้งที่มีการฝึกหนักประจำวันจากบุรุษทั้งหลายของจวน ไม่ว่าจะเป็นประมุขแห่งจวนฟงซือหลาง บุตรชายคนรองฟงจินหมิงและทหารยามพร้อมกับองครักษ์กระทั่งบ่าวชายประจำจวนแต่ที่แตกต่างกันคือมีเสียงของดาบไม้ด้ามน้อยๆ กระทบกันดังผัวะผะถี่ๆ เพิ่มขึ้นมาอีกสองเสียงด้วยลีลาการต่อสู้คล้ายการฟันดาบของผู้ใหญ่เนื่องจากว่าวันนี้เป็นวันแรกที่ทายาทตัวน้อยที่เป็นบุตรชายทั้งสองของหลิงเวยและฟงชินหยางได้รับอนุญาตให้มาฝึกปรือฝีมืออยู่ข้างๆ สนามประลองกับอาสาวคนงามฟงลี่หลินได้เป็นวันแรกตั้งแต่พวกเขาถือกำเนิดมาบุตรชายคนแรกของหลิงเวยนามว่าฟงหนิงอันอายุห้าขวบและบุตรชายคนที่สองนามว่าฟงหนิงเฉิงอายุสี่ขวบได้รับอาวุธประจำกายเป็นดาบไม้เนื้อจันทราที่หาได้ยากยิ่งและแกะสลักจากฝีมืออันทรงเกียรติของท่านปู่ฟงซือหลางผู้รักหลานชายยิ่งกว่าใคร เมื่อฟงซือหลางได้รับไม้เนื้อดีที่ใช้เวลาหามานานปีและได้ลงมือขึ้นรูปเองกับมือจนกลายเป็นดาบไม้ด้ามแรกของหลานชายทั้งสอง พวกเขาจึงไม่มีการรีรอให้ช้าไปกว่านี้ เด็กน้อยทั้งสองรีบวิ่งกระ
กระทั่งถึงที่หมายอันเป็นชายแดนทางเหนือ การตายของแม่ทัพคนเก่าสร้างขวัญกำลังใจให้ฝ่ายศัตรูกำลังผยองขึ้นผงาดฟงชินหยางใช้แผนการอันร้ายกาจเข้าปลุกปั่นขุมกำลังให้คุ้มคลั่งแค้นเคืองเข้าฟาดฟันเหล่าศัตรูด้วยเพลิงแห่งโทสะ ความพินาศย่อยยับจึงบังเกิด พวกที่กำลังได้ใจเจอพวกที่คุ้มคลั่งเข้าไปความตายอนาถจึงเกิดเป็นภาพที่สวยงาม ฟงชินหยางไม่คิดที่จะยืนเป็นรูปปั้นยักษ์ใหญ่อยู่บนหอบัญชาการอีกต่อไปด้วยใจที่ต้องการทำศึกให้เสร็จสิ้นในเร็ววันเขาคิดถึงเมียเต็มที!ความบ้าพลังดิบเถื่อนที่มีมาแต่ไหนแต่ไรกลับบ้าระห่ำยิ่งขึ้นแบบคูณทวีเพื่อเป้าหมายใหม่ในชีวิตที่มิใช่แค่เพียงชัยชนะยิ่งเวลานี้ยิ่งไม่คิดจะเสียเวลาแม้สักเสี้ยว เขาจักรีบกลับไปหาเมียหาลูกของเขา ใครหน้าไหนอย่าแม้แต่จะคิดมายื้อเวลาเชียว ชายหนุ่มจึงพลิกกายใหญ่หนาพุ่งทะยานขึ้นบนหลังอาชาศึกตัวดำทมิฬใหญ่ยักษ์ไม่แพ้กันแบกเกราะหนาหนักพร้อมอาวุธสีดำคู่กายนำพากองทัพขนาดใหญ่มากมายเข้าฟาดฟันอย่างบ้าระห่ำนำพาความหายนะเข้าครอบคลุมทุกพื้นที่เหล่าศัตรูแค่เพียงได้ยินนามของปีศาจสงครามพิชิตชายแดนยังนึกหวาดหวั่นขึ้นมา ขวัญกล้าเทียมฟ้าอย่างไรยังต้องถอยหลังกลับไ
“ลี่หลินช่วยเป็นแบบให้พี่วาดภาพหน่อยเถิด” หลิงเวยเอ่ยคำอ่อนหวานไปทางฟงลี่หลินที่นั่งอยู่ใกล้ๆ กันฟงลี่หลินกะพริบตาปริบๆ นางไม่กล้าขัดใจพี่สะใภ้แน่ๆ ขนาดพี่ใหญ่ผู้น่าเกรงขามยังยอมลงให้นางทุกสิ่งทุกอย่าง“วาดข้าให้งามที่สุดในใต้หล้าเลยนะเจ้าคะ” ฟงลี่หลินไม่ขออะไรมากจริงๆ นางรีบลุกขึ้นยืนแล้วมานั่งยังฝั่งตรงกันข้ามกับหลิงเวยในทันทีเวลาผ่านไปเพียงครึ่งชั่วยามภาพวาดของฟงลี่หลินพลันเสร็จสิ้นไป หลิงเวยจึงต้องการบรรเลงพิณ นางกล่าวขออนุญาตอีกครา เสี่ยวชุ่ยจึงวิ่งออกไปถามฟงฮูหยินแล้วกลับมาพร้อมพิณงดงามในอีกครั้ง “เจ้าสนใจร่ายรำหรือไม่” อีกครั้งที่หลิงเวยเอ่ยถามฟงลี่หลิน ทำให้ฟงลี่หลินได้แต่กล้ำกลืนตามใจสตรีตั้งครรภ์“ข้าจะพยายามนะเจ้าคะ อาซ้อ” ภายในศาลาริมสระบัวพลันปรากฏภาพของสตรีนางน้อยผู้เป็นน้องคนเล็กของบ้านที่มักจะชอบฟันดาบปีนหลังคาเรือนกลับต้องมานั่งนิ่งๆ เยี่ยงผ้าพับไว้ทั้งยังต้องร่ายรำให้งดงามอ่อนหวาน บางวันยังต้องนั่งปักผ้าเป็นเพื่อนพี่สะใภ้จนหน้ามืดตาลายเห็นได้ชัดว่านางกำลังถูกครอบงำไม่ต่างจากบุรุษผู้เป็นพี่ชายของนาง...พี่สะใภ้นางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งแล้ว...ค่ำคืนในยามรัติกาลอัน