คาร์สันพูดสวนกลับอย่างขุ่นเคือง “เลิกทำตัวกวนประสาทได้แล้ว ฉันขอเตือนนายเลยนะให้รีบบอกข้อความที่รอนทิ้งไว้ให้เร็ว ๆ พอเสร็จเรื่องก็ไสหัวกลิ้งลงเขากลับไปซะ”เจย์เชื่อว่าพอพวกเขาหมดประโยชน์ นายท่านยอร์กคงจะให้พวกเขาได้กลิ้งลงเขาไปจริง ๆ แน่วันนี้เจย์ปั่นหัวสเปนเซอร์มาทั้งวัน แถมเขายังทำให้ชายที่อารมณ์ดีสามารถโมโหเดือดดาลได้ ดังนั้นเขาจึงรู้ว่านี่เป็นเวลาที่จะต้องยอมอ่อนลงให้แล้ว เขาพูดอย่างสุขุมว่า “เมื่อวานนี้เราพักที่โรงแรมฟลาวเวอร์ซิตี้ และเราก็โชคดีได้บังเอิญเจอคุณรอนเข้า”สเปนเซอร์หรี่ตามองและเปิดโปงคำโกหกของเจย์ “รอนนี่ของเรานั้นป่วยมากแถมยังนอนติดเตียง เขาขยับตัวแทบไม่ได้แล้วนายไปบังเอิญเจอเขาบนเตียงเหรอไง?”เจย์คิ้วกระตุกขณะคิดว่าจินตนาการของลุงเขานี่ช่างบรรเจิดเสียจริง“เรื่องมันยาว พวกเราเพิ่งมาถึงโรงแรมฟลาวเวอร์ซิตี้เมื่อคืนแล้วก็รู้สึกหนาวเพราะอากาศเย็นเฉียบของที่นี่ ดังนั้นเราเลยคิดว่าจะดื่มเหล้าให้ร่างกายอบอุ่นหน่อย ใครจะไปคิดว่าเพื่อนของผมคนนี้จะคออ่อนปานนั้น? แค่กินเข้าไปไม่กี่อึกก็เมาปลิ้นจนคุมตัวเองไม่ได้ แหกปากร้องตะโกนจนรบกวนคนที่พักห้องข้างล่าง-”สเปนเซอร์โบกม
สเปนเซอร์โมโหมากจนเกาหัว ชายคนนี้ยังคงใจเย็นอยู่ได้แม้ว่าต้องเจอเรื่องเจียนตาย เขาสงสัยว่ามีปีศาจจากนรกตัวไหนมาสิงร่างหมอนี่หรือเปล่า ทำไมถึงได้ใจกล้าขนาดนี้?“โอ้เหรอ ขี้กลัวงั้นเหรอ? ถ้านายไม่อยากทำให้เธอกลัว ตอนที่ฉันถลกหนังนายทั้งเป็นก็อย่างส่งเสียงดังแล้วกัน”สเปนเซอร์โบกมือและคนของเขาที่อยู่ด้านหลังก็รีบเข้ามาล้อมเจย์และคนอื่นไว้ทันใดเกรย์สันเข้ามายืนขวางหน้าเจย์ไว้รวดเร็วปานสายฟ้าเพื่อปกป้องเจ้านายของเขาให้อยู่ด้านหลังสเปนเซอร์อึ้งเมื่อได้เห็นดังนั้น “มีศิลปะป้องกันตัวเหรอ?”ดวงตาเหยี่ยวของเขามืดมนลง “จับพวกมันทั้งหมดมาให้ฉัน ฉันต้องการจะสอบปากคำพวกมันทุกคนให้กระจ่าง”ยามของป้อมตระกูลยอร์กนั้นก็เป็นเด็กหนุ่มและเป็นพวกระดับล่าง อาจจะเป็นเพราะแบบนี้ที่ทำให้พวกเขาจัดการพวกคนนอกไม่ได้เพียงเกรย์สันคนเดียวก็สามารถคว่ำทุกคนลงไปกองกับพื้นได้สเปนเซอร์นิ่วหน้าและตะโกนด่าลูกชายอกตัญญู “โคล ไอ้ลูกเวร ไหนมันบอกว่านักท่องเที่ยวหกคนนี้มีตาบอดคนหนึ่ง ป่วยคนหนึ่ง แล้วก็คู่รักขี้กลัว ส่วนอีกสองถึงจะดูเข้าท่าหน่อยแต่ก็มัวแต่ลากเพื่อนภาระที่เหมือนหมูเอาไว้? ตอนนี้แค่มันคนเดียวก็จัดการคน
คาร์สันวิ่งผ่านหลายป้อมก่อนจะเจอโคลอยู่ที่ป้อม 48 โคลถือขวดเหล้าไว้ในมือและห้อมล้อมไปด้วยบรรดาสาวสวย“โคลลี่ เมื่อไรคุณจะมาแต่งงานกับฉันล่ะคะ?”โคลนั้นมึนนิดหน่อย “พอราชินีอันดับหนึ่งของฉันเข้าประตูมาเมื่อไร ฉันจะแต่งกับพวกเธอทุกคนเลย”พวกสาว ๆ หัวเราะคิกคักไม่หยุด ในความคิดของพวกเธอนั้นการได้แต่งงานกับนายน้อยหนุ่มที่อ่อนโยนและหล่อเหลาถือเป็นเรื่องดีพวกเธอไม่สนว่าจะได้แต่งงานเป็นภรรยาหลวงหรือไม่ เพราะว่านายน้อยจะต้องดูแลภรรยาของเขาทุกคนอย่างดีและรักใคร่แน่ ดังนั้นพวกเธอจึงไม่สนใจเรื่องสถานภาพอะไรทั้งนั้นโคลนอนเหยียดอยู่บนม้านั่งไม้ยาว มองไปที่ท้องฟ้ากว้าง ประกายในตาเขามืดหม่นลงบางทีชาตินี้เขาคงไม่ได้แต่งภรรยาหลวงหรอกมั้ง?นี่มันก็สามปีแล้ว แองเจลีนคงต้องเกลียดเขามากไม่อย่างนั้นเธอไม่มีทางเมินเขานานขนาดนี้แน่“พอภรรยาหลวงฉันเข้ามาในชีวิต พวกเธอสาว ๆ ต้องต้อนรับเธอแล้วก็ดูแลเธอให้ฉันอย่างดีด้วย” จู่ ๆ โคลก็พูดขึ้นมาตราบใดที่แองเจลีนพอใจเขาก็จะทำทุกอย่างที่ทำได้ให้เธอบรรดาสาว ๆ ต่างก็อึ้งไปขณะที่พวกเธอแกล้งชกโคลขำ ๆ “คุณนี่ใจร้ายจัง”คาร์สันเดินเข้ามาแล้วแหย่สาว ๆ ว่า “รู้
สเปนเซอร์เย้ย “ไอ้เด็กตัวเหม็น แกพูดแบบนี้ได้ยังไง? ตอนนี้พ่อแก่แล้วนะแกยังจะมาบอกให้ฉันไปสู้อีกเหรอ? แกไม่กลัวว่าพวกมันจะหักกระดูกคนแก่อย่างฉันเหรอไง? แกอยากให้ฉันตายเต็มแก่แล้วสินะ?”ริมฝีปากโคลกระตุก“คนที่หักกระดูกพ่อได้คงยังไม่โผล่มา”สเปนเซอร์ย้อนอย่างหมดความอดทน “หยุดพูดไร้สาระได้แล้ว รีบเข้าไปจับพวกนั้นมัดมาให้พ่อ”โคลมองนิ้วก้อยซ้ายที่ถูกตัดไปของเขาและบอกว่า “ผมไม่อยากสู้”สเปนเซอร์อึ้งไปตลอดเวลาสามปีเขาได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อบังคับลูกชายให้ต่อสู้ ไม่ว่าจะวิธีไม้อ่อนไม้แข็ง ทั้งปลอบ ทั้งขู่ หรือแม้แต่หลอกล่อเขา รวมทั้งใช้วิธีข่มขู่และขุดหลุมดัก แต่ว่า…โคลก็ยังไม่สะทกสะท้านราวกับว่าเขากลายเป็นอีกคนและทอดทิ้งศิลปะการไปแล้ว เขาเอาแต่อยู่ในห้องอ่านหนังสือหรือไม่ก็เมาทั้งวัน สเปนเซอร์นั้นร้อนใจที่เห็นลูกชายของตนกลายเป็นแบบนี้สเปนเซอร์มองลูกชายอย่างผิดหวัง “ถึงแกจะไม่อยากแต่วันนี้แกก็ต้องสู้ พี่น้องป้อมตระกูลยอร์กหลายคนบาดเจ็บ ในฐานะผู้สืบทอดคนต่อไปแกจะปล่อยเรื่องนี้ไปได้ยังไง?”โคลบอกว่า “ถ้าผมเป็นผู้สืบทอดคนต่อไป ผมจะยกเลิกป้อมทั้ง 108 แล้วก็ไปอยู่ในเขาแทน”สเปนเ
โคลอึ้งงันไปไม่มีใครในทั้ง 108 ป้อมที่สามารถรับมือการโจมตีของพ่อเขาได้ ชายคนนี้แม้ว่าจะต้องพยายามสักหน่อยที่จะต้านแต่เขาก็จัดการได้“นี่พ่อใช้แรงไปเท่าไรเนี่ย?” โคลถามเขาเดาว่าสเปนเซอร์คงประเมินเจย์ต่ำไปและออมมือให้สเปนเซอร์นั้นตกใจจนพูดอะไรไม่ออกเมื่อโคลเงยหน้าขึ้นและมองเห็นสีหน้าย่ำแย่ของผู้เป็นพ่อ เขาก็รู้ทันทีว่าพ่อเขาไม่ได้ออมมือในการโจมตีครั้งนี้แม้แต่น้อยโคลทำอะไรไม่ถูกแล้วตอนนี้ตอนนี้มีชายที่ทักษะและพรสวรรค์มาปรากฏตัวที่ป้อมตระกูลยอร์กแล้ว พวกเขามีทางเลือกแค่ทางเดียวเท่านั้น ทุ่มเทจัดการเขาอย่างไม่ยั้ง“คาร์สัน เรียกพวกคอร์เวตต์มา” โคลพูดเสียงแผ่ว “ฉันคิดว่าสวนนี้ดูประหลาดแล้วก็ไม่เหมาะ มันไม่เข้ากันกับบริเวณรอบ ๆ ด้วย ระเบิดมันทิ้งซะ”เจย์จะไม่เข้าใจความหมายแฝงนัยของคำพูดโคลได้อย่างไร? เขาและตระกูลยอร์กก็เหมือนสีขาวและดำไม่มีทางที่จะผสมกันได้คาร์สันได้สติและรีบวิ่งออกไปเพียงชั่วพริบตา คอร์เวตต์ก็มาล้อมรอบสวนไว้พร้อมด้วยอาวุธล้ำสมัยจากต้นจนถึงตอนนี้ สเปนเซอร์ยังไม่เห็นความตระหนกบนใบหน้าเจย์เลยสักนิด เขาชื่นชมความสงบและนิ่งของเจย์ เวลาที่เจย์ยืนอยู่โดยไม่พูด
”พ่อคงไม่เชื่อจริง ๆ ว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านพันธุวิศวกรรมหรอกนะ?”สเปนเซอร์โดนคำพูดนี้ปลุกให้ตื่นแล้วจ้องเจย์ “เจ้าหนู แกเกือบหลอกฉันได้แล้ว แกพยายามจะสร้างความแตกแยกระหว่างฉันกับลูกชายเหรอ?”เจย์ไม่ได้สนใจจะทำเรื่องไร้สาระอะไรแบบนั้น เขาแค่พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับร็อบบี้น้อยจากสเปนเซอร์เท่านั้นเมื่อเขาเห็นสีหน้าของสเปนเซอร์และคนอื่น ๆ มันก็ชัดแล้วว่าองค์กรโลกาวินาศไม่มีพฤติกรรมจับตัวประกันกลับมาที่บ้านหากว่าเป็นเช่นนี้ก็เป็นไปได้ยากที่ร็อบบี้น้อยจะอยู่ที่ภูเขามุกนี่ดวงตาแองเจลีนเริ่มมีน้ำตาเอ่อ ตอนนี้เมื่อลูกโป่งแห่งความหวังของเธอแตกไปแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสลายแหลกลาญตอนนี้สเปนเซอร์ก็หมดความอดทนแล้ว เขาสั่งพวกคอร์เวตต์ “เจ้าหมอนี่ปากไม่ดี หากว่าเราปล่อยให้มันหลุดไปได้ มันต้องทำให้เรื่องต่าง ๆ บานปลายแน่ ระเบิดมันให้แหลกไปซะ”ตอนแรกเซย์นและคนอื่น ๆ ต่างก็ยืนอยู่รอบ ๆ และมองเจย์หลอกล่อพ่อลูกยอร์ก แต่ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของสเปนเซอร์ พวกเขาก็กลัวมากจนเอามือกุมหัวและวิ่งหลบไปทั่ว“ให้ตายเถอะคุณพระคุณเจ้า ฉันไม่อยากตาย”อาวุธของพวกคอร์เวตต์เตรียมพร้อม ตามด้วยเสียงฟ
เมื่อคาร์สันยื่นมือออกมาเพื่อคว้าแองเจลีนไว้ เธอก็ใช้กระบวนท่าสุดยอดของเธอ เธอคว้าแขนคาร์สันไว้จากนั้นก็ขึ้นไปเกาะรัดหลังเขาเหมือนงูแล้วรัดคอเขาไว้แน่นสุดท้ายคาร์สันก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากสเปนเซอร์พวกเขาประมาทศัตรูเกินไป“สาวตาบอดนี่รู้ศิลปะป้องกันตัวด้วยเหรอ?” มีบางคนหลุดร้องออกมาเสียงดังโคลตะลึงไปที่จริงเขานั้นให้ความสนใจกับแองเจลีนตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้ามาในประตูป้อมแล้วเธอนั้นมีเสน่ห์แบบเดียวกับที่แองเจลีนมี แต่ว่าพวกเธอทั้งสองหน้าตาไม่เหมือนกัน แถมรวมกับความจริงที่ว่าเธอนั้นเป็นเพียงแค่ผู้หญิงตาบอดอ่อนแอ โคลเลยไม่คิดว่าเธอคือแองเจลีนแต่ว่าเธอรู้จักศิลปะป้องกันตัวและมีความคล่องตัวแบบเดียวกับแองเจลีนคำถามผุดขึ้นมาให้หัวโคลอีกครั้ง เธอคือแองเจลีนหรือเปล่า?เพราะว่าแองเจลีนยังอ่อนแออยู่ เธอเลยไม่มีแรงที่จะจับคาร์สันไว้นาน คาร์สันฉวยโอกาสคว้าข้อมือเธอและยกตัวเธอขึ้นก่อนที่จะทุ่มเธอลงกับพื้นจากนั้นเขาก็กระทืบท้องเธอ แองเจลีนยื่นมือมาคว้าเท้าเขาไว้ บางทีอาจจะเพราะความโมโห แองเจลีนจึงคำรามด้วยโทสะ “คาร์สันปล่อยฉัน”ทันใดนั้นเจย์ก็ดึงกระดุมออกจากเสื้อกันลมและดีดเข้าตาคาร์สั
ตอนนี้ความกล้าและความเท่ของคาร์สันหายไปหมดแล้ว เขาเหมือนพวกขี้ขลาดวิ่งหนีหมัดของเซย์นไปทั่วเจย์ปล่อยมือโคลอย่างไม่เต็มใจ แทนที่จะเอาคืนโคลกลับรีบวิ่งเข้าไปหาแองเจลีนทันทีและคุกเข่าลงต่อหน้าและโบกมือตรงหน้าเธอเมื่อเขาเห็นว่าดวงตาของแองเจลีนไม่มีการตอบสนอง หัวใจของโคลก็ดิ่งวูบ เขาพูดออกมาเบา ๆ “เกิดอะไรขึ้นกับดวงตาของคุณน่ะแองเจลีน?”แองเจลีนชิงชังความวิบัติและความโศกเศร้าที่โคลทำกับเธอ เธอตวาด “ทั้งหมดก็เป็นเพราะคุณไง”ความดีใจและยินดีในแววตาของโคลหม่นลงเรื่อย ๆ ชัดเจนว่าแองเจลีนไม่ได้มาที่นี่เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของพวกเขาเธอมาหาเขาด้วยความเคียดแค้นชิงชังเข้ากระดูก เธอคงไม่ได้มาที่นี่หากไม่ได้เพราะต้องการมาแก้แค้นสินะ?เขาเริ่มระมัดระวังตัว “คุณคงเหนื่อยแล้วแองเจลีน ทำไมคุณไม่อยู่ก่อนแล้วพักผ่อนหน่อยล่ะ? เราค่อยคุยกันที่หลังก็ได้”ตอนนี้ที่เขาอยากทำคือหนีไป หนีให้พ้นจากความอาฆาตในแววตาของแองเจลีนท่าทางที่โคลนั้นอ่อนน้อมทำให้สเปนเซอร์และทุกคนในป้อมต่างก็อ้าปากค้างนี่มันใช่คนเดียวกับที่ชอบยิ้มกว้างและมีเจตนาร้ายเสมอเหรอ? คนที่ไม่ลังเลจะฆ่าคนอื่นทิ้งไม่ต่างจากบี้แมลงวัน?