”พ่อคงไม่เชื่อจริง ๆ ว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์ด้านพันธุวิศวกรรมหรอกนะ?”สเปนเซอร์โดนคำพูดนี้ปลุกให้ตื่นแล้วจ้องเจย์ “เจ้าหนู แกเกือบหลอกฉันได้แล้ว แกพยายามจะสร้างความแตกแยกระหว่างฉันกับลูกชายเหรอ?”เจย์ไม่ได้สนใจจะทำเรื่องไร้สาระอะไรแบบนั้น เขาแค่พยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับร็อบบี้น้อยจากสเปนเซอร์เท่านั้นเมื่อเขาเห็นสีหน้าของสเปนเซอร์และคนอื่น ๆ มันก็ชัดแล้วว่าองค์กรโลกาวินาศไม่มีพฤติกรรมจับตัวประกันกลับมาที่บ้านหากว่าเป็นเช่นนี้ก็เป็นไปได้ยากที่ร็อบบี้น้อยจะอยู่ที่ภูเขามุกนี่ดวงตาแองเจลีนเริ่มมีน้ำตาเอ่อ ตอนนี้เมื่อลูกโป่งแห่งความหวังของเธอแตกไปแล้ว เธอก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกใจสลายแหลกลาญตอนนี้สเปนเซอร์ก็หมดความอดทนแล้ว เขาสั่งพวกคอร์เวตต์ “เจ้าหมอนี่ปากไม่ดี หากว่าเราปล่อยให้มันหลุดไปได้ มันต้องทำให้เรื่องต่าง ๆ บานปลายแน่ ระเบิดมันให้แหลกไปซะ”ตอนแรกเซย์นและคนอื่น ๆ ต่างก็ยืนอยู่รอบ ๆ และมองเจย์หลอกล่อพ่อลูกยอร์ก แต่ทันทีที่ได้ยินคำสั่งของสเปนเซอร์ พวกเขาก็กลัวมากจนเอามือกุมหัวและวิ่งหลบไปทั่ว“ให้ตายเถอะคุณพระคุณเจ้า ฉันไม่อยากตาย”อาวุธของพวกคอร์เวตต์เตรียมพร้อม ตามด้วยเสียงฟ
เมื่อคาร์สันยื่นมือออกมาเพื่อคว้าแองเจลีนไว้ เธอก็ใช้กระบวนท่าสุดยอดของเธอ เธอคว้าแขนคาร์สันไว้จากนั้นก็ขึ้นไปเกาะรัดหลังเขาเหมือนงูแล้วรัดคอเขาไว้แน่นสุดท้ายคาร์สันก็อยู่ในสภาพไม่ต่างจากสเปนเซอร์พวกเขาประมาทศัตรูเกินไป“สาวตาบอดนี่รู้ศิลปะป้องกันตัวด้วยเหรอ?” มีบางคนหลุดร้องออกมาเสียงดังโคลตะลึงไปที่จริงเขานั้นให้ความสนใจกับแองเจลีนตั้งแต่ที่เธอก้าวเข้ามาในประตูป้อมแล้วเธอนั้นมีเสน่ห์แบบเดียวกับที่แองเจลีนมี แต่ว่าพวกเธอทั้งสองหน้าตาไม่เหมือนกัน แถมรวมกับความจริงที่ว่าเธอนั้นเป็นเพียงแค่ผู้หญิงตาบอดอ่อนแอ โคลเลยไม่คิดว่าเธอคือแองเจลีนแต่ว่าเธอรู้จักศิลปะป้องกันตัวและมีความคล่องตัวแบบเดียวกับแองเจลีนคำถามผุดขึ้นมาให้หัวโคลอีกครั้ง เธอคือแองเจลีนหรือเปล่า?เพราะว่าแองเจลีนยังอ่อนแออยู่ เธอเลยไม่มีแรงที่จะจับคาร์สันไว้นาน คาร์สันฉวยโอกาสคว้าข้อมือเธอและยกตัวเธอขึ้นก่อนที่จะทุ่มเธอลงกับพื้นจากนั้นเขาก็กระทืบท้องเธอ แองเจลีนยื่นมือมาคว้าเท้าเขาไว้ บางทีอาจจะเพราะความโมโห แองเจลีนจึงคำรามด้วยโทสะ “คาร์สันปล่อยฉัน”ทันใดนั้นเจย์ก็ดึงกระดุมออกจากเสื้อกันลมและดีดเข้าตาคาร์สั
ตอนนี้ความกล้าและความเท่ของคาร์สันหายไปหมดแล้ว เขาเหมือนพวกขี้ขลาดวิ่งหนีหมัดของเซย์นไปทั่วเจย์ปล่อยมือโคลอย่างไม่เต็มใจ แทนที่จะเอาคืนโคลกลับรีบวิ่งเข้าไปหาแองเจลีนทันทีและคุกเข่าลงต่อหน้าและโบกมือตรงหน้าเธอเมื่อเขาเห็นว่าดวงตาของแองเจลีนไม่มีการตอบสนอง หัวใจของโคลก็ดิ่งวูบ เขาพูดออกมาเบา ๆ “เกิดอะไรขึ้นกับดวงตาของคุณน่ะแองเจลีน?”แองเจลีนชิงชังความวิบัติและความโศกเศร้าที่โคลทำกับเธอ เธอตวาด “ทั้งหมดก็เป็นเพราะคุณไง”ความดีใจและยินดีในแววตาของโคลหม่นลงเรื่อย ๆ ชัดเจนว่าแองเจลีนไม่ได้มาที่นี่เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ของพวกเขาเธอมาหาเขาด้วยความเคียดแค้นชิงชังเข้ากระดูก เธอคงไม่ได้มาที่นี่หากไม่ได้เพราะต้องการมาแก้แค้นสินะ?เขาเริ่มระมัดระวังตัว “คุณคงเหนื่อยแล้วแองเจลีน ทำไมคุณไม่อยู่ก่อนแล้วพักผ่อนหน่อยล่ะ? เราค่อยคุยกันที่หลังก็ได้”ตอนนี้ที่เขาอยากทำคือหนีไป หนีให้พ้นจากความอาฆาตในแววตาของแองเจลีนท่าทางที่โคลนั้นอ่อนน้อมทำให้สเปนเซอร์และทุกคนในป้อมต่างก็อ้าปากค้างนี่มันใช่คนเดียวกับที่ชอบยิ้มกว้างและมีเจตนาร้ายเสมอเหรอ? คนที่ไม่ลังเลจะฆ่าคนอื่นทิ้งไม่ต่างจากบี้แมลงวัน?
มันมีป้ายไม้แขวนไว้ที่หน้าหมู่บ้านไม้ไผ่ซึ่งมีชื่อของสวนแห่งนี้เขียนไว้ว่า สายลมสดชื่นเจย์ชำเลืองมองแองเจลีนที่ยืนอยู่ข้างเขา เหมือนว่าสำหรับโคลแล้วแองเจลีนคือสายลมที่สดชื่นสำหรับเขา โคลเฝ้ารอให้เธอมาและตอนนี้สุดท้ายเธอก็มาถึงอย่างไรสายลมสดชื่นมันเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ หากว่าโคลอยากจะชนะใจแองเจลีน เขาก็ได้แต่ฝันไปเท่านั้นจู่ ๆ เจย์ก็จับมือแองเจลีนแน่น นิสัยกดข่มและเป็นเจ้าของของเขาเริ่มที่จะแสดงออกมาอีกครั้ง ทำให้เขารู้สึกอยากจะกลืนกินเธอไว้ในร่างของเขาโคลพาพวกเขามาตรงใจกลางสวนไผ่ เจย์และคนอื่น ๆ ต่างก็เลือกห้องนอนที่ชอบและเข้าไปพักโคลพูดกับแองเจลีน “บอกผมนะหากว่าคุณต้องการอะไรแองเจลีน ผมจะบอกให้คนรับใช้เอามาให้คุณ”แองเจลีนตอบอย่างสุภาพ “ขอโทษที่ต้องรบกวนนะ”สีหน้าโคลมืดครึ้ม เขาสามารถรู้สึกได้ว่าการที่เขาและแองเจลีนได้กลับมาพบกันครั้งนี้นั้นมีระยะห่างต่อกันมากขึ้นบางทีอุบัติเหตุนั้นได้พรากความใสซื่อและความมีชีวิตชีวาของเธอไป“แองเจลีน คุณอยากไปกินมื้อเย็นกับผม-” ก่อนที่โคลจะทันพูดจบ เจย์ก็ตัดบทเขาด้วยท่าทางกดข่ม“คุณช่วยนำอาหารเย็นของนายหญิงมาให้ที่สวนสายลมสดชื่นได้
ตอนนั้นเองเครื่องมือสายลับที่เขาพกติดตัวก็เริ่มส่งเสียงร้องดัง “ตรวจจับอุปกรณ์อินฟราเรดได้ข้างหน้า”เด็กหนุ่มดึงแว่นตาที่คาดบนหัวลงมาและทันใดนั้นเส้นสีแดงเข้มก็ปรากฏให้เห็นอยู่ตรงหน้า“เวร นี่พวกเขากลัวตายขนาดที่ต้องใช้ระบบป้องกันตัวเองหรูหราขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? ฉันว่าแมลงวันก็คงจะบินผ่านไปไม่ได้ใช่ไหมเนี่ย? คนชั่วมันไม่ตายหรอก”เด็กหนุ่มเคลื่อนตัวลอดผ่านเส้นรังสีอินฟราเรด เมื่อผ่านมาได้ระบบก็ร้องเตือนอีกครั้ง “โปรดระวัง มีอุปกรณ์สารพิษอยู่ข้างหน้า”เด็กหนุ่มดูหงุดหงิดใจ “นายไม่ต้องเตือนฉันเรื่องอุปกรณ์รักษาความปลอดภัยระดับต่ำพวกนี้หรอก ไม่คิดว่านายเสียงดังหนวกหูไปหน่อยหรือไง?”ระบบเสียงดูไม่พอใจอย่างมาก “งั้นก็ได้ โชคดีแล้วกัน”เด็กหนุ่มถอนใจ “ฉันต้องไปที่ป้อม 48 เพื่อหาไอ้ชั่วโคลนั่นก่อนที่จะไปเอาสมบัติ ฉันต้องสั่งสอนหมอนั่นหน่อย”เด็กหนุ่มที่ดูคล่องแคล่วนั้นหายไปในยามค่ำคืนอย่างรวดเร็วที่ป้อม 48โคลนอนอยู่บนต้นเพลนสูง สายตาเขาจับจ้องอยู่ที่กระท่อมไผ่หลังน้อยตรงหน้าคาร์สันนั่งหาวอยู่ข้าง ๆ“ทำไมเราไม่กลับไปนอนกันล่ะครับนายน้อย? คุณเซเวียร์ต้องโกรธมากแน่ถ้าเธอรู้ว่าคุณแอบ
ทันใดนั้นผนังก็เริ่มขยับและมีช่องว่างรูปร่างแบบมนุษย์ปรากฏขึ้น คาร์สันกระโดดเข้าไปในช่องนั้นทันทีเมื่อเด็กหนุ่มตระหนักว่ามีบางอย่างเกิดขึ้น ผนังก็ปิดลง ตุ้มหนักพันปอนด์ก็เริ่มหล่นจากด้านบนเพดานลงมาใส่เขา เด็กหนุ่มพุ่งดัวไปที่หน้าต่างด้วยความเร็วแสงแต่ว่าเขาอยู่ห่างจากหน้าต่างเกินไปและมันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหนีพ้นด้วยระยะทางนี้ ชั่วขณะฉิวเฉียดที่ขาข้างหนึ่งของเด็กหนุ่มออกไปนอกหน้าต่างแล้ว ขาอีกข้างของเขายังติดอยู่ด้านในและโดนใบมีดของตุ้มหนักพันปอนด์นั้นบาดเข้าเขาดิ้นรนดึงขาข้างนั้นออกมา อาการบาดเจ็บที่ขาทำให้เขาเคลื่อนไหวได้อย่างยากลำบากจังหวะนั้นเองคาร์สันก็เปิดไฟในวิลล่าเขามั่นใจมากกว่านักฆ่าต้องตายไปแล้วจากห่าฝนใบมีดที่ร่วงลงมาเมื่อเขาได้เห็นห้องนอนที่ว่างเปล่า คาร์สันก็ตื่นตระหนกและรีบกดสัญญาณเตือนภัยทันทีพวกคอร์เวตต์ของป้อม 48 รีบรุดออกมาทันทีเมื่อเด็กหนุ่มได้ยินเสียงความวุ่นวาย เขาก็กัดฟันแน่นและวิ่งไปอีกด้านเพื่อที่จะหลบหนี“มีนักฆ่า หาให้ทั่ว” คาร์สันสั่ง พร้อมมองรอยเลือดที่หน้าต่างเด็กรับใช้เตือนคาร์สัน “ผมได้ยินมาว่าวันนี้มีแขกหลายคนเข้ามาที่ป้อมเราและตอนนี้
เด็กหนุ่มซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเธอร็อบบี้น้อยก็ทำแบบเดียวกันเวลาที่เขาทำอะไรผิดมา เขามักจะกอดเอวเธอแน่นที่สุดเท่าที่ทำได้และทำท่าเป็นเด็กขี้อ้อนเอาแต่ใจ ‘ผมผิดไปแล้วแม่จ๋า อย่าโกรธผมเลยนะ’ เขาจะพูดแบบนี้จากนั้นเธอก็ตัดสินใจอย่างบุ่มบ่ามโดยการฉีกเสื้อเธอออกเผยให้เห็นหน้าอกเปลือยเปล่า เธอยื่นแขนออกมานอกผ้าห่มแล้วเธอก็แสร้งทำเป็นร้องถามเสียงงัวเงีย “เกิดอะไรขึ้นเหรอเบ็น?”พอเจย์ได้ยินเสียงแองเจลีน เขาก็เปิดประตูเข้ามาเมื่อได้เห็นหน้าอกและแขนของเธอยื่นออกมานอกผ้าห่อม เจย์ก็ปิดประตูอย่างรวดเร็วแต่ถึงอย่างนั้นโคลก็ยังแอบเห็นภาพน่าตื่นตาภายในห้องอยู่ดีเจย์จ้องโคลราวกับจะกินเลือดกินเนื้อโคลครุ่นคิดว่าหากแองเจลีนไม่ได้ตาบอด เมื่อกี้เธอจะต้องกรีดร้องออกมาเพราะความอับอายเป็นแน่โคลถามอย่างสงสัย “เกิดอะไรขึ้นกับดวงตาเธอกันแน่?”“เธอร้องไห้มากจนตาบอด” เจย์ตอบห้วน ๆน้ำเสียงเขาแฝงโทสะและความรู้สึกโทษตัวเองโคลอี้งไปเล็กน้อย จากนั้นสีหน้าเขาก็ฉายความรู้สึกผิดจังหวะนั้นพวกคอร์เวตต์ที่ค้นหาบริเวณบ้านก็เดินส่ายหน้าออกมา “เราไม่เจออะไรผิดปกติ”โคลสั่ง “ไปหาที่อื่นต่อ”เมื่อพวกคอร์เ
พวกคอร์เวตต์หากันทั้งคืนแต่ว่าก็หานักฆ่าไม่เจอ ราวกับว่าเขาระเหยหายตัวไปในอากาศวันต่อมาสเปนเซอร์ก็มาที่ป้อม 48เขาเรียกโคลไปที่ห้องลับและถามด้วยสีหน้าจริงจังว่า “โคล นักฆ่าเมื่อคืนมันผ่านกับดักหลายชั้นที่เราติดตั้งไว้ในเขามุกเข้ามาได้ เห็นได้ชัดว่าเป็นนักสู้ที่ฝึกมาเป็นอย่างดี พอมาคิดเรื่องนี้แล้ว นักฆ่าโผล่มาทันทีหลังจากที่แองเจลีนมา เป็นไปได้ไหมว่าพวกเขาร่วมมือกันประสานจากด้านใน?”โคลยังคงนิ่งเงียบ…สเปนเซอร์ดูงงงวย “แองเจลีนก็เป็นแค่นักธุรกิจหญิงเก่งฉกาจจากเมืองอิมพีเรียล แต่ว่าบอดี้การ์ดของเธอก็เก่งพอที่จะคว้ามีดสั้นของฉันได้ ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเธอถึงต้องมีคนเก่งกาจขนาดนั้นอยู่ข้างกายด้วย?”โคลก็ยังคงนิ่งเงียบ…เมื่อสเปนเซอร์เห็นว่าโคลไม่ยอมพูดอะไรสักคำ ดวงตาเขาก็ยิ่งฉายแววสงสัย “นี่แกกำลังปิดบังอะไรฉันอยู่หรือเปล่าโคล?”มีแววอ่อนล้าในน้ำเสียงของโคล “ผมบอกเรื่องที่ควรบอกไปหมดแล้ว”สเปนเซอร์มองโคลอย่างไม่พอใจ “หมายความว่ายังไงที่ว่าบอกเรื่องที่ควรบอกไปหมดแล้ว? แกอยู่ที่เมืองอิมพีเรียลตั้งครึ่งปี แล้วพอแกกลับมาบ้านแกก็พูดแค่สามเรื่อง แกบอกว่าทำลายตระกูลอาเรสกับอสังหาริมทร