น้ำตาลกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกผิดเป็นครั้งแรกหลังจากปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน “ฉันขอโทษ”
“ตาล เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟัง และฉันจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น” เขายกแขนขึ้นมาโอบไหล่เพื่อนสาวเมื่อเห็นว่าเธอรู้สึกกดดัน “แต่ฉันแค่คิดถึงเธอจริง ๆ”
น้ำตาลยิ้ม นึกถึงช่วงเวลาที่เจอกับภูริทัตสมัยเรียน “ฉันก็คิดถึงนาย” น้ำตาลทิ้งช่วงสักระยะแล้วค่อยพูดต่อ “ฉันว่าฉันจะกลับโรงแรมไปเก็บของมาเฝ้าไข้ยัยหวาน แล้วยังต้องยกเลิกตั๋วกลับด้วย”
“จะไปเช่าโรงแรมอยู่ให้เปลืองทำไมกันตาล ไปพักที่บ้านฉันสิ”
“ฉันไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก” น้ำตาลสวนกลับทันควัน
“เพราะแม่ใช่มั้ย”
“ฉันไม่อยากตอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ “ก็ได้ แต่ไหน ๆ เธอยังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก สัญญากับฉันได้มั้ยว่าเธอจะไปเจอพี่ภู ถือว่าฉันขอร้อง”
“ทัต…”
“ฉันรักษาสัญญากับเธอนะตาล ถึงฉันจะอยากบอกพี่ภูแทบตายว่าเจอเธอแล้ว แต่ฉันไม่คิดจะหักหลังความเชื่อใจเธอ ตาลตอนนี้พี่ภูไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก แต่ฉันมั่นใจว่าถ้าได้เจอเธอจะทำให้เขาดีขึ้น” ภูริทัตล้วงเอากระเป๋าสตางค์ออกมาเปิด หยิบนามบัตรยื่นส่งให้ “อะ นี่ที่อยู่โรงพยาบาล เผื่อเธอจะลืม ฉันอยู่เป็นเพื่อนน้องเธอได้ถ้าเธอห่วงว่าจะไม่มีคนดู”
น้ำตาลยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ “อืม ฉันจะลองคิดดูอีกที” บอกแล้วอ่านนามบัตร
นายแพทย์ภูริวัฒน์ จิรวาณิชย์ น้ำตาลจ้องชื่อที่ปรากฏอยู่นิ่งนาน เหมือนกับตอกย้ำความจริงที่ว่าเธอยังคงใช้นามสกุลเดียวกับที่ปรากฏในนามบัตรนี้อยู่
“เธอต้องบอกฉันด้วยว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่ไหน” เสียงของเพื่อนดึงความสนใจของน้ำตาลกลับมา
“นายนี่น่ารำคาญชะมัด” เธอแกล้งว่า
คนถูกต่อว่าหัวเราะร่วน
“โอ๊ย!”
น้ำหวานแกล้งส่งเสียงร้องขึ้นเมื่อเห็นจังหวะเหมาะ เพราะเธอพอได้ฟังเรื่องราวของพี่สาวคร่าว ๆ ทำให้รู้ว่าที่พี่สาวกลับบ้านเพราะมีปัญหากับพี่เขย
เสียงร้องของน้องสาวเรียกให้น้ำตาลรีบรี่เข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหวาน”
“เจ็บแผลอะพี่ตาล” คนป่วยโอดครวญให้สมจริงแต่ก็เจ็บจริง ๆ นั่นแหละ
น้ำตาลกรอกตาใส่ ถอนใจด้วยความโล่งอก “ลองถ้าเป็นอย่างนี้ก็สบายใจได้”
“โธ่พี่ตาลก็”
“พี่ไปบอกพยาบาลก่อนนะว่าหวานตื่นแล้ว
“ฉันไปเอง” ภูริทัตอาสาแล้วเดินออกนอกห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาดูการคนป่วยที่เพิ่งฟื้น
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะคะ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่เกินสองวันก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วค่ะ แต่รอคุณหมอคอนเฟิร์มอีกทีนะคะ” พยาบาลบอกแล้วขอตัว
“หวานพี่ไปเก็บของที่โรงแรมก่อนนะ แล้วจะมานอนเฝ้าหวานที่นี่ พี่ต้องทำเรื่องจองห้องต่ออีก อยากให้หวานพักฟื้นที่นี่สักระยะแล้วค่อยเดินทางกลับ” น้ำตาลบอกน้องสาวแล้วหันไปหาเพื่อนหนุ่ม “ทัตฝากดูยัยหวานทีนะ”
ภูริทัตสบตากับน้ำหวานโดยบังเอิญ และมีบางอย่างที่สื่อสารกันเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำ
“ฉันไปเป็นเพื่อนเธอดีกว่าตาล ที่นี่มีพยาบาลดูแล” พูดจบก็ชำเลืองมองคนป่วยบนเตียง เห็นมุมปากยกยิ้มพอใจ
“แต่ฉันว่า…”
“พี่ตาลหวานอยู่คนเดียวได้ไม่ต้องห่วง ถ้ามีไรหวานเรียกพยาบาลได้” น้องสาวรีบเอ่ยแทรก
น้องสาวและเพื่อนสนิทต่างมองหน้าเธอเล่นเอาน้ำตาลรู้สึกโดนกดดันแปลก ๆ
“เอ่อ…ก็ได้”
ก่อนจะทิ้งให้น้องสาวอยู่คนเดียวน้ำตาลยังไม่วายย้ำแล้วย้ำอีกด้วยความเป็นห่วงแม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรก็ตาม เธอเลี้ยงน้องมาคนเดียวตั้งแต่แม่เสีย เลยติดที่จะคิดว่าตัวเองต้องเป็นคนรับผิดชอบน้องสาวทุกอย่าง
“เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยนะตาล ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”
“นายหิวเหรอ”
“อืม”
“ก็ได้” เธอก็เพิ่งจะรู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน
“เธออยากกินไร”
“อะไรก็ได้ เอาที่เร็ว ๆ ง่าย ๆ ไม่เอาตามร้านอาหารนะ ขี้เกียจรอ” ใจน้ำตาลเป็นห่วงน้องสาว ไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียวนาน ๆ
“รู้แล้วน่า”
ภูริทัตเลี้ยวรถเข้าข้างทางที่เห็นว่ามีร้านตามสั่งอยู่ ทั้งสองสั่งอาหารง่าย ๆ มากินแก้หิว ข้าวผัดพริกแกงของน้ำตาล และข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวของภูริทัต
“ตอนนี้นายทำอะไรอยู่เหรอ” น้ำตาลชวนคุยระหว่างกินข้าว
“ฉันทำงานเกี่ยวกับซื้อขายที่ดินแล้วก็เก็งกำไร” เขาตอบ
“นายหน้าเหรอ”
“ก็ประมาณนั้น”
“ดูท่าน่าจะรวย ฟันกำไรงามเลยละสิท่า ว่าแต่ขายได้กับเฉพาะลูกค้าผู้หญิงรึเปล่า”
“อะไรตาล น้อย ๆ หน่อย ท่าทางเธอนี่ดูถูกฉันมากเลย” เพื่อนหนุ่มแกล้งว่า
น้ำตาลหัวเราะ “โทษที ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“นี่แหละเรียกว่าดูถูก นิสัยไม่เปลี่ยนเลยเธอนี่” ภูริทัตย้ำ หัวเราะลั่น ไม่ได้ไม่พอใจ
“ฮ่า ๆ ๆ” คราวนี้น้ำตาลหัวเราะลั่น
เมื่อกินข้าวกันเสร็จภูริทัตก็ขับรถพาเพื่อนไปเก็บของที่โรงแรม ถึงจะไว้ใจ แต่ความจริงเขากลัวว่าเธอจะหนีแล้วจะไม่ได้เจอกันอีก
สองวันถัดมาหมออนุญาตให้น้ำหวานกลับบ้านได้ น้ำตาลตัดสินใจเช่าโรงแรมใหม่ที่ค่าห้องถูกกว่าเพื่อประหยัดงบแต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันซึ่งยังอยู่ในละแวกเดิมเพราะแถวนี้มีที่พักราคาถูกให้เลือกมากมาย เพื่อนหนุ่มอย่างภูริทัตอาสาแกมบังคับทำหน้าที่รับส่ง ซึ่งเธอยอมรับน้ำใจ แต่เมื่อเขาชวนเธอไปพักที่บ้านตน เธอรีบยืนกรานปฏิเสธหนักแน่นเช้านี้น้ำตาลจ้องนามบัตรในมือเป็นรอบที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ แล้วได้แต่ถามตัวเองว่าเธอจะกล้าไปหาเขาเหรอ เธอยังมีหน้าไปหาเขาอีกเหรอ แต่หากจะบอกว่าเธอไม่อยากเจอเขาอีกครั้งต้องยอมรับว่าโกหกประตูห้องน้ำถูกเปิดออก น้ำหวานเดินออกมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ“พี่อาบน้ำเสร็จแล้วจะออกไปซื้ออะไรมาให้กิน” น้ำตาลลุกขึ้นยืน“หวานอยากกลับบ้านแล้วอะ” น้องสาวครวญ“แหม ก่อนหน้าบอกอยากอยู่ต่อ” พี่สาวแกล้งว่า“พี่ตาลอะ อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย” บ่นพร้อมหยิบรีโมททีวีมาเปิด“ทนหน่อย ยังเจ็บแผลอยู่ไม่ใช่เหรอ รอดูอาการอีกสองสามวัน ถ้าโอเคแล้วเรากลับบ้านกัน พี่จะดูว่าจะกลับเครื่องหรือรถทัวร์ อันไหนจะกระเทือนน้อยกว่า”“หวานรู้ค่ะ พี่ตาลต้องลำบากลางานเพราะหวานอีก”“ไม่เป็นไร นี่มันเรื่องสุด
ชายหนุ่มตรงหน้าดูสูงขึ้น เขาสวมสูทสีเทาและเสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าหนังสีดำขัดเงา ผมสีดำตัดรองทรงสูง แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้เขาดูอ่อนล้าและแก่กว่าอายุจริง ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูหล่อเหลา เขาเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอเจอเขาสมัยเรียนมหาลัยวิทยาลัยมากไม่ใช่น้ำตาลคนเดียวที่ยืนตัวแข็งค้าง ผู้มาเยือนเองก็เช่นกัน เขากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะเป็นเธอที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา เธอที่เป็นภรรยาเขาตัวเป็น ๆน้ำตาลรู้สึกขมฝาดในคอ ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีก ทว่ายังแอบชื่นชมความหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า ซ้ำยังเตือนให้นึกถึงหนึ่งในหลายเหตุผลที่ตกหลุมรักเขา แต่ขณะเดียวกันเธอก็ระลึกถึงความทรงจำเมื่อสามปีก่อนว่าทำไมถึงตัดสินใจหนีเขามา เธอรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังกระหน่ำเต้นแรง ตกใจ ตื่นเต้น หวั่นเกรง ความรู้สึกเธอตีกันยุ่งสับสนไปหมด“พี่ภู”เสียงเรียกเบาราวกระซิบหลุดรอดจากริมฝีปากเสมือนว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันทิ้งให้เกิดความเงียบชั่วขณะ พอตั้งสติได้แล้วเธอจึงถามเขาต่อ“ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ได้ ทัตบอกพี่เหรอว่าตาลอยู่ที่นี่” เสียงเธอดังขึ้นเมื่อรู้ส
“ตาลหายไปไหนมา ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไป”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธปนน้อยใจที่ทำให้น้ำตาลวางเฉยไม่ได้ แต่เธอไม่พร้อมตอบคำถามนี้เลย เธอสามารถหลีกเลี่ยงที่จะตอบได้ตอนที่ภูริทัตถาม แต่กับคนตรงหน้า มันต่างออกไป“พี่ภู คือว่า…ตาลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” เธอขอร้องสันกรามแกร่งบดเข้าหากันด้วยความอดกลั้นสุดขีด จะด้วยความโกรธหรือน้อยจะอะไรก็แล้วแต่“ตาลบอกทัตว่าตาลอยู่ที่นี่แต่กลับไม่บอกพี่”น้ำตาลเงยหน้ามอง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดในเรื่องนี้“ตาลไม่ได้บอกทัตแต่ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ตาลเจอทัตที่ห้าง แล้วหวานเกิดปวดท้องไส้ติ่งกะทันหัน”ภูริวัฒน์ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ทัตไม่ได้บอกพี่เรื่องนี้”“ตาลให้ทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ว่าตาลอยู่ที่ไหน”“ทำไม” เขาจ้องหน้าเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ หรือว่าลืมไปแล้ว”
ภูริวัฒน์เดินนำหญิงสาวไปยังรถที่จอดอยู่หน้าโรงแรมแต่เธอหยุดเดิน เขาจึงหยุดแล้วหันกลับมามองเพราะสงสัย“เราเดินไปได้มั้ยคะ”น้ำตาลไม่อยากนั่งอยู่ในที่แคบ ๆ ในรถกับเขาสองต่อสอง เพราะให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันเกินไป แล้วจะทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก“ได้สิ ไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกัน พี่เห็นมีอยู่ร้านนึงตรงหัวมุมดูน่านั่งดี”“ค่ะ ตาลว่าน่าจะร้านเดียวกับที่ตาลเห็น ตรงหัวมุมโน้น” เธอหันหน้าชี้นิ้วไปยังทางที่ตั้งร้านเมื่อตกลงกันได้ทั้งสองคนออกเดินอีกครั้ง ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไรกันจนกระทั่งถึงร้านกาแฟ ไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ แล้วเลือกนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง“ตาลตัดผมเหรอ” ภูริวัฒน์ทักขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาสักพักน้ำตาลฝืนยิ้มให้เพราะเขาทักเหมือนกับที่น้องชายทักเมื่อเจอกันครั้งแรก เธอยกมือขึ้นลูบผมหน้าม้า “ค่ะ ตาลอยากเปลี่ยนบ้าง”“ยังไงตาลก็สว
ภูริวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผม หัวเสียกับตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา มันยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย เธอบอกว่าไม่มีความสุขกับเขา มันจุก แน่นในอกไปหมด“พี่ขอโทษ” ในที่สุดเขาก็สามารถพูดอะไรออกมาได้ “พี่ขอโทษที่ทำให้ตาลไม่มีความสุข” ใบหน้าที่เคยหยิ่งทะนงเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลง“ไม่ค่ะพี่ภู” น้ำตาลรีบห้าม ไม่ชอบเห็นเขาแบบนี้เลย “เป็นตาลเองที่เห็นแก่ตัว ตอนที่เราแต่งงานกัน พี่ต้องเรียนต่อเฉพาะทางและกำลังก้าวหน้าในอาชีพ พี่เลยไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้อยู่กับตาล ตาลเห็นแก่ตัวที่อยากให้พี่อยู่ด้วยแต่มันเป็นไปไม่ได้” เธอยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อที่ให้มือไม่ว่างความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ภูริวัฒน์เหมือนกำลังจมหายไปกับความคิดตัวเอง ในขณะที่น้ำตาลกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสมองอันปราศเปรื่องของเขาจะว่ายังไง เขาเป็นอัจฉริยะเสมอ และเป็นหมอที่เก่งมาก เธอเองนั่นแหละที่ไม่เหมาะสมคู่ควรกับเขาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภูริวัฒน์หยิบมันออกมาด
*****พูดคุยก่อนเริ่มเรื่อง*****ความรักที่ต้องจำจากนั้นเจ็บปวดเสมอ เหมือนกับน้ำตาล นางเอกของเรื่องที่ตัดสินใจหนีหายจากสามีทั้งที่ยังรักเขาอยู่ หลังจากแต่งงานเธอย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกับภูริวัฒน์ที่บ้านเขา แต่ด้วยความที่เขากำลังอยู่ในช่วงสร้างฐานะและครอบครัว ทำให้เวลาที่ได้อยู่กับภรรยาเริ่มน้อยลง และด้วยความที่เป็นลูกกตัญญู เขาจึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างภรรยากับแม่ตัวเองที่รังเกียจเดียดฉันท์ภรรยาของเขามากเพียงใด น้ำตาลต้องอดทนทุกอย่างเพราะไม่อยากให้สามีลำบากใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้ตัดสินใจที่เดินออกจากบ้านหลังนั้นและไม่คิดย้อนกลับมาอีกเลยปรียาดาตั้งใจเขียนเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งนำมาจากเหตุการณ์จริง ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คู่เคยประสบเหตุการณ์เดียวกัน ความไม่ลงรอยของแม่สามีกับลูกสะใภ้ เรียกได้ว่าเป็นปัญหาคลาสสิก บางทีหนักหนาอย่างเช่นในเรื่องนี้ที่ทำให้นางเอกถึงกับตัดสินใจยอมไปเสียดีกว่า ทว่าพระนางของเรื่องยังโชคดีที่สามารถปรับความเข้าใจกันได้ ดังนั้นปรียาดาเชื่อว่า ชีวิตคู่เป็นเรื่องของคนสองคน ความกตัญญูรู้คุณเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนเราต้องมีความหนักแน่น ยืดหยัดที่จะต่อสู้เพื่อครอบครัวของต
น้ำตาลล้มตัวนอนบนเตียงหลังจากพาน้ำหวาน น้องสาวแท้ ๆ ตะลุยสวนสนุกมาทั้งวัน เนื่องจากเป็นวันเกิดครบสิบแปดของน้อง ผู้ซึ่งไม่เคยลงมากรุงเทพฯ มาก่อน เธอจึงพามาเที่ยวเป็นของขวัญวันเกิด ตอนแรกเจ้าตัวตื่นเต้นยกใหญ่ พอได้มาแล้วเห็นน้องสนุกเธอก็พลอยมีความสุขไปด้วย ตอนนี้น้องเธอกำลังไปอาบน้ำ เธอเลยหยิบมือถือมาเช็กยอดเงินในบัญชี เธอวางแผนและเก็บเงินสำหรับทริปนี้มาเป็นเดือนแล้วเพื่อที่จะได้ลางานได้และโชคดีที่วันเกิดของน้ำหวานตรงกับช่วงปิดเทอม เลยไม่ต้องหยุดเรียน“หวานยังไม่อยากกลับเลยพี่ตาล” น้องสาวหันมาบอกขณะกำลังนั่งหวีผมที่โต๊ะเครื่องแป้ง “หวานอยากไปเดินห้างอะ”“เราก็ไปเดินห้างกันออกบ่อย” พี่สาวแกล้ง รู้ดีว่าน้องอยากไปที่ไหน“โธ่…” ครวญเสียงยาว “หวานอยากไปไอคอนสยามอะ นะพี่ตาลนะ นะ” ลุกขึ้นมาอ้อนพี่สาวน้ำตาลกรอกตาใส่คนเป็นน้อง “หวาน พี่ลางานแค่ถึงวันอังคาร”“หวานรู้แล้ว หวานแค่อยากเห็นห้างหรู ๆ ในกรุงเทพฯ บ้างไง แบบไปถ่ายรูปโพสต์ลงอิสตาสแกรมไรงี้ หวานไม่ซื้ออะไรหรอก นะพี่ตาล แล้วเครื่องเราออกตั้งดึก น่าจะมีเวลา”น้ำตาลมองหน้าน้องสาวขี้อ้อนนิ่ง ถอนหายใจ แล้วสายหน้า มันยากมากที่จะทำใจปฏิเสธ และมั
ภูริทัตยืนจ้องหญิงสาวตรงหน้าตาค้าง“ฉันฝันไปรึเปล่าเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอเธอที่นี่”น้ำตาลยืนเงียบ ไม่รู้ว่าจะพูดหรือตอบอะไร เพราะตอนนี้ในหัวสมองเธอมีคำเดียวคือต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ยังไม่ทันที่สมองจะได้สั่งการ เธอฉวยมือน้องสาวแล้วรีบหันหลังหนีทันที“เดี๋ยวก่อนตาล เธอจะไปไหน” ภูริทัตร้องเรียกและรีบเดินไปดักหน้าน้ำตาลหยุดเดิน จำใจต้องยอมเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม“นายมีอะไร”“เปล่า ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ” เขารีบตอบ กลัวว่าเธอจะหันหลังหนีอีกทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งครู่หนึ่ง เกิดคำถามและคำพูดมากมายที่อยากเอ่ยออกไป แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงเงียบ พูดไม่ออก“เอ่อ…เธอเปลี่ยนทรงผม” ภูริทัตเอ่ยทำลายความเงียบ สิ่งที่อยากพูดอยากถามกลับไม่ถูกเอ่ยออกมาเขาพูดถูก เมื่อสามปีก่อนเธอไว้ผมยาวตรง แต่ตอนนี้เธอตัดผมสั้นประบ่าและไว้ผมหน้าม้า ถ้าหากว่าสถานการณ์แตกต่างไปน้ำตาลย่อมจะทักเขาด้วย เขาดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ผมเขายาวขึ้น หุ่นล่ำขึ้น โดยรวมคือดูดีขึ้นจากเดิมที่ดูดีอยู่แล้ว“ตาลเธอหายไปไหน เธอรู้มั้ยว่าสามปีมานี้พวกฉันพยายามตามหาเธอแค่ไหน พี่ภู…” เมื่อประโยคแรกได้พูดออกไปแล้วหลังจากความตกตะลึ
ภูริวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผม หัวเสียกับตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา มันยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย เธอบอกว่าไม่มีความสุขกับเขา มันจุก แน่นในอกไปหมด“พี่ขอโทษ” ในที่สุดเขาก็สามารถพูดอะไรออกมาได้ “พี่ขอโทษที่ทำให้ตาลไม่มีความสุข” ใบหน้าที่เคยหยิ่งทะนงเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลง“ไม่ค่ะพี่ภู” น้ำตาลรีบห้าม ไม่ชอบเห็นเขาแบบนี้เลย “เป็นตาลเองที่เห็นแก่ตัว ตอนที่เราแต่งงานกัน พี่ต้องเรียนต่อเฉพาะทางและกำลังก้าวหน้าในอาชีพ พี่เลยไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้อยู่กับตาล ตาลเห็นแก่ตัวที่อยากให้พี่อยู่ด้วยแต่มันเป็นไปไม่ได้” เธอยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อที่ให้มือไม่ว่างความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ภูริวัฒน์เหมือนกำลังจมหายไปกับความคิดตัวเอง ในขณะที่น้ำตาลกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสมองอันปราศเปรื่องของเขาจะว่ายังไง เขาเป็นอัจฉริยะเสมอ และเป็นหมอที่เก่งมาก เธอเองนั่นแหละที่ไม่เหมาะสมคู่ควรกับเขาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภูริวัฒน์หยิบมันออกมาด
ภูริวัฒน์เดินนำหญิงสาวไปยังรถที่จอดอยู่หน้าโรงแรมแต่เธอหยุดเดิน เขาจึงหยุดแล้วหันกลับมามองเพราะสงสัย“เราเดินไปได้มั้ยคะ”น้ำตาลไม่อยากนั่งอยู่ในที่แคบ ๆ ในรถกับเขาสองต่อสอง เพราะให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันเกินไป แล้วจะทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก“ได้สิ ไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกัน พี่เห็นมีอยู่ร้านนึงตรงหัวมุมดูน่านั่งดี”“ค่ะ ตาลว่าน่าจะร้านเดียวกับที่ตาลเห็น ตรงหัวมุมโน้น” เธอหันหน้าชี้นิ้วไปยังทางที่ตั้งร้านเมื่อตกลงกันได้ทั้งสองคนออกเดินอีกครั้ง ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไรกันจนกระทั่งถึงร้านกาแฟ ไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ แล้วเลือกนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง“ตาลตัดผมเหรอ” ภูริวัฒน์ทักขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาสักพักน้ำตาลฝืนยิ้มให้เพราะเขาทักเหมือนกับที่น้องชายทักเมื่อเจอกันครั้งแรก เธอยกมือขึ้นลูบผมหน้าม้า “ค่ะ ตาลอยากเปลี่ยนบ้าง”“ยังไงตาลก็สว
“ตาลหายไปไหนมา ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไป”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธปนน้อยใจที่ทำให้น้ำตาลวางเฉยไม่ได้ แต่เธอไม่พร้อมตอบคำถามนี้เลย เธอสามารถหลีกเลี่ยงที่จะตอบได้ตอนที่ภูริทัตถาม แต่กับคนตรงหน้า มันต่างออกไป“พี่ภู คือว่า…ตาลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” เธอขอร้องสันกรามแกร่งบดเข้าหากันด้วยความอดกลั้นสุดขีด จะด้วยความโกรธหรือน้อยจะอะไรก็แล้วแต่“ตาลบอกทัตว่าตาลอยู่ที่นี่แต่กลับไม่บอกพี่”น้ำตาลเงยหน้ามอง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดในเรื่องนี้“ตาลไม่ได้บอกทัตแต่ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ตาลเจอทัตที่ห้าง แล้วหวานเกิดปวดท้องไส้ติ่งกะทันหัน”ภูริวัฒน์ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ทัตไม่ได้บอกพี่เรื่องนี้”“ตาลให้ทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ว่าตาลอยู่ที่ไหน”“ทำไม” เขาจ้องหน้าเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ หรือว่าลืมไปแล้ว”
ชายหนุ่มตรงหน้าดูสูงขึ้น เขาสวมสูทสีเทาและเสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าหนังสีดำขัดเงา ผมสีดำตัดรองทรงสูง แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้เขาดูอ่อนล้าและแก่กว่าอายุจริง ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูหล่อเหลา เขาเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอเจอเขาสมัยเรียนมหาลัยวิทยาลัยมากไม่ใช่น้ำตาลคนเดียวที่ยืนตัวแข็งค้าง ผู้มาเยือนเองก็เช่นกัน เขากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะเป็นเธอที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา เธอที่เป็นภรรยาเขาตัวเป็น ๆน้ำตาลรู้สึกขมฝาดในคอ ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีก ทว่ายังแอบชื่นชมความหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า ซ้ำยังเตือนให้นึกถึงหนึ่งในหลายเหตุผลที่ตกหลุมรักเขา แต่ขณะเดียวกันเธอก็ระลึกถึงความทรงจำเมื่อสามปีก่อนว่าทำไมถึงตัดสินใจหนีเขามา เธอรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังกระหน่ำเต้นแรง ตกใจ ตื่นเต้น หวั่นเกรง ความรู้สึกเธอตีกันยุ่งสับสนไปหมด“พี่ภู”เสียงเรียกเบาราวกระซิบหลุดรอดจากริมฝีปากเสมือนว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันทิ้งให้เกิดความเงียบชั่วขณะ พอตั้งสติได้แล้วเธอจึงถามเขาต่อ“ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ได้ ทัตบอกพี่เหรอว่าตาลอยู่ที่นี่” เสียงเธอดังขึ้นเมื่อรู้ส
สองวันถัดมาหมออนุญาตให้น้ำหวานกลับบ้านได้ น้ำตาลตัดสินใจเช่าโรงแรมใหม่ที่ค่าห้องถูกกว่าเพื่อประหยัดงบแต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันซึ่งยังอยู่ในละแวกเดิมเพราะแถวนี้มีที่พักราคาถูกให้เลือกมากมาย เพื่อนหนุ่มอย่างภูริทัตอาสาแกมบังคับทำหน้าที่รับส่ง ซึ่งเธอยอมรับน้ำใจ แต่เมื่อเขาชวนเธอไปพักที่บ้านตน เธอรีบยืนกรานปฏิเสธหนักแน่นเช้านี้น้ำตาลจ้องนามบัตรในมือเป็นรอบที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ แล้วได้แต่ถามตัวเองว่าเธอจะกล้าไปหาเขาเหรอ เธอยังมีหน้าไปหาเขาอีกเหรอ แต่หากจะบอกว่าเธอไม่อยากเจอเขาอีกครั้งต้องยอมรับว่าโกหกประตูห้องน้ำถูกเปิดออก น้ำหวานเดินออกมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ“พี่อาบน้ำเสร็จแล้วจะออกไปซื้ออะไรมาให้กิน” น้ำตาลลุกขึ้นยืน“หวานอยากกลับบ้านแล้วอะ” น้องสาวครวญ“แหม ก่อนหน้าบอกอยากอยู่ต่อ” พี่สาวแกล้งว่า“พี่ตาลอะ อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย” บ่นพร้อมหยิบรีโมททีวีมาเปิด“ทนหน่อย ยังเจ็บแผลอยู่ไม่ใช่เหรอ รอดูอาการอีกสองสามวัน ถ้าโอเคแล้วเรากลับบ้านกัน พี่จะดูว่าจะกลับเครื่องหรือรถทัวร์ อันไหนจะกระเทือนน้อยกว่า”“หวานรู้ค่ะ พี่ตาลต้องลำบากลางานเพราะหวานอีก”“ไม่เป็นไร นี่มันเรื่องสุด
น้ำตาลกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกผิดเป็นครั้งแรกหลังจากปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน “ฉันขอโทษ”“ตาล เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟัง และฉันจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น” เขายกแขนขึ้นมาโอบไหล่เพื่อนสาวเมื่อเห็นว่าเธอรู้สึกกดดัน “แต่ฉันแค่คิดถึงเธอจริง ๆ”น้ำตาลยิ้ม นึกถึงช่วงเวลาที่เจอกับภูริทัตสมัยเรียน “ฉันก็คิดถึงนาย” น้ำตาลทิ้งช่วงสักระยะแล้วค่อยพูดต่อ “ฉันว่าฉันจะกลับโรงแรมไปเก็บของมาเฝ้าไข้ยัยหวาน แล้วยังต้องยกเลิกตั๋วกลับด้วย”“จะไปเช่าโรงแรมอยู่ให้เปลืองทำไมกันตาล ไปพักที่บ้านฉันสิ”“ฉันไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก” น้ำตาลสวนกลับทันควัน“เพราะแม่ใช่มั้ย”“ฉันไม่อยากตอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ “ก็ได้ แต่ไหน ๆ เธอยังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก สัญญากับฉันได้มั้ยว่าเธอจะไปเจอพี่ภู ถือว่าฉันขอร้อง”“ทัต…”“ฉันรักษาสัญญากับเธอนะตาล ถึงฉันจะอยากบอกพี่ภูแทบตายว่าเจอเธอแล้ว แต่ฉันไม่คิดจะหักหลังความเชื่อใจเธอ ตาลตอนนี้พี่ภูไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก แต่ฉันมั่นใจว่าถ้าได้เจอเธอจะทำให้เขาดีขึ้น” ภูริทัตล้วงเอากระเป๋าสตางค์ออกมาเปิด หยิบนามบัตรยื่นส่งให้ “อะ นี่ที่อยู่โรงพยาบาล เผื่อเ
เมื่อถึงโรงพยายาบาล หลังจากที่ตรวจเบื้องต้นแล้ว น้ำหวานก็ถูกส่งไปยังห้องผ่าตัดโดยด่วนเนื่องจากไส้ติ่งแตก น้ำตาลและภูริทัตรออยู่หน้าห้อง เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงคุณหมอก็เดินออกมา น้ำตาลจึงรีบเดินเข้าไปหา“เป็นยังไงบ้างคะหมอ”“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง โชคดีที่นำตัวคนไข้มาส่งโรงพยาบาลทัน ให้คนไข้พักดูอาการสักสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้วครับ”“ขอบคุณค่ะ”“เดี๋ยวพยาบาลจะรับหน้าที่ต่อจากนี้นะครับ หมอขอตัวก่อน”หมอหนุ่มยิ้มให้แล้วเดินกลับไปภูริทัตเดินเข้ามายืนด้านข้าง “ไม่เป็นไรแล้วนะตาล”“อืม” น้ำตาลพยักหน้ารับ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอหนักใจไม่น้อย“ทัต พี่ภูไม่ได้ทำงานที่นี่ใช่มั้ย” ที่เธอถามเพราะภูริทัตเป็นคนพามาโรงพยาบาลนี้เพื่อนหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ เธอไม่ต้องกังวล”“อืม” น้ำตาลกัดริมฝีปากและพยักหน้าจากนั้นพยาบาลก็เดินออกมาหาญาติคนไข้ บอกกล่าวเรื่องการนำตัวคนไข้ไปยังห้องพักฟื้นและเรื่องขั้นตอนการรักษาต่าง ๆ“เดี๋ยวฉันจัดการให้ เธอไม่ต้องห่วง” ภูริทัตอาสา“ขอบใจนะทัต”น้ำตาลนั่งมองหน้าน้องสาวที่ขณะนี้กำลังหลับเพราะฤทธิ์ยา การอยู่เงียบ ๆ
“อ๋อ…คุณเป็นน้องชายพี่ภูใช่มั้ยคะ”ภูริทัตพยักหน้ายิ้มให้ “ดีใจที่เธอจำฉันได้”“ต้องจำได้สิคะ ตอนนั้นหวานอายุสิบห้าแล้วไม่ใช่เด็กสองขวบ” น้ำหวานหยุดพูด หันมองพี่สาว “แต่พี่ตาลไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องตอนนั้น” เธอลดเสียงลง“ฉันเข้าใจ” ภูริทัตยิ้มพยักหน้าให้“หวาน!” น้ำตาลส่งเสียงเตือนน้อง“ที่นี่มีร้านอร่อยหลายร้าน พวกเธออยากกินอะไร”“อะไรก็ได้ นายเป็นเจ้ามือมั้ยล่ะ” น้ำตาลรีบบอก ขืนให้เลือกสักร้านในห้างนี้กระเป๋าเธอได้ฉีก“นิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” เพื่อนหนุ่มส่ายหน้าหัวเราะ“ใครจะไปรวยเหมือนนาย” น้ำตาลค้อนน้ำตาลไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แต่ที่ยอมมาด้วยเพราะภูริทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ชาย เธอรู้ว่าภูริทัตชอบมาเดินที่นี่ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายสุด ๆ ที่เธอมาที่นี่อีกครั้งในรอบสามปีแล้วเจอเขาเข้าพอดี“พวกเธอมาทำอะไรที่กรุงเทพฯ เหรอ” ภูริทัตถาม “ฉันคิดว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่งั้นพวกฉันคงเจอเธอแล้ว”“เมื่อวานเป็นวันเกิดหวาน พี่ตาลเลยพามาเที่ยวเป็นของขวัญวันเกิด” น้องสาวตอบแทนน้ำตาลหรี่ตาเตือน “หวาน!”“แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ภูริทัตอวยพร แกล้งทำเป็นไม่สนใจคนเป็นพี่ที่เอาแต่ปิดกั้นตัวเอง“ขอบคุณค
ภูริทัตยืนจ้องหญิงสาวตรงหน้าตาค้าง“ฉันฝันไปรึเปล่าเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอเธอที่นี่”น้ำตาลยืนเงียบ ไม่รู้ว่าจะพูดหรือตอบอะไร เพราะตอนนี้ในหัวสมองเธอมีคำเดียวคือต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ยังไม่ทันที่สมองจะได้สั่งการ เธอฉวยมือน้องสาวแล้วรีบหันหลังหนีทันที“เดี๋ยวก่อนตาล เธอจะไปไหน” ภูริทัตร้องเรียกและรีบเดินไปดักหน้าน้ำตาลหยุดเดิน จำใจต้องยอมเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม“นายมีอะไร”“เปล่า ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ” เขารีบตอบ กลัวว่าเธอจะหันหลังหนีอีกทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งครู่หนึ่ง เกิดคำถามและคำพูดมากมายที่อยากเอ่ยออกไป แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงเงียบ พูดไม่ออก“เอ่อ…เธอเปลี่ยนทรงผม” ภูริทัตเอ่ยทำลายความเงียบ สิ่งที่อยากพูดอยากถามกลับไม่ถูกเอ่ยออกมาเขาพูดถูก เมื่อสามปีก่อนเธอไว้ผมยาวตรง แต่ตอนนี้เธอตัดผมสั้นประบ่าและไว้ผมหน้าม้า ถ้าหากว่าสถานการณ์แตกต่างไปน้ำตาลย่อมจะทักเขาด้วย เขาดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ผมเขายาวขึ้น หุ่นล่ำขึ้น โดยรวมคือดูดีขึ้นจากเดิมที่ดูดีอยู่แล้ว“ตาลเธอหายไปไหน เธอรู้มั้ยว่าสามปีมานี้พวกฉันพยายามตามหาเธอแค่ไหน พี่ภู…” เมื่อประโยคแรกได้พูดออกไปแล้วหลังจากความตกตะลึ