น้ำตาลกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกผิดเป็นครั้งแรกหลังจากปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน “ฉันขอโทษ”
“ตาล เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟัง และฉันจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น” เขายกแขนขึ้นมาโอบไหล่เพื่อนสาวเมื่อเห็นว่าเธอรู้สึกกดดัน “แต่ฉันแค่คิดถึงเธอจริง ๆ”
น้ำตาลยิ้ม นึกถึงช่วงเวลาที่เจอกับภูริทัตสมัยเรียน “ฉันก็คิดถึงนาย” น้ำตาลทิ้งช่วงสักระยะแล้วค่อยพูดต่อ “ฉันว่าฉันจะกลับโรงแรมไปเก็บของมาเฝ้าไข้ยัยหวาน แล้วยังต้องยกเลิกตั๋วกลับด้วย”
“จะไปเช่าโรงแรมอยู่ให้เปลืองทำไมกันตาล ไปพักที่บ้านฉันสิ”
“ฉันไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก” น้ำตาลสวนกลับทันควัน
“เพราะแม่ใช่มั้ย”
“ฉันไม่อยากตอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”
ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ “ก็ได้ แต่ไหน ๆ เธอยังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก สัญญากับฉันได้มั้ยว่าเธอจะไปเจอพี่ภู ถือว่าฉันขอร้อง”
“ทัต…”
“ฉันรักษาสัญญากับเธอนะตาล ถึงฉันจะอยากบอกพี่ภูแทบตายว่าเจอเธอแล้ว แต่ฉันไม่คิดจะหักหลังความเชื่อใจเธอ ตาลตอนนี้พี่ภูไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก แต่ฉันมั่นใจว่าถ้าได้เจอเธอจะทำให้เขาดีขึ้น” ภูริทัตล้วงเอากระเป๋าสตางค์ออกมาเปิด หยิบนามบัตรยื่นส่งให้ “อะ นี่ที่อยู่โรงพยาบาล เผื่อเธอจะลืม ฉันอยู่เป็นเพื่อนน้องเธอได้ถ้าเธอห่วงว่าจะไม่มีคนดู”
น้ำตาลยิ้มแบ่งรับแบ่งสู้ “อืม ฉันจะลองคิดดูอีกที” บอกแล้วอ่านนามบัตร
นายแพทย์ภูริวัฒน์ จิรวาณิชย์ น้ำตาลจ้องชื่อที่ปรากฏอยู่นิ่งนาน เหมือนกับตอกย้ำความจริงที่ว่าเธอยังคงใช้นามสกุลเดียวกับที่ปรากฏในนามบัตรนี้อยู่
“เธอต้องบอกฉันด้วยว่าตอนนี้เธอพักอยู่ที่ไหน” เสียงของเพื่อนดึงความสนใจของน้ำตาลกลับมา
“นายนี่น่ารำคาญชะมัด” เธอแกล้งว่า
คนถูกต่อว่าหัวเราะร่วน
“โอ๊ย!”
น้ำหวานแกล้งส่งเสียงร้องขึ้นเมื่อเห็นจังหวะเหมาะ เพราะเธอพอได้ฟังเรื่องราวของพี่สาวคร่าว ๆ ทำให้รู้ว่าที่พี่สาวกลับบ้านเพราะมีปัญหากับพี่เขย
เสียงร้องของน้องสาวเรียกให้น้ำตาลรีบรี่เข้าไปดูด้วยความเป็นห่วง “เป็นอะไรหวาน”
“เจ็บแผลอะพี่ตาล” คนป่วยโอดครวญให้สมจริงแต่ก็เจ็บจริง ๆ นั่นแหละ
น้ำตาลกรอกตาใส่ ถอนใจด้วยความโล่งอก “ลองถ้าเป็นอย่างนี้ก็สบายใจได้”
“โธ่พี่ตาลก็”
“พี่ไปบอกพยาบาลก่อนนะว่าหวานตื่นแล้ว
“ฉันไปเอง” ภูริทัตอาสาแล้วเดินออกนอกห้องไป ไม่นานพยาบาลก็เข้ามาดูการคนป่วยที่เพิ่งฟื้น
“ทุกอย่างเรียบร้อยดีนะคะ ไม่มีปัญหาอะไร ไม่เกินสองวันก็น่าจะกลับบ้านได้แล้วค่ะ แต่รอคุณหมอคอนเฟิร์มอีกทีนะคะ” พยาบาลบอกแล้วขอตัว
“หวานพี่ไปเก็บของที่โรงแรมก่อนนะ แล้วจะมานอนเฝ้าหวานที่นี่ พี่ต้องทำเรื่องจองห้องต่ออีก อยากให้หวานพักฟื้นที่นี่สักระยะแล้วค่อยเดินทางกลับ” น้ำตาลบอกน้องสาวแล้วหันไปหาเพื่อนหนุ่ม “ทัตฝากดูยัยหวานทีนะ”
ภูริทัตสบตากับน้ำหวานโดยบังเอิญ และมีบางอย่างที่สื่อสารกันเข้าใจโดยไม่ต้องเอ่ยคำ
“ฉันไปเป็นเพื่อนเธอดีกว่าตาล ที่นี่มีพยาบาลดูแล” พูดจบก็ชำเลืองมองคนป่วยบนเตียง เห็นมุมปากยกยิ้มพอใจ
“แต่ฉันว่า…”
“พี่ตาลหวานอยู่คนเดียวได้ไม่ต้องห่วง ถ้ามีไรหวานเรียกพยาบาลได้” น้องสาวรีบเอ่ยแทรก
น้องสาวและเพื่อนสนิทต่างมองหน้าเธอเล่นเอาน้ำตาลรู้สึกโดนกดดันแปลก ๆ
“เอ่อ…ก็ได้”
ก่อนจะทิ้งให้น้องสาวอยู่คนเดียวน้ำตาลยังไม่วายย้ำแล้วย้ำอีกด้วยความเป็นห่วงแม้จะรู้ว่าไม่มีอะไรก็ตาม เธอเลี้ยงน้องมาคนเดียวตั้งแต่แม่เสีย เลยติดที่จะคิดว่าตัวเองต้องเป็นคนรับผิดชอบน้องสาวทุกอย่าง
“เธอยังไม่ได้กินอะไรเลยนะตาล ไปหาอะไรกินกันก่อนดีกว่า”
“นายหิวเหรอ”
“อืม”
“ก็ได้” เธอก็เพิ่งจะรู้สึกหิวแล้วเหมือนกัน
“เธออยากกินไร”
“อะไรก็ได้ เอาที่เร็ว ๆ ง่าย ๆ ไม่เอาตามร้านอาหารนะ ขี้เกียจรอ” ใจน้ำตาลเป็นห่วงน้องสาว ไม่อยากทิ้งให้อยู่คนเดียวนาน ๆ
“รู้แล้วน่า”
ภูริทัตเลี้ยวรถเข้าข้างทางที่เห็นว่ามีร้านตามสั่งอยู่ ทั้งสองสั่งอาหารง่าย ๆ มากินแก้หิว ข้าวผัดพริกแกงของน้ำตาล และข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวของภูริทัต
“ตอนนี้นายทำอะไรอยู่เหรอ” น้ำตาลชวนคุยระหว่างกินข้าว
“ฉันทำงานเกี่ยวกับซื้อขายที่ดินแล้วก็เก็งกำไร” เขาตอบ
“นายหน้าเหรอ”
“ก็ประมาณนั้น”
“ดูท่าน่าจะรวย ฟันกำไรงามเลยละสิท่า ว่าแต่ขายได้กับเฉพาะลูกค้าผู้หญิงรึเปล่า”
“อะไรตาล น้อย ๆ หน่อย ท่าทางเธอนี่ดูถูกฉันมากเลย” เพื่อนหนุ่มแกล้งว่า
น้ำตาลหัวเราะ “โทษที ฉันไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น”
“นี่แหละเรียกว่าดูถูก นิสัยไม่เปลี่ยนเลยเธอนี่” ภูริทัตย้ำ หัวเราะลั่น ไม่ได้ไม่พอใจ
“ฮ่า ๆ ๆ” คราวนี้น้ำตาลหัวเราะลั่น
เมื่อกินข้าวกันเสร็จภูริทัตก็ขับรถพาเพื่อนไปเก็บของที่โรงแรม ถึงจะไว้ใจ แต่ความจริงเขากลัวว่าเธอจะหนีแล้วจะไม่ได้เจอกันอีก
สองวันถัดมาหมออนุญาตให้น้ำหวานกลับบ้านได้ น้ำตาลตัดสินใจเช่าโรงแรมใหม่ที่ค่าห้องถูกกว่าเพื่อประหยัดงบแต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันซึ่งยังอยู่ในละแวกเดิมเพราะแถวนี้มีที่พักราคาถูกให้เลือกมากมาย เพื่อนหนุ่มอย่างภูริทัตอาสาแกมบังคับทำหน้าที่รับส่ง ซึ่งเธอยอมรับน้ำใจ แต่เมื่อเขาชวนเธอไปพักที่บ้านตน เธอรีบยืนกรานปฏิเสธหนักแน่นเช้านี้น้ำตาลจ้องนามบัตรในมือเป็นรอบที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ แล้วได้แต่ถามตัวเองว่าเธอจะกล้าไปหาเขาเหรอ เธอยังมีหน้าไปหาเขาอีกเหรอ แต่หากจะบอกว่าเธอไม่อยากเจอเขาอีกครั้งต้องยอมรับว่าโกหกประตูห้องน้ำถูกเปิดออก น้ำหวานเดินออกมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ“พี่อาบน้ำเสร็จแล้วจะออกไปซื้ออะไรมาให้กิน” น้ำตาลลุกขึ้นยืน“หวานอยากกลับบ้านแล้วอะ” น้องสาวครวญ“แหม ก่อนหน้าบอกอยากอยู่ต่อ” พี่สาวแกล้งว่า“พี่ตาลอะ อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย” บ่นพร้อมหยิบรีโมททีวีมาเปิด“ทนหน่อย ยังเจ็บแผลอยู่ไม่ใช่เหรอ รอดูอาการอีกสองสามวัน ถ้าโอเคแล้วเรากลับบ้านกัน พี่จะดูว่าจะกลับเครื่องหรือรถทัวร์ อันไหนจะกระเทือนน้อยกว่า”“หวานรู้ค่ะ พี่ตาลต้องลำบากลางานเพราะหวานอีก”“ไม่เป็นไร นี่มันเรื่องสุด
ชายหนุ่มตรงหน้าดูสูงขึ้น เขาสวมสูทสีเทาและเสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าหนังสีดำขัดเงา ผมสีดำตัดรองทรงสูง แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้เขาดูอ่อนล้าและแก่กว่าอายุจริง ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูหล่อเหลา เขาเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอเจอเขาสมัยเรียนมหาลัยวิทยาลัยมากไม่ใช่น้ำตาลคนเดียวที่ยืนตัวแข็งค้าง ผู้มาเยือนเองก็เช่นกัน เขากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะเป็นเธอที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา เธอที่เป็นภรรยาเขาตัวเป็น ๆน้ำตาลรู้สึกขมฝาดในคอ ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีก ทว่ายังแอบชื่นชมความหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า ซ้ำยังเตือนให้นึกถึงหนึ่งในหลายเหตุผลที่ตกหลุมรักเขา แต่ขณะเดียวกันเธอก็ระลึกถึงความทรงจำเมื่อสามปีก่อนว่าทำไมถึงตัดสินใจหนีเขามา เธอรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังกระหน่ำเต้นแรง ตกใจ ตื่นเต้น หวั่นเกรง ความรู้สึกเธอตีกันยุ่งสับสนไปหมด“พี่ภู”เสียงเรียกเบาราวกระซิบหลุดรอดจากริมฝีปากเสมือนว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันทิ้งให้เกิดความเงียบชั่วขณะ พอตั้งสติได้แล้วเธอจึงถามเขาต่อ“ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ได้ ทัตบอกพี่เหรอว่าตาลอยู่ที่นี่” เสียงเธอดังขึ้นเมื่อรู้ส
“ตาลหายไปไหนมา ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไป”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธปนน้อยใจที่ทำให้น้ำตาลวางเฉยไม่ได้ แต่เธอไม่พร้อมตอบคำถามนี้เลย เธอสามารถหลีกเลี่ยงที่จะตอบได้ตอนที่ภูริทัตถาม แต่กับคนตรงหน้า มันต่างออกไป“พี่ภู คือว่า…ตาลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” เธอขอร้องสันกรามแกร่งบดเข้าหากันด้วยความอดกลั้นสุดขีด จะด้วยความโกรธหรือน้อยจะอะไรก็แล้วแต่“ตาลบอกทัตว่าตาลอยู่ที่นี่แต่กลับไม่บอกพี่”น้ำตาลเงยหน้ามอง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดในเรื่องนี้“ตาลไม่ได้บอกทัตแต่ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ตาลเจอทัตที่ห้าง แล้วหวานเกิดปวดท้องไส้ติ่งกะทันหัน”ภูริวัฒน์ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ทัตไม่ได้บอกพี่เรื่องนี้”“ตาลให้ทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ว่าตาลอยู่ที่ไหน”“ทำไม” เขาจ้องหน้าเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ หรือว่าลืมไปแล้ว”
ภูริวัฒน์เดินนำหญิงสาวไปยังรถที่จอดอยู่หน้าโรงแรมแต่เธอหยุดเดิน เขาจึงหยุดแล้วหันกลับมามองเพราะสงสัย“เราเดินไปได้มั้ยคะ”น้ำตาลไม่อยากนั่งอยู่ในที่แคบ ๆ ในรถกับเขาสองต่อสอง เพราะให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันเกินไป แล้วจะทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก“ได้สิ ไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกัน พี่เห็นมีอยู่ร้านนึงตรงหัวมุมดูน่านั่งดี”“ค่ะ ตาลว่าน่าจะร้านเดียวกับที่ตาลเห็น ตรงหัวมุมโน้น” เธอหันหน้าชี้นิ้วไปยังทางที่ตั้งร้านเมื่อตกลงกันได้ทั้งสองคนออกเดินอีกครั้ง ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไรกันจนกระทั่งถึงร้านกาแฟ ไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ แล้วเลือกนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง“ตาลตัดผมเหรอ” ภูริวัฒน์ทักขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาสักพักน้ำตาลฝืนยิ้มให้เพราะเขาทักเหมือนกับที่น้องชายทักเมื่อเจอกันครั้งแรก เธอยกมือขึ้นลูบผมหน้าม้า “ค่ะ ตาลอยากเปลี่ยนบ้าง”“ยังไงตาลก็สว
ภูริวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผม หัวเสียกับตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา มันยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย เธอบอกว่าไม่มีความสุขกับเขา มันจุก แน่นในอกไปหมด“พี่ขอโทษ” ในที่สุดเขาก็สามารถพูดอะไรออกมาได้ “พี่ขอโทษที่ทำให้ตาลไม่มีความสุข” ใบหน้าที่เคยหยิ่งทะนงเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลง“ไม่ค่ะพี่ภู” น้ำตาลรีบห้าม ไม่ชอบเห็นเขาแบบนี้เลย “เป็นตาลเองที่เห็นแก่ตัว ตอนที่เราแต่งงานกัน พี่ต้องเรียนต่อเฉพาะทางและกำลังก้าวหน้าในอาชีพ พี่เลยไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้อยู่กับตาล ตาลเห็นแก่ตัวที่อยากให้พี่อยู่ด้วยแต่มันเป็นไปไม่ได้” เธอยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อที่ให้มือไม่ว่างความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ภูริวัฒน์เหมือนกำลังจมหายไปกับความคิดตัวเอง ในขณะที่น้ำตาลกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสมองอันปราศเปรื่องของเขาจะว่ายังไง เขาเป็นอัจฉริยะเสมอ และเป็นหมอที่เก่งมาก เธอเองนั่นแหละที่ไม่เหมาะสมคู่ควรกับเขาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภูริวัฒน์หยิบมันออกมาด
“แต่หวานต้องไปโรงเรียนนะคะ”คราวนี้ชายหนุ่มยิ้ม “การที่พี่เป็นหมอเด็กทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ต้องรู้เยอะเลย เช่น ช่วงไหนโรงเรียนปิดหรือเปิด”น้ำตาลกัดริมฝีปากตัวเอง เธอหาข้ออ้างอื่นที่มีน้ำหนักไม่ออกเลยลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป“แต่ตาลยังต้องกลับไปทำงาน นี่ก็ลาหยุดมาหลายวันแล้ว” เธอบอกแต่น้ำเสียงไม่หนักแน่นเอาซะเลย“ตาลได้โปรด พี่ขอร้อง พี่จะทำตามที่ตาลบอกทุกอย่าง แค่อยู่ที่นี่ต่อกับพี่อีกสักระยะ พี่…ยังไม่พร้อมที่จะเห็นตาลจากไปอีก”“ตาลไม่รู้” เธอเบือนหน้าหนี ไม่อาจทนมองสายตาวิงวอนระคนเจ็บปวดของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีได้“ตาลไปพักที่บ้านพี่ก็ได้”คราวนี้น้ำตาลแค่นเสียงหัวเราะ “แม่พี่คงจะต้อนรับตาลหรอกค่ะ”“แม่ไปเที่ยวฮ่องกงกับกลุ่มเพื่อน จะไม่กลับบ้านจนกว่าจะอาทิตย์หน้า” เขาบอกแล้วขอร้องเธอต่อ “ขอเวลาให้พี่สักนิด
น้ำตาลนึกถึงช่วงที่แต่งงานกับภูริวัฒน์ ทั้งคู่ไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ต่างหาก แต่อยู่ร่วมบ้านกับแม่และน้องชายเขา บ้านหลังนั้นเป็นของพ่อแม่เขาซึ่งพ่อเขาที่เป็นหมอก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านเช่นกัน ส่วนใหญ่จะพักที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมาก ถ้าหากให้เธอเลือก เธอย่อมอยากแยกออกไปอยู่ต่างหากกับเขาสองคนมากกกว่า แต่เธอหาโอกาสคุยเรื่องนี้กับเขาจริง ๆ จัง ๆ ไม่ได้เลย เนื่องจากชายหนุ่มยุ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่เตรียมตัวสอบ ก็เรื่องคนไข้ เวลาคุยกันก็ชอบเล่าเรื่องเคสต่าง ๆ ให้เธอฟัง แต่ความรักและมุ่งมั่นในอาชีพของเขานี้เองเป็นหนึ่งในหลายข้อที่ทำให้เธอชอบและหลงรักเขาถึงแม้ว่ามันยากที่จะหาเวลาว่างเพื่ออยู่ด้วยกันเธอไม่อยากเพิ่มภาระให้คนเป็นสามีจึงได้แต่ยิ้มรับและยอมอยู่ร่วมกับแม่และน้องชายเขา แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะว่าแม่เขาเกลียดเธอ หล่อนพูดเสมอว่าเธอไม่คู่ควรกับลูกชายหล่อน จนกระทั่งก่อนที่เธอจะจากมา เธอเริ่มจะเห็นด้วยว่าเธอไม่เหมาะสมกับภูริวัฒน์จริง ๆ เธอคิดว่าถ้าไม่มีภูริทัตอยู่ร่วมบ้านด้วย เธอคงจะตัดสินใจจากมาเร็วกว่านี้ แล้วภูริวัฒน์ก็ไม่ค่อยมีเว
“ไม่ค่ะ เอ่อ…ตาลอาจจะขอใช้เครื่องซักผ้าพรุ่งนี้”ร่างสูงยิ้มให้ “ตาล ที่นี่ยังเป็นบ้านตาลอยู่นะ ตาลทำตัวตามสบายเหมือนเดิมเถอะ”ดวงตาคู่งามตวัดมอง พูดด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะ แต่ว่านี่คือบ้านแม่พี่ ไม่ใช่บ้านตาล”“พี่ตาล” เสียงของน้องสาวตะโกนเรียกเพราะเห็นว่าพี่สาวหายตัวไปนาน“ตาลขอตัวก่อนค่ะ” เธอหันหลังเดินกลับห้อง“ตาลพูดถูก” น้ำตาลได้ยินเสียงทุ้มพูดเบา ๆ “พี่ขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ตอนนั้น…เราควรแยกออกไปอยู่ด้วยกันต่างหาก”น้ำตาลหยุดเดินเมื่อถึงหน้าห้อง ส่งยิ้มจริงใจให้ชายหนุ่มที่เดินตามมา “ไม่เป็นไรค่ะพี่ภู เรื่องมันผ่านมาแล้ว”“ผ่านไปแล้วสินะ…” น้ำเสียงฟังดูอ่อนล้าน้ำหวานที่ได้ยินเสียงคนคุยกันด้านนอกจึงเปิดประตู เธอหยิบขวดน้ำและแก้วน้ำจากมือพี่สาว“ขอบคุณค่ะ” พูดจบก็รีบปิดประ
สองปีต่อมาภูริวัฒน์นอนตะแคงข้าง มองผู้หญิงสองคนที่เขารักที่สุดในโลก คนหนึ่งคือภรรยาที่กำลังนอนคว่ำหน้าหมดแรง เนื่องจากเหนื่อยจากการเลี้ยงลูก และอีกหนึ่ง แน่นอนว่าเป็นนางฟ้าตัวน้อยของเขา น้องดาหวัน ซึ่งกำลังหลับปุ๋ยอยู่ระหว่างพ่อและแม่ ในมือกอดขวดนมไว้หลวม ๆ เขาอดใจไม่ไหวยื่นนิ้วออกไปเกลี่ยแพขนตางอนหนาของเจ้าตุ๊กตาตัวน้อย ไม่ได้อยากทำให้ตื่น แต่ทนต่อความน่ารักไม่ไหวจริง ๆไม่มีคำไหนมาบรรยายความรักของเขาที่มีต่อเธอได้เลย ตอนนี้ชีวิตเขากำลังอยู่ในช่วงเวลาอิ่มเอมอย่างที่สุด มีทั้งภรรยาที่รัก และลูกสาวที่น่ารัก นอกจากนี้ แม่เขาก็เปิดใจรับน้ำตาลมากขึ้น หลังจากเกิดเรื่องราวในคืนนั้น แม่กับน้ำตาลแม้จะไม่ได้สนิทกันมากแต่ก็ไม่ได้ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้แบบเมื่อก่อน เขารู้สึกขอบคุณแม่ที่ยอมละทิฐิตัวเองลงไปได้บ้างไม่กี่นาทีถัดมา น้ำตาลรู้สึกตัวตื่นขึ้น เธอหยีตาก่อนที่จะค่อย ๆ ลืมตา“พี่ภูตื่นแล้วเหรอคะ” ถามพร้อมบิดขี้เกียจ
อายุครรภ์ของน้ำตาลล่วงเข้าสู่สัปดาห์ที่ยี่สิบสอง หน้าท้องของเธอตอนนี้นูนขึ้นมาจนสามารถเห็นได้ชัดขึ้นแล้ว และสิ่งที่น่ายินดีคือเธอรู้เพศของลูกแล้ว เธอกับภูริวัฒน์กำลังจะมีลูกสาว ตอนนี้เธอรับรู้การเคลื่อนไหวของแกบ่อยขึ้น น้ำตาลจำได้ว่าครั้งแรกเธอกลัวมาก เธอรู้สึกแปลก ๆ เหมือนมีอะไรขยับในท้อง ด้วยความเป็นห่วงกลัวว่าลูกจะเป็นอันตรายจึงตื่นตระหนก“พี่ภูคะ!” เธอตะโกนเรียกสามีเสียงดังภูริวัฒน์รีบมาหาเธอทันทีโดยที่พันผ้าขนหนูไว้รอบเอวเท่านั้น ผมมีน้ำหยดติ๋ง ๆ หน้าตาเขาตื่นตกใจ “เกิดอะไรขึ้นตาล”“ตาลไม่รู้”เธอมองหน้าเขา แล้วยกมือวางที่หน้าท้อง “ตาลรู้สึกแปลก ๆ ข้างใน”สามีหนุ่มนั่งลงหน้าภรรยา เขาวางมือลงบนหน้าท้องเธอ ทั้งคู่เฝ้ารอจนกระทั่งความรู้สึกแบบเมื่อครู่เกิดขึ้นอีกครั้ง“พี่ภู” น้ำตาลบอกให้เขารู้รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าหล่อเหลา
คุณหมอขยับเครื่องมือไปตามหน้าท้องของน้ำตาลเพื่อหาจังหวะการเต้นของหัวใจของทารกในท้อง เธอรู้สึกตื่นเต้นและกังวลไปหมด รู้ว่าไม่มีอะไรต้องกังวลมากแต่ก็อดไม่ได้ ส่วนภูริวัฒน์ยืนอยู่ด้านข้าง จับมือเธอไว้ขณะที่สายตาจับจ้องที่หน้าจอสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ ที่ในที่สุดก็ปรากฏภาพทารกที่กำลังเจริญเติบโตในครรภ์ ซึ่งหมอบอกว่าอายุประมาณเก้าสัปดาห์ น้ำตาลแทบกลั้นน้ำตาไม่อยู่เมื่อได้เห็นภาพเจ้าตัวเล็กครั้งแรก ทุกสิ่งทุกอย่างยังคงเหลือเชื่อสำหรับเธอมาก เมื่อคุณหมอขยับเครื่องมือ ก็เกิดเสียงดังตุบ ๆ ๆ คุณหมอสาวยิ้มให้“นี่เสียงหัวใจค่ะ” เธอบอกภูริวัฒน์มองหน้าภรรยาพร้อมกับบีบมือ ต่างคนต่างเข้าใจความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนี้ดี มันตื่นเต้นตื้นตันเกินกว่าจะสามารถบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ พอตรวจเสร็จคุณหมอสั่งปรินต์รูปอัลตราซาวด์เจ้าตัวเล็กให้ จากนั้นพยาบาลก็นำมาให้พร้อมกับทำความสะอาดหน้าท้องคนไข้ เสร็จแล้วภูริวัฒน์ก็ช่วยพยุงภรรยาขึ้นจากเตียง“ทั้งแม่และเด็กแข็งแรงดีค่ะ” คุณหมอบอก
น้ำตาลยืนเอามือยันกับผนัง ชะโงกหน้าเหนือชักโครกและรอ แต่ไม่มีอะไรสักอย่าง เธอเป็นแบบนี้มาได้สักพักแล้ว รู้สึกอยากอาเจียน เธอเลยรีบมาที่ห้องน้ำ แต่พอมาถึง โก่งคออาเจียนกลับมีแต่น้ำลายเหนียว ๆ ทำเอาเธอเหนื่อยและเพลียมาก เธออยากให้อาการนี้หายไปสักที สุดท้ายเธอตัดสินใจนั่งลงที่พื้น รู้ว่าถ้ากลับไปนอนพัก อย่างไรเดี๋ยวก็ต้องกลับมาอีก แต่เมื่อนั่งรอไปได้สักพัก ไม่มีทีท่าว่าจะอาเจียนต่อจึงลุกกลับไปนอน แต่เสียงโทรศัพท์มือถือที่วางอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียงดังขึ้น เธอนึกแปลกใจเพราะว่าตอนนี้ใกล้จะตีสี่เข้าไปแล้ว ใครจะโทรมาเวลานี้ เธอควานมือไปหยิบมือถือขึ้นมาดู หัวใจเธอเต้นแรงทันทีเมื่อเห็นชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ เพียงแค่เห็นก็รู้สึกอบอุ่นใจ อาจเป็นเพราะช่วงนี้เธอมีอารมณ์อ่อนไหวมากเป็นพิเศษ“พี่ภู”“ตาล พี่ปลุกตาลรึเปล่า” รู้ว่าเวลานี้เป็นเวลานอนแต่ทนคิดถึงไม่ไหว ทั้งยังตื่นเต้นที่กำลังจะได้เจอ“เปล่าค่ะ” เธอตอบเสียงเหนื่อยจนคนฟังจับได้“ตาลไม่ได้นอนอยู่เหรอ เป็น
สองสัปดาห์ผ่านไปที่น้ำตาลภรรยาสุดรักกลับไปหลังจากที่เธอมาหาเขาพร้อมกับข่าวดี ภูริวัฒน์ยังคิดว่าตัวเองฝันไปที่กำลังจะมีลูก เขารู้สึกถึงช่วงเวลาสุดพิเศษ มีความสุข ยิ้มได้ทั้งวัน จนคนรอบข้างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น เขายังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับใคร แต่แน่นอนว่าเขาจะต้องบอกน้องชายกับแม่เร็ว ๆ นี้ตอนนี้เขากำลังคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่าง เขากับน้ำตาลอยู่ไกลกันคนละจังหวัด เขาเป็นห่วงเธอกับลูก อยากเจอ อยากไปหา ไปดูแล เพราะเธออยู่ในช่วงที่อารมณ์อ่อนไหวและต้องการการดูแลอย่างระมัดระวังที่สุด ผลสอบชิงทุนของน้ำหวานประกาศแล้ว สรุปว่าเธอได้รับทุนสมใจ จึงต้องเตรียมตัวเพื่อที่จะจัดการเอกสารต่าง ๆ เพื่อที่จะได้เดินทางไปเรียนที่ออสเตรเลียในอีกสี่เดือน เขาไม่อยากให้น้ำตาลอยู่ตัวคนเดียวในช่วงเวลานี้ เพราะเธอยืนกรานว่าจะไม่ย้ายมาอยู่กับเขาก่อนที่น้องจะเดินทาง“พี่ภูไม่ต้องมาหรอกค่ะ ตาลอยู่ได้” เสียงภรรยาตอบกลับเมื่อเขาบอกว่าจะไปอยู่กับเธอ“พี่อยากไปอยู่ใกล้ ๆ ตาลกับลูก”“แ
อาการดีใจของคนที่กำลังจะเป็นพ่อทำให้น้ำตาลน้ำตารื้น เธอรักเขา รักผู้ชายคนนี้ ผลลัพธ์ต่างจากที่เธอคาดเอาไว้มาก“ค่ะ เรากำลังจะเป็นพ่อแม่คน” น้ำตาลหัวเราะกับท่าทางดีใจเกินเหตุของเขาภูริวัฒน์ลุกขึ้นยืน ยกมือขึ้นเสยผมแล้วเดินกลับไปกลับมา“พี่จะทำยังไงดีตาล พี่ไม่ยากแยกจากตาลเลย ให้พี่กลับไปพร้อมกับตาลได้มั้ย…”“เดี๋ยวก่อนค่ะพี่ภู” น้ำตาลรีบขัด “ใจเย็นแล้วนั่งลงก่อนค่ะ พี่เดินไปเดินมาแบบนี้ตาลเวียนหัวนะ”เขาหันกลับมาแล้วคุกเข่าตรงหน้าเธอ ใบหน้าหล่อเหลายิ้มกว้าง“ตาลไม่รู้หรอกว่าพี่ดีใจขนาดไหน ตาลทำให้พี่เป็นผู้ชายที่กำลังมีความสุขที่สุดในโลกรู้มั้ย พี่อยากให้ตาลรู้จริง ๆ ว่าตอนนี้พี่รู้สึกยังไง” น้ำเสียงชายหนุ่มตื่นเต้นดีใจพูดย้ำไปย้ำมาน้ำตาลยิ้ม ยื่นมือออกไปแนบแก้มเขา “ตาลรู้ค่ะ ตาลดีใจที่ข่าวนี้ทำให้พี่มีความสุข”“ตาล พี่รักตาล”เขา
สุดท้ายน้ำตาลก็ผล็อยหลับในห้องทำงานของภูริวัฒน์จนได้ การนั่งหลับทำให้เธอเมื่อยตัวและปวดคอ แต่ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้นหลังจากได้หลับสักงีบ การตั้งครรภ์ทำให้เธอเหนื่อยง่ายและอ่อนเพลียกว่าปกติ หวังว่าจะไม่เป็นแบบนี้จนกระทั่งคลอดหรอกนะ เธอลุกขึ้น เดินไปหยุดที่ริมหน้าต่าง สักพักประตูห้องก็ถูกผลักเข้ามา เธอหันไปมอง ปรากฏว่าไม่ใช่คนที่เธอคิด หญิงสาวร่างสูงโปร่งในชุดเสื้อกาวน์สีขาวกำลังเดินเข้ามา ทำไมเวลาที่เธออยู่ที่นี้ถึงต้องเจอหล่อนแบบนี้ทุกครั้งเธอไม่ได้กินหญ้านะที่ดูไม่ออกว่าคุณหมอสาวคิดอะไรกับสามีตัวเองอยู่ คงลุ้นให้เธอกับเขาเลิกกันแล้วตัวเองจะเข้ามาเสียบละสิ“ตาล ได้ยินว่าเธออยู่ที่นี่ เป็นไงบ้างล่ะ” คุณหมอสาวทัก“สวัสดีค่ะ ตาลสบายดี แล้วคุณล่ะคะ” น้ำตาลถามกลับตามมารยาท“ก็ดี แต่วันนี้ยุ่งทั้งวัน แต่ก็ใกล้จะเสร็จแล้ว”“อ้อค่ะ ตาลเห็นแล้วค่ะ”น้ำตาลไม่ได้เกลียดธรรมิกา เพราะหล่อนไม่เคยทำอะไรไ
ญาติของภูริวัฒน์นิสัยดีทุกคน และก็สนิทกัน ไม่แปลกใจเลยที่พวกเขาจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นกับภูริวัฒน์ที่จู่ ๆ ภรรยาก็หายไป“เอ่อ ขอโทษครับ ผมไม่ได้ตั้งใจจะ…” เขารีบบอกเมื่อเห็นน้ำตาลเงียบ“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันกับพี่ภูมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกัน แต่เรากำลังแก้ปัญหากันอยู่” น้ำตาลบอกอย่างตรงไปตรงมา“ผมดีใจด้วยนะครับ อ้อ คุณน่าจะมาที่บ้านเราในช่วงสงกรานต์นี้นะครับ พี่ทัตมาทุกปี ส่วนพี่ภู รายนั้นถ้าไม่ติดงานก็นาน ๆ มาที”“ค่ะ” น้ำตาลยิ้มให้ เธอไม่คิดปฏิเสธเพราะเห็นความจริงใจของคนเชิญ“ตอบตกลงแล้วห้ามเบี้ยวนะครับ ผมจะไปประกาศในไลน์กลุ่มครอบครัว”น้ำตาลหัวเราะ ขณะเดียวกันภูริวัฒน์ก็เดินออกจากห้องตรวจมาพอดี เขาหยุดคุยกับนางพยาบาลก่อนที่จะสังเกตเห็นเธอ การได้ประสานสายตากับชายหนุ่มเพียงเสี้ยววินาทีกลับทำให้น้ำตาลรู้สึกประหม่าแต่ก็ยิ้มบาง ๆ ให้ สีหน้าของเขาดูประหลาดใจไม่น้อย เขายิ้มกว้างให้เธอแล้วรีบเดินตรงมา
หลังออกจากร้านอาหารที่นัดกับแม่สามีไว้ น้ำตาลเดินมาตามถนนเรื่อย ๆ เธอไม่ได้รู้สึกหิวมากแม้ว่าจะใกล้เที่ยงแล้วเพราะเธอกินแซนด์วิชมาแล้วขณะอยู่บนเครื่องบิน เธอเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเลยตัดสินใจแวะ ตลอดทางยังคิดถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับแม่สามีที่หล่อนบอกว่าลูกชายหล่อนต้องเลือกหล่อนอยู่แล้ว ทั้งยังบอกว่าคนที่เหมาะสมกับภูริวัฒน์คือธรรมิกา ยังคงเป็นเช่นเดิมอยู่อย่างนั้นสินะ ถึงจะบอกว่าไม่ใส่ใจ แต่มันก็ยากที่จะไม่ให้คำพูดหล่อนทำร้ายเธอ เมื่อก่อนเธอพยายามขบคิดว่าเธอไปทำอะไรไว้หล่อนถึงเกลียดเธอได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าไม่ใช่เป็นเพราะเธอ แต่เป็นเพราะฝ่ายนั้นต่างหากขณะที่กำลังกินมื้อกลางวันอยู่ น้ำตาลก็คิดจะโทรหาภูริวัฒน์เพื่อบอกว่าเธออยู่ไหน ประมาณว่าเธอจะเซอร์ไพรส์เขา แต่ก็อีกนั่นแหละ เธอกับเขาไม่ได้พูดกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว บางทีมันอาจไม่ใช่เซอร์ไพรส์ก็ได้ แล้วเรื่องเซอร์ไพรส์หนหลังของทั้งคู่ก็จบลงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และคนที่ผิดเต็ม ๆ เลยคือเธอที่โมโหใส่เขาน้ำตาลถอนใจ หยิบโทรศัพท์มือถือ เปิดรายชื่อผู้ติดต่