สองวันถัดมาหมออนุญาตให้น้ำหวานกลับบ้านได้ น้ำตาลตัดสินใจเช่าโรงแรมใหม่ที่ค่าห้องถูกกว่าเพื่อประหยัดงบแต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันซึ่งยังอยู่ในละแวกเดิมเพราะแถวนี้มีที่พักราคาถูกให้เลือกมากมาย เพื่อนหนุ่มอย่างภูริทัตอาสาแกมบังคับทำหน้าที่รับส่ง ซึ่งเธอยอมรับน้ำใจ แต่เมื่อเขาชวนเธอไปพักที่บ้านตน เธอรีบยืนกรานปฏิเสธหนักแน่น
เช้านี้น้ำตาลจ้องนามบัตรในมือเป็นรอบที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ แล้วได้แต่ถามตัวเองว่าเธอจะกล้าไปหาเขาเหรอ เธอยังมีหน้าไปหาเขาอีกเหรอ แต่หากจะบอกว่าเธอไม่อยากเจอเขาอีกครั้งต้องยอมรับว่าโกหก
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก น้ำหวานเดินออกมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ
“พี่อาบน้ำเสร็จแล้วจะออกไปซื้ออะไรมาให้กิน” น้ำตาลลุกขึ้นยืน
“หวานอยากกลับบ้านแล้วอะ” น้องสาวครวญ
“แหม ก่อนหน้าบอกอยากอยู่ต่อ” พี่สาวแกล้งว่า
“พี่ตาลอะ อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย” บ่นพร้อมหยิบรีโมททีวีมาเปิด
“ทนหน่อย ยังเจ็บแผลอยู่ไม่ใช่เหรอ รอดูอาการอีกสองสามวัน ถ้าโอเคแล้วเรากลับบ้านกัน พี่จะดูว่าจะกลับเครื่องหรือรถทัวร์ อันไหนจะกระเทือนน้อยกว่า”
“หวานรู้ค่ะ พี่ตาลต้องลำบากลางานเพราะหวานอีก”
“ไม่เป็นไร นี่มันเรื่องสุดวิสัย แล้วหวานก็เป็นน้องพี่ เรามีกันอยู่แค่นี้นี่เนอะ”
“โห…ซึ้งอะ ถ้าไม่เจ็บแผลหวานกระโดดกอดพี่ตาลไปแล้ว”
น้ำตาลหัวเราะเอ็นดู น้องสาวเป็นคนสดใส มองโลกในแง่ดี ซึ่งมีส่วนช่วยเธอได้อย่างมากในเรื่องนั้น
“เอาละ พี่ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวต้องส่งผ้าไปซักรีดด้วย เสื้อผ้าเราหมดแล้ว”
เธอบอกแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็ออกมาแล้วมานั่งแยกผ้าที่จะไปส่งซัก
“พี่ตาล” น้ำหวานเรียกจากบนเตียง
“มีอะไรหวาน” เธอหันหน้าไปมอง
“ทำไมพี่ต้องโกหกเรื่องพี่ภูด้วย พี่บอกว่าหย่ากับเขาแล้ว”
น้ำตาลนิ่งค้างก่อนที่จะหาเสียงตัวเองเจอ “มันก็ไม่ต่างกันหรอก”
คนเป็นน้องส่ายหน้า “ไม่ค่ะ พี่ยังเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพี่ภูอยู่ หวานเข้าใจถูกมั้ย”
น้ำตาลสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกยาว ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ “หวานพี่ไม่…”
“ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” น้องสาวต่อประโยคให้ “พี่ตาล หวานไม่ใช่เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบแต่ก่อนแล้ว”
“พี่รู้ แต่เรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้ว เขาเป็นอดีตไปแล้ว และอีกไม่กี่วันเราก็จะกลับบ้านแล้ว พี่คงจะไม่ได้เจอเขาอีก”
น้ำตาลเก็บเสื้อผ้าใส่ถุงเรียบร้อยพอดี
“พี่จะเอาผ้าไปส่งซักแล้วก็จะซื้อข้าวมาให้ หวานอยากกินอะไร” เธอใช้โอกาสนี้เปลี่ยนเรื่องทันที
“อะไรก็ได้ค่ะ” น้องสาวตอบ ใจนึกเป็นห่วงพี่สาว แต่ในเมื่อไม่อยากพูดเธอก็จะไม่คะยั้นคะยอถามต่อ ได้แต่สงสัยว่าระหว่างพี่สาวกับพี่เขยเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่เห็นชัดคือแม้ว่าพี่สาวจะพยายามเก็บซ่อนมากแค่ไหนหลังจากกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่มีความสุข
“โอเค งั้นพี่ไปนะ”
ตอนที่น้ำตาลแต่งงานน้ำหวานอายุสิบสี่แล้ว แน่นอนว่าต้องจำคนเป็นพี่เขยตัวเองได้ และตอนที่เธอหนีกลับมาอยู่บ้าน เธอบอกน้องไปว่าเธอหย่ากับเขาแล้ว เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ถูกซักถาม แม้จะไม่ใช่ความจริงแต่มันก็ไม่ต่างกัน เธอกับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน และเธอไม่คิดที่จะกลับไปหาเขาอีก สิ่งเดียวที่ยังผูกทั้งสองไว้ด้วยกันคือทะเบียนสมรสเท่านั้น
น้ำตาลใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงกลับมาที่ห้อง เธอซื้อข้าวตามสั่งมากินกับน้องในห้อง ทั้งสองกินไปดูหนังไปด้วย กินเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำก็ดูหนังกันต่อจนกว่าจะง่วง จนกระทั่งเสียงเคาะประตูด้านนอกดังขึ้น น้ำตาลมองหน้าน้องสาว ซึ่งทำหน้าไม่รู้เรื่องส่งให้
“สงสัยทัตมามั้ง พี่ไปเปิดเอง”
น้ำตาลลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู แล้วก็ชะงักงันเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ภูริทัต
ชายหนุ่มตรงหน้าดูสูงขึ้น เขาสวมสูทสีเทาและเสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าหนังสีดำขัดเงา ผมสีดำตัดรองทรงสูง แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้เขาดูอ่อนล้าและแก่กว่าอายุจริง ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูหล่อเหลา เขาเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอเจอเขาสมัยเรียนมหาลัยวิทยาลัยมากไม่ใช่น้ำตาลคนเดียวที่ยืนตัวแข็งค้าง ผู้มาเยือนเองก็เช่นกัน เขากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะเป็นเธอที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา เธอที่เป็นภรรยาเขาตัวเป็น ๆน้ำตาลรู้สึกขมฝาดในคอ ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีก ทว่ายังแอบชื่นชมความหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า ซ้ำยังเตือนให้นึกถึงหนึ่งในหลายเหตุผลที่ตกหลุมรักเขา แต่ขณะเดียวกันเธอก็ระลึกถึงความทรงจำเมื่อสามปีก่อนว่าทำไมถึงตัดสินใจหนีเขามา เธอรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังกระหน่ำเต้นแรง ตกใจ ตื่นเต้น หวั่นเกรง ความรู้สึกเธอตีกันยุ่งสับสนไปหมด“พี่ภู”เสียงเรียกเบาราวกระซิบหลุดรอดจากริมฝีปากเสมือนว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันทิ้งให้เกิดความเงียบชั่วขณะ พอตั้งสติได้แล้วเธอจึงถามเขาต่อ“ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ได้ ทัตบอกพี่เหรอว่าตาลอยู่ที่นี่” เสียงเธอดังขึ้นเมื่อรู้ส
“ตาลหายไปไหนมา ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไป”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธปนน้อยใจที่ทำให้น้ำตาลวางเฉยไม่ได้ แต่เธอไม่พร้อมตอบคำถามนี้เลย เธอสามารถหลีกเลี่ยงที่จะตอบได้ตอนที่ภูริทัตถาม แต่กับคนตรงหน้า มันต่างออกไป“พี่ภู คือว่า…ตาลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” เธอขอร้องสันกรามแกร่งบดเข้าหากันด้วยความอดกลั้นสุดขีด จะด้วยความโกรธหรือน้อยจะอะไรก็แล้วแต่“ตาลบอกทัตว่าตาลอยู่ที่นี่แต่กลับไม่บอกพี่”น้ำตาลเงยหน้ามอง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดในเรื่องนี้“ตาลไม่ได้บอกทัตแต่ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ตาลเจอทัตที่ห้าง แล้วหวานเกิดปวดท้องไส้ติ่งกะทันหัน”ภูริวัฒน์ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ทัตไม่ได้บอกพี่เรื่องนี้”“ตาลให้ทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ว่าตาลอยู่ที่ไหน”“ทำไม” เขาจ้องหน้าเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ หรือว่าลืมไปแล้ว”
ภูริวัฒน์เดินนำหญิงสาวไปยังรถที่จอดอยู่หน้าโรงแรมแต่เธอหยุดเดิน เขาจึงหยุดแล้วหันกลับมามองเพราะสงสัย“เราเดินไปได้มั้ยคะ”น้ำตาลไม่อยากนั่งอยู่ในที่แคบ ๆ ในรถกับเขาสองต่อสอง เพราะให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันเกินไป แล้วจะทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก“ได้สิ ไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกัน พี่เห็นมีอยู่ร้านนึงตรงหัวมุมดูน่านั่งดี”“ค่ะ ตาลว่าน่าจะร้านเดียวกับที่ตาลเห็น ตรงหัวมุมโน้น” เธอหันหน้าชี้นิ้วไปยังทางที่ตั้งร้านเมื่อตกลงกันได้ทั้งสองคนออกเดินอีกครั้ง ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไรกันจนกระทั่งถึงร้านกาแฟ ไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ แล้วเลือกนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง“ตาลตัดผมเหรอ” ภูริวัฒน์ทักขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาสักพักน้ำตาลฝืนยิ้มให้เพราะเขาทักเหมือนกับที่น้องชายทักเมื่อเจอกันครั้งแรก เธอยกมือขึ้นลูบผมหน้าม้า “ค่ะ ตาลอยากเปลี่ยนบ้าง”“ยังไงตาลก็สว
ภูริวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผม หัวเสียกับตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา มันยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย เธอบอกว่าไม่มีความสุขกับเขา มันจุก แน่นในอกไปหมด“พี่ขอโทษ” ในที่สุดเขาก็สามารถพูดอะไรออกมาได้ “พี่ขอโทษที่ทำให้ตาลไม่มีความสุข” ใบหน้าที่เคยหยิ่งทะนงเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลง“ไม่ค่ะพี่ภู” น้ำตาลรีบห้าม ไม่ชอบเห็นเขาแบบนี้เลย “เป็นตาลเองที่เห็นแก่ตัว ตอนที่เราแต่งงานกัน พี่ต้องเรียนต่อเฉพาะทางและกำลังก้าวหน้าในอาชีพ พี่เลยไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้อยู่กับตาล ตาลเห็นแก่ตัวที่อยากให้พี่อยู่ด้วยแต่มันเป็นไปไม่ได้” เธอยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อที่ให้มือไม่ว่างความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ภูริวัฒน์เหมือนกำลังจมหายไปกับความคิดตัวเอง ในขณะที่น้ำตาลกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสมองอันปราศเปรื่องของเขาจะว่ายังไง เขาเป็นอัจฉริยะเสมอ และเป็นหมอที่เก่งมาก เธอเองนั่นแหละที่ไม่เหมาะสมคู่ควรกับเขาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภูริวัฒน์หยิบมันออกมาด
*****พูดคุยก่อนเริ่มเรื่อง*****ความรักที่ต้องจำจากนั้นเจ็บปวดเสมอ เหมือนกับน้ำตาล นางเอกของเรื่องที่ตัดสินใจหนีหายจากสามีทั้งที่ยังรักเขาอยู่ หลังจากแต่งงานเธอย้ายเข้ามาอยู่ร่วมกับภูริวัฒน์ที่บ้านเขา แต่ด้วยความที่เขากำลังอยู่ในช่วงสร้างฐานะและครอบครัว ทำให้เวลาที่ได้อยู่กับภรรยาเริ่มน้อยลง และด้วยความที่เป็นลูกกตัญญู เขาจึงไม่สังเกตเห็นความผิดปกติระหว่างภรรยากับแม่ตัวเองที่รังเกียจเดียดฉันท์ภรรยาของเขามากเพียงใด น้ำตาลต้องอดทนทุกอย่างเพราะไม่อยากให้สามีลำบากใจ จนกระทั่งวันหนึ่งเธอได้ตัดสินใจที่เดินออกจากบ้านหลังนั้นและไม่คิดย้อนกลับมาอีกเลยปรียาดาตั้งใจเขียนเรื่องนี้ ส่วนหนึ่งนำมาจากเหตุการณ์จริง ซึ่งเชื่อว่าหลาย ๆ คู่เคยประสบเหตุการณ์เดียวกัน ความไม่ลงรอยของแม่สามีกับลูกสะใภ้ เรียกได้ว่าเป็นปัญหาคลาสสิก บางทีหนักหนาอย่างเช่นในเรื่องนี้ที่ทำให้นางเอกถึงกับตัดสินใจยอมไปเสียดีกว่า ทว่าพระนางของเรื่องยังโชคดีที่สามารถปรับความเข้าใจกันได้ ดังนั้นปรียาดาเชื่อว่า ชีวิตคู่เป็นเรื่องของคนสองคน ความกตัญญูรู้คุณเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่คนเราต้องมีความหนักแน่น ยืดหยัดที่จะต่อสู้เพื่อครอบครัวของต
น้ำตาลล้มตัวนอนบนเตียงหลังจากพาน้ำหวาน น้องสาวแท้ ๆ ตะลุยสวนสนุกมาทั้งวัน เนื่องจากเป็นวันเกิดครบสิบแปดของน้อง ผู้ซึ่งไม่เคยลงมากรุงเทพฯ มาก่อน เธอจึงพามาเที่ยวเป็นของขวัญวันเกิด ตอนแรกเจ้าตัวตื่นเต้นยกใหญ่ พอได้มาแล้วเห็นน้องสนุกเธอก็พลอยมีความสุขไปด้วย ตอนนี้น้องเธอกำลังไปอาบน้ำ เธอเลยหยิบมือถือมาเช็กยอดเงินในบัญชี เธอวางแผนและเก็บเงินสำหรับทริปนี้มาเป็นเดือนแล้วเพื่อที่จะได้ลางานได้และโชคดีที่วันเกิดของน้ำหวานตรงกับช่วงปิดเทอม เลยไม่ต้องหยุดเรียน“หวานยังไม่อยากกลับเลยพี่ตาล” น้องสาวหันมาบอกขณะกำลังนั่งหวีผมที่โต๊ะเครื่องแป้ง “หวานอยากไปเดินห้างอะ”“เราก็ไปเดินห้างกันออกบ่อย” พี่สาวแกล้ง รู้ดีว่าน้องอยากไปที่ไหน“โธ่…” ครวญเสียงยาว “หวานอยากไปไอคอนสยามอะ นะพี่ตาลนะ นะ” ลุกขึ้นมาอ้อนพี่สาวน้ำตาลกรอกตาใส่คนเป็นน้อง “หวาน พี่ลางานแค่ถึงวันอังคาร”“หวานรู้แล้ว หวานแค่อยากเห็นห้างหรู ๆ ในกรุงเทพฯ บ้างไง แบบไปถ่ายรูปโพสต์ลงอิสตาสแกรมไรงี้ หวานไม่ซื้ออะไรหรอก นะพี่ตาล แล้วเครื่องเราออกตั้งดึก น่าจะมีเวลา”น้ำตาลมองหน้าน้องสาวขี้อ้อนนิ่ง ถอนหายใจ แล้วสายหน้า มันยากมากที่จะทำใจปฏิเสธ และมั
ภูริทัตยืนจ้องหญิงสาวตรงหน้าตาค้าง“ฉันฝันไปรึเปล่าเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอเธอที่นี่”น้ำตาลยืนเงียบ ไม่รู้ว่าจะพูดหรือตอบอะไร เพราะตอนนี้ในหัวสมองเธอมีคำเดียวคือต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ยังไม่ทันที่สมองจะได้สั่งการ เธอฉวยมือน้องสาวแล้วรีบหันหลังหนีทันที“เดี๋ยวก่อนตาล เธอจะไปไหน” ภูริทัตร้องเรียกและรีบเดินไปดักหน้าน้ำตาลหยุดเดิน จำใจต้องยอมเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม“นายมีอะไร”“เปล่า ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ” เขารีบตอบ กลัวว่าเธอจะหันหลังหนีอีกทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งครู่หนึ่ง เกิดคำถามและคำพูดมากมายที่อยากเอ่ยออกไป แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงเงียบ พูดไม่ออก“เอ่อ…เธอเปลี่ยนทรงผม” ภูริทัตเอ่ยทำลายความเงียบ สิ่งที่อยากพูดอยากถามกลับไม่ถูกเอ่ยออกมาเขาพูดถูก เมื่อสามปีก่อนเธอไว้ผมยาวตรง แต่ตอนนี้เธอตัดผมสั้นประบ่าและไว้ผมหน้าม้า ถ้าหากว่าสถานการณ์แตกต่างไปน้ำตาลย่อมจะทักเขาด้วย เขาดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ผมเขายาวขึ้น หุ่นล่ำขึ้น โดยรวมคือดูดีขึ้นจากเดิมที่ดูดีอยู่แล้ว“ตาลเธอหายไปไหน เธอรู้มั้ยว่าสามปีมานี้พวกฉันพยายามตามหาเธอแค่ไหน พี่ภู…” เมื่อประโยคแรกได้พูดออกไปแล้วหลังจากความตกตะลึ
“อ๋อ…คุณเป็นน้องชายพี่ภูใช่มั้ยคะ”ภูริทัตพยักหน้ายิ้มให้ “ดีใจที่เธอจำฉันได้”“ต้องจำได้สิคะ ตอนนั้นหวานอายุสิบห้าแล้วไม่ใช่เด็กสองขวบ” น้ำหวานหยุดพูด หันมองพี่สาว “แต่พี่ตาลไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องตอนนั้น” เธอลดเสียงลง“ฉันเข้าใจ” ภูริทัตยิ้มพยักหน้าให้“หวาน!” น้ำตาลส่งเสียงเตือนน้อง“ที่นี่มีร้านอร่อยหลายร้าน พวกเธออยากกินอะไร”“อะไรก็ได้ นายเป็นเจ้ามือมั้ยล่ะ” น้ำตาลรีบบอก ขืนให้เลือกสักร้านในห้างนี้กระเป๋าเธอได้ฉีก“นิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” เพื่อนหนุ่มส่ายหน้าหัวเราะ“ใครจะไปรวยเหมือนนาย” น้ำตาลค้อนน้ำตาลไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แต่ที่ยอมมาด้วยเพราะภูริทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ชาย เธอรู้ว่าภูริทัตชอบมาเดินที่นี่ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายสุด ๆ ที่เธอมาที่นี่อีกครั้งในรอบสามปีแล้วเจอเขาเข้าพอดี“พวกเธอมาทำอะไรที่กรุงเทพฯ เหรอ” ภูริทัตถาม “ฉันคิดว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่งั้นพวกฉันคงเจอเธอแล้ว”“เมื่อวานเป็นวันเกิดหวาน พี่ตาลเลยพามาเที่ยวเป็นของขวัญวันเกิด” น้องสาวตอบแทนน้ำตาลหรี่ตาเตือน “หวาน!”“แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ภูริทัตอวยพร แกล้งทำเป็นไม่สนใจคนเป็นพี่ที่เอาแต่ปิดกั้นตัวเอง“ขอบคุณค
ภูริวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผม หัวเสียกับตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา มันยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย เธอบอกว่าไม่มีความสุขกับเขา มันจุก แน่นในอกไปหมด“พี่ขอโทษ” ในที่สุดเขาก็สามารถพูดอะไรออกมาได้ “พี่ขอโทษที่ทำให้ตาลไม่มีความสุข” ใบหน้าที่เคยหยิ่งทะนงเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลง“ไม่ค่ะพี่ภู” น้ำตาลรีบห้าม ไม่ชอบเห็นเขาแบบนี้เลย “เป็นตาลเองที่เห็นแก่ตัว ตอนที่เราแต่งงานกัน พี่ต้องเรียนต่อเฉพาะทางและกำลังก้าวหน้าในอาชีพ พี่เลยไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้อยู่กับตาล ตาลเห็นแก่ตัวที่อยากให้พี่อยู่ด้วยแต่มันเป็นไปไม่ได้” เธอยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อที่ให้มือไม่ว่างความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ภูริวัฒน์เหมือนกำลังจมหายไปกับความคิดตัวเอง ในขณะที่น้ำตาลกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสมองอันปราศเปรื่องของเขาจะว่ายังไง เขาเป็นอัจฉริยะเสมอ และเป็นหมอที่เก่งมาก เธอเองนั่นแหละที่ไม่เหมาะสมคู่ควรกับเขาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภูริวัฒน์หยิบมันออกมาด
ภูริวัฒน์เดินนำหญิงสาวไปยังรถที่จอดอยู่หน้าโรงแรมแต่เธอหยุดเดิน เขาจึงหยุดแล้วหันกลับมามองเพราะสงสัย“เราเดินไปได้มั้ยคะ”น้ำตาลไม่อยากนั่งอยู่ในที่แคบ ๆ ในรถกับเขาสองต่อสอง เพราะให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันเกินไป แล้วจะทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก“ได้สิ ไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกัน พี่เห็นมีอยู่ร้านนึงตรงหัวมุมดูน่านั่งดี”“ค่ะ ตาลว่าน่าจะร้านเดียวกับที่ตาลเห็น ตรงหัวมุมโน้น” เธอหันหน้าชี้นิ้วไปยังทางที่ตั้งร้านเมื่อตกลงกันได้ทั้งสองคนออกเดินอีกครั้ง ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไรกันจนกระทั่งถึงร้านกาแฟ ไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ แล้วเลือกนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง“ตาลตัดผมเหรอ” ภูริวัฒน์ทักขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาสักพักน้ำตาลฝืนยิ้มให้เพราะเขาทักเหมือนกับที่น้องชายทักเมื่อเจอกันครั้งแรก เธอยกมือขึ้นลูบผมหน้าม้า “ค่ะ ตาลอยากเปลี่ยนบ้าง”“ยังไงตาลก็สว
“ตาลหายไปไหนมา ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไป”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธปนน้อยใจที่ทำให้น้ำตาลวางเฉยไม่ได้ แต่เธอไม่พร้อมตอบคำถามนี้เลย เธอสามารถหลีกเลี่ยงที่จะตอบได้ตอนที่ภูริทัตถาม แต่กับคนตรงหน้า มันต่างออกไป“พี่ภู คือว่า…ตาลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” เธอขอร้องสันกรามแกร่งบดเข้าหากันด้วยความอดกลั้นสุดขีด จะด้วยความโกรธหรือน้อยจะอะไรก็แล้วแต่“ตาลบอกทัตว่าตาลอยู่ที่นี่แต่กลับไม่บอกพี่”น้ำตาลเงยหน้ามอง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดในเรื่องนี้“ตาลไม่ได้บอกทัตแต่ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ตาลเจอทัตที่ห้าง แล้วหวานเกิดปวดท้องไส้ติ่งกะทันหัน”ภูริวัฒน์ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ทัตไม่ได้บอกพี่เรื่องนี้”“ตาลให้ทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ว่าตาลอยู่ที่ไหน”“ทำไม” เขาจ้องหน้าเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ หรือว่าลืมไปแล้ว”
ชายหนุ่มตรงหน้าดูสูงขึ้น เขาสวมสูทสีเทาและเสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าหนังสีดำขัดเงา ผมสีดำตัดรองทรงสูง แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้เขาดูอ่อนล้าและแก่กว่าอายุจริง ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูหล่อเหลา เขาเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอเจอเขาสมัยเรียนมหาลัยวิทยาลัยมากไม่ใช่น้ำตาลคนเดียวที่ยืนตัวแข็งค้าง ผู้มาเยือนเองก็เช่นกัน เขากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะเป็นเธอที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา เธอที่เป็นภรรยาเขาตัวเป็น ๆน้ำตาลรู้สึกขมฝาดในคอ ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีก ทว่ายังแอบชื่นชมความหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า ซ้ำยังเตือนให้นึกถึงหนึ่งในหลายเหตุผลที่ตกหลุมรักเขา แต่ขณะเดียวกันเธอก็ระลึกถึงความทรงจำเมื่อสามปีก่อนว่าทำไมถึงตัดสินใจหนีเขามา เธอรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังกระหน่ำเต้นแรง ตกใจ ตื่นเต้น หวั่นเกรง ความรู้สึกเธอตีกันยุ่งสับสนไปหมด“พี่ภู”เสียงเรียกเบาราวกระซิบหลุดรอดจากริมฝีปากเสมือนว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันทิ้งให้เกิดความเงียบชั่วขณะ พอตั้งสติได้แล้วเธอจึงถามเขาต่อ“ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ได้ ทัตบอกพี่เหรอว่าตาลอยู่ที่นี่” เสียงเธอดังขึ้นเมื่อรู้ส
สองวันถัดมาหมออนุญาตให้น้ำหวานกลับบ้านได้ น้ำตาลตัดสินใจเช่าโรงแรมใหม่ที่ค่าห้องถูกกว่าเพื่อประหยัดงบแต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันซึ่งยังอยู่ในละแวกเดิมเพราะแถวนี้มีที่พักราคาถูกให้เลือกมากมาย เพื่อนหนุ่มอย่างภูริทัตอาสาแกมบังคับทำหน้าที่รับส่ง ซึ่งเธอยอมรับน้ำใจ แต่เมื่อเขาชวนเธอไปพักที่บ้านตน เธอรีบยืนกรานปฏิเสธหนักแน่นเช้านี้น้ำตาลจ้องนามบัตรในมือเป็นรอบที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ แล้วได้แต่ถามตัวเองว่าเธอจะกล้าไปหาเขาเหรอ เธอยังมีหน้าไปหาเขาอีกเหรอ แต่หากจะบอกว่าเธอไม่อยากเจอเขาอีกครั้งต้องยอมรับว่าโกหกประตูห้องน้ำถูกเปิดออก น้ำหวานเดินออกมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ“พี่อาบน้ำเสร็จแล้วจะออกไปซื้ออะไรมาให้กิน” น้ำตาลลุกขึ้นยืน“หวานอยากกลับบ้านแล้วอะ” น้องสาวครวญ“แหม ก่อนหน้าบอกอยากอยู่ต่อ” พี่สาวแกล้งว่า“พี่ตาลอะ อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย” บ่นพร้อมหยิบรีโมททีวีมาเปิด“ทนหน่อย ยังเจ็บแผลอยู่ไม่ใช่เหรอ รอดูอาการอีกสองสามวัน ถ้าโอเคแล้วเรากลับบ้านกัน พี่จะดูว่าจะกลับเครื่องหรือรถทัวร์ อันไหนจะกระเทือนน้อยกว่า”“หวานรู้ค่ะ พี่ตาลต้องลำบากลางานเพราะหวานอีก”“ไม่เป็นไร นี่มันเรื่องสุด
น้ำตาลกัดริมฝีปากด้วยความรู้สึกผิดเป็นครั้งแรกหลังจากปล่อยให้เวลาผ่านไปนาน “ฉันขอโทษ”“ตาล เธอไม่จำเป็นต้องอธิบายอะไรให้ฉันฟัง และฉันจะไม่ถามอะไรทั้งนั้น” เขายกแขนขึ้นมาโอบไหล่เพื่อนสาวเมื่อเห็นว่าเธอรู้สึกกดดัน “แต่ฉันแค่คิดถึงเธอจริง ๆ”น้ำตาลยิ้ม นึกถึงช่วงเวลาที่เจอกับภูริทัตสมัยเรียน “ฉันก็คิดถึงนาย” น้ำตาลทิ้งช่วงสักระยะแล้วค่อยพูดต่อ “ฉันว่าฉันจะกลับโรงแรมไปเก็บของมาเฝ้าไข้ยัยหวาน แล้วยังต้องยกเลิกตั๋วกลับด้วย”“จะไปเช่าโรงแรมอยู่ให้เปลืองทำไมกันตาล ไปพักที่บ้านฉันสิ”“ฉันไม่อยากกลับไปที่บ้านหลังนั้นอีก” น้ำตาลสวนกลับทันควัน“เพราะแม่ใช่มั้ย”“ฉันไม่อยากตอบเรื่องนี้ด้วยเหมือนกัน”ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ “ก็ได้ แต่ไหน ๆ เธอยังต้องอยู่ที่นี่ต่ออีกสักพัก สัญญากับฉันได้มั้ยว่าเธอจะไปเจอพี่ภู ถือว่าฉันขอร้อง”“ทัต…”“ฉันรักษาสัญญากับเธอนะตาล ถึงฉันจะอยากบอกพี่ภูแทบตายว่าเจอเธอแล้ว แต่ฉันไม่คิดจะหักหลังความเชื่อใจเธอ ตาลตอนนี้พี่ภูไม่ค่อยดีเท่าไหร่หรอก แต่ฉันมั่นใจว่าถ้าได้เจอเธอจะทำให้เขาดีขึ้น” ภูริทัตล้วงเอากระเป๋าสตางค์ออกมาเปิด หยิบนามบัตรยื่นส่งให้ “อะ นี่ที่อยู่โรงพยาบาล เผื่อเ
เมื่อถึงโรงพยายาบาล หลังจากที่ตรวจเบื้องต้นแล้ว น้ำหวานก็ถูกส่งไปยังห้องผ่าตัดโดยด่วนเนื่องจากไส้ติ่งแตก น้ำตาลและภูริทัตรออยู่หน้าห้อง เวลาผ่านไปประมาณชั่วโมงคุณหมอก็เดินออกมา น้ำตาลจึงรีบเดินเข้าไปหา“เป็นยังไงบ้างคะหมอ”“ทุกอย่างเรียบร้อยดีครับไม่มีอะไรต้องเป็นห่วง โชคดีที่นำตัวคนไข้มาส่งโรงพยาบาลทัน ให้คนไข้พักดูอาการสักสองสามวันก็กลับบ้านได้แล้วครับ”“ขอบคุณค่ะ”“เดี๋ยวพยาบาลจะรับหน้าที่ต่อจากนี้นะครับ หมอขอตัวก่อน”หมอหนุ่มยิ้มให้แล้วเดินกลับไปภูริทัตเดินเข้ามายืนด้านข้าง “ไม่เป็นไรแล้วนะตาล”“อืม” น้ำตาลพยักหน้ารับ รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก แต่ว่ายังมีอีกเรื่องหนึ่งที่เธอหนักใจไม่น้อย“ทัต พี่ภูไม่ได้ทำงานที่นี่ใช่มั้ย” ที่เธอถามเพราะภูริทัตเป็นคนพามาโรงพยาบาลนี้เพื่อนหนุ่มส่ายหน้า “ไม่ เธอไม่ต้องกังวล”“อืม” น้ำตาลกัดริมฝีปากและพยักหน้าจากนั้นพยาบาลก็เดินออกมาหาญาติคนไข้ บอกกล่าวเรื่องการนำตัวคนไข้ไปยังห้องพักฟื้นและเรื่องขั้นตอนการรักษาต่าง ๆ“เดี๋ยวฉันจัดการให้ เธอไม่ต้องห่วง” ภูริทัตอาสา“ขอบใจนะทัต”น้ำตาลนั่งมองหน้าน้องสาวที่ขณะนี้กำลังหลับเพราะฤทธิ์ยา การอยู่เงียบ ๆ
“อ๋อ…คุณเป็นน้องชายพี่ภูใช่มั้ยคะ”ภูริทัตพยักหน้ายิ้มให้ “ดีใจที่เธอจำฉันได้”“ต้องจำได้สิคะ ตอนนั้นหวานอายุสิบห้าแล้วไม่ใช่เด็กสองขวบ” น้ำหวานหยุดพูด หันมองพี่สาว “แต่พี่ตาลไม่ค่อยอยากพูดถึงเรื่องตอนนั้น” เธอลดเสียงลง“ฉันเข้าใจ” ภูริทัตยิ้มพยักหน้าให้“หวาน!” น้ำตาลส่งเสียงเตือนน้อง“ที่นี่มีร้านอร่อยหลายร้าน พวกเธออยากกินอะไร”“อะไรก็ได้ นายเป็นเจ้ามือมั้ยล่ะ” น้ำตาลรีบบอก ขืนให้เลือกสักร้านในห้างนี้กระเป๋าเธอได้ฉีก“นิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน” เพื่อนหนุ่มส่ายหน้าหัวเราะ“ใครจะไปรวยเหมือนนาย” น้ำตาลค้อนน้ำตาลไม่รู้สึกหิวเลยสักนิด แต่ที่ยอมมาด้วยเพราะภูริทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ชาย เธอรู้ว่าภูริทัตชอบมาเดินที่นี่ ไม่รู้ว่าโชคดีหรือโชคร้ายสุด ๆ ที่เธอมาที่นี่อีกครั้งในรอบสามปีแล้วเจอเขาเข้าพอดี“พวกเธอมาทำอะไรที่กรุงเทพฯ เหรอ” ภูริทัตถาม “ฉันคิดว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่งั้นพวกฉันคงเจอเธอแล้ว”“เมื่อวานเป็นวันเกิดหวาน พี่ตาลเลยพามาเที่ยวเป็นของขวัญวันเกิด” น้องสาวตอบแทนน้ำตาลหรี่ตาเตือน “หวาน!”“แฮปปี้เบิร์ธเดย์” ภูริทัตอวยพร แกล้งทำเป็นไม่สนใจคนเป็นพี่ที่เอาแต่ปิดกั้นตัวเอง“ขอบคุณค
ภูริทัตยืนจ้องหญิงสาวตรงหน้าตาค้าง“ฉันฝันไปรึเปล่าเนี่ย ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะเจอเธอที่นี่”น้ำตาลยืนเงียบ ไม่รู้ว่าจะพูดหรือตอบอะไร เพราะตอนนี้ในหัวสมองเธอมีคำเดียวคือต้องรีบไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด ยังไม่ทันที่สมองจะได้สั่งการ เธอฉวยมือน้องสาวแล้วรีบหันหลังหนีทันที“เดี๋ยวก่อนตาล เธอจะไปไหน” ภูริทัตร้องเรียกและรีบเดินไปดักหน้าน้ำตาลหยุดเดิน จำใจต้องยอมเผชิญหน้ากับชายหนุ่ม“นายมีอะไร”“เปล่า ฉันไม่ได้จะทำอะไรเธอ” เขารีบตอบ กลัวว่าเธอจะหันหลังหนีอีกทั้งคู่มองหน้ากันนิ่งครู่หนึ่ง เกิดคำถามและคำพูดมากมายที่อยากเอ่ยออกไป แต่สุดท้ายกลับทำได้เพียงเงียบ พูดไม่ออก“เอ่อ…เธอเปลี่ยนทรงผม” ภูริทัตเอ่ยทำลายความเงียบ สิ่งที่อยากพูดอยากถามกลับไม่ถูกเอ่ยออกมาเขาพูดถูก เมื่อสามปีก่อนเธอไว้ผมยาวตรง แต่ตอนนี้เธอตัดผมสั้นประบ่าและไว้ผมหน้าม้า ถ้าหากว่าสถานการณ์แตกต่างไปน้ำตาลย่อมจะทักเขาด้วย เขาดูเปลี่ยนไปจากเมื่อก่อน ผมเขายาวขึ้น หุ่นล่ำขึ้น โดยรวมคือดูดีขึ้นจากเดิมที่ดูดีอยู่แล้ว“ตาลเธอหายไปไหน เธอรู้มั้ยว่าสามปีมานี้พวกฉันพยายามตามหาเธอแค่ไหน พี่ภู…” เมื่อประโยคแรกได้พูดออกไปแล้วหลังจากความตกตะลึ