สองวันถัดมาหมออนุญาตให้น้ำหวานกลับบ้านได้ น้ำตาลตัดสินใจเช่าโรงแรมใหม่ที่ค่าห้องถูกกว่าเพื่อประหยัดงบแต่ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันซึ่งยังอยู่ในละแวกเดิมเพราะแถวนี้มีที่พักราคาถูกให้เลือกมากมาย เพื่อนหนุ่มอย่างภูริทัตอาสาแกมบังคับทำหน้าที่รับส่ง ซึ่งเธอยอมรับน้ำใจ แต่เมื่อเขาชวนเธอไปพักที่บ้านตน เธอรีบยืนกรานปฏิเสธหนักแน่น
เช้านี้น้ำตาลจ้องนามบัตรในมือเป็นรอบที่ร้อยแล้วเห็นจะได้ แล้วได้แต่ถามตัวเองว่าเธอจะกล้าไปหาเขาเหรอ เธอยังมีหน้าไปหาเขาอีกเหรอ แต่หากจะบอกว่าเธอไม่อยากเจอเขาอีกครั้งต้องยอมรับว่าโกหก
ประตูห้องน้ำถูกเปิดออก น้ำหวานเดินออกมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จ
“พี่อาบน้ำเสร็จแล้วจะออกไปซื้ออะไรมาให้กิน” น้ำตาลลุกขึ้นยืน
“หวานอยากกลับบ้านแล้วอะ” น้องสาวครวญ
“แหม ก่อนหน้าบอกอยากอยู่ต่อ” พี่สาวแกล้งว่า
“พี่ตาลอะ อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตาย” บ่นพร้อมหยิบรีโมททีวีมาเปิด
“ทนหน่อย ยังเจ็บแผลอยู่ไม่ใช่เหรอ รอดูอาการอีกสองสามวัน ถ้าโอเคแล้วเรากลับบ้านกัน พี่จะดูว่าจะกลับเครื่องหรือรถทัวร์ อันไหนจะกระเทือนน้อยกว่า”
“หวานรู้ค่ะ พี่ตาลต้องลำบากลางานเพราะหวานอีก”
“ไม่เป็นไร นี่มันเรื่องสุดวิสัย แล้วหวานก็เป็นน้องพี่ เรามีกันอยู่แค่นี้นี่เนอะ”
“โห…ซึ้งอะ ถ้าไม่เจ็บแผลหวานกระโดดกอดพี่ตาลไปแล้ว”
น้ำตาลหัวเราะเอ็นดู น้องสาวเป็นคนสดใส มองโลกในแง่ดี ซึ่งมีส่วนช่วยเธอได้อย่างมากในเรื่องนั้น
“เอาละ พี่ไปอาบน้ำก่อน เดี๋ยวต้องส่งผ้าไปซักรีดด้วย เสื้อผ้าเราหมดแล้ว”
เธอบอกแล้วเดินเข้าห้องน้ำ ใช้เวลาไม่นานก็ออกมาแล้วมานั่งแยกผ้าที่จะไปส่งซัก
“พี่ตาล” น้ำหวานเรียกจากบนเตียง
“มีอะไรหวาน” เธอหันหน้าไปมอง
“ทำไมพี่ต้องโกหกเรื่องพี่ภูด้วย พี่บอกว่าหย่ากับเขาแล้ว”
น้ำตาลนิ่งค้างก่อนที่จะหาเสียงตัวเองเจอ “มันก็ไม่ต่างกันหรอก”
คนเป็นน้องส่ายหน้า “ไม่ค่ะ พี่ยังเป็นภรรยาที่ถูกต้องตามกฎหมายของพี่ภูอยู่ หวานเข้าใจถูกมั้ย”
น้ำตาลสูดหายใจเข้าลึกแล้วผ่อนออกยาว ๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ “หวานพี่ไม่…”
“ไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” น้องสาวต่อประโยคให้ “พี่ตาล หวานไม่ใช่เด็กไม่รู้เรื่องรู้ราวแบบแต่ก่อนแล้ว”
“พี่รู้ แต่เรื่องมันก็ผ่านไปนานแล้ว เขาเป็นอดีตไปแล้ว และอีกไม่กี่วันเราก็จะกลับบ้านแล้ว พี่คงจะไม่ได้เจอเขาอีก”
น้ำตาลเก็บเสื้อผ้าใส่ถุงเรียบร้อยพอดี
“พี่จะเอาผ้าไปส่งซักแล้วก็จะซื้อข้าวมาให้ หวานอยากกินอะไร” เธอใช้โอกาสนี้เปลี่ยนเรื่องทันที
“อะไรก็ได้ค่ะ” น้องสาวตอบ ใจนึกเป็นห่วงพี่สาว แต่ในเมื่อไม่อยากพูดเธอก็จะไม่คะยั้นคะยอถามต่อ ได้แต่สงสัยว่าระหว่างพี่สาวกับพี่เขยเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ แต่ที่เห็นชัดคือแม้ว่าพี่สาวจะพยายามเก็บซ่อนมากแค่ไหนหลังจากกลับมาอยู่ที่บ้าน แต่ดูยังไงก็รู้ว่าไม่มีความสุข
“โอเค งั้นพี่ไปนะ”
ตอนที่น้ำตาลแต่งงานน้ำหวานอายุสิบสี่แล้ว แน่นอนว่าต้องจำคนเป็นพี่เขยตัวเองได้ และตอนที่เธอหนีกลับมาอยู่บ้าน เธอบอกน้องไปว่าเธอหย่ากับเขาแล้ว เพื่อตัดปัญหาไม่ให้ถูกซักถาม แม้จะไม่ใช่ความจริงแต่มันก็ไม่ต่างกัน เธอกับเขาไม่ได้อยู่ด้วยกัน และเธอไม่คิดที่จะกลับไปหาเขาอีก สิ่งเดียวที่ยังผูกทั้งสองไว้ด้วยกันคือทะเบียนสมรสเท่านั้น
น้ำตาลใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงกลับมาที่ห้อง เธอซื้อข้าวตามสั่งมากินกับน้องในห้อง ทั้งสองกินไปดูหนังไปด้วย กินเสร็จแล้วไม่มีอะไรทำก็ดูหนังกันต่อจนกว่าจะง่วง จนกระทั่งเสียงเคาะประตูด้านนอกดังขึ้น น้ำตาลมองหน้าน้องสาว ซึ่งทำหน้าไม่รู้เรื่องส่งให้
“สงสัยทัตมามั้ง พี่ไปเปิดเอง”
น้ำตาลลุกขึ้นเดินไปเปิดประตู แล้วก็ชะงักงันเมื่อเห็นคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า ไม่ใช่ภูริทัต
ชายหนุ่มตรงหน้าดูสูงขึ้น เขาสวมสูทสีเทาและเสื้อเชิ้ตสีขาว รองเท้าหนังสีดำขัดเงา ผมสีดำตัดรองทรงสูง แต่ที่เด่นที่สุดเห็นจะเป็นรอยคล้ำใต้ตาที่ทำให้เขาดูอ่อนล้าและแก่กว่าอายุจริง ทว่าถึงอย่างนั้นก็ยังคงดูหล่อเหลา เขาเปลี่ยนไปจากตอนที่เธอเจอเขาสมัยเรียนมหาลัยวิทยาลัยมากไม่ใช่น้ำตาลคนเดียวที่ยืนตัวแข็งค้าง ผู้มาเยือนเองก็เช่นกัน เขากวาดตามองหญิงสาวตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อสายตาว่าจะเป็นเธอที่กำลังยืนอยู่ต่อหน้าเขา เธอที่เป็นภรรยาเขาตัวเป็น ๆน้ำตาลรู้สึกขมฝาดในคอ ไม่คาดคิดเลยว่าจะได้พบกับเขาอีก ทว่ายังแอบชื่นชมความหล่อเหลาของชายหนุ่มตรงหน้า ซ้ำยังเตือนให้นึกถึงหนึ่งในหลายเหตุผลที่ตกหลุมรักเขา แต่ขณะเดียวกันเธอก็ระลึกถึงความทรงจำเมื่อสามปีก่อนว่าทำไมถึงตัดสินใจหนีเขามา เธอรู้สึกว่าหัวใจตัวเองกำลังกระหน่ำเต้นแรง ตกใจ ตื่นเต้น หวั่นเกรง ความรู้สึกเธอตีกันยุ่งสับสนไปหมด“พี่ภู”เสียงเรียกเบาราวกระซิบหลุดรอดจากริมฝีปากเสมือนว่ากำลังตกอยู่ในภวังค์แห่งความฝันทิ้งให้เกิดความเงียบชั่วขณะ พอตั้งสติได้แล้วเธอจึงถามเขาต่อ“ทำไมพี่ถึงมาที่นี่ได้ ทัตบอกพี่เหรอว่าตาลอยู่ที่นี่” เสียงเธอดังขึ้นเมื่อรู้ส
“ตาลหายไปไหนมา ทำไมถึงต้องทิ้งพี่ไป”น้ำเสียงเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธปนน้อยใจที่ทำให้น้ำตาลวางเฉยไม่ได้ แต่เธอไม่พร้อมตอบคำถามนี้เลย เธอสามารถหลีกเลี่ยงที่จะตอบได้ตอนที่ภูริทัตถาม แต่กับคนตรงหน้า มันต่างออกไป“พี่ภู คือว่า…ตาลไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้อีก” เธอขอร้องสันกรามแกร่งบดเข้าหากันด้วยความอดกลั้นสุดขีด จะด้วยความโกรธหรือน้อยจะอะไรก็แล้วแต่“ตาลบอกทัตว่าตาลอยู่ที่นี่แต่กลับไม่บอกพี่”น้ำตาลเงยหน้ามอง อย่างน้อยก็ไม่อยากให้เขาเข้าใจผิดในเรื่องนี้“ตาลไม่ได้บอกทัตแต่ว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ ตาลเจอทัตที่ห้าง แล้วหวานเกิดปวดท้องไส้ติ่งกะทันหัน”ภูริวัฒน์ส่ายหน้าอย่างผิดหวัง “ทัตไม่ได้บอกพี่เรื่องนี้”“ตาลให้ทัตสัญญาว่าจะไม่บอกพี่ว่าตาลอยู่ที่ไหน”“ทำไม” เขาจ้องหน้าเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ หรือว่าลืมไปแล้ว”
ภูริวัฒน์เดินนำหญิงสาวไปยังรถที่จอดอยู่หน้าโรงแรมแต่เธอหยุดเดิน เขาจึงหยุดแล้วหันกลับมามองเพราะสงสัย“เราเดินไปได้มั้ยคะ”น้ำตาลไม่อยากนั่งอยู่ในที่แคบ ๆ ในรถกับเขาสองต่อสอง เพราะให้ความรู้สึกใกล้ชิดกันเกินไป แล้วจะทำให้เธอคิดอะไรไม่ออก“ได้สิ ไปหาร้านกาแฟนั่งคุยกัน พี่เห็นมีอยู่ร้านนึงตรงหัวมุมดูน่านั่งดี”“ค่ะ ตาลว่าน่าจะร้านเดียวกับที่ตาลเห็น ตรงหัวมุมโน้น” เธอหันหน้าชี้นิ้วไปยังทางที่ตั้งร้านเมื่อตกลงกันได้ทั้งสองคนออกเดินอีกครั้ง ต่างคนต่างไม่มีใครพูดอะไรกันจนกระทั่งถึงร้านกาแฟ ไปสั่งเครื่องดื่มที่เคาน์เตอร์ แล้วเลือกนั่งที่โต๊ะริมหน้าต่าง“ตาลตัดผมเหรอ” ภูริวัฒน์ทักขึ้นหลังจากนั่งเงียบมาสักพักน้ำตาลฝืนยิ้มให้เพราะเขาทักเหมือนกับที่น้องชายทักเมื่อเจอกันครั้งแรก เธอยกมือขึ้นลูบผมหน้าม้า “ค่ะ ตาลอยากเปลี่ยนบ้าง”“ยังไงตาลก็สว
ภูริวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผม หัวเสียกับตัวเองเมื่อได้ยินสิ่งที่เธอเพิ่งพูดออกมา มันยังสะท้อนก้องอยู่ในหัวเขา มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคิดไว้เลย เธอบอกว่าไม่มีความสุขกับเขา มันจุก แน่นในอกไปหมด“พี่ขอโทษ” ในที่สุดเขาก็สามารถพูดอะไรออกมาได้ “พี่ขอโทษที่ทำให้ตาลไม่มีความสุข” ใบหน้าที่เคยหยิ่งทะนงเปลี่ยนเป็นเศร้าหมองลง“ไม่ค่ะพี่ภู” น้ำตาลรีบห้าม ไม่ชอบเห็นเขาแบบนี้เลย “เป็นตาลเองที่เห็นแก่ตัว ตอนที่เราแต่งงานกัน พี่ต้องเรียนต่อเฉพาะทางและกำลังก้าวหน้าในอาชีพ พี่เลยไม่ได้กลับบ้าน ไม่ได้อยู่กับตาล ตาลเห็นแก่ตัวที่อยากให้พี่อยู่ด้วยแต่มันเป็นไปไม่ได้” เธอยกกาแฟขึ้นจิบเพื่อที่ให้มือไม่ว่างความเงียบก่อตัวขึ้นอีกครั้ง ภูริวัฒน์เหมือนกำลังจมหายไปกับความคิดตัวเอง ในขณะที่น้ำตาลกำลังรออย่างใจจดใจจ่อ อยากรู้ว่าสมองอันปราศเปรื่องของเขาจะว่ายังไง เขาเป็นอัจฉริยะเสมอ และเป็นหมอที่เก่งมาก เธอเองนั่นแหละที่ไม่เหมาะสมคู่ควรกับเขาเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น ภูริวัฒน์หยิบมันออกมาด
“แต่หวานต้องไปโรงเรียนนะคะ”คราวนี้ชายหนุ่มยิ้ม “การที่พี่เป็นหมอเด็กทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ต้องรู้เยอะเลย เช่น ช่วงไหนโรงเรียนปิดหรือเปิด”น้ำตาลกัดริมฝีปากตัวเอง เธอหาข้ออ้างอื่นที่มีน้ำหนักไม่ออกเลยลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป“แต่ตาลยังต้องกลับไปทำงาน นี่ก็ลาหยุดมาหลายวันแล้ว” เธอบอกแต่น้ำเสียงไม่หนักแน่นเอาซะเลย“ตาลได้โปรด พี่ขอร้อง พี่จะทำตามที่ตาลบอกทุกอย่าง แค่อยู่ที่นี่ต่อกับพี่อีกสักระยะ พี่…ยังไม่พร้อมที่จะเห็นตาลจากไปอีก”“ตาลไม่รู้” เธอเบือนหน้าหนี ไม่อาจทนมองสายตาวิงวอนระคนเจ็บปวดของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีได้“ตาลไปพักที่บ้านพี่ก็ได้”คราวนี้น้ำตาลแค่นเสียงหัวเราะ “แม่พี่คงจะต้อนรับตาลหรอกค่ะ”“แม่ไปเที่ยวฮ่องกงกับกลุ่มเพื่อน จะไม่กลับบ้านจนกว่าจะอาทิตย์หน้า” เขาบอกแล้วขอร้องเธอต่อ “ขอเวลาให้พี่สักนิด
น้ำตาลนึกถึงช่วงที่แต่งงานกับภูริวัฒน์ ทั้งคู่ไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ต่างหาก แต่อยู่ร่วมบ้านกับแม่และน้องชายเขา บ้านหลังนั้นเป็นของพ่อแม่เขาซึ่งพ่อเขาที่เป็นหมอก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านเช่นกัน ส่วนใหญ่จะพักที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมาก ถ้าหากให้เธอเลือก เธอย่อมอยากแยกออกไปอยู่ต่างหากกับเขาสองคนมากกกว่า แต่เธอหาโอกาสคุยเรื่องนี้กับเขาจริง ๆ จัง ๆ ไม่ได้เลย เนื่องจากชายหนุ่มยุ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่เตรียมตัวสอบ ก็เรื่องคนไข้ เวลาคุยกันก็ชอบเล่าเรื่องเคสต่าง ๆ ให้เธอฟัง แต่ความรักและมุ่งมั่นในอาชีพของเขานี้เองเป็นหนึ่งในหลายข้อที่ทำให้เธอชอบและหลงรักเขาถึงแม้ว่ามันยากที่จะหาเวลาว่างเพื่ออยู่ด้วยกันเธอไม่อยากเพิ่มภาระให้คนเป็นสามีจึงได้แต่ยิ้มรับและยอมอยู่ร่วมกับแม่และน้องชายเขา แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะว่าแม่เขาเกลียดเธอ หล่อนพูดเสมอว่าเธอไม่คู่ควรกับลูกชายหล่อน จนกระทั่งก่อนที่เธอจะจากมา เธอเริ่มจะเห็นด้วยว่าเธอไม่เหมาะสมกับภูริวัฒน์จริง ๆ เธอคิดว่าถ้าไม่มีภูริทัตอยู่ร่วมบ้านด้วย เธอคงจะตัดสินใจจากมาเร็วกว่านี้ แล้วภูริวัฒน์ก็ไม่ค่อยมีเว
“ไม่ค่ะ เอ่อ…ตาลอาจจะขอใช้เครื่องซักผ้าพรุ่งนี้”ร่างสูงยิ้มให้ “ตาล ที่นี่ยังเป็นบ้านตาลอยู่นะ ตาลทำตัวตามสบายเหมือนเดิมเถอะ”ดวงตาคู่งามตวัดมอง พูดด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะ แต่ว่านี่คือบ้านแม่พี่ ไม่ใช่บ้านตาล”“พี่ตาล” เสียงของน้องสาวตะโกนเรียกเพราะเห็นว่าพี่สาวหายตัวไปนาน“ตาลขอตัวก่อนค่ะ” เธอหันหลังเดินกลับห้อง“ตาลพูดถูก” น้ำตาลได้ยินเสียงทุ้มพูดเบา ๆ “พี่ขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ตอนนั้น…เราควรแยกออกไปอยู่ด้วยกันต่างหาก”น้ำตาลหยุดเดินเมื่อถึงหน้าห้อง ส่งยิ้มจริงใจให้ชายหนุ่มที่เดินตามมา “ไม่เป็นไรค่ะพี่ภู เรื่องมันผ่านมาแล้ว”“ผ่านไปแล้วสินะ…” น้ำเสียงฟังดูอ่อนล้าน้ำหวานที่ได้ยินเสียงคนคุยกันด้านนอกจึงเปิดประตู เธอหยิบขวดน้ำและแก้วน้ำจากมือพี่สาว“ขอบคุณค่ะ” พูดจบก็รีบปิดประ
น้ำตาลเจอกับภูริทัตครั้งแรกตอนเรียนมหาวิทยาลัยและค่อย ๆ เริ่มสนิทกันตั้งแต่ปีแรกเป็นต้นมา พอถึงปีสุดท้ายเขาแนะนำเธอให้ได้รู้จักกับพี่ชายตอนฉลองปาร์ตี้วันเกิด ปกติแล้วเธอไม่ใช่สาวปาร์ตี้ ไม่ใช่นักเที่ยว ดังนั้นเวลาไปเที่ยวจะเกาะติดภูริทัตเพื่อความอุ่นใจ รายนั้นเป็นนักเที่ยวตัวยง ในคืนนั้นเธอไม่เห็นเขาหลังจากที่ไปเข้าห้องน้ำเลยพยายามมองหาเขาและเห็นเขายืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง เธอไม่ได้คิดอะไรมากเลยเดินเข้าไปหา แอบมองและชื่นชมผู้ชายตรงหน้าอยู่ในใจ เขาตัวสูงและหล่อ ไหล่กว้าง เขาใส่สูททำให้ดูแปลกแยกจากสถานที่แต่ก็ทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าใครทั้งหมด“ตาลอยู่นี่เอง” ภูริทัตพูดเมื่อเจอเพื่อนสาว“ทัต ฉันไม่เห็นนายเลยตามหา” น้ำตาลพยายามบังคับสายตาไม่ให้มองคนที่ยืนข้างเพื่อนภูริทัตยิ้ม “ดี มานี่ฉันจะแนะนำให้รู้จัก นี่พี่ภู พี่ชายฉัน” เขาแนะนำจากนั้นก็หันไปหาคนเป็นพี่ “พี่ภูนี่น้ำตาล เพื่อนสนิทผม”ภูริวัฒน์หันหน้ามามองหญิง
หลังออกจากร้านอาหารที่นัดกับแม่สามีไว้ น้ำตาลเดินมาตามถนนเรื่อย ๆ เธอไม่ได้รู้สึกหิวมากแม้ว่าจะใกล้เที่ยงแล้วเพราะเธอกินแซนด์วิชมาแล้วขณะอยู่บนเครื่องบิน เธอเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเลยตัดสินใจแวะ ตลอดทางยังคิดถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับแม่สามีที่หล่อนบอกว่าลูกชายหล่อนต้องเลือกหล่อนอยู่แล้ว ทั้งยังบอกว่าคนที่เหมาะสมกับภูริวัฒน์คือธรรมิกา ยังคงเป็นเช่นเดิมอยู่อย่างนั้นสินะ ถึงจะบอกว่าไม่ใส่ใจ แต่มันก็ยากที่จะไม่ให้คำพูดหล่อนทำร้ายเธอ เมื่อก่อนเธอพยายามขบคิดว่าเธอไปทำอะไรไว้หล่อนถึงเกลียดเธอได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าไม่ใช่เป็นเพราะเธอ แต่เป็นเพราะฝ่ายนั้นต่างหากขณะที่กำลังกินมื้อกลางวันอยู่ น้ำตาลก็คิดจะโทรหาภูริวัฒน์เพื่อบอกว่าเธออยู่ไหน ประมาณว่าเธอจะเซอร์ไพรส์เขา แต่ก็อีกนั่นแหละ เธอกับเขาไม่ได้พูดกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว บางทีมันอาจไม่ใช่เซอร์ไพรส์ก็ได้ แล้วเรื่องเซอร์ไพรส์หนหลังของทั้งคู่ก็จบลงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และคนที่ผิดเต็ม ๆ เลยคือเธอที่โมโหใส่เขาน้ำตาลถอนใจ หยิบโทรศัพท์มือถือ เปิดรายชื่อผู้ติดต่
อีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไรน้ำตาลเลยพูดต่อ“ตาลว่าถึงเวลาแล้วค่ะที่เราสองคนจะต้องคุยกันจริงจังซะที จะได้เคลียร์กันให้จบ ๆ ตาลรู้ว่าคุณเกลียดตาล แต่ไม่รู้ว่าทำไม”“แล้วการที่เธอทิ้งลูกชายฉันไปโดยไม่บอกกล่าวเป็นเหตุผลได้มั้ยล่ะ”น้ำตาลยิ้มหยัน “คุณเกลียดตาลก่อนหน้านั้นอีก ตั้งแต่แรกเลย ตาลไม่โง่นะคะ อย่ามาดูถูกตาล”หล่อนจ้องน้ำตาลเขม็ง “เธอเกิดนึกสนใจอะไรขึ้นมา ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาถามเรื่องนี้”“ตาลแค่คิดอะไรบางอย่างได้ก็แค่นั้น”“อ้อเหรอ อะไรล่ะ”“คุณกับตาลยังไงก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ มันเป็นความต้องการของพี่ภูที่อยากให้แม่กับเมียอยู่ร่วมกัน แต่เขาไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้”“แล้วไง เธอเลยมาขอร้องฉันเพราะรู้ว่าจะเสียภูไปงั้นสิ” แม่สามีกระหยิ่มใจ แต่น้ำตาลยิ่งเห็นแล้วยิ่งรังเกียจน้ำตาลยิ้มให้ เป็นยิ้มการค้าที่ไม่ได้อ
น้ำตาลมาถึงกรุงเทพฯ ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น เธอตั้งใจมาแค่วันเดียวจึงจองตั๋วกลับไว้ตอนกลางคืน การมาครั้งนี้ของเธอก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าคือแม่ของเขา แผนการของเธอนั้นง่าย ๆ ไม่มีอะไรมาก คือการพูดคุยกับหล่อนอย่างตรงไปตรงมา และมันต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก แต่เธอต้องทำ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อลูกของเธอเธอนัดเจอแม่เขาที่ร้านอาหาร ซึ่งภูริทัตเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้ เพราะรู้ว่าหล่อนจะระมัดระวังตัวและรักษาภาพลักษณ์เวลาอยู่นอกบ้าน อย่างน้อยเธอจะได้ใช้จุดนี้ควบคุมหล่อนได้เมื่อมาถึงร้านอาหารที่นัดไว้ น้ำตาลเดินเข้าไป มองไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นเป้าหมายนั่งอยู่ที่โต๊ะทางด้านขวามือ เธอเดินตรงเข้าไปโดยไม่รอช้า แม่ของภูริวัฒน์ไม่ได้สังเกตเห็นเธอตั้งแต่แรก จนกระทั่งเธอไปหยุดยืนข้างโต๊ะนั่นแหละถึงหันหน้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ผู้หญิงตรงหน้าในวัยหกสิบต้น ๆ แต่ยังแต่งตัวกระชากวัยด้วยชุดกระโปรงสีดำ ทับด้วยเสื้อแขนระบายสีเหลือง เธอไม่เห็นว่าหล่อนใส่รองเท้าอะไร แต่กล้าพนันได้เลยว่าต้องเป็นรองเท
คืนนี้เป็นคืนงามพรอมสำหรับนักเรียนที่กำลังจะจบชั้นม.6 น้ำหวานในชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงดูสวยและเจิดจรัสมาก แค่เห็นน้ำตาลก็อยากร้องไห้ ในที่สุดน้องน้อยของเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่ เธออยากให้แม่ยังอยู่กับพวกเธอตอนนี้จริง ๆ แม่จะต้องดีใจและภูมิใจมาก เธอพยายามไม่นึกถึงว่าหลังจากนี้น้องสาวกำลังจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียในอีกไม่กี่เดือน เธอดีใจที่น้องได้ทุน แต่ตัวเธอเองยังไม่ได้เตรียมใจ“พี่ตาลร้องให้ทำไม” น้ำหวานถามแล้วหยิบกระดาษทิชชู่ยื่นให้“พี่ขอโทษ” น้ำตาลรับกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา พยายามกลั้นสะอื้นไปด้วย “พี่แค่…น้องสาวพี่โตแล้ว”คนเป็นน้องหัวเราะแล้วแกล้งพูด “พี่ตาลเพิ่งรู้เหรอ”น้ำตาลยิ้ม ยังมีหยดน้ำตาที่หางตา “พี่อยากให้แม่ยังอยู่กับพวกเราจัง แม่จะต้องดีใจและภูมิใจในตัวหวานมาก”“โธ่พี่ตาล…พอได้แล้วค่ะ อย่างเพิ่งทำซึ้ง เดี๋ยวหวานก็ร้องไห้ตามหรอก”“ก็ได้ ๆ ไม่ร้องแล้ว”
ภูริทัตเคาะประตูหน้าห้อง สักพักประตูก็เปิดออก สภาพของภูริวัฒน์ที่เดินมาเปิดประตูดูแทบไม่ได้ เขาสวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาว ขอบใต้ตาคล้ำเป็นวง ผมเผ้ายุ่งเหยิง“ทัต นายมาได้ไง แล้วรู้ได้ไงว่าพี่อยู่ที่นี่” ภูริวัฒน์ตะลึงไปพักหนึ่งเมื่อเห็นน้องชายภูริทัตไม่สนใจที่จะตอบ“แม่เป็นห่วงพี่มากจนเกือบจะไปแจ้งความคนหายแล้วพี่รู้มั้ย” เขาไม่ได้โกหกไปซะทั้งหมด เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านแม่ดูเป็นห่วงและแกล้งทำท่าจะแจ้งความจริง แต่เขาดูออกว่าอย่างหลังเป็นการเล่นละครโอเวอร์ตามประสาแม่“พี่อยากอยู่คนเดียว”ภูริวัฒน์บอกแล้วจะปิดประตูใส่ แต่น้องชายไวกว่า ยันมือไว้ทัน แล้วรีบแทรกตัวเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นว่าเปล่าประโยชน์ ภูริวัฒน์จึงปิดประตู เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์มาหนึ่งกระป๋อง แล้วค่อยไปนั่งที่โซฟาภูริทัตไปหยิบเบียร์มาให้ตัวเองบ้าง แล้วกลับมานั่งสำรวจพี่ชาย เขาเห็นภูริวัฒน์อยู่ในสภาพนี้ครั้งสุดท้าย
ภูริทัตเดินเข้ามาในโรงพยาบาลที่ปกติไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่ เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา แต่วันนี้ไม่ใช่ วันนี้เขามีภารกิจที่สำคัญมาก คือหาตัวพี่ชายให้พบ แล้วจับมาเขกกะโหลกสักทีภายในห้องรอมีบรรดาพ่อแม่กับเด็ก ๆ ที่บ้างกำลังส่งเสียงร้องจ้า บ้างกำลังเล่นของเล่น เขาไม่สนใจ เดินตรงไปยังพนักงานต้อนรับ แล้วแจ้งความประสงค์ทันที“สวัสดีครับ ผมมาพบหมอภู”“ขอโทษค่ะ ตอนนี้คุณหมอไม่อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณได้นัดไว้ก่อนรึเปล่าคะ”“ผมชื่อภูริทัต เป็นน้องชายเขา ผมต้องการเจอเขา วันนี้เขาได้เข้ามารึยังครับ”“วันนี้คุณหมอยังไม่เข้ามาเลยค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”“ทัต”ภูริทัตหันหลังกลับไปมองตามเสียงเรียก ธรรมมิกากำลังเดินตรงมาหาเขา“สวัสดีมิกา”คุณหมอสาวยิ้มให้เขา “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”“ผมกำลังหาพี่ภูอ
“พี่ภูอย่าเป็นแบบนี้สิคะ”“พี่เป็นอะไร”“นนท์เขาไปประชุมที่กรุงเทพฯ เพิ่งจะกลับมาเมื่อวาน ตาลไม่ได้เจอเขาเลยจนกระทั่งวันนี้ ตาลกำลังจะบอกเขาเรื่องของเรา แต่พี่ดันโผล่มาซะก่อน” เธอพยายามอธิบายภูริวัฒน์ส่ายหน้าผิดหวัง “ตาลยังทำแบบนี้อยู่อีกเหรอ”“ตาลทำอะไรคะ”“ปิดบังพี่”“ตาลขอโทษ ตาลไม่รู้นี่ว่าต้องรายงานพี่ทุกเรื่องที่ตาลทำ”“ตาลรู้ว่าพี่ไม่ได้ความแบบนั้น ตาลต้องคิดได้สิ ถ้าตาลบอกให้พี่รู้ เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”“ถ้าพี่บอกว่าพี่จะมาเรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน“พี่แค่อยากทำตัวโรแมนติกแบบคนอื่นเขาบ้าง อยากมาเซอร์ไพรส์ตาล แต่…” เขาส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “กลายเป็นว่าพี่เป็นฝ่ายผิดซะเอง”น้ำตาลสะอึก รู้ว่าตัวเองทำกับเขาไม่ถูก มันไม่แฟร์กับเขาที่ไปกล่าวโทษเขาทั้งหมด
หายนะ! บอกได้คำเดียวว่านี่มันหายนะชัด ๆ !น้ำตาลได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ภูริวัฒน์เหมือนสวมวิญญาณผีบ้า ประเคนหมัดใส่ชายหนุ่มอีกคนหลุน ๆ ทางด้านชานนท์แม้จะเพลี่ยงพล้ำในตอนแรก แต่พอตั้งตัวได้ก็ซัดกลับไปไม่ยิ่งหย่อนไม่กว่ากัน“พี่ภู!”เมื่อได้สติน้ำตาลรีบพาตัวเองเข้าไปแทรกกลาง เธอกางแขนออกหันหน้าไปทางสามี“หยุดได้แล้วค่ะ!” เธอสั่ง มองหน้าภูริวัฒน์ที่โมโหจนเลือดขึ้นหน้า และรู้สึกว่าเขาไม่ได้โมโหแค่ชานนท์คนเดียว เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน เขาสุภาพอ่อนโยนเสมอ ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใคร“พี่ภูเข้าไปรอตาลในบ้านก่อนนะคะ” เธอส่งสายตาขอร้อง“ตาล” เขาทำท่าไม่ยอม“ตาลขอร้อง” เธอบอกอีกครั้งสามีหนุ่มลังเล จ้องผู้ชายอีกคนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน แต่ก็ไม่วายส่งสายตาอาฆาตใส่ชานนท์ที่จ้องเขากลับเช่นกัน
หนึ่งสัปดาห์ในการรอคอยเหมือนกับว่านานเป็นเดือนเป็นปี น้ำตาลกำลังใจจดใจจ่อรอการกลับมาของชานนท์เพื่อที่จะได้คุยกับเขาให้รู้เรื่อง ยิ่งได้ยินสิ่งที่แหวนบอกเธอยิ่งกังวล อยากเคลียร์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด คิดว่าเรื่องนี้ควรจะคุยกับเขาที่ไหนดี สุดท้ายคิดว่าที่บ้านตัวเองน่าจะดีสุดเพราะมีความเป็นส่วนตัว ถ้าไปในที่สาธารณะ ไม่รู้ว่าเขาจะเสียหน้ารึเปล่า และในที่สุดเขาก็กลับมา และเธอนัดกับเขาในวันนี้“พี่อยากให้หวานอยู่ด้วยมั้ย หวานจะอยู่ในห้อง ไม่ออกมาเสนอหน้าเด็ดขาด” น้องสาวเสนอตัว“ไม่เป็นไร หวานไปบ้านเพื่อนก่อนน่ะดีแล้ว”“ตามใจ” บอกแล้วมองอาหารที่ถูกเตรียม “พี่เข้าครัวเองแบบนี้หวานว่ามีแต่จะทำให้เขาหลงพี่หัวปักหัวปำมากกว่า พี่สาวหวานช่างโหดร้าย”แม้น้องสาวจะพูดเล่นแต่น้ำตาลกลับสะอึก เธอหยุดมือที่กำลังคนแกงอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะค่อยคนต่อ“พี่แค่อยากทำอะไรให้มันดีหน่อย แบบไม่อยากพูดโพล่งออกไปเลย”“พี่บอ