“แต่หวานต้องไปโรงเรียนนะคะ”
คราวนี้ชายหนุ่มยิ้ม “การที่พี่เป็นหมอเด็กทำให้รู้เรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่ต้องรู้เยอะเลย เช่น ช่วงไหนโรงเรียนปิดหรือเปิด”
น้ำตาลกัดริมฝีปากตัวเอง เธอหาข้ออ้างอื่นที่มีน้ำหนักไม่ออกเลยลืมนึกถึงเรื่องนี้ไป
“แต่ตาลยังต้องกลับไปทำงาน นี่ก็ลาหยุดมาหลายวันแล้ว” เธอบอกแต่น้ำเสียงไม่หนักแน่นเอาซะเลย
“ตาลได้โปรด พี่ขอร้อง พี่จะทำตามที่ตาลบอกทุกอย่าง แค่อยู่ที่นี่ต่อกับพี่อีกสักระยะ พี่…ยังไม่พร้อมที่จะเห็นตาลจากไปอีก”
“ตาลไม่รู้” เธอเบือนหน้าหนี ไม่อาจทนมองสายตาวิงวอนระคนเจ็บปวดของคนที่ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสามีได้
“ตาลไปพักที่บ้านพี่ก็ได้”
คราวนี้น้ำตาลแค่นเสียงหัวเราะ “แม่พี่คงจะต้อนรับตาลหรอกค่ะ”
“แม่ไปเที่ยวฮ่องกงกับกลุ่มเพื่อน จะไม่กลับบ้านจนกว่าจะอาทิตย์หน้า” เขาบอกแล้วขอร้องเธอต่อ “ขอเวลาให้พี่สักนิด
น้ำตาลนึกถึงช่วงที่แต่งงานกับภูริวัฒน์ ทั้งคู่ไม่ได้ย้ายออกไปอยู่ต่างหาก แต่อยู่ร่วมบ้านกับแม่และน้องชายเขา บ้านหลังนั้นเป็นของพ่อแม่เขาซึ่งพ่อเขาที่เป็นหมอก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านเช่นกัน ส่วนใหญ่จะพักที่โรงพยาบาลซึ่งอยู่ไกลจากบ้านมาก ถ้าหากให้เธอเลือก เธอย่อมอยากแยกออกไปอยู่ต่างหากกับเขาสองคนมากกกว่า แต่เธอหาโอกาสคุยเรื่องนี้กับเขาจริง ๆ จัง ๆ ไม่ได้เลย เนื่องจากชายหนุ่มยุ่งอยู่ตลอดเวลา ถ้าไม่ใช่เตรียมตัวสอบ ก็เรื่องคนไข้ เวลาคุยกันก็ชอบเล่าเรื่องเคสต่าง ๆ ให้เธอฟัง แต่ความรักและมุ่งมั่นในอาชีพของเขานี้เองเป็นหนึ่งในหลายข้อที่ทำให้เธอชอบและหลงรักเขาถึงแม้ว่ามันยากที่จะหาเวลาว่างเพื่ออยู่ด้วยกันเธอไม่อยากเพิ่มภาระให้คนเป็นสามีจึงได้แต่ยิ้มรับและยอมอยู่ร่วมกับแม่และน้องชายเขา แต่มันไม่ง่ายเลย เพราะว่าแม่เขาเกลียดเธอ หล่อนพูดเสมอว่าเธอไม่คู่ควรกับลูกชายหล่อน จนกระทั่งก่อนที่เธอจะจากมา เธอเริ่มจะเห็นด้วยว่าเธอไม่เหมาะสมกับภูริวัฒน์จริง ๆ เธอคิดว่าถ้าไม่มีภูริทัตอยู่ร่วมบ้านด้วย เธอคงจะตัดสินใจจากมาเร็วกว่านี้ แล้วภูริวัฒน์ก็ไม่ค่อยมีเว
“ไม่ค่ะ เอ่อ…ตาลอาจจะขอใช้เครื่องซักผ้าพรุ่งนี้”ร่างสูงยิ้มให้ “ตาล ที่นี่ยังเป็นบ้านตาลอยู่นะ ตาลทำตัวตามสบายเหมือนเดิมเถอะ”ดวงตาคู่งามตวัดมอง พูดด้วยน้ำเสียงแข็งขึ้นเล็กน้อย “ขอบคุณนะคะ แต่ว่านี่คือบ้านแม่พี่ ไม่ใช่บ้านตาล”“พี่ตาล” เสียงของน้องสาวตะโกนเรียกเพราะเห็นว่าพี่สาวหายตัวไปนาน“ตาลขอตัวก่อนค่ะ” เธอหันหลังเดินกลับห้อง“ตาลพูดถูก” น้ำตาลได้ยินเสียงทุ้มพูดเบา ๆ “พี่ขอโทษที่ไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้ ตอนนั้น…เราควรแยกออกไปอยู่ด้วยกันต่างหาก”น้ำตาลหยุดเดินเมื่อถึงหน้าห้อง ส่งยิ้มจริงใจให้ชายหนุ่มที่เดินตามมา “ไม่เป็นไรค่ะพี่ภู เรื่องมันผ่านมาแล้ว”“ผ่านไปแล้วสินะ…” น้ำเสียงฟังดูอ่อนล้าน้ำหวานที่ได้ยินเสียงคนคุยกันด้านนอกจึงเปิดประตู เธอหยิบขวดน้ำและแก้วน้ำจากมือพี่สาว“ขอบคุณค่ะ” พูดจบก็รีบปิดประ
น้ำตาลเจอกับภูริทัตครั้งแรกตอนเรียนมหาวิทยาลัยและค่อย ๆ เริ่มสนิทกันตั้งแต่ปีแรกเป็นต้นมา พอถึงปีสุดท้ายเขาแนะนำเธอให้ได้รู้จักกับพี่ชายตอนฉลองปาร์ตี้วันเกิด ปกติแล้วเธอไม่ใช่สาวปาร์ตี้ ไม่ใช่นักเที่ยว ดังนั้นเวลาไปเที่ยวจะเกาะติดภูริทัตเพื่อความอุ่นใจ รายนั้นเป็นนักเที่ยวตัวยง ในคืนนั้นเธอไม่เห็นเขาหลังจากที่ไปเข้าห้องน้ำเลยพยายามมองหาเขาและเห็นเขายืนคุยกับผู้ชายคนหนึ่ง เธอไม่ได้คิดอะไรมากเลยเดินเข้าไปหา แอบมองและชื่นชมผู้ชายตรงหน้าอยู่ในใจ เขาตัวสูงและหล่อ ไหล่กว้าง เขาใส่สูททำให้ดูแปลกแยกจากสถานที่แต่ก็ทำให้เขาดูโดดเด่นกว่าใครทั้งหมด“ตาลอยู่นี่เอง” ภูริทัตพูดเมื่อเจอเพื่อนสาว“ทัต ฉันไม่เห็นนายเลยตามหา” น้ำตาลพยายามบังคับสายตาไม่ให้มองคนที่ยืนข้างเพื่อนภูริทัตยิ้ม “ดี มานี่ฉันจะแนะนำให้รู้จัก นี่พี่ภู พี่ชายฉัน” เขาแนะนำจากนั้นก็หันไปหาคนเป็นพี่ “พี่ภูนี่น้ำตาล เพื่อนสนิทผม”ภูริวัฒน์หันหน้ามามองหญิง
“ตาล” เขาเรียกเสียงเบาน้ำตาลลุกขึ้น เดินไปหา “มอร์นิ่งค่ะ”ดวงตาคมมองเลยไปที่น้ำหวานแล้วมองกลับมาที่น้ำตาล “พี่ขอโทษ พี่คิดว่าตาล…ไปแล้ว…”น้ำตาลยิ้ม “ตาลยังกลับไม่ได้หรอกค่ะ ยังไม่ได้จองตั๋วอะไรสักอย่าง แล้วยัยหวานบอกว่ายังเที่ยวไม่ทั่ว ห้างก็ยังไม่ทันได้เดิน”ได้ยินดังนั้นใบหน้าคมก็เข้มขึ้น น้ำตาลเลยยกมือจะแตะแขนเขาแต่ยั้งไว้ “ตาลล้อเล่นค่ะ”เขาจ้องหญิงสาวตรงหน้า “โอเคตาล พี่จะไปอาบน้ำแต่งตัวแล้วจะพาไป จากที่ดู หวานไม่เป็นอะไรแล้ว แค่อย่าเดินมากก็พอ”น้ำตาลมองชายหนุ่มนิ่ง “พี่ภูไม่ไปทำงานเหรอคะ”“พี่ว่าจะลาหยุดสักสองสามวัน”น้ำตาลส่ายหน้า “ไม่ค่ะพี่ภู ตาล…หมายถึงพี่ภูไม่จำเป็นต้องหยุดงาน”“มันเป็นความต้องการของพี่เอง” เสียงทุ้มบอก ลดเสียงลงเล็กน้อย “พี่กลัวว่าตาลจะหายตัวไปอีกถ้าพี่ปล่อยให้คลาดสายตา”
ระหว่างนั่งรับประทานมื้อเช้าด้วยกัน น้ำตาลก้มมองมือถือที่หน้าจอสว่างวาบในมือเป็นครั้งที่สาม ชื่อคนโทรมาทำให้เธอคิดหนักว่าจะทำอย่างไรดี“มีอะไรรึเปล่าตาล” ภูริวัฒน์ถามเมื่อสังเกตว่าเธอดูอึดอัดน้ำตาลมองหน้าชายหนุ่ม นึกสงสัยว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอย่างไรถ้ารู้ว่าเธอกำลังคุยกับผู้ชายคนอื่นอยู่ตั้งแต่สองสามอาทิตย์ที่ผ่านมา มั่นใจได้เลยว่าคงไม่ดีแน่ แต่ว่าไม่มีทางที่เขาจะรู้เรื่องนี้หรอก“เปล่าค่ะ แค่ที่ทำงานโทรมา ตาลลืมโทรไปลางานเพิ่ม” น้ำตาลเองก็เพิ่งจะนึกได้เหมือนกันว่าเธอลืม ซึ่งวันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เธอลางานไว้“ตาลทำงานอะไรเหรอ”“ตาลเป็นผู้จัดการแบงก์ค่ะ”ชายหนุ่มเลิกคิ้วมอง “หืม เป็นยังไงบ้าง”“ก็ดีค่ะ เครียดแต่โชคดีที่มีเพื่อนร่วมงานดี”“ตาลอยู่ที่พะเยามาตลอดเลยเหรอ”“ค่ะ”
“พี่ขอโทษ” ภูริวัฒน์ยกมือขึ้นเสยผม “พี่ไม่ได้ตั้งใจจะตะคอกใส่ตาล พี่แค่…รู้สึกว่าตัวเองเป็นสามีที่ไม่ได้เรื่อง ตลอดสามปีที่ผ่านมา ไม่รู้ว่าตาลอยู่ที่ไหน เป็นยังไงบ้าง หรือลำบากอะไรรึเปล่า ตาล…” เขาโน้มหน้ามาหาเธอ “พี่เป็นสามีตาลนะ และมันเป็นหน้าที่ของพี่ที่ต้องดูแลตาล พี่อยากดูแลตาลให้ดีที่สุด”“ค่ะ” น้ำตาลพยักหน้าและจ้องเข้าไปในดวงตาคู่ที่เคยเจิดจ้าที่บัดนี้ดูอ่อนล้าทั้งสองคนจ้องตากัน น้ำตาลไล่สายตาสำรวจใบหน้าชายหนุ่ม เขาดูเหนื่อยล้าจนเธอสงสัยว่าเขาได้พักผ่อนเพียงพอรึเปล่า หรือเป็นเพราะความเครียด หรือเป็นเพราะการที่เขามาเจอเธออีกครั้ง ภูริวัฒน์เป็นคนที่หน้าตาหล่อมากอยู่แล้ว สันกรามคมแกร่ง ดวงตาสีดำที่เปี่ยมไปด้วยพลังงาน ลูกกระเดือกที่ขับเน้นความเป็นชาย พอเลื่อนสายตากลับขึ้นมา เห็นเขาไล่สายตามองเธอเช่นกัน จากแก้ม ลงมาถึงริมฝีปาก…น้ำตาลกระแอมเรียกสติก่อนที่จะรู้สึกกระอักกระอ่วนไปมากกว่านี้“ไปกันเถอะค่ะ”“อืม” ชายหนุ่มรับในลำคอแล้วหันหน้ากลับ
“อย่าโหมงานหนักเกินไปไอ้ลูกชาย เพราะมันจะสายเกินก่อนที่ลูกจะตระหนักถึง ไปสนุกกับชีวิตบ้าง ใช้เวลากับคนที่ลูกรัก”ภูริวัฒน์นึกถึงคำพูดของพ่อที่บอกกับเขาก่อนที่ท่านจะเสียชีวิต มันเป็นเพียงแค่หนึ่งวันก่อนที่ท่านจะหัวใจวายตาย และเขาไม่เคยลืมเลยใช้เวลากับคนที่ลูกรักแน่นอน เขารู้ว่าพ่อหมายถึงภรรยาเขา ก่อนที่เธอจะหนีไป พ่อเป็นคนที่รู้จักเขาดีที่สุด เขาคิดว่าพ่อรู้สึกผิดที่เขาเดินตามรอยตนเองโดยการเลือกที่จะเป็นหมอ และสุดท้ายเขาก็พบว่าภรรยาตัวเองหนีไปแล้ว หน้าที่การงานเขาเจริญรุ่งเรืองดีมาก แต่นั่นก็ต้องแลกมากับการอุทิศตนอย่างมากเช่นกันการได้เจอน้ำตาลอีกครั้งทำให้ภูริวัฒน์เปลี่ยนไป ตลอดสามปีที่ผ่านมาเขาจมอยู่กับความโมโห โมโหเธอ โมโหคนทั้งโลก โมโหตัวเอง เขาอยู่อย่างเป็นทุกข์ในแต่ละวัน ก็เลยโหมงานหนักเพื่อที่จะได้ไม่นึกถึงแต่ว่าตอนนี้ เขาไม่ต้องการสิ่งใดอีก นอกจากการเป็นสามีของน้ำตาล
“ตาลเป็นไงบ้าง”เขาอยากบอกว่าคิดถึงเธอ แล้วก็ย้อนนึกไปถึงอดีต เขาเคยโทรหาเธอระหว่างวันแบบนี้บ้างรึเปล่า“ก็ดีค่ะ เอ่อ…ตาลกำลังดูเสื้อผ้าเก่า ๆ ไม่คิดว่าพี่ภูยังเก็บไว้อยู่”ตอนนั้นแม่เขาเป็นคนเข้ามาแพ็คข้าวของของน้ำตาลเพื่อที่จะทิ้ง แต่เขาเป็นคนไปเก็บมาซ่อนเอาไว้ในตู้เสื้อผ้าเหมือนเดิม มันทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าเธอยังอยู่กับเขา และมันก็ทำให้แม่โมโหเขามาก“ตาลไม่ได้ค้นของพี่เลยนะคะ” เสียงหวานรีบแก้ตัวเมื่อชายหนุ่มเงียบไปนาน “เอ่อ…ก็นิดหน่อยค่ะ”ภูริวัฒน์ได้ยินเสียงหัวเราะเจื่อน ๆ เขาจินตนาการหน้าเธอตอนนี้ได้เลย คงเหมือนเด็กซน ๆ ที่ทำผิดแล้วถูกจับได้ทำให้เขายิ้มออกมา“ไม่เป็นไรหรอกตาลเพราะนั่นเป็นของตาล” และเขาอยากบอกต่อว่าเขาก็เป็นของเธอ เขากระแอมหนึ่งครั้งแล้วจึงพูดต่อ “ตาลคืนนี้พี่อยากพาตาลไปดินเนอร์”“ดินเนอร์ ที่ไหนคะ”“อืม ไม่
หลังออกจากร้านอาหารที่นัดกับแม่สามีไว้ น้ำตาลเดินมาตามถนนเรื่อย ๆ เธอไม่ได้รู้สึกหิวมากแม้ว่าจะใกล้เที่ยงแล้วเพราะเธอกินแซนด์วิชมาแล้วขณะอยู่บนเครื่องบิน เธอเดินผ่านร้านก๋วยเตี๋ยวเลยตัดสินใจแวะ ตลอดทางยังคิดถึงบทสนทนาระหว่างเธอกับแม่สามีที่หล่อนบอกว่าลูกชายหล่อนต้องเลือกหล่อนอยู่แล้ว ทั้งยังบอกว่าคนที่เหมาะสมกับภูริวัฒน์คือธรรมิกา ยังคงเป็นเช่นเดิมอยู่อย่างนั้นสินะ ถึงจะบอกว่าไม่ใส่ใจ แต่มันก็ยากที่จะไม่ให้คำพูดหล่อนทำร้ายเธอ เมื่อก่อนเธอพยายามขบคิดว่าเธอไปทำอะไรไว้หล่อนถึงเกลียดเธอได้ขนาดนี้ แต่ตอนนี้เธอรู้แล้วว่าไม่ใช่เป็นเพราะเธอ แต่เป็นเพราะฝ่ายนั้นต่างหากขณะที่กำลังกินมื้อกลางวันอยู่ น้ำตาลก็คิดจะโทรหาภูริวัฒน์เพื่อบอกว่าเธออยู่ไหน ประมาณว่าเธอจะเซอร์ไพรส์เขา แต่ก็อีกนั่นแหละ เธอกับเขาไม่ได้พูดกันมาเป็นอาทิตย์แล้ว บางทีมันอาจไม่ใช่เซอร์ไพรส์ก็ได้ แล้วเรื่องเซอร์ไพรส์หนหลังของทั้งคู่ก็จบลงไม่ค่อยดีเท่าไหร่ และคนที่ผิดเต็ม ๆ เลยคือเธอที่โมโหใส่เขาน้ำตาลถอนใจ หยิบโทรศัพท์มือถือ เปิดรายชื่อผู้ติดต่
อีกฝ่ายไม่เอ่ยอะไรน้ำตาลเลยพูดต่อ“ตาลว่าถึงเวลาแล้วค่ะที่เราสองคนจะต้องคุยกันจริงจังซะที จะได้เคลียร์กันให้จบ ๆ ตาลรู้ว่าคุณเกลียดตาล แต่ไม่รู้ว่าทำไม”“แล้วการที่เธอทิ้งลูกชายฉันไปโดยไม่บอกกล่าวเป็นเหตุผลได้มั้ยล่ะ”น้ำตาลยิ้มหยัน “คุณเกลียดตาลก่อนหน้านั้นอีก ตั้งแต่แรกเลย ตาลไม่โง่นะคะ อย่ามาดูถูกตาล”หล่อนจ้องน้ำตาลเขม็ง “เธอเกิดนึกสนใจอะไรขึ้นมา ทำไมจู่ ๆ ถึงได้มาถามเรื่องนี้”“ตาลแค่คิดอะไรบางอย่างได้ก็แค่นั้น”“อ้อเหรอ อะไรล่ะ”“คุณกับตาลยังไงก็อยู่ร่วมกันไม่ได้ มันเป็นความต้องการของพี่ภูที่อยากให้แม่กับเมียอยู่ร่วมกัน แต่เขาไม่เข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้”“แล้วไง เธอเลยมาขอร้องฉันเพราะรู้ว่าจะเสียภูไปงั้นสิ” แม่สามีกระหยิ่มใจ แต่น้ำตาลยิ่งเห็นแล้วยิ่งรังเกียจน้ำตาลยิ้มให้ เป็นยิ้มการค้าที่ไม่ได้อ
น้ำตาลมาถึงกรุงเทพฯ ในตอนสายของวันรุ่งขึ้น เธอตั้งใจมาแค่วันเดียวจึงจองตั๋วกลับไว้ตอนกลางคืน การมาครั้งนี้ของเธอก็เพื่อที่จะแก้ไขปัญหาสำคัญ ซึ่งแน่นอนว่าคือแม่ของเขา แผนการของเธอนั้นง่าย ๆ ไม่มีอะไรมาก คือการพูดคุยกับหล่อนอย่างตรงไปตรงมา และมันต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก แต่เธอต้องทำ ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้าย เพื่อลูกของเธอเธอนัดเจอแม่เขาที่ร้านอาหาร ซึ่งภูริทัตเป็นคนจัดการเรื่องนี้ให้ เพราะรู้ว่าหล่อนจะระมัดระวังตัวและรักษาภาพลักษณ์เวลาอยู่นอกบ้าน อย่างน้อยเธอจะได้ใช้จุดนี้ควบคุมหล่อนได้เมื่อมาถึงร้านอาหารที่นัดไว้ น้ำตาลเดินเข้าไป มองไปรอบ ๆ แล้วก็เห็นเป้าหมายนั่งอยู่ที่โต๊ะทางด้านขวามือ เธอเดินตรงเข้าไปโดยไม่รอช้า แม่ของภูริวัฒน์ไม่ได้สังเกตเห็นเธอตั้งแต่แรก จนกระทั่งเธอไปหยุดยืนข้างโต๊ะนั่นแหละถึงหันหน้ามา สีหน้าเต็มไปด้วยความตกใจ ผู้หญิงตรงหน้าในวัยหกสิบต้น ๆ แต่ยังแต่งตัวกระชากวัยด้วยชุดกระโปรงสีดำ ทับด้วยเสื้อแขนระบายสีเหลือง เธอไม่เห็นว่าหล่อนใส่รองเท้าอะไร แต่กล้าพนันได้เลยว่าต้องเป็นรองเท
คืนนี้เป็นคืนงามพรอมสำหรับนักเรียนที่กำลังจะจบชั้นม.6 น้ำหวานในชุดเดรสสายเดี่ยวสีแดงดูสวยและเจิดจรัสมาก แค่เห็นน้ำตาลก็อยากร้องไห้ ในที่สุดน้องน้อยของเธอก็โตเป็นผู้ใหญ่ เธออยากให้แม่ยังอยู่กับพวกเธอตอนนี้จริง ๆ แม่จะต้องดีใจและภูมิใจมาก เธอพยายามไม่นึกถึงว่าหลังจากนี้น้องสาวกำลังจะไปเรียนต่อที่ออสเตรเลียในอีกไม่กี่เดือน เธอดีใจที่น้องได้ทุน แต่ตัวเธอเองยังไม่ได้เตรียมใจ“พี่ตาลร้องให้ทำไม” น้ำหวานถามแล้วหยิบกระดาษทิชชู่ยื่นให้“พี่ขอโทษ” น้ำตาลรับกระดาษทิชชู่มาซับน้ำตา พยายามกลั้นสะอื้นไปด้วย “พี่แค่…น้องสาวพี่โตแล้ว”คนเป็นน้องหัวเราะแล้วแกล้งพูด “พี่ตาลเพิ่งรู้เหรอ”น้ำตาลยิ้ม ยังมีหยดน้ำตาที่หางตา “พี่อยากให้แม่ยังอยู่กับพวกเราจัง แม่จะต้องดีใจและภูมิใจในตัวหวานมาก”“โธ่พี่ตาล…พอได้แล้วค่ะ อย่างเพิ่งทำซึ้ง เดี๋ยวหวานก็ร้องไห้ตามหรอก”“ก็ได้ ๆ ไม่ร้องแล้ว”
ภูริทัตเคาะประตูหน้าห้อง สักพักประตูก็เปิดออก สภาพของภูริวัฒน์ที่เดินมาเปิดประตูดูแทบไม่ได้ เขาสวมกางเกงขาสั้นกับเสื้อยืดสีขาว ขอบใต้ตาคล้ำเป็นวง ผมเผ้ายุ่งเหยิง“ทัต นายมาได้ไง แล้วรู้ได้ไงว่าพี่อยู่ที่นี่” ภูริวัฒน์ตะลึงไปพักหนึ่งเมื่อเห็นน้องชายภูริทัตไม่สนใจที่จะตอบ“แม่เป็นห่วงพี่มากจนเกือบจะไปแจ้งความคนหายแล้วพี่รู้มั้ย” เขาไม่ได้โกหกไปซะทั้งหมด เมื่อเช้าก่อนออกจากบ้านแม่ดูเป็นห่วงและแกล้งทำท่าจะแจ้งความจริง แต่เขาดูออกว่าอย่างหลังเป็นการเล่นละครโอเวอร์ตามประสาแม่“พี่อยากอยู่คนเดียว”ภูริวัฒน์บอกแล้วจะปิดประตูใส่ แต่น้องชายไวกว่า ยันมือไว้ทัน แล้วรีบแทรกตัวเข้าไปในห้อง เมื่อเห็นว่าเปล่าประโยชน์ ภูริวัฒน์จึงปิดประตู เดินไปเปิดตู้เย็น หยิบเบียร์มาหนึ่งกระป๋อง แล้วค่อยไปนั่งที่โซฟาภูริทัตไปหยิบเบียร์มาให้ตัวเองบ้าง แล้วกลับมานั่งสำรวจพี่ชาย เขาเห็นภูริวัฒน์อยู่ในสภาพนี้ครั้งสุดท้าย
ภูริทัตเดินเข้ามาในโรงพยาบาลที่ปกติไม่ค่อยได้มาเท่าไหร่ เพราะไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา แต่วันนี้ไม่ใช่ วันนี้เขามีภารกิจที่สำคัญมาก คือหาตัวพี่ชายให้พบ แล้วจับมาเขกกะโหลกสักทีภายในห้องรอมีบรรดาพ่อแม่กับเด็ก ๆ ที่บ้างกำลังส่งเสียงร้องจ้า บ้างกำลังเล่นของเล่น เขาไม่สนใจ เดินตรงไปยังพนักงานต้อนรับ แล้วแจ้งความประสงค์ทันที“สวัสดีครับ ผมมาพบหมอภู”“ขอโทษค่ะ ตอนนี้คุณหมอไม่อยู่ค่ะ ไม่ทราบว่าคุณได้นัดไว้ก่อนรึเปล่าคะ”“ผมชื่อภูริทัต เป็นน้องชายเขา ผมต้องการเจอเขา วันนี้เขาได้เข้ามารึยังครับ”“วันนี้คุณหมอยังไม่เข้ามาเลยค่ะ ขอโทษด้วยนะคะ”“ทัต”ภูริทัตหันหลังกลับไปมองตามเสียงเรียก ธรรมมิกากำลังเดินตรงมาหาเขา“สวัสดีมิกา”คุณหมอสาวยิ้มให้เขา “มีอะไรให้ช่วยรึเปล่า”“ผมกำลังหาพี่ภูอ
“พี่ภูอย่าเป็นแบบนี้สิคะ”“พี่เป็นอะไร”“นนท์เขาไปประชุมที่กรุงเทพฯ เพิ่งจะกลับมาเมื่อวาน ตาลไม่ได้เจอเขาเลยจนกระทั่งวันนี้ ตาลกำลังจะบอกเขาเรื่องของเรา แต่พี่ดันโผล่มาซะก่อน” เธอพยายามอธิบายภูริวัฒน์ส่ายหน้าผิดหวัง “ตาลยังทำแบบนี้อยู่อีกเหรอ”“ตาลทำอะไรคะ”“ปิดบังพี่”“ตาลขอโทษ ตาลไม่รู้นี่ว่าต้องรายงานพี่ทุกเรื่องที่ตาลทำ”“ตาลรู้ว่าพี่ไม่ได้ความแบบนั้น ตาลต้องคิดได้สิ ถ้าตาลบอกให้พี่รู้ เรื่องแบบนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น”“ถ้าพี่บอกว่าพี่จะมาเรื่องนี้ก็จะไม่เกิดขึ้นเหมือนกัน“พี่แค่อยากทำตัวโรแมนติกแบบคนอื่นเขาบ้าง อยากมาเซอร์ไพรส์ตาล แต่…” เขาส่ายหน้าด้วยความผิดหวัง “กลายเป็นว่าพี่เป็นฝ่ายผิดซะเอง”น้ำตาลสะอึก รู้ว่าตัวเองทำกับเขาไม่ถูก มันไม่แฟร์กับเขาที่ไปกล่าวโทษเขาทั้งหมด
หายนะ! บอกได้คำเดียวว่านี่มันหายนะชัด ๆ !น้ำตาลได้แต่ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ภูริวัฒน์เหมือนสวมวิญญาณผีบ้า ประเคนหมัดใส่ชายหนุ่มอีกคนหลุน ๆ ทางด้านชานนท์แม้จะเพลี่ยงพล้ำในตอนแรก แต่พอตั้งตัวได้ก็ซัดกลับไปไม่ยิ่งหย่อนไม่กว่ากัน“พี่ภู!”เมื่อได้สติน้ำตาลรีบพาตัวเองเข้าไปแทรกกลาง เธอกางแขนออกหันหน้าไปทางสามี“หยุดได้แล้วค่ะ!” เธอสั่ง มองหน้าภูริวัฒน์ที่โมโหจนเลือดขึ้นหน้า และรู้สึกว่าเขาไม่ได้โมโหแค่ชานนท์คนเดียว เธอไม่เคยเห็นเขาเป็นแบบนี้มาก่อน เขาสุภาพอ่อนโยนเสมอ ไม่เคยมีเรื่องชกต่อยกับใคร“พี่ภูเข้าไปรอตาลในบ้านก่อนนะคะ” เธอส่งสายตาขอร้อง“ตาล” เขาทำท่าไม่ยอม“ตาลขอร้อง” เธอบอกอีกครั้งสามีหนุ่มลังเล จ้องผู้ชายอีกคนราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ แล้วจึงเดินเข้าไปในบ้าน แต่ก็ไม่วายส่งสายตาอาฆาตใส่ชานนท์ที่จ้องเขากลับเช่นกัน
หนึ่งสัปดาห์ในการรอคอยเหมือนกับว่านานเป็นเดือนเป็นปี น้ำตาลกำลังใจจดใจจ่อรอการกลับมาของชานนท์เพื่อที่จะได้คุยกับเขาให้รู้เรื่อง ยิ่งได้ยินสิ่งที่แหวนบอกเธอยิ่งกังวล อยากเคลียร์ทุกอย่างให้เร็วที่สุด คิดว่าเรื่องนี้ควรจะคุยกับเขาที่ไหนดี สุดท้ายคิดว่าที่บ้านตัวเองน่าจะดีสุดเพราะมีความเป็นส่วนตัว ถ้าไปในที่สาธารณะ ไม่รู้ว่าเขาจะเสียหน้ารึเปล่า และในที่สุดเขาก็กลับมา และเธอนัดกับเขาในวันนี้“พี่อยากให้หวานอยู่ด้วยมั้ย หวานจะอยู่ในห้อง ไม่ออกมาเสนอหน้าเด็ดขาด” น้องสาวเสนอตัว“ไม่เป็นไร หวานไปบ้านเพื่อนก่อนน่ะดีแล้ว”“ตามใจ” บอกแล้วมองอาหารที่ถูกเตรียม “พี่เข้าครัวเองแบบนี้หวานว่ามีแต่จะทำให้เขาหลงพี่หัวปักหัวปำมากกว่า พี่สาวหวานช่างโหดร้าย”แม้น้องสาวจะพูดเล่นแต่น้ำตาลกลับสะอึก เธอหยุดมือที่กำลังคนแกงอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะค่อยคนต่อ“พี่แค่อยากทำอะไรให้มันดีหน่อย แบบไม่อยากพูดโพล่งออกไปเลย”“พี่บอ