“ว่ามาเถอะ ท่านต้องการอะไรกันแน่? อยากได้คำอธิบาย หรือว่าอยากตามข้าไปออกศึกเหมือนพี่ใหญ่ แล้วแบ่งผลงาน?”ฉินอวิ๋นฟานเข้าใจสักที ถ้าเขาแข็งข้อกับพี่ใหญ่พี่รองในเวลานี้ หรือว่าโกรธ เขาจะติดกับจริง ๆ กระทั่งผิดต่อความตั้งใจเดิม เทียบกับการถือสาเอาความกับพวกคนถ่อย มิสู้สงบสติเจรจาเงื่อนไขกับพวกเขาพี่ใหญ่อยากจะร่วมด้วยไม่ใช่หรือ? เจ้าฉินอวิ๋นฮุยก็คงจะคิดเหมือนกันกระมัง? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ได้! ข้าเอาพวกเจ้าไปด้วยก็ได้! จะจับตามองก็ดี แบ่งผลประโยชน์ก็ช่าง เอาเมืองอู่โจวกลับมาก่อนแล้วค่อยว่ากัน!“น้องเจ็ด ไยเจ้าต้องโมโหเช่นนี้... พวกเจ้าเห็นพวกเราสองคนใจคอคับแคบเกินไปแล้ว...”ฉินอวิ๋นฮุยเห็นฉินอวิ๋นฟานไม่มีอารมณ์แล้ว เดิมคิดจะหาเรื่องอีก แต่ตอนนี้เอง จู่ ๆ ไท่ซั่งหวงก็เปิดปาก เขาเอ่ยเสียงเข้ม “ฮุยเอ๋อร์ เรื่องนี้ใหญ่หลวงนัก ไม่จำเป็นต้องเปลืองน้ำลายอีก”“ไม่ว่าจะด้วยคำนึงถึงส่วนรวม จับตาดูฟานเอ๋อร์ก็ดี แบ่งเบาภาระก็ช่าง มันไม่มีอะไรสำคัญ สำคัญคือการกลับมาของเมืองอู่โจว ถ้าเจ้าวางใจไม่ลงจริงก็ส่งกองกำลังหนึ่งไปเหมือนกับคังเอ๋อร์ก็สิ้นเรื่อง!”ไท่ซั่งหวงรับว่ามองออกแล้ว สองคนนี้ความจริงก
ไท่ซั่งหวงชินกับการทำเรื่องแปลกแหวกแนวของฉินอวิ๋นฟานแล้ว ในทางกลับกัน เขารู้สึกสนใจกับเรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานจะทำต่อไปนี้มาก เขาก็อยากดูสิว่าพวกฉินอวิ๋นฟานสามคนอยู่ด้วยกันแล้ว จะทำเรื่องสะพรึงฟ้าอะไรที่เมืองจัวได้ด้วยท่าทีแข็งกร้าวของไท่ซั่งหวง เหล่าขุนนางย่อมไม่กล้าพูดมาก องค์ชายใหญ่สบสายตากับองค์ชายรองทีหนึ่ง ในทั้งความกระหยิ่มยิ้มย่องและความยินดีกับชัยชนะ พร้อมกันนั้นยังมีรอยยิ้มซับซ้อนแฝงประสงค์ร้ายอยู่“เสี่ยวฟาน สถานการณ์มันแปลก ๆ นะ เราเอาคนไปน้อยเกินไปหรือเปล่า?”เมื่อครู่อู่จ้านพูดไม่ได้ เขาร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ยามนี้โดยรวมถูกกำหนดแล้ว สถานการณ์เช่นนี้ทำให้เขากังวลอย่างหนัก การเข้าร่วมกะทันหันขององค์ชายใหญ่และองค์ชายรองไม่ปกติอย่างเห็นได้ชัดในฐานะที่เป็นองครักษ์คนสนิทผู้ซื่อสัตย์ที่สุดคนหนึ่ง สัญชาตญาณบอกกับเขา องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองต้องมีจุดประสงค์อื่นแน่ การเดินทางตั้งนี้ต้องเสริมเกราะป้องกันระวังภัยจึงจะดี“นั่นสิ รัชทายาท พวกเรานำพลไปแค่สามพัน เกรงว่าจะไม่พอ”หลัวเหิงเห็นสภาพการณ์แล้วจึงรีบก้าวออกมาพูดเตือน“วางใจเถอะ สามพันพอแล้ว มีพวกอาจ้านอยู่ด้วย ไม่เป็นปัญหา! ที
แค่ชั่วครู่เดียว ในเมืองและนอกเมืองคนเป็นภูเขาเลากา มีระเบียบเรียบร้อย ทุกคนต่างอยู่ในชุดเกราะ มือถือศาสตรา แววตามุ่งมั่น เห็นความตายประหนึ่งกลับบ้านอาชางามสามตัวกรีดกรายออกมาอย่างเชื่องช้า เหล่าองครักษ์ติดตามอยู่ซ้ายขวา ทหารม้าอยู่เบื้องหลัง สำหรับพลทหารเดินเท้าค่อนข้างช้า พวกเขาต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งสัปดาห์จึงจะถึงเมืองอู่โจวได้นอกประตูเมืองทางทิศใต้ สามพี่น้องแลกสายตากันทีหนึ่ง ไม่มีใครยอมใคร แม้จะเดินทางด้วยกัน กลับมีความคิดที่แตกต่างเนื่องจากทุกคนต่างขี่ม้า เทียบกันแล้วจึงค่อนข้างเร็ว และระยะห่างระหว่างเมืองจัวกับเมืองหลวงก็ไม่นับว่าไกลกันนัก หากขี่ม้าชั้นดีและเปลี่ยนม้าตามสถานีพักม้า เช่นนั้นจะสามารถถึงจุดหมายได้ในหกชั่วยามแต่ถ้าไม่เปลี่ยนม้า ด้วยความเร็วของเขาจะต้องใช้เวลาอย่างน้อยสองวัน นี่ก็คือสาเหตุที่ฉินอวิ๋นฟานวางแผนว่าจะออกเดินทางล่วงหน้าสามวันจวบจนม่านรัตติกาลแผ่คลุม จันทร์กระจ่างสูงเด่น พวกฉินอวิ๋นฟานขี่ม้าเดินทางหนึ่งวันเต็ม ๆ จึงจะถึงเมืองปินโจวซึ่งเป็นเมืองรอบนอกในความดูแลของเมืองจัวเมืองปินโจวไม่ใช่เมืองที่อยู่ติดชายแดน ดังนั้นจึงเกิดสงครามค่อนข้างน้อย
กับสายตาที่เต็มไปด้วยการบุกรุกขององค์ชายใหญ่ หยางมี่รักษากิริยานอบน้อมเสมอต้นเสมอปลาย นี่ก็คือลักษณะที่เหนือคนทั่วไปของนาง ภายใต้การนำของหยางมี่ ไม่นานทั้งสามก็มาถึงห้องส่วนตัวกว้างขวางและเต็มไปด้วยการตกแต่งแบบโบราณบนโต๊ะในห้องส่วนตัวโอ่อ่ามีเพียงฉินอวิ๋นฟาน ฉินอวิ๋นฮุยและฉินอวิ๋นคังสามพี่น้อง นี่คือการชุมนุมด้วยรูปแบบนี้เป็นครั้งแรกในประวัติการณ์ หนำซ้ำพวกเขายังเป็นคู่ต่อสู้ชิงบัลลังก์รายใหญ่ที่สุดด้วย ส่วนองครักษ์คนสนิทอื่นรออยู่หน้าห้องครั้นรู้ว่าพวกฉินอวิ๋นฟานจะมาถึงในหนึ่งก้านธูป หยางมี่ก็เตรียมอาหารเต็มโต๊ะล่วงหน้าแล้ว ครั้งพวกฉินอวิ๋นฟานนั่งลงก็เริ่มยกอาหารขึ้นโต๊ะ“ดี ดีมาก หยางมี่ เจ้าเก่งจริง ๆ ข้าชอบเจ้านัก หรือไม่ต่อไปเจ้าก็ติดตามข้าเถอะ ข้าจะให้เจ้าอยู่อย่างสุขสบายกินดีอยู่ดี”ฉินอวิ๋นคังมองไปทางหยางมี่อีกครั้ง พูดอย่างทะยานอยากที่สุด“ไอ้หยา องค์ชายใหญ่ ท่านล้อเล่นอีกแล้ว หยางมี่เป็นแค่ผู้หญิงธรรมดา ๆ คนหนึ่ง ชาติกำเนิดต่ำต้อย สามารถถูกองค์ชายใหญ่ชมได้คือเกียรติของข้าน้อยในชาตินี้แล้ว ไหนเลยยังกล้าหวังอะไรอีก?”ถูกองค์ชายใหญ่ดึงเข้าพวกต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน หยางมี่ก็ต
ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยใบหน้ายิ้มแฉ่ง “เพื่อสร้างสัมพันธ์อันดีระหว่างพวกเราพี่น้อง ข้าคิดแล้วรู้สึกว่าจะใจแคบไม่ได้ ข้าจะไปเอาอู่เหลียงเย่ระดับพิเศษที่เก็บเอาไว้มาร่วมดื่มด่ำกับพี่ชายทั้งสองแล้วกัน”“อู่เหลียงเย่ระดับพิเศษ?”พอองค์ชายใหญ่ได้ยินก็หูผึ่ง ในฐานะที่เป็นขุนศึกเลือดเหล็กคนหนึ่ง สุราคือสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตประจำวัน ยิ่งหลงใหลสุราดีที่สุด ถ้ามีอู่เหลียงเย่ชั้นยอดจริง เขาย่อมคาดหวัง“ข้าจะไปเอาเดี๋ยวนี้แหละ”ว่าแล้วฉินอวิ๋นฟานก็เดินออกห้องส่วนตัวไปและกลับมาพร้อมกับไหสุราลายครามงามวิจิตรใบเล็กในมือในช่วงเวลาหนึ่งครู่ ดูแล้วมีระดับมาก“โอ๊ะ น้องเจ็ด เจ้านี่ไม่ไหวเลยนะ เหล้าดีอย่างนี้กลับมุบมิบ?”องค์ชายใหญ่เห็นดังนั้นก็แยกเขี้ยวยิงฟันพูดทันทีหากองค์ชายรองที่อยู่ด้านข้างกลับระแวง ไม่มีทีท่าว่าอยากดื่มสักนิด เพราะตัวอยู่นอกบ้าน ความปลอดภัยคืออันดับหนึ่ง เขากับฉินอวิ๋นฟานมีความสัมพันธ์เป็นคู่แข่งกัน เขาไม่เชื่อถือสุราใด ๆ ที่ฉินอวิ๋นฟานเอามาทั้งนั้น“น้องเจ็ด เหล้านี่... ไม่มีปัญหานะ?”ฉินอวิ๋นฮุยถามเสียงชืด“หือ?”ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของฉินอวิ๋นฮุย รอยยิ้มบนใบหน้าของฉินอวิ๋
องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังยังคงจมอยู่กับความปีติกับสุรารสเลิศ ไม่เข้าใจความหมายแฝงของฉินอวิ๋นฟาน เขาแทบอยากยกสุราในจอกให้หมดแบบอดรนทนไม่ไหว“เหล้าดี เหล้าดีจริง ๆ!”องค์ชายใหญ่มิได้สนใจคำขอขมาเมื่อครู่ของฉินอวิ๋นฟาน จังหวะที่อู่เหลียงเย่ลงถึงท้อง เขารู้สึกสดชื่นทั้งคน ในใจได้รับการเติมเต็มแบบสุด ๆแม้อู่เหลียงเย่ในครั้งนี้จะไม่ต่างอะไรกับครั้งก่อน แต่ฉินอวิ๋นฟานเติมสิ่งหนึ่งลงไปในนั้นนิด ๆ ดังนั้นรสชาติจึงพิเศษออกไปเล็กน้อย แต่องค์ชายใหญ่หรือจะรู้สึกถึงรายละเอียดนั้น?“เชอะ จริงหรือเปล่า?”องค์ชายรองที่อยู่ด้านข้างกลับสีหน้าอึมครึม ในใจเจ็บจี๊ด ๆ จะให้เขาก้มหัวขอสุราดื่ม? ไม่มีทางเสียหรอก! แต่ความยั่วยวนของสุรามันทำให้เขาร้อนรุ่มจริง ๆ มีความรู้สึกคันไม้คันมือน้ำลายสอแต่พวกเขากลับไม่รู้เลย เรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานจะทำต่อไปนี้จะทำให้พวกเขาทั้งสองผิดใจเป็นศัตรูกันอีกครั้งฉินอวิ๋นฟานเห็นบรรยากาศได้ที่แล้ว จึงสวมบทดาราเจ้าบทบาททันที พูดด้วยใบหน้ารู้สึกผิด “พี่ใหญ่ ข้าต้องขอโทษจริง ๆ ความจริงข้าควรขอโทษและบอกความจริงกับท่านต่อหน้านานแล้ว แต่มันยุ่งจนทำให้ล่าช้า วันนี้จึงขอใช้โอกาสนี้แล้วกั
องค์ชายใหญ่หน้าขมึงทึงจ้องฉินอวิ๋นฟาน แทบอยากสับฉินอวิ๋นฟานเป็นหมื่นชิ้น และที่ฉินอวิ๋นฟานต้องการก็คือผลลัพธ์เช่นนี้นี่แหละ พี่ใหญ่ยิ่งโกรธ อีกประเดี๋ยวก็จะยิ่งบันเทิง! “พี่ใหญ่ ท่านเข้าใจข้าผิดแล้ว”ฉินอวิ๋นฟานรีบอธิบาย “ข้ารู้ว่าเรื่องนี้สะเทือนใจท่านมาก และมันก็ผ่านมานานอย่างนี้แล้ว เดิมข้าไม่ควรพูดถึงอีก แต่ไม่ว่ายังไงข้าก็รู้สึกเหมือนตัวเองถูกคนหลอกใช้ ไม่พูดความจริงมันอึดอัดใจนัก”พอฉินอวิ๋นฟานพูดออกมา ราวกับมีระเบิดบอมบ์ลูกใหม่ระเบิดใส่หัวของทั้งสองภายหลังฉินอวิ๋นคังเคยคิดตรวจสอบเรื่องนี้ เขาอาจเข้าใจน้องรองผิด แต่ในใจของเขาเทไปฝั่งที่ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับน้องรองมากกว่า จังหวะที่ฉินอวิ๋นฟานอยากพูดความจริงออกมา ทำให้เขาอดรนทนไม่ไหวอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ครั้นฉินอวิ๋นฮุยได้ยินว่าฉินอวิ๋นฟานต้องการพูด ‘ความจริง’ สีหน้าดำเป็นตับหมูฉับพลัน ความจริง? นี่มีความจริงอะไร นี่มิใช่ผลจากการที่เจ้าฉินอวิ๋นฟานแสดงละครเองหรอกหรือ?ทันใดนั้นเขาเริ่มลนแล้ว มักรู้สึกว่าฉินอวิ๋นฟานกำลังเบนหัวหอกมาทางเขาและที่เขาคิดก็ถูกต้องจริง ๆ เรื่องมันก็เป็นเช่นนี้“น้องเจ็ด เจ้าว่ามาเถ
เพราะเรื่องนี้ เดิมทีฉินอวิ๋นคังก็ไม่พอใจฉินอวิ๋นฮุยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และปักใจเชื่อว่าเรื่องนี้ต้องเกี่ยวข้องกับน้องรองแน่นอน พอเห็นฉินอวิ๋นฟานมั่นใจอย่างนี้ กระดาษแถบหลักฐานหนักแน่นดังขุนเขา ความจริงปรากฏสู่ผิวน้ำ เพลิงโทสะในใจของเขาจึงถูกจุดขึ้นอีกครั้งฉินอวิ๋นฟานเห็นภาพนี้ เขายกยิ้มเย็นชาตรงมุมปาก พูดในใจว่า ‘ดูสิว่าครั้งนี้พวกเจ้าสองคนยังจะได้ใจยังไงอีก เล่นงานข้ารึ? นี่ก็คือสิ่งที่ต้องจ่าย!’“พี่ใหญ่ ท่านอย่าเพิ่งร้อนใจไป เรื่องนี้เห็นชัดว่ามีเงื่อนงำ นี่ นี่ต้องเป็นแผนร้ายของน้องเจ็ดแน่ มันแผนร้าย!”หัวหอกของพี่ใหญ่กับฉินอวิ๋นฟานต่างชี้มาที่ตน ยามนี้ฉินอวิ๋นฮุยถึงขนาดว่าอยากตายแล้ว นี่ทำให้เขาร้อยปากก็แก้ต่างไม่ได้ จึงร้อนรนอย่างหนัก“น้องรอง น้องเจ็ดแค่ให้เจ้าพูดเรื่องนี้ออกมาให้ชัดเจนเท่านั้น ไยเจ้าต้องตื่นตระหนกเช่นนี้ด้วย? ทำไมต้องกัดน้องเจ็ด?”ฉินอวิ๋นคังจ้องฉินอวิ๋นฮุยตามเขม็ง ฉินอวิ๋นฮุยยิ่งร้อนรน เขาก็ยิ่งเชื่อว่าฉินอวิ๋นฮุยนั่นแหละที่หักหลังเขา ช่วงเวลาสามเดือนนี้ แม้เขาจะตรวจสอบ กลับไม่ได้ข้อเท็จจริงใด ๆ“ตื่นตระหนก? ข้าหรือ? พี่ใหญ่ ท่านจะใช้หัวสมองหน่อยได้หรื