“ท่านกุนซือ นี่ท่านหมายความว่ายังไง?”ในใจของฉินอวิ๋นคังเต็มไปด้วยความฉงน ถามด้วยใบหน้าสงสัย“ในเมื่อข่าวนี้มาจากการประกาศในรูปแบบที่เป็นทางการที่สุดของต้าเยียน มันจะมีความเป็นไปได้หรือไม่ว่านี่คือการเล่นงานต้าเฉียนอย่างหนึ่ง? ทำให้ต้าเฉียนเราซึ่งกำลังต่อสู้ภายในราชวงศ์ต้องวิกฤติกว่าเดิม?”หวังจื้อเอ่ย“ข้า นี่...”หากเป็นเช่นหวังจื้อกล่าวจริง นี่จะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ ฉินอวิ๋นคังพูดด้วยสีหน้าปั้นยาก “จะใช้เป็นข้ออ้างโจมตีโค่นฉินอวิ๋นฟานสักหน่อยมิได้หรือ?”“ได้สิ แต่ท่านแน่ใจหรือว่าจะโค่นเขาได้จริง? มิใช่ถูกเขาฟาดกลับมา? เรื่องพรรค์นี้องค์ชายรองทำมาไม่น้อย แล้วผลเล่า?”หวังจื้อเอ่ย “ยามนี้ฉินอวิ๋นฟานคือขุนนางผู้สร้างคุณงามความดีของต้าเฉียนเรา ไม่เพียงแต่ควักเงินตัวเองงดการเก็บภาษีรายหัวของประชาชน ยังขายอู่เหลียงเย่ไปยังทุกแคว้นทั่วโลก เครือโรงแรมห้าดาวก็กำลังจะดำเนินการแล้ว ต้องเป็นโครงการที่ได้กำไรงามแน่ โค่นเขาแล้วจะมีประโยชน์อันใดต่อท่าน? มีประโยชน์อันใดต่อต้าเฉียน?”“หากฉินอวิ๋นฟานล้มแล้ว ทั้งหมดนี้ก็จะไม่คงอยู่ และเหตุผลกลับเพราะข่าวเดียวจากต้าเยียน? นี่มิรู้สึกว่ามันเหลวไหล
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้พ่ะย่ะค่ะ หลายวันก่อนองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองรวมหัวกันเล่นตุกติกกับอู่เหลียงเย่ของรัชทายาท แต่เนื่องจากกลัวว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ ดังนั้นจึงอยากหยั่งเชิงดู ผลลัพธ์คือถูกคนของหน่วยบูรพาพบเข้า รัชทายาทจึงวางแผนซ้อนแผน เอายาระบายไปใส่อยู่ในอาหารแทน”“เรื่องหลังจากนั้นพระองค์ทรงทราบแล้ว องค์ชายใหญ่ปล่อยออกกลางถนนอย่างไม่เป็นท่า โกรธแค้นถึงขีดสุด สุดท้ายองค์ชายใหญ่กลับนึกว่านี่คือแผนการร้ายที่องค์ชายรองวางแผนร่วมกับรัชทายาท จงใจเล่นงานเขา จึงคิดแค้นองค์ชายรองและแตกหักกันด้วยเหตุนี้พ่ะย่ะค่ะ”“และเรื่องที่ต้าเยียนประกาศในหนนี้ยังเกี่ยวข้องกับรัชทายาทอีก ระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเดิมก็ต่อกรด้วยยากอยู่แล้ว ดังนั้นเพื่อป้องกันอีกฝ่าย ทั้งสองจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เลือกที่จะอยู่นิ่ง ว่าแล้วก็บังเอิญนะพ่ะย่ะค่ะ”“อ้อ ยังมีเรื่องเช่นนี้ด้วยหรือ?”เมื่อได้ฟังการอธิบายจากเฉาเจิ้งฉุน ไท่ซั่งหวงหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก นี่นับว่าฉินอวิ๋นฟานดวงเฮงสุด ๆ หรือเพราะตัวพวกเขาเองมีปัญหาใหญ่อยู่แล้ว?เดิมควรเป็นเรื่องที่โจมตีฉินอวิ๋นฟานทั้งวาจาและการขีดเขียน สุดท้ายกลับกลายเป็นว่
“อะไรนะ? ฆ่าคน?”จู่ ๆ ก็มีเสียงร้องอุทานดังขึ้นในจุดที่ไม่ไกล ฉินอวิ๋นฟานใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน รีบพูด “ไป เรารีบไปดูกันเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานสามคนขี่ม้าเร็ว ชั่วครู่เดียวก็มาถึงจุดเกิดเหตุ เห็นเพียงชายในชุดปุปะนอนอยู่กับพื้นและถูกชายในชุดเจ้าหน้าที่สามคนรุมซ้อม แม้เขายังพยายามดิ้นรนสุดชีวิต กลับไร้กำลังต่อต้าน หายใจรวยรินยามนี้ รอบด้านมีผู้คนมามุงล้อมเต็มไปหมด ทุกคนกำลังวิพากษ์วิจารณ์ กลับไม่มีใครกล้าเข้าไป“หยุดเดี๋ยวนี่นะ! นี่มันเกิดเรื่องอะไรกันแน่?”ฉินอวิ๋นฟานตวาด ชาวบ้านที่กำลังส่งเสียงเซ็งแซ่เงียบในพริบตา สายตาของทุกคนต่างรวมศูนย์อยู่ที่ตัวฉินอวิ๋นฟาน ชายในชุดเจ้าหน้าที่เห็นชายหนุ่มตรงหน้ามีท่วงทำนองไม่ธรรมดา ทั้งยังจูงม้างามชั้นดีมากอีก เกรงว่าจะมีฐานะพิเศษ จึงหยุดการกระทำมือเดี๋ยวนั้น“เจ้าคือใคร?”ชายในชุดเจ้าหน้าที่ซึ่งเป็นผู้นำเอ่ยปากสอบถามด้วยใบหน้าระแวง“ข้า? พ่อค้าผ่านทาง”ที่แรกฉินอวิ๋นฟานอยากจะเปิดเผยตัวตน แต่คิดแล้วก็ช่างเถอะ ขุนนางสุนัขพวกนี้เลือกปฏิบัติกับคนตามฐานะ มิสู้เรียกร้องความเป็นธรรมด้วยฐานะพ่อค้า ดูสิว่าคนในชุดเจ้าหน้าที่พวกนี้จะมีท่าทีอย่างไร“เหอ
“พวกดื้อด้าน?”ไฟโทสะของฉินอวิ๋นฟานเพิ่มขึ้นฮวบฮาบ เขาเอ่ยเสียงหนาว “นี่เป็นครั้งที่สองแล้วทีเจ้าพูดว่า ‘พวกดื้อด้าน’ ใครให้อำนาจเจ้า อนุญาตให้เจ้าว่าประชาชนว่าพวกดื้อด้านครั้งแล้วครั้งเล่า?”“สมควรโดนตบ!”เซี่ยงเทียนเวิ่นที่อยู่ด้านข้างทนไม่ได้นานแล้ว ครั้นฉินอวิ๋นฟานออกคำสั่ง เขาลงมืออย่างไม่ลังเลสักนิด ว่องไวที่สุด สะบัดมือก็คือผลัวะ หวดใส่หน้าชายผู้เป็นผู้นำคนนั้นแรง ๆหนึ่งฝ่ามือลงไป ตบจนอีกฝ่ายไม่รู้เหนือรู้ใต้ ใบหน้าบวมเป่ง รอยนิ้วมือแดง ๆ ห้านิ้วเด่นชัด อนาถถึงที่สุด!“ตบได้ดี!”“ตบได้ดี!”......ชั่วขณะ ชาวบ้านรอบทิศต่างส่งเสียงกู่ร้อง พวกเขาส่วนมากล้วนเป็นพ่อค้าในถนนคนเดินสายนี้ บ้างเป็นคนที่มาท่องเที่ยวยามราตรี เห็นฉินอวิ๋นฟานผู้เต็มเปี่ยมไปด้วยคุณธรรม ต่างฮึกเหิม ในที่สุดก็คือคนจัดการเจ้าหน้าที่ฝ่ายปากครองเมืองที่โอหังกำแหงเหล่านี้ได้สักที“พะ พวก พวกเจ้ากล้านักนะ! กล้าตบขุนนางหรือ? พวกเจ้าคอยดูนะ รอเลย! ”ชายผู้เป็นผู้นี้ตะบึงตะบอนอย่างหนัก กุมใบหน้าเตรียมจะไปขนกองหนุนมา แต่ตอนนี้เอง เซี่ยงเทียนเวิ่นขึ้นไปขวางอยู่ตรงหน้าเขาด้วยความเร็วดังศร เอ่ยเสียงเย็นชา “จะไป?
“คำนับรัชทายาท ข้าน้อยหลิวเป้ย”ตอนนี้เอง เสียงดังกังวานและเต็มไปด้วยความน่าเกรงขามดังขึ้นมาจากข้างหลังกะทันหัน เห็นเพียงชายสวมชุดและหมวกขุนนางคนหนึ่งมาถึงอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็คุกเข่าลงตรงหน้าฉินอวิ๋นฟานทันที“อะไรนะ? รัช รัชทายาท?!”“ขะ เขาก็คือรัชทายาทของต้าเฉียนเราหรือ? รัชทายาทผู้กอบกู้ห่วงใยประชาชนเมืองจัวของเราหรือ?”“สวรรค์ของข้า นี่ไม่ใช่เทพในใจของพวกเราหรือ? ไม่มีเขา พวกเราชาวบ้านที่ลำบากยากแค้นไหนเลยจะมีชีวิตที่เป็นสุขเช่นนี้ได้? วันนี้ได้เห็นตัวจริงสักที!”......ครั้นทุกคนรู้ว่าชายหนุ่มตรงหน้าก็คือรัชทายาทในปัจจุบันยิ่งอยู่เฉยไม่ได้แล้ว หนึ่งเดือนก่อน เมืองจัวคือความแร้นแค้นหิวโหยทุกหย่อมหญ้านับจากรัชทายาทรับช่วงเมืองจัวต่อ ชีวิตของทุกคนก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ได้อยู่ในบ้านแสนสบาย ได้รับผืนนา เมล็ดพันธุ์ยังเป็นของที่เจ้าเมืองมอบให้แบบไม่มีค่าใช้จ่ายอีก แถมยังงดภาษีรายหัวพวกเขาอีกปีหนึ่งชาวบ้านยากไร้อย่างพวกเขา ในสายตามีแต่เงื่อนไขในการดำรงชีวิตพื้นฐาน แต่สิ่งเหล่านี้กลับเป็นรัชทายาทคำนึงถึงและมอบให้ชาวบ้านสี่ทิศน้ำตานองหน้า คุกเข่าลงเดี๋ยวนั้นคนของฝ่ายปกคร
ฉินอวิ๋นฟานเกี่ยวก้อยกับหนูน้อยเบา ๆ เมื่อได้รับความเชื่อใจจากนางแล้ว ฉินอวิ๋นฟานจึงยันมือกับพื้นแล้วประคองสวี่เหลียงขึ้นมา“ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นยังไงบ้าง? สวี่เหลียง?”ฉินอวิ๋นฟานประคองร่างผอมกะหร่องของสวี่เหลียงด้วยตนเองพลางถามสวี่เหลียงตอบอย่างมีลมแต่ไร้กำลัง “ขอบ ขอบคุณรัชทายาท ข้าน้อยยังไม่ตาย ถ้าความเจ็บตามร่างกายดีขึ้นแล้วก็จะดีมาหน่อยขอรับ”“กินขนมน้ำตาล เสริมกำลังหน่อย!”ฉินอวิ๋นฟานหยิบขนมออกมาชิ้นหนึ่งแล้วส่งไปถึงริมฝีปากของสวี่เหลียง ฉินอวิ๋นฟานชำนาญการปฐมพยาบาลฉุกเฉิน อาการของสวี่เหลียงขาดสารอาหารซึ่งเกิดจากความหิวโหยสุดขั้ว ขนมน้ำตาลชิ้นหนึ่งทำให้เขาคืนกำลังได้ประมาณหนึ่งอย่างรวดเร็วสวี่เหลียงที่หิวจนไส้กิ่วไม่อาจคำนึงถึงอะไรได้มาก หลังจากกินขนมลงไปสีหน้าก็ดีขึ้นเยอะ“สวี่เหลียง ตอนนี้อุทกภัยก็ผ่านพ้นไปแล้ว ถือได้ว่าบ้านเมืองร่มเย็นกระมัง แล้วทำไมเจ้าถึงตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ได้อีก?”ฉินอวิ๋นฟานถามด้วยความสงสัย“เฮ้อ!”สวี่เหลียงถอนหายใจหนัก ๆ “เรียนรัชทายาท ข้าเคยเป็นทหารมาก่อน แต่เสียขาข้างหนึ่งในสงครามที่เมืองอู่โจวเมื่อปีที่แล้ว ไม่อาจเป็นแรงงาน จึงถูกกองทัพทอ
หลิวเป้ยหน้าขม เมืองจัวเป็นอย่างไรเขารู้ดีที่สุด ก่อนหน้านี้ฝ่ายต่าง ๆ เป็นคนขององค์ชายใหญ่เป็นส่วนมาก เพื่อให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง เพื่องานก่อสร้างหลังจากภัยพิบัติ จึงไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับขั้วอิทธิพลเหล่านี้ง่าย ๆสำหรับบางเรื่องในเมือง หลิวเป้ยย่อมรู้ประมาณหนึ่ง ทีแรกเขาคิดว่าหลังจากทำทุกอย่างให้แน่นอนแล้วค่อยจัดการ ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้ แถมยังถูกฉินอวิ๋นฟานเจอกับตัวอีก“หลิวเป้ย ที่ข้าให้เจ้าเป็นเจ้าเมืองก็เพื่อให้เจ้าแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ให้เจ้ามาหาข้ออ้างกับข้า!” ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนักด้วยสีหน้าขมึงทึง “ถ้าเจ้ากลัวนี่กลัวนั่น ข้าจะเอาเจ้าไปทำไม? ถ้าเจ้าไม่สามารถทำงานให้ชาวบ้านได้ ไม่กล้ากำจัดอิทธิพลชั่วร้าย เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องนั่งตำแหน่งเจ้าเมืองนี้แล้ว! ข้าฉินอวิ๋นฟานไม่ต้องการสุนัขของอำนาจ!”เรื่องนี้กระตุ้นต่อมโมโหของฉินอวิ๋นฟานโดยสมบูรณ์ เขานึกว่าเมืองจัวเป็นปกติสุขฟ้าโปร่ง ไม่นึกว่ายังเป็นภาพเน่าเฟะเช่นนี้ ภายนอกดูเปลี่ยนแปลงไปจริง แต่เบื้องหลังกลับยังอเนจอนาถมิอาจทำใจมองให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง หลิวเป้ยกลับหวั่นเกรงขั้วอำนาจของพี่ใหญ่จึงเลือกประนีประนอม? น
หลิวเป้ยเอ่ยเสียงกร้าว“หา ใต้เท้าเจ้าเมือง ใส่ความกันนะ นี่คือการใส่ร้ายของพวกคนเลวพวกนั้น พวกเขาใส่ร้ายข้า ได้โปรดเมตตาด้วย!”เมื่อหนิวสือได้ยินก็ลนลาน เรื่องที่ทำลายแผงลอยของสวี่เหลียงพวกเขาไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก เนื่องจากน้องสาวของเขาเป็นอนุภรรยาของเริ่นเซิน ดังนั้นเมื่อครู่จึงอวดเบ่งวางก้าม ข่มเหงรังแกประชาชนทันทีที่เรื่องนี้ถูกพิสูจน์ เขายังจะรักษาชีวิตน้อย ๆ ได้อีกหรือ?“เหอะ! เมตตา?”หลิวเป้ยเอ่ยเสียงเย็น “คนที่ถูกพวกหนิวสือรังแกเมื่อก่อนหน้า จงก้าวออกมาพูดเดี๋ยวนี้! วันนี้ข้าหลิวเป้ยจะให้ความเป็นธรรมกับพวกเจ้าตรงนี้เลย!”เมื่อสิ้นเสียง เจ้าของแผงลอยสิบกว่าคนก้าวออกมาทันที หนึ่งในนั้นพูดทั้งน้ำตา “เจ้าเมืองหลิว สามวันก่อนเพราะว่าข้าน้อยมีเงินไม่พอจ่ายค่าส่วนกลาง ก็เลยถูกพวกหนิวสือรุมซ้อม ตอนนี้หน้ายังบวมอยู่เลยขอรับ”“ข้าน้อยก็ด้วยขอรับ แผงลอยของข้าน้อยจนถึงตอนนี้ยังถูกยึดอยู่ที่จวนว่าการอยู่เลย จะให้ข้าน้อยจ่ายยี่สิบตำลึงก่อนถึงจะไถ่ถอนคืนกลับมาได้ ข้าน้อยเป็นแค่ชาวบ้านตาดำ ๆ ต่อให้ไม่กินไม่ใช้หนึ่งปีก็หายี่สิบตำลึงยากนะขอรับ”“เจ้าคนสมควรตายนี่ เมียข้าน้อยถูกเขาแต๊ะอั๋
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ