หลิวเป้ยหน้าขม เมืองจัวเป็นอย่างไรเขารู้ดีที่สุด ก่อนหน้านี้ฝ่ายต่าง ๆ เป็นคนขององค์ชายใหญ่เป็นส่วนมาก เพื่อให้ก้าวหน้าอย่างมั่นคง เพื่องานก่อสร้างหลังจากภัยพิบัติ จึงไม่ได้ตั้งตนเป็นศัตรูกับขั้วอิทธิพลเหล่านี้ง่าย ๆสำหรับบางเรื่องในเมือง หลิวเป้ยย่อมรู้ประมาณหนึ่ง ทีแรกเขาคิดว่าหลังจากทำทุกอย่างให้แน่นอนแล้วค่อยจัดการ ไม่นึกว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ได้ แถมยังถูกฉินอวิ๋นฟานเจอกับตัวอีก“หลิวเป้ย ที่ข้าให้เจ้าเป็นเจ้าเมืองก็เพื่อให้เจ้าแก้ไขปัญหา ไม่ใช่ให้เจ้ามาหาข้ออ้างกับข้า!” ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนักด้วยสีหน้าขมึงทึง “ถ้าเจ้ากลัวนี่กลัวนั่น ข้าจะเอาเจ้าไปทำไม? ถ้าเจ้าไม่สามารถทำงานให้ชาวบ้านได้ ไม่กล้ากำจัดอิทธิพลชั่วร้าย เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องนั่งตำแหน่งเจ้าเมืองนี้แล้ว! ข้าฉินอวิ๋นฟานไม่ต้องการสุนัขของอำนาจ!”เรื่องนี้กระตุ้นต่อมโมโหของฉินอวิ๋นฟานโดยสมบูรณ์ เขานึกว่าเมืองจัวเป็นปกติสุขฟ้าโปร่ง ไม่นึกว่ายังเป็นภาพเน่าเฟะเช่นนี้ ภายนอกดูเปลี่ยนแปลงไปจริง แต่เบื้องหลังกลับยังอเนจอนาถมิอาจทำใจมองให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง หลิวเป้ยกลับหวั่นเกรงขั้วอำนาจของพี่ใหญ่จึงเลือกประนีประนอม? น
หลิวเป้ยเอ่ยเสียงกร้าว“หา ใต้เท้าเจ้าเมือง ใส่ความกันนะ นี่คือการใส่ร้ายของพวกคนเลวพวกนั้น พวกเขาใส่ร้ายข้า ได้โปรดเมตตาด้วย!”เมื่อหนิวสือได้ยินก็ลนลาน เรื่องที่ทำลายแผงลอยของสวี่เหลียงพวกเขาไม่ได้ทำเป็นครั้งแรก เนื่องจากน้องสาวของเขาเป็นอนุภรรยาของเริ่นเซิน ดังนั้นเมื่อครู่จึงอวดเบ่งวางก้าม ข่มเหงรังแกประชาชนทันทีที่เรื่องนี้ถูกพิสูจน์ เขายังจะรักษาชีวิตน้อย ๆ ได้อีกหรือ?“เหอะ! เมตตา?”หลิวเป้ยเอ่ยเสียงเย็น “คนที่ถูกพวกหนิวสือรังแกเมื่อก่อนหน้า จงก้าวออกมาพูดเดี๋ยวนี้! วันนี้ข้าหลิวเป้ยจะให้ความเป็นธรรมกับพวกเจ้าตรงนี้เลย!”เมื่อสิ้นเสียง เจ้าของแผงลอยสิบกว่าคนก้าวออกมาทันที หนึ่งในนั้นพูดทั้งน้ำตา “เจ้าเมืองหลิว สามวันก่อนเพราะว่าข้าน้อยมีเงินไม่พอจ่ายค่าส่วนกลาง ก็เลยถูกพวกหนิวสือรุมซ้อม ตอนนี้หน้ายังบวมอยู่เลยขอรับ”“ข้าน้อยก็ด้วยขอรับ แผงลอยของข้าน้อยจนถึงตอนนี้ยังถูกยึดอยู่ที่จวนว่าการอยู่เลย จะให้ข้าน้อยจ่ายยี่สิบตำลึงก่อนถึงจะไถ่ถอนคืนกลับมาได้ ข้าน้อยเป็นแค่ชาวบ้านตาดำ ๆ ต่อให้ไม่กินไม่ใช้หนึ่งปีก็หายี่สิบตำลึงยากนะขอรับ”“เจ้าคนสมควรตายนี่ เมียข้าน้อยถูกเขาแต๊ะอั๋
“ฮึ ข่มขู่เจ้าแล้วจะยังไง? เจ้ายังจะทำอะไรข้าได้?”เริ่นเซินยังคงกำแหงเหมือนเดิม ไม่เห็นหลิวเป้ยอยู่ในสายตาสักนิด เขาเชื่อว่าไม่มีใครในเมืองจัวกล้าแตะต้องเขาง่าย ๆ เขาไม่เพียงแต่เป็นคนขององค์ชายใหญ่ หนำซ้ำยังเป็นคนตระกูลเริ่น ลงมือกับเขา นอกเสียจากรังเกียจที่อายุยืน!ฉินอวิ๋นฟานนั่งชมอยู่ด้านข้างด้วยสายตาเย็นชา เขาก็อยากดูสิว่าเริ่นเซินผู้นี้จะโอหังสักแค่ไหน? และหลิวเป้ยจะแก้ไขปัญหานี้ด้วยวิธีการอะไร เขาอยากเห็นว่าบนตัวของหลิวเป้ยยังมีความเร่าร้อนอยู่อีกหรือไม่!“ทำอะไรได้? อีกเดี๋ยวเจ้าจะได้รู้แล้ว!”บนใบหน้าของหลิวเป้ยเต็มไปด้วยสีสันของความเย็นชา เขาตวาด “ใครก็ได้! นำตัวพวกคนบาปหนิวสือไปประหารเดี๋ยวนี้!”ซี้ด!หลิวเป้ยออกคำสั่ง ทุกคนในที่นั้นต่างสูดลมเย็นเข้าปอด ภาพจำที่ทุกคนมีต่อหลิวเป้ยคือสุภาพบุรุษอ่อนโยน ทำไมวันนี้ถึงแข็งกร้าวอย่างนี้ได้ล่ะ?ฉินอวิ๋นฟานที่อยู่ด้านข้างยิ้มบางเหมือนกัน มีเพียงเช่นนี้จึงจะสามารถข่มขวัญพวกต่ำช้าเหล่านั้นได้!“อะไรนะ? ประหาร?!”ครั้นหนิวสือได้ยินพลันแตกตื่น เขารีบเอ่ยปากขอร้อง “น้อง น้องเขย ช่วยข้า ช่วยข้าด้วย ข้ารู้ความผิดแล้ว ต่อไปต้องแก้ตั
“ดี ดี ดีมาก หลิวเป้ย วันนี้ถือว่าเจ้าแน่ ข้าจำเจ้าไว้แล้ว หวังว่าพรุ่งนี้เจ้าจะยังใจเด็ดอย่างนี้นะ!”พวกหนิวสือถูกฆ่าตายแล้ว ถึงเริ่นเซินจะยังมีไฟโทสะไม่สิ้นสุด กลับได้แต่พูดคำหนัก อย่างไรเวลานี้เขาก็ไม่มีผู้ช่วยสักคน และหลิวเป้ยก็มีกำลังคนมากกว่าก็ในตอนที่เขาเตรียมจะไป กลับถูกคนของหลิวเป้ยขวางเอาไว้ฉับพลัน“หลิวเป้ย นี่เจ้าหมายความว่ายังไง?”เริ่นเซินยังคงไม่ตระหนักถึงความร้ายแรงของเรื่อง เขาหรี่ดวงตาทั้งสองและถาม “คนของข้าเจ้าก็ฆ่าไปแล้ว เจ้ายังจะเอายังไงอีก? หรือว่ายังอยากเล่นงานข้า?”หลิวเป้ยกลับไม่ต่อความกับเริ่นเซิน เอ่ยปาก “สองเดือนกว่าก่อนหน้านี้ ในตอนที่อุทกภัยเพิ่งเริ่ม เพื่อเอาตัวรอด เพื่อไม่ให้จวนพักของเจ้าถูกน้ำพัดทำลาย จงใจขุดทำนบน้ำใหญ่ทางตะวันตกของเมือง ทำให้มวลน้ำทั้งหมดหลากเข้าพื้นที่คนยากไร้ มีเรื่องเช่นนี้หรือไม่?”ถูกหลิวเป้ยเอ่ยถามเสียงเย็น เริ่นเซินรูม่านตาหดเล็ก ลางร้ายผุดขึ้นมาในหัวใจฉับพลัน เรื่องนี้คือเรื่องจริง ถ้าไม่เบนน้ำไปทางพื้นที่คนยากไร้ น้ำจะต้องหลากเข้าจวนที่พักของเขาแน่ เพื่อเอาตัวรอด จึงได้แต่เสียสละชีวิตชาวบ้านให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง
ยามนี้ ในที่สุดเริ่นเซินก็ตระหนักถึงลางร้ายแล้ว แม้เขาจะมีคนให้ท้าย แต่เมืองจัวอยู่ห่างจากเมืองหลวง และหลิวเป้ยก็กุมอำนาจทหารของเมืองจัวทั้งหมด ทหารในจวนสามร้อยคนกับเจ้าหน้าที่ในที่ทำการ ไม่พอให้อยู่ต่อหน้าหลิวเป้ยถ้าหลิวเป้ยต้องการเอาชีวิตเขา เช่นนั้นวันนี้เขาคงร้ายมากกว่าดี นึกถึงภาพที่เริ่นซวี่ผู้เป็นน้องชายลูกพี่ลูกน้องถูกฆ่าเมื่อก่อนหน้านั้น เริ่นเซินขนลุกโดยที่ไม่หนาว จะอย่างไรหลิวเป้ยก็เป็นคนของรัชทายาท“เจ้าอยู่ในรายชื่อประหารของข้านานแล้ว ที่เก็บเจ้าไว้ถึงวันนี้ ก็เพราะข้าเพิ่งมาดำรงตำแหน่งที่เมืองจัว กลัวว่าฐานไม่มั่นคงจะถูกพวกเจ้ากับขั้วอำนาจที่อยู่ข้างหลังขัดขวางแผนพัฒนาของเมืองจัว”หลิวเป้ยกล่าวด้วยใบหน้าปราศจากอารมณ์ “บัดนี้รัชทายาทมาด้วยตนเอง ออกประกาศิตต่อข้า เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้ว ดำเนินแผนการประหารก่อนกำหนด หวังว่าชาติหน้าเจ้าจะไม่ทำเรื่องผิดต่อคุณธรรมฟ้าอีก มิเช่นนั้นจะต้องไปเวียนว่ายตายเกิดก่อนกำหนดอีกแล้ว!”“อะไรนะ? เจ้าคิดจะฆ่าข้าแต่แรกแล้ว?!”เริ่นเซินหมดสิ้นความหวัง ความตกใจกลัวแสดงออกมาอยู่เต็มใบหน้า เขารีบร้องขอ “หลิวเป้ย ท่าน ท่านจะฆ่าข้าไม
ฉินอวิ๋นฟานก็อยากขจัดความเหิมเกริมและความรู้สึกเหนือกว่าของพวกเขานี่แหละ ให้พวกเขาได้ลิ้มรสสักหน่อยว่าอะไรคือความหวาดกลัวที่แท้จริง อะไรคือความรู้สึกของความตาย“ไม่ ไม่นะ รัชทายาท ขอร้องละ...”ครั้นได้ยินคำพูดของฉินอวิ๋นฟาน เริ่นเซินหมดหวังแล้ว ทีแรกเขายังคิดจะขอร้องให้ไว้ชีวิต แต่ฉินอวิ๋นฟานไม่มีความอดทนจะฟังเขาพูดไร้สาระ จึงโบกมือไปเสีย ไม่สนใจเริ่นเซินอีกหลิวเป้ยพูดหน้าขรึม “ใครก็ได้ เอาตัวเริ่นเซินไปประหารซะ!”“ฮะ...”เริ่นเซินสองขาอ่อนแรง ทรุดตัวลงไปกองกับพื้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคำสั่งของหลิวเป้ย ศีรษะของเริ่นเซินหลุดออกจากบ่า คดีวิวาทในตลาดเป็นอันยุติ“เรียนรัชทายาท คดีฝ่ายปกครองเมืองจัวก่อเรื่องในตลาด ข่มเหงรังแกประชาชนได้จัดการเรียบร้อยแล้วขอรับ!”หลิวเป้ยและคนอื่น ๆ คุกเข่าลงตรงหน้าฉินอวิ๋นฟาน สองมือกำหมัด ท่าทีเคารพอย่างหาที่เปรียบมิได้ฉินอวิ๋นฟานส่งตัวเด็กหญิงให้สวี่เหลียงเบา ๆ ก่อนจะเอามือไพล่หลังแล้วพูด “หลิวเป้ย ทุกคนที่อยู่ในที่นี้ ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะจดจำคำพูดของข้าในวันนี้นะ”“นับแต่โบราณ หาบเร่แรงงาน ลากรถค้าขายคืออาชีพปกติของประชาชนระดับล่าง นี่คือสิทธิพื้
กลับถึงจวนเจ้าเมืองจัว ฉินอวิ๋นฟานนั่งสง่าอยู่บนตำแหน่ง โดยมีหลิวเป้ย หานซิ่นและคนอื่น ๆ ยืนอย่างนอบน้อมอยู่สองฝั่งไม่เจอเกือบหนึ่งเดือน ฉินอวิ๋นฟานเห็นทุกคนหน้าอิดโรยยังรู้สึกปวดใจนัก เพราะพี่น้องเหล่านี้คือคนที่ติดตามเขามาแต่แรก และเมืองจัวคือพื้นที่ซึ่งประสบอุทกภัยร้ายแรง สามารถก่อสร้างจนเป็นเช่นนี้ได้ในเวลาหนึ่งเดือน ไม่ง่ายเลยจริง ๆ ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปาก “ที่ข้ามาครั้งนี้เพราะมีเรื่องสำคัญมากเรื่องหนึ่งต้องการจะพูดกับพวกเจ้า นั่นก็คืออีกสามเดือนพวกเราจะรับมอบเมืองอู่โจว ถึงจะดูเหมือนง่าย แต่ความจริงมันไม่ง่ายเลย ถึงเวลาเมืองอู่โจวจะเป็นการฝึกและบททดสอบสุดท้ายของพวกเจ้า”“ไม่ง่าย? มิใช่ว่าองค์หญิงสามต้าเยียนประกาศต่อทั่วหล้าว่าอีกสามเดือนจะคืนเมืองอู่โจวให้เราหรือ? ถ้ากลับคำพูดที่ต้องขายก็คือหน้าของต้าเยียน พวกเรารับมอบตามปกติก็ได้แล้วนี่?”หลิวเป้ยถามด้วยความฉงน“ครั้งนี้ที่ต้าเยียนประกาศต่อใต้หล้า เพราะพวกเขาซ่อนแผนร้ายเอาไว้ ผิวเผินพูดเสียดิบดี แต่ความจริงกลับวางอุบายกับเรา ข้าไม่คิดว่าพวกเขาจะยอมคืนเมืองอู่โจวให้เราด้วยความสมัครใจ สำหรับเขาวางแผนอะไรอยู่นั้น ข้ายังไม่รู้ ยั
“เนื่องจากพวกเราให้สวัสดิการค่อนข้างดี จึงมีคนมาสมัครเข้าค่ายทัพหน้าค่อนข้างมาก หลังจากคัดเลือกหลายรอบ คนที่สามารถผ่านเกณฑ์มีอยู่เจ็ดหมื่นกว่าคน ตอนนี้ยังอยู่ระหว่างการคัดเลือก ตามแผนการจะได้หนึ่งแสนคนในครึ่งเดือน”“แต่ตามการขยายตัวอย่างรวดเร็วของเรา ห้าสิบล้านตำลึงเงินเหลือเพียงน้อยนิดแล้ว...”พอพูดถึงเงิน เห็นได้ชัดว่าหานซิ่นละอายใจอยู่บ้าง เพราะในเวลาหนึ่งเดือนสั้น ๆ เขาถลุงเงินไปเกือบห้าสิบล้านตำลึงเงิน นี่คือจำนวนเงินมหาศาล พื้นที่ภัยพิบัติมีจุดที่ต้องใช้เงินมากนัก ซึ่งมันอยู่เหนือความคาดหมายของพวกเขาโดยสิ้นเชิง“ฮ่า ๆ ๆ...”เห็นหานซิ่นระวังเรื่องเงินอย่างนี้แล้ว ฉินอวิ๋นฟานพลันขำพรืด “ห้าสิบล้านตำลึงใกล้จะหมด? นี่คือข่าวดีนะ! แสดงว่าเจ้าทำงานจริง ๆ ถ้าห้าสิบล้านยังเหลืออีกเยอะ ข้าจะผิดหวังกับพวกเจ้ามาก”“นี่คือตั๋วเงินหนึ่งร้อยล้าน ถลุงมันให้เต็มที่ ใช้มันไปเลย ยิ่งใช้เยอะก็ยิ่งดี ขอเพียงพวกเจ้ากล้าใช้เงิน และใช้เงินกับเรื่องที่สมควร เงินเหล่านี้จึงจะมีคุณค่า ข้าไม่กลัวพวกเจ้าใช้เงินหรอก กลัวแต่พวกเจ้าจะไม่มีความสามารถใช้เงินพวกนี้ต่างหาก!”“หานซิ่น ค่ายทัพหน้าเราจำเป็นต้อง
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ