จ้องเถ้าแก่ที่ผู้สมัครใจติดตาม ฉินอวิ๋นฟานฉายรอยยิ้มเต็มใบหน้า คนเหล่านี้ทำงานด้านการก่อสร้าง การค้าแปรรูปไม้ ผลิตเครื่องเรือน เครื่องเคลือบ อิฐกระเบื้องเป็นส่วนใหญ่พวกเขาไม่มีภูมิหลังตัวตนนัก ดังนั้นจึงทำการค้าในเมืองหลวงด้วยความยากลำบากอย่างหาที่เปรียบมิได้ อาศัยฝีมือดีและอยู่ในสายงานนี้ได้เพียงระดับกลาง นอกจากนี้พวกเขายังถูกคนของทางการและขุนนางสะกดข่มอยู่เสมอ มักต้องควักเงินทองแสดงความกตัญญู หวังว่าจะเอาตัวรอดภายใต้การกดขี่จากพวกบุญหนักศักดิ์ใหญ่เหล่านี้ พวกเขาลำบากแสนเข็ญ เงินส่วนมากล้วนถูกผู้มีอำนาจสูงศักดิ์เหล่านั้นรีดไถไปด้วยข้ออ้างและเหตุผลต่าง ๆ นานา หากได้แต่มองตาปริบ ๆในตอนที่ฉินอวิ๋นฟานสร้างโรงแรมห้าดาวต้าเฉียนได้นำคนทำความเข้าใจกับทั้งเมืองหลวง ศึกษาตื้นลึกหนาบาง สุดท้ายพบว่าฝีมือของคนพวกนี้ประณีตโดยแท้ ทว่าการค้ากลับเงียบเหงา กลับมีบางคนที่นำสินค้าบ้าน ๆ เข้ามา แต่ขายดีเทน้ำเทท่า แถมยังประกอบกิจการใหญ่โตอีกสุดท้ายก็คือมีคนทำการค้าโดยรูปแบบสกปรก ผูกขาด กดขี่ ใช้วิธีการเดียวกับพวกมาเฟีย ดังนั้นบรรดาเถ้าแก่น้ำดีมีความสามารถจึงมีการค้าเพียงน้อยนิดนี่อดทำให้ฉินอวิ๋นฟ
ทันใดนั้นฉินอวิ๋นฟานก็เอากระดาษออกมาแล้วเอ่ยเสียงหนัก “ถ้าอยากจะเข้าร่วมกับข้า แค่คำมั่นลมปากยังไม่พอ ที่ข้าฉินอวิ๋นฟานเกลียดที่สุดก็คือคนที่ตีสองหน้า!”“ดังนั้นต้องลงชื่อในสัญญาร่วมเป็นตายฉบับนี้ข้าจึงจะเชื่อความภักดีของพวกท่าน ไม่ว่าผู้ใดทรยศหักหลังก็คือตายทั้งตระกูล ตอนนี้ถ้ามีคนนึกเสียใจแล้วยังทัน!”“อะไรนะ?! นี่ นี่จะทำยังไงดี?!”“นั่นสิ ดีไม่ดียังต้องถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล นี่...”“สัญญาร่วมเป็นตายฉบับนี้จะลงชื่อยังไง? ลงชื่อไปแล้วไม่เท่ากับฝากชีวิตไว้ในมือของรัชทายาทหรือ... วันข้างหน้าจะหันหลังกลับไม่ได้แล้วนะ!”......เมื่อได้ยินว่าต้องลงชื่อในสัญญาร่วมเป็นตาย ทุกคนก็ตื่นตระหนกทันที สีหน้าปั้นยากฉับพลัน พวกเขารู้เรื่องที่ฉินอวิ๋นฟานทำในต้าเฉียนดี ถ้าลงชื่อไปแล้วจะต้องทำตามทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข มิเช่นนั้น...“มีปัญหาก็ถามตอนนี้ได้ทุกเมื่อ คิดว่าไม่เหมาะสมก็ไปได้ คิดว่าเหมาะสมก็อยู่ต่อ ข้าที่นี่ไม่ต้องการคนไม่ซื่อ!”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงเย็นเฉียบ“นี่...”ทุกคนต่างมองหน้ากัน ชั่วขณะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดีเป็นตอนนี้เอง เสิ่นวั่นซานก้าวออกมาอีกครั้ง ลงชื่อตัวเองในสัญญาอ
คนประเภทนี้ไม่จำเป็นต้องสอนอะไรเขา แค่ให้เวทีและโอกาสเขาก็สามารถสร้างปาฏิหาริย์ได้แล้ว ฉินอวิ๋นฟานชอบมาก!ตั้งแต่ต้นจนจบ ฉินอวิ๋นฟานไม่ได้รีบร้อนแสดงท่าที คนที่จะอยู่ต่อได้จริง ๆ ต้องเป็นคนที่ไม่คำนึงถึงความเป็นความตาย ตัดเส้นทางข้างหลังเด็ดขาด ทุ่มเทกายใจฝ่าฟันไปกับเขา และโอกาสนี้ ฉินอวิ๋นฟานจะมอบให้พวกเขาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น!เสิ่นวั่นซานฉลาดมาก แวบเดียวก็มองความคิดของฉินอวิ๋นฟานออก นี่ก็คือสาเหตุที่เขาตัดสินใจเด็ดขาดเช่นนี้ นับจากผลิตชักโครก เขาก็พบโอกาสการค้ามหาศาลนี้แล้ว รู้สึกว่าฉินอวิ๋นฟานไม่ธรรมดา!ถ้าอยากฟื้นตัว ไม่อยากถูกข่มเหงรังแก บางทีรัชทายาทอาจเป็นโอกาสและทางออกเดียวของเขา ทันทีที่มู่หรงซื่อควานมาหาเขาด้วยตัวเอง เขาก็รับปากอย่างไม่ลังเล“รัช รัชทายาท ข้าน้อยอายุมากแล้ว เหนื่อยแล้วจริง ๆ ไม่อยากร่วมงานนี้แล้ว ขอลา!”ชายผู้หนึ่งที่อายุค่อนข้างมากเลือกถอนตัวในที่สุด ในสภาพแวดล้อมที่ดำมืดและฉ้อฉลเช่นนี้ พวกเขามีชีวิตรอดอยู่ในช่องแคบ การถูกบีบบังคับยิ่งเป็นเรื่องปกติหากลงชื่อในสัญญาฉบับนี้จะถอยหลังไม่ได้อีก อันตรายเกินไป เขาจึงตัดสินใจถอนตัวอย่างเด็ดขาด“รัชทายาท เ
“ข้ารู้ ถ้าพวกเจ้าเข้าพวกกับข้ายากจะหลีกเลี่ยงการถูกบรรดาผู้มีอิทธิพลสูงศักดิ์เหล่านั้นข่มขู่ ขย่มขวัญ ข้าคำนึงถึงจุดนี้แต่แรกแล้ว และจะจัดผู้คุ้มกันจากยุทธภพให้พวกเจ้าคนละหนึ่งคน คุ้มครองสวัสดิภาพของพวกเจ้าโดยเฉพาะ”“พร้อมกันนั้นจะให้ยอดฝีมือหนึ่งคนคุ้มครองความปลอดภัยของครอบครัวพวกเจ้าด้วย พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องพะวงอะไรอีก”ครั้นได้ยินคำพูดนี้ของฉินอวิ๋นฟาน ทุกคนพลันซาบซึ้งกรอบตาแดงถึงที่สุด นี่คือครั้งแรก! ความรู้สึกที่ถูกเห็นเป็นคนมันดีแท้! นึกถึงก่อนหน้านี้ถูกคนรังแกเหยียบย่ำเหมือนสุนัขตัวหนึ่ง ความรู้สึกที่ร้องเรียกสวรรค์ สวรรค์ไม่ตอบกลับ เรียกปฐพี ปฐพีไม่ขานรับทุกวี่วันช่างขื่นขมนักให้พวกเขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง รัชทายาทเตรียมการทุกอย่างให้พวกเขาแต่แรกแล้ว โดยเฉพาะด้านความปลอดภัยในชีวิต ยิ่งเป็นขั้วอิทธิพลยุทธภพคุ้มครองทำให้พวกเขาก้าวเดินต่อไปข้างหน้าได้อย่างวางใจสวัสดิการนี้ดีเลิศเหลือเกิน รู้สึกเหมือนทุกอย่างคือความฝันอย่างไรอย่างนั้น“รัชทายาทรอบคอบยิ่งนัก เสิ่นวั่นซานยินดีติดตามจนตัวตายขอรับ!”ยามนี้เสิ่นวั่นซานตื้นตันใจที่สุด คุกเข่าลงตรงหน้าฉินอวิ๋นฟานเป็นการแสดงออกถึ
ด้านล่าง ชายฉกรรจ์สี่คนกำลังรุมเตะต่อยชายหนุ่มผู้หนึ่ง ทว่าชายหนุ่มกลับไม่มีแรงต่อต้าน สองมือกุมศีรษะ คุดคู้ตัวกลม สุดแล้วแต่พวกเขาจะใช้ความรุนแรง ด้านข้างมีชายปากแหลมหน้าตอบในชุดผ้าแพรคนหนึ่ง ดูไปก็ก่นด่าไป สายตาเต็มไปด้วยความพยาบาทมู่หรงซื่อควาน เสิ่นวั่นซาน อู่จ้านและคนอื่น ๆ เห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็รีบมาล้อม ยามนี้ หน้าประตูภัตตาคารต้าเฉียนมีคนมาออดูเรื่องสนุกแน่นขนัดจนลมไม่ลอดผ่าน พวกเขามองดูจากข้างบน กลับเห็นอย่างชัดเจน“บัดซบ! คุณชายเริ่นมารังแกพี่เย่อีกแล้ว!”เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เสิ่นวั่นซานเดือดดาลเดี๋ยวนั้น ความโกรธแค้นด้วยมีคุณธรรมแน่นอก สองมือกำหมัดแน่นจนเกิดเสียงดังกรอบแกรบ แต่เขากลับทำอะไรไม่ได้“อ้อ? เจ้ารู้จักพวกเขาหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานมองไปทางเสิ่นวั่นซานด้วยใบหน้าประหลาดใจ ดูจากสีหน้าเคียดแค้นของเสิ่นวั่นซาน เห็นชัดว่าเขาไม่ได้ประสบเรื่องนี้เป็นครั้งแรก!“รู้จักขอรับ! พี่เย่ชื่อว่าเย่ซื่อกวาน เป็นคนที่ไม่มีชาติกำเนิดอะไร เขาเปิดโรงงานทำกระเบื้องสีชาดแห่งหนึ่งในเมืองหลวง เนื่องจากกระเบื้องสีชาดที่เขาทำแข็งแรงกว่า ทนทานกว่าและถูกกว่ากระเบื้องสีครามมาก ที่สำคัญไปกว่า
คำอธิบายของอู่จ้านทำให้ทุกคนในที่นั้นต้องสูดลมเย็นเข้าปอดเฮือกหนึ่ง นิ่งงันไปเลย ตระกูลเริ่นไม่เพียงแต่เป็นตระกูลเก่าแก่ตระกูลหนึ่ง ทั้งยังมีราชวงศ์อยู่เบื้องหลัง องค์ชายใหญ่มีฐานะโดดเด่นในราชสำนัก ใครจะกล้าล่วงเกินตระกูลเริ่น?!แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งมีความรู้สึกหายใจไม่ออก นี่ก็คือความกดดันจากอำนาจเด็ดขาดหรือ? มีอำนาจเด็ดขาดก็สามารถทำตามอำเภอใจได้หรือ?เย่ซื่อกวานแค่อยากใช้ฝีมือที่ดีกว่ารังสรรค์ชีวิตที่สวยงามในอนาคตเท่านั้น ทำไมมันยากอย่างนี้ล่ะ?มีคนอยู่ข้างหลังก็เก่งมาแล้วหรือ? มีคนอยู่ข้างหลังก็อยู่เหนือกฎหมายแล้ว? มีคนอยู่ข้างหลังก็ย่ำยีศักดิ์ศรีและชีวิตของผู้อื่นได้?!“เริ่นซวี่ เจ้ารังแกคนมากเกินไปแล้วนะ รังแกคนมากเกินไปแล้ว!”ด้านล่าง เย่ซื่อกวานที่ถูกซ้อมร้อนรนผลักชายฉกรรจ์ทั้งสี่ออกรุนแรง เขาแผดเสียงตวาดอย่างบ้าคลั่งฉินอวิ๋นฟานจ้องร่างบึกของเย่ซื่อกวาน ผิวดำเกรียม ถ้าออกแรงเต็มที่ น่ากลัวว่าคนพวกนี้คงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเย่ซื่อกวาน แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าอำนาจเด็ดขาด เขากลับไม่กล้าต่อต้านแม้แต่น้อย นอกจากจะโกรธแค้นอย่างไร้สามารถ ก็คือทำอะไรไม่ได้เลย“รังแกคนมา
“ลองว่ามาดูสิ เจ้าคิดจะลองยังไง?”ก็ขณะที่เย่ซื่อกวานใบหน้าหมดหวัง จู่ ๆ ก็มีเสียงทุ้มต่ำน่าเกรงขามโดยที่ไม่โกรธดังขึ้นมาจากด้านนอกของฝูงชน เมื่อทุกคนหันไปมอง เห็นเพียงชายหนุ่มสุภาพ รูปร่างสูงโปร่ง สองมือไพล่หลัง สาวเท้ายาวออกมาจากภัตตาคารต้าเฉียนการปรากฏตัวของฉินอวิ๋นฟานทำให้ทุกคนต่างแสดงสีหน้าประหลาดใจ ชั่วขณะ กลับไม่มีใครจำฉินอวิ๋นฟานได้ เห็นฉินอวิ๋นฟานแส่หาเรื่อง ทุกคนต่างทอดสายตาเสียดายทั้งหมดเริ่นซวี่เลิกคิ้วเล็กน้อย หันไปมองทางฉินอวิ๋นฟาน ก่อนจะพูดขึ้นแบบดูถูก “เจ้ามารดามันเป็นใครก็กล้ายุ่งเรื่องบิดาของเจ้า? เบื่อโลกแล้วใช่ไหม?!”“บิดาข้า? เจ้าแน่ใจหรือว่าจะพูดกับข้าอย่างนี้?”ฉินอวิ๋นฟานน้ำเสียงเย็นเฉียบ“ทำไม? เจ้ามารดามันสามเศียรหกกรรึ?!”เริ่นซวี่เห็นฉินอวิ๋นฟานกวนส้นเท้าอย่างนี้ พูดจายังจะกำแหงกว่าเขาอีก จึงมีน้ำโหทันที พูดด้วยใบหน้าหงุดหงิด “ว่าเจ้าแล้วจะทำไม? ไม่ยอม? ไม่รู้ว่าพ่อข้าคือใครละสิ? กลัวแต่ข้าพูดออกไปแล้วเจ้าจะฉี่ราด!”“หึ สามหาว! ตบปาก!”ฉินอวิ๋นฟานแค่เสียง อู่จ้านลงมือเร็วรี่ ก้าวเท้าพรวดไปเหมือนลูกศร ตบหน้าเริ่นซวี่แรง ๆ ฉาดหนึ่ง ทำเอาเริ่นซวี่หน้
เสิ่นวั่นซานทำการค้ามานานหลายปีอย่างนั้น รู้ดีว่ารัชทายาทคงจะปลอมเป็นหมูเพื่อกินเสือ เขาต้องการให้เย่ซื่อกวานระบายอารมณ์ที่อัดอั้นมานานเริ่นซวี่คงมีคนหนุนหลังที่น่ากลัว แต่อย่างไรฉินอวิ๋นฟานก็เป็นรัชทายาทของต้าเฉียน แค่ฐานะก็พอกดให้เริ่นซวี่หายใจไม่ออกแล้ว ฐานะระหว่างพวกเขาคนละระดับชั้นโดยสิ้นเชิงเวลานี้เริ่นซวี่กำแหงแค่ไหน ประเดี๋ยวต้องอนาถเท่านั้น!“เชี่ย! เจ้าบัดซบนี่เป็นใคร? เห็นคนของข้าเป็นโคลนกระดาษรึ?! พวกเจ้าสามคนจัดการมัน! ข้าก็อยากดูสิว่ามันจะทำอะไรได้!”เริ่นซวี่หัวฟัดหัวเหวี่ยงจนปากเบี้ยว ชี้ฉินอวิ๋นฟานด่าคำรบหนึ่ง สั่งให้ลูกน้องลงมือทันที “ซ้อมมัน ซ้อมมันให้ตาย! ตายแล้วคิดกับข้า! ข้าก็อยากดูสิว่าตัวบัดซบนี่จะโอหังไปถึงเมื่อไร!”“ขอรับ!”ลูกสมุนทั้งสามของเริ่นซวี่ได้รับคำสั่งก็หวดหมัดไปทางเย่ซื่อกวานทันที เย่ซื่อกวานเห็นดังนั้นพลันแตกตื่น ไม่รู้ว่าตัวเองควรโต้ตอบดีหรือไม่ถ้าโต้ตอบ เขาย่อมสู้ได้ เพียงแต่สิ่งที่ต้องจ่ายราคาสูงนัก ทันทีที่ลงมือ เกรงว่าจะไม่มีทางให้หันหลังกลับแล้ว!ผลัวะ!!!ในตอนที่เย่ซื่อกวานลังเลอยู่นั้น หมัดของชายฉกรรจ์ทั้งสามตกอยู่บนตัวเขาแรง ๆ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ