จ้องดวงตาโตทอประกาย คิ้วบางดังใบหลิวของสองดรุณี ฉินอวิ๋นฟานเผยสีหน้ากระหยิ่มใจ “ถ้าข้าแพ้ ก็ให้พวกเจ้าสองคนเป็นอาจารย์ดนตรีของข้า เป็นอย่างไร?”ครั้นเอ่ยคำพูดนี้ออกมา ตำหนักใหญ่ใหญ่ก็มีเสียงซี้ดดังขึ้นทันที ในสายตาของทุกคนฉายแววดูถูก เมื่อครู่ยังทำท่าจริงจังอยู่เลย ตอนนี้ไม่แสร้งทำแล้วหรือ?สองดรุณีมีชื่อเสียงโด่งดังในราชวงศ์ของเก้าแคว้น ขุนนางคหบดีที่เชิญพวกนางเป็นอาจารย์ดนตรีด้วยเงินมหาศาลมีนักต่อนัก ยังเคยมีอ๋องแห่งราชวงศ์ต้องการแต่งงานกับพวกนาง แต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธหมดเจ้าเป็นแค่รัชทายาทไม่เอาไหน มีคุณสมบัติอะไรหมายปองพวกนาง?สองดรุณีปราศจากโทสะ หากยิ้มหวานตอบ “รัชทายาทล้อเล่นแล้ว พวกเราสองพี่น้องใช้ชีวิตอิสระจนเคยชิน ไม่คิดเข้าสำนักศึกษาเป็นอาจารย์ ต้องขออภัยด้วยเจ้าค่ะ”แม่นางต้าซวงปฏิเสธสัญญาไม่เป็นจริงเป็นจังที่ฉินอวิ๋นฟานเสนอต่อหน้าทุกคน พวกนางไม่ปฏิเสธว่าฉินอวิ๋นฟานดูมีความสามารถ แต่พวกนางที่เป็นสตรีประเภทนี้ กับเรื่องราวและสิ่งของ มักมีสติและอยู่กับความจริงมากกว่าฉินอวิ๋นฟานเอ่ย “นั่นยังไม่ง่ายหรือ ถ้าเจ้าชนะ ข้าจะรับปากคำขอสามข้อของเจ้า ขอเพียงเป็นเรื่องที่ไม่ผิดต่อ
เวลานี้ สายตาทุกคู่ล้วนรวมอยู่กับตัวของฉินอวิ๋นฟาน หากพูดถึงพรสวรรค์ด้านวรรณกรรม ทุกคนย่อมไม่มีอะไรจะพูด แต่ถ้าจะแข่งกันด้านดนตรี เช่นนั้นมากน้อยคือไม่ประมาณตนชัดเจน ไม่มีใครเห็นดีกับฉินอวิ๋นฟานเลย จึงมอบสายตาเยาะเย้ยเสียดสีมาให้เขาเป็นธรรมดาฉินอวิ๋นฟานไม่ยี่หระ ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยและเอ่ย “แม่นางต้าซวง จะขอยืมพิณของเจ้าหน่อยได้หรือไม่?”“ย่อมได้เจ้าค่ะ!”แม่นางต้าซวงมิได้ปฏิเสธ แต่ลุกขึ้นยืนมอบที่นั่งให้ฉินอวิ๋นฟานเลย ตอนนี้นางอยากรู้นัก หรือว่ารัชทายาทจะไม่ได้ล้อเล่นจริง ๆ?หรือว่าเขาสามารถบรรเลงเพลงได้จริง?ภายใต้ทุกสายตา เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานหย่อนก้นลงนั่งตรงที่นั่งของแม่นางต้าซวง ดีดเบา ๆ เสียงก็ดังขึ้น ทั้งยังให้รู้สึกว่าเป็นจังหวะอย่างยิ่ง“ไม่เลว เป็นพิณดีจริง ๆ”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวชมเชยอย่างไม่ขี้เหนียวสักนิด “แต่หวังว่าอีกประเดี๋ยวแม่นางต้าซวงจะไม่ปวดใจจึงจะดี” เมื่อสิ้นเสียง เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานยกมือทั้งสองขึ้นอีกครั้งและตกลงบนสายพิณโดยตรงแม่นางต้าซวงใบหน้าฉงนฉงาย ก็ขณะที่นางกำลังจะขมวดคิ้ว จู่ ๆ เสียงดนตรีคมกริบที่พกพาความหนาวเหน็บดังขึ้นฉับพลัน เสียดแทงกระตุ้นประ
เมื่อเห็นสองดรุณีตกตะลึงหนัก ฉินอวิ๋นฟานไม่รู้สึกแปลกใจสักนิด เพลงดักซุ่มสิบทิศแม้อยู่ในยุคปัจจุบันก็เป็นสุดยอดเพลงที่มีความล้ำเลิศในล้ำเลิศ ทำนองเพลงบ้าน ๆ ในยุคโบราณแบบนี้เทียบไม่ติดฝุ่น“เพลงนี้มีชื่อว่าดักซุ่มสิบทิศ เป็นผลงานที่ข้าแต่งด้วยตัวเองนั่นแหละ”ฉินอวิ๋นฟานเชิดหน้ายืดอก กระหยิ่มใจเป็นที่สุด นี่ก็คือความรู้สึกของการโจมตีแบบลดมิติหรือ? สะใจไปเลย เมื่อก่อนต้องสู้กับพวกทหารขั้นเทพพวกนั้น แต่ตอนนี้ควบคุมนางฟ้าแสนสวยพวกนี้ได้แบบสบาย ๆ เจ๋งสุด ๆ ไปเลย“แม้ข้าน้อยจะอยู่ที่หอวั่งเจียงมานาน ไม่เข้าใจความเด็ดขาดและความโหดเหี้ยมของสมรภูมิ แต่หลังจากได้ฟังเพลงนี้ มันทำให้พวกเราพี่น้องราวกับได้อยู่ในสนามรบ สัมผัสกลิ่นคาวเลือดและความยากลำบากในสนามรบอย่างลึกซึ้ง ความหนาวเหน็บที่โหดร้าย ทำให้คนเกิดความรู้สึกเคารพ”แม่นางต้าซวงเดินมาถึงตรงหน้าฉินอวิ๋นฟาน ในดวงตาเต็มไปด้วยความชื่นชม “รัชทายาทเป็นอัจฉริยะ ข้าน้อยละอายที่สู้ไม่ได้ การแข่งดนตรีรอบนี้ ข้าน้อยแพ้แล้วเจ้าค่ะ”ซ่า...ในตำหนักใหญ่เกิดเสียงอึกทึก เนื่องจากพวกเขาไม่ใช่อาจารย์ดนตรีที่ชำนาญการ แม้รู้สึกว่าเพลงของฉินอวิ๋นฟานน่าทึ่ง
“เอ่อ คือว่าแม่นางต้าซวง แม่นางเสี่ยวซวง มิต้องมากพิธี พวกเรารุ่นราวคราวเดียวกัน ต่อไปแลกเปลี่ยนกันให้มาก ๆ ข้ามีหลายเรื่องที่อยากขอคำชี้แนะจากพวกเจ้า”สองนางเอ่ย “รัชทายาทถ่อมตนแล้ว”การประลองด้านบุ๋นยุติแต่เพียงเท่านี้ เนื่องจากความสามารถแตกต่างกันชัดเจน ฉินอวิ๋นฟานจึงคว้าชัยทั้งสามรอบไปได้ทั้งหมด ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้ทุกคนในที่นี้ต่างตกตะลึงอ้าปากค้างหากสายตาสามารถสังหารคน น่ากลัวว่าฉินอวิ๋นฟานจะถูกองค์ชายรองสังหารไปรอบที่ร้อยแล้ว ก็เวลานี้เอง ในใจขององค์ชายรองบังเกิดวิกฤตการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ทว่าตอนนี้องค์ชายใหญ่กลับร่าเริงขึ้นมาก น้องรองแพ้ราบคาบ เช่นนั้นเขามิใช่ได้เปรียบเด็ดขาดหรือ?“การประลองด้านบุ๋นสิ้นสุดแต่เพียงเท่านี้ รัชทายาทต้าเฉียนชนะทั้งสามรอบ ยินดีด้วยเจ้าค่ะรัชทายาท”เติ้งซูหมิงประกาศผลการประลองขั้นแรกอย่างจริงจัง แต่ผลลัพธ์นี้อยู่เหนือความคาดหมายของทุกคน บรรดาคนที่ยึดองค์ชายใหญ่และองค์ชายรองเป็นเสาหลักหน้าตาเคร่งเครียดโดยทั่วกัน“การประลองด้านบู๊ต่อไปนี้ ต้องดำเนินที่ลานฝึกยุทธ์ ขอเชิญทุกท่านร่วมการประลองด้านบู๊สุดท้ายนี้ที่ลานฝึกยุทธ์ด้วย”ขันทีเฒ่าข้างกายไท่ซั่
“ร่วมมือ? เจ้าคิดว่าระหว่างเรายังมีความจำเป็นต้องร่วมมือกันหรือ?”องค์ชายใหญ่กระหยิ่มยิ้มย่อง ในดวงตาล้วนเป็นความไม่ให้ค่าและดูถูก ความร่วมมือเมื่อสามวันก่อนเป็นเพราะฉินอวิ๋นฟานจะได้ครองบัลลังก์แล้ว พวกเขาจึงจำต้องร่วมมือกันบัดนี้สถานการณ์องค์ชายใหญ่เป็นต่อ เขาย่อมไม่ร่วมมือกับองค์ชายรองง่าย ๆ“แน่นอนว่ามี คาดว่าท่านคงจะเห็นแล้ว ด้วยแนวโน้มในตอนนี้ เจ้าเจ็ดมีโอกาสชนะมาก หากไม่กำจัดมัน โอกาสของพวกเราก็จะริบหรี่ลงทุกที!”องค์ชายรองเอ่ยองค์ชายใหญ่ขมวดคิ้ว พิจารณาครู่หนึ่งแล้วจึงตอบ “ความหมายของเจ้าคือรอบสุดท้ายจะ...”คำพูดมิไม่ได้กล่าวจนจบ ทั้งสองตรวจสอบความคิดของกันและกันผ่านสายตา องค์ชายรองพยักหน้าเป็นการยืนยัน องค์ชายใหญ่หรี่ตา คล้ายกำลังตัดสินใจเรื่องใหญ่อย่างไรอย่างนั้นทางตะวันออกของตำหนักว่านฉงมีลานกว้างแห่งหนึ่ง ตรงกลางมีแท่นประลองทรงสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ นี่คือลานฝึกยุทธ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของต้าเฉียน การประลองบู๊ การประลองทักษะต่าง ๆ รวมถึงกิจกรรมสำคัญจะประกอบจนลุล่วง ณ ที่แห่งนี้ทั้งหมด“รอบแรกของการประลองด้านบู๊คือยิงธนู! ขอเชิญองค์ชายที่ร่วมประลองประจำที่ด้วย!”เติ้
“องค์ชายใหญ่ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะขอรับ ไม่ทราบว่าทักษะการยิงธนูของท่านก้าวหน้าหรือไม่” เยี่ยนเป่ยวางตัวเหมาะสม“หึ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าพวกกับองค์ชายห้า เหนือความคาดหมายของข้าจริง ๆ”องค์ชายใหญ่พูดด้วยสีหน้าอึมครึม “แต่วันนี้ข้าจะไม่สู้กับเจ้าหรอก ข้าจะออมแรงเตรียมตัวกับสองรอบหลัง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ!”“เว่ยเหยียน!!!”องค์ชายใหญ่เปล่งเสียงทีหนึ่ง เห็นเพียงบุรุษรูปร่างสมดุล ผิวพรรณดำคล้ำแบกคันศรและธนูอยู่ที่หลังเดินขึ้นแท่นประลองมาถึงตรงหน้าองค์ชายใหญ่ช้า ๆ ทันทีที่ทุกคนเห็นเว่ยเหยียนต่างรู้สึกงุนงง“นี่ เว่ยเหยียนผู้นี้คือใครกัน? ทำไมไม่ยักเคยเห็นมาก่อน?”“การประลองสำคัญเช่นนี้ องค์ชายใหญ่กลับหาเจ้าหนุ่มคนหนึ่งมาลงแข่ง จะเห็นเป็นการเล่นแบบเด็ก ๆ ไปหน่อยหรือไม่?”......ทุกคนพากันงงงวยกับการกระทำขององค์ชายใหญ่ เห็นสีหน้าองค์ชายใหญ่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม สายตาของบรรดาองค์ชายและคนอื่น ๆ ต่างมีข้อกังขา ทว่าฉินอวิ๋นฟานกลับเห็นความพิเศษเล็กน้อยแม้เว่ยเหยียนจะไม่มีรูปร่างกำยำ ทว่าปัจจัยทางสรีระกลับยอดเยี่ยมอย่างแปลกประหลาด ฉินอวิ๋นฟานคือหน่วยรบพิเศษสุดยอดในยุคปัจจุ
“สวรรค์ของข้า นี่ก็คืออานุภาพของธนูทองคำศักดิ์สิทธิ์หรือ? องค์ชายรองยังสามารถยิงเข้าเหรียญทองแดงที่ระยะร้อยห้าสิบเมตรได้ จะน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง?”“สมกับที่เป็นธนูเทพอันดับหนึ่งของต้าเฉียนที่องค์อดีตฮ่องเต้ประทานให้ อยู่ในมือขององค์ชายรองยิ่งน่ากลัวเหมือนเจ้าของ ต่อให้เป็นสุดยอดนักแม่นธนูขั้นเทพเกรงว่าจะเท่านั้นเอง”“องค์ชายรองไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมสูงส่ง ยังมีความสามารถในการยิงธนูล่าสัตว์น่ากลัวเช่นนี้อีก สมกับที่เป็นองค์ชายผู้โดดเด่นที่สุดของต้าเฉียน”......บรรดาแคว้นทั้งหลายต่างอาศัยการยิงธนูในการโจมตีระยะไกล มือธนูจึงล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด เหตุนี้ทุกแคว้นต่างจึงบ่มเพาะผู้มีความสามารถด้านนี้มากที่สุดลูกหลานในราชวงศ์โดยมากจะมีความเชี่ยวชาญประมาณหนึ่ง แต่หากเทียบกับนักธนูมืออาชีพเหล่านั้น มากน้อยยังต่างกันอยู่บ้าง อย่างไรเสีย พวกเขาก็เคยผ่านร้อยสนามรบ มีประสบการณ์มากมาย ฝีมือการยิงธนูที่องค์ชายรองแสดงออกมาจึงทำให้ทุกคนอึ้งที่สุด“ร้อยห้าสิบเมตร ก็งั้น ๆ แหละ”องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยยักไหล่ทำหน้าสบาย ๆ ในดวงตาที่เขามองไปทางฉินอวิ๋นฟานล้วนเป็นการเสียดสี ถ้าบอกว่าฉินอว
ฉินอวิ๋นฟานโต้กลับไปโดยตรงเขายกหน้าไม้ขึ้นเบา ๆ วางลูกศรขนนกไว้ในร่อง ตามด้วยยกหน้าไม้ในระดับสายตา เล็งไปที่เหรียญทองแดง เพียงกดปุ่มเบา ๆ ลูกศรขนนกก็พุ่งออกไป เกิดเป็นเสียงผ่าอากาศ“หึ ทำท่าทำทาง!”สิ้นเสียงองค์ชายรอง ทั้งคนแข็งทื่ออยู่กับที่ ใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความตะลึงฉึก!!!ไม่มีใครเชื่อว่าของที่อยู่ในมือฉินอวิ๋นฟานจะมีพลังอะไรได้ ยิ่งอย่าพูดถึงว่าจะยิงโดนเป้าเหรียญทองแดง ความดูถูกดูแคลนท่วมท้นสายตาของทุกคนทันทีที่ฉินอวิ๋นฟานยิงถูกใจกลางเป้าเหรียญทองแดง ทุกคนเบิกตาโพลงอ้าปากหวอ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ“เป็นไปได้ยังไง? เจ้าสิ่งนี้มีระยะการยิงที่น่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ?”องค์ชายรองใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน เขาในเวลานี้ทรมานราวกับกินอุจจาระ เพิ่งพูดจาเสียดสีฉินอวิ๋นฟานไปหยก ๆ พริบตาเดียวก็ขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล แสดงความโง่เขลาของตัวเองออกมาจนหมดทำไมของกระจ้อยร่อยเช่นนี้จึงมีระยะการยิงและพลังโจมตีมากขนาดนี้นะ? เขาคิดไม่ตกจริง ๆ ไม่เพียงเท่านี้ ทุกคนก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน“ปัญญามีน้อย!”ฉินอวิ๋นฟานไม่สนใจการตกตะลึงขององค์ชายรอง แต่เสียดสีอย่างเย็นชาป
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ