ฉินอวิ๋นฟานโต้กลับไปโดยตรงเขายกหน้าไม้ขึ้นเบา ๆ วางลูกศรขนนกไว้ในร่อง ตามด้วยยกหน้าไม้ในระดับสายตา เล็งไปที่เหรียญทองแดง เพียงกดปุ่มเบา ๆ ลูกศรขนนกก็พุ่งออกไป เกิดเป็นเสียงผ่าอากาศ“หึ ทำท่าทำทาง!”สิ้นเสียงองค์ชายรอง ทั้งคนแข็งทื่ออยู่กับที่ ใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความตะลึงฉึก!!!ไม่มีใครเชื่อว่าของที่อยู่ในมือฉินอวิ๋นฟานจะมีพลังอะไรได้ ยิ่งอย่าพูดถึงว่าจะยิงโดนเป้าเหรียญทองแดง ความดูถูกดูแคลนท่วมท้นสายตาของทุกคนทันทีที่ฉินอวิ๋นฟานยิงถูกใจกลางเป้าเหรียญทองแดง ทุกคนเบิกตาโพลงอ้าปากหวอ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ“เป็นไปได้ยังไง? เจ้าสิ่งนี้มีระยะการยิงที่น่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ?”องค์ชายรองใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน เขาในเวลานี้ทรมานราวกับกินอุจจาระ เพิ่งพูดจาเสียดสีฉินอวิ๋นฟานไปหยก ๆ พริบตาเดียวก็ขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล แสดงความโง่เขลาของตัวเองออกมาจนหมดทำไมของกระจ้อยร่อยเช่นนี้จึงมีระยะการยิงและพลังโจมตีมากขนาดนี้นะ? เขาคิดไม่ตกจริง ๆ ไม่เพียงเท่านี้ ทุกคนก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน“ปัญญามีน้อย!”ฉินอวิ๋นฟานไม่สนใจการตกตะลึงขององค์ชายรอง แต่เสียดสีอย่างเย็นชาป
รอบที่สามเพิ่งจะเริ่มต้น องค์ชายรองก็ก้าวออกไปสองก้าวและประกาศอย่างจริงจัง “ร้อยแปดสิบเมตรคือขีดจำกัดของข้าแล้ว การประลองต่อจากนี้ข้าขอสละสิทธิ์!”ซ่า...ทั้งสนามมีเสียงดังระงม การประลองมาถึงช่วงสำคัญที่สุด คิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองจะสละสิทธิ์?กล่าวถึงความสามารถ เยี่ยนเป่ยคืออันดับหนึ่งด้านการยิงธนูของต้าเฉียน มีเขาอยู่ ถึงองค์ชายรองจะเก่งสักแค่ไหนไม่มีทางเอาชนะเขาได้จริง ๆ คิดดูแล้วการที่องค์ชายรองจะสละสิทธิ์ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลอีกอย่างเว่ยเหยียนที่องค์ชายใหญ่เชิญมา เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือยิงธนูชั้นเลิศแน่นอน การประลองครั้งนี้เกรงว่าจะยิ่งน่าสนุกเยี่ยนเป่ยไม่ลังเล ในแววตาคือความเผด็จการที่ราบรื่นตลอดทาง แววตาคมกริบประหนึ่งเหยี่ยวนั้นกำลังจ้องกลางเป้าเหรียญทองแดงตรงจุดสองร้อยเมตร เห็นเพียงเขาหรี่ดวงตาทั้งสองข้าง ลูกศรขนนกในมือพุ่งตัวออกไป จากนั้นก็เป็นเสียงหวีดหวิวของศรฉึก!!!ก็ขณะที่ทุกคนกำลังกลั้นลมหายใจ เห็นเพียงศรขนนกยิงถูกเหรียญทองแดงอย่างมั่นคงราวเส้นแสงสายหนึ่ง หลังจากเหรียญทองแดงตกลง ทั้งสนามร้องเฮกันขึ้นมาสีหน้าเว่ยเหยียนยังคงสงบ แววตาปราศจากสิ่งอื่น จ้องกลางเป้าตรงจ
“รัชทายาทคมในฝักหลายปี ปกติแทบไม่มีตัวตน แม้จะเป็นนางกำนัลก็ยังกลั่นแกล้งเขา บัดนี้กลับยืนอยู่จุดสูงสุด เหลือบมองทุกคน...เขาน่ากลัวแล้ว”......ผ่านการประลองหลายรอบ ทุกคนชินชาแล้ว ความตะลึงที่ฉินอวิ๋นฟานนำมาให้มีมากเกินไป มักให้คนคิดไม่ถึง และเป็นการเอาชนะในท้ายที่สุดด้วยท่วงทำนองเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจสักแค่ไหน ร้ายกาจเพียงไร ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟานล้วนไร้สีสันเหมือนเดิม สุดท้ายก็แพ้ราบคาบอยู่ดีทีแรกนี่คือการแข่งตัดสินระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง ไม่นึกว่าฉินอวิ๋นฟานต่างหากที่เป็นจ้าวในท้ายที่สุด ทุกคนคิดว่าการฉวยชัยชนะไปจากตรงหน้าฉินอวิ๋นฟาน คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ความรู้สึกอ่อนแรงอย่างหนักสายหนึ่งอัดแน่นอยู่ในหัวใจทุกคนเพื่อตัดสินผู้ชนะในท้ายที่สุด การประลองจะเพิ่มระยะทางเป็นสองร้อยยี่สิบเมตร และเป็นตามคาดของทุกคน ขีดจำกัดของเว่ยเหยียนและเยี่ยนเป่ยอยู่ที่สองร้อยเมตร ระยะสองร้อยยี่สิบเมตร พวกเขาล้มเหลวตามระเบียบสุดท้ายฉินอวิ๋นฟานยิงถูกกลางเป้าเหรียญทองแดงระยะสองร้อยยี่สิบเมตรได้อย่างมั่นคง คว้าชัยไปได้อีกครั้งประลองด้านบุ๋นและประลองด้านบู๊มีการประลองทั้งหมด
ความสามารถที่ฉินอวิ๋นฟานแสดงออกมาทำให้องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองตระหนักถึงวิกฤตร้ายแรงอย่างหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะกำจัดฉินอวิ๋นฟานแรงกล้ามากขึ้นทุกที ถ้าเขายังลงแข่งในรอบต่อไป จะต้องกำจัดเขาให้ได้ มิเช่นนั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ สถานการณ์จะไม่เป็นผลดีกับพวกเขาอย่างยิ่ง แต่ถ้าฉินอวิ๋นฟานไม่ลงแข่ง เช่นนั้นทุกอย่างยังอาจพลิกผันหรือก็หมายถึง ในการแข่งสองรอบที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะในรอบไหนก็สำคัญกับพวกเขาสองคนอย่างยิ่งยวดบนแท่นประลอง องค์ชายใหญ่ท่วงทำนองแข็งแกร่ง เนื้อตัวบนล่างเต็มไปด้วยเจตนารบ ประหนึ่งสัตว์ร้ายบ้าคลั่งตัวหนึ่ง กล้ามเนื้อปริแตก กล้ามเนื้อสีทองแดงอัดแน่นไปด้วยพลัง ในค่ายทหารมักมีการประลองกำลังและประลองยุทธ์เป็นประจำ หลายปีนี้องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังยืนหนึ่งอย่างมั่นคง เรียกได้ว่ามีพลังเต็มเปี่ยม เป็นจ้าวแห่งหมู่มวลบุรุษเพศ“กระถางมา!!!”องค์ชายใหญ่ตวาดเสียงหนึ่ง ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็ยกกระถางสามขาขนาดยักษ์ขึ้นไปบนแท่นประลองในสมัยโบราณจะใช้กระถางสามขาในการเซ่นไหว้ เป็นสัญลักษณ์ของการรับเจตนารมณ์ฟ้าดังนั้นจึงเข้มงวดกับน้ำหนักของกระถางมากที่สุด ช่างที่ทำกระถางจะต้องประกัน
อู่จ้านส่ายหน้าพูด “รัชทายาท ท่านเคยโง่เขลาเบาปัญญามาก่อน มิอาจบอกเรื่องพวกนี้กับท่านได้ แต่จะบอกท่านเวลานี้ก็ยังไม่สาย!”“ในโลกปัจจุบันนี้ เพื่อปกครองควบคุมประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ราชวงศ์ใหญ่ต่าง ๆ จึงส่งเสริมความคิดของขงจื๊อ เผยแผ่ภาพลักษณ์อันน่ายกย่องและเรื่องราวอันดีงามของฮ่องเต้ ทำให้ประชาชนยำเกรงศรัทธาพวกเขาเหมือนกับเทพ”“บวกกับข้อจำกัดทางกฎหมาย เมื่อล่วงเลยมาเป็นเวลานานวิถียุทธ์จึงค่อย ๆ สูญหายไป ผู้ที่สามารถเดินอยู่บนวิถียุทธ์ได้มีน้อยนัก มีเพียงพวกคนใหญ่คนโตกุมอำนาจจึงให้ความสำคัญกับวิถียุทธ์”“เพราะเพียงมีพลังยุทธ์สูงจึงจะมีเบี้ยเจรจาอย่างเท่าเทียม ถ้าประชาชนส่วนมากแห่ไปศรัทธาวิถียุทธ์กันหมด นี่คือภาพที่จ้าวแคว้นไหน ๆ ก็ไม่อยากเห็น”“องค์ชายใหญ่ชำนาญการรบแต่เยาว์วัย คลุกคลีกับการฝึกฝนวิถียุทธ์มานาน วิถียุทธ์ในตอนนี้ท่าทางน่าจะอยู่ระดับแปดแล้ว ห่างจากระดับเก้าสูงสุดอีกแค่ก้าวเดียว”อยู่ในวังหลายปี อู่จ้านได้เห็นหลักของจักรพรรดิจนสยอง ยังดีที่รัชทายาทโง่งม อยู่กินไปวัน ๆ รอความตาย ไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีใด ๆ เป็นคนอยู่เฉย ๆ ใช่จะไม่ดีแต่ฮ่องเต้ต้าเฉียนกลับสวรรคตกะทันหัน
เสียงหนึ่งโพล่งออกมาจากฝูงชน ทุกคนต่างหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงชายคนหนึ่งที่ดูอายุอานามประมาณสามสิบ ใบหน้าประหนึ่งหยก สุภาพเรียบร้อย มือของเขาถือกระบี่วิญญูชน เดินขึ้นแท่นประลองช้า ๆพอเห็นคนมา องค์ชายใหญ่เลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นชัดว่าเขาไม่รู้จักอีกฝ่าย“เจ้าเป็นใคร?”องค์ชายใหญ่ขมวดคิ้วถาม“ข้าคือหลิวเป้ยแห่งเมืองจัว วันนี้ได้รับคำเชิญจากองค์ชายรองมาประลองกำลังขอรับ”หลิวเป้ยวางตัวเหมาะสม รายงานชาติตระกูล ย่างเท้ามาถึงบนแท่นประลอง“อะไรนะ? เขาก็คือหลิวเป้ย(เล่าปี่)? สุภาพบุรุษอันดับหนึ่งแห่งเมืองจัว จิตใจดีงาม มีเมตตารักความยุติธรรม แม้จะยากจนข้นแค้น กลับมีปณิธาน มีจิตใจของจอมยุทธ์ เรียกได้ว่าชื่อเสียงระบือไกลทีเดียว”“ไม่เพียงเท่านี้ เขายังสาบานเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับเทพยุทธ์คนขายเนื้อจางเฟย (เตียวหุย) แห่งเมืองจัวและเทพดาบกวนอวี่ (กวนอู) ที่สวนดอกท้อ เมืองจัวรู้กันทั่ว”“หลิวเป้ยดูหน้าตาสะอาดหมดจด จะยกกระถางยักษ์หกร้อยชั่งได้จริงหรือ? ที่เขาเผชิญคือองค์ชายใหญ่เชียวนะ คนหนุ่มอันดับหนึ่งของต้าเฉียน”......กระถางยักษ์เป็นรายการแข่งขันที่นิยมเสมอมา นั่นคือสัญลักษณ์ของกำล
“เจ้า เจ้ากล้าพูดว่าข้าไม่ไหวหรือ?”ถูกองค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยยั่วยุ ไฟโทสะองค์ชายใหญ่เพิ่มขึ้นพรวด เขามองด้วยสายตาที่เกรี้ยวโกรธพลางพูด “น้องรอง ให้ดีเจ้าจงเบิกตาสุนัขของเจ้าดูให้ดีว่าข้ายกกระถางเก้าร้อยชั่งได้หรือไม่”“พี่ใหญ่กล้าหาญดังคาด วันนี้ก็ให้พวกเราได้เห็นท่วงทำนองแห่งยุคของท่านสักหน่อยเถอะ!”กลยุทธ์ยุแม่ทัพได้ผลจริง ๆ เห็นองค์ชายใหญ่ติดกับ องค์ชายรองหัวเราะเสียงเย็น ในดวงตาล้วนเป็นความกระหยิ่มใจ ยามนี้ กระถางยักษ์เก้าร้อยชั่งถูกคนหามขึ้นแท่นประลองแล้ว“ช้าก่อน!”ก็ขณะที่องค์ชายใหญ่เตรียมจะลงมือ จู่ ๆ แม่ทัพฝ่ายซ้ายฮั่วเจิ้นหลงก็เดินออกมา เขามีความน่าเกรงขามแม้ยามสงบ แผ่พลังแกร่งกล้าออกมาจากเนื้อตัวบนล่าง เพียงสายตาเดียวทำให้คนขนลุกโดยที่ไม่หนาวนี่คือกลิ่นอายเด็ดขาดของผู้ที่อยู่ในสนามรบหลายสิบปีจึงจะมี“ท่านพ่อตา มีอะไรหรือ?”องค์ชายใหญ่หันไปมองพ่อตา ถามด้วยใบหน้าฉงน“คังเอ๋อร์ เจ้ารอก่อน!”ฮั่วเจิ้นหลงหันไปมองทางองค์ชายรองพร้อมเอ่ยเสียงหนัก “องค์ชายรองสมกับที่เป็นหนึ่งในองค์ชายผู้โดดเด่นแห่งต้าเฉียน มีความเข้าใจในกติกาการแข่งขันลึกซึ้งเช่นนี้ ข้าผู้แซ่ฮั่วเลื่อมใส!”
ฉินอวิ๋นฟานที่ดูเรื่องสนุกอยู่ข้าง ๆ ถูกลูกไม้ที่คาดไม่ถึงขององค์ชายรองนี้ทำให้อึ้งอยู่เหมือนกัน ถ้าเขาไม่ชนะ เช่นนั้นก็ใช้กติกา ใช้ฐานะน้องชายแท้ ๆ เชื้อเชิญให้ผู้แข่งขันที่ร้ายกาจที่สุดประลองกับองค์ชายใหญ่ และเอาชนะอีกฝ่ายทั้งอย่างนี้วิธีการและนิสัยใจคอเช่นนี้ ทำให้ฉินอวิ๋นฟานระแวงคนผู้นี้มากขึ้นทันทีท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน เห็นเพียงหลิวเป้ยกระชากเสื้อท่อนบนออก เผยกล้ามเอ๊ทแพคกับกล้ามเนื้อแข็งแรงออกสู่อากาศโดยตรงว้าว...ทันทีที่เห็นกล้ามเนื้อฟิตเปรียะทั้งตัวของหลิวเป้ย ทุกคนก็โกลาหลทันที ดูคนที่หน้าไม่ได้จริง ๆ ผิวเผินดูสุภาพเรียบร้อย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นชายฉกรรจ์ล่ำบึกคนหนึ่งมิน่าพวกจางเฟยกวนอวี่ถึงยินยอมกราบหลิวเป้ยเป็นพี่ใหญ่ ดูท่าคนผู้นี้จะไม่ธรรมดาพู่...ครั้นเห็นภาพนี้ ฉินอวิ๋นฟานน้ำพุ่งออกจากปากอีกครั้ง ทำไมมันไม่เหมือนในประวัติศาสตร์เลยเนี่ย หลิวเป้ยกลายเป็นผู้ชายกล้ามปูไปตั้งแต่เมื่อไร? อยู่นานได้เห็นเยอะจริง ๆ!ภายใต้สายตาของทุกคน สองมือหลิวเป้ยจับด้านล่างของกระถางเก้าร้อยชั่งฉับพลัน สองขาย่อลง ออกแรงทันที ส่งเสียงครางต่ำหนัก ๆ ทีหนึ่งไม่กี่วินาทีให้หลัง กร