“องค์ชายใหญ่ พวกเราเจอกันอีกแล้วนะขอรับ ไม่ทราบว่าทักษะการยิงธนูของท่านก้าวหน้าหรือไม่” เยี่ยนเป่ยวางตัวเหมาะสม“หึ คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเข้าพวกกับองค์ชายห้า เหนือความคาดหมายของข้าจริง ๆ”องค์ชายใหญ่พูดด้วยสีหน้าอึมครึม “แต่วันนี้ข้าจะไม่สู้กับเจ้าหรอก ข้าจะออมแรงเตรียมตัวกับสองรอบหลัง หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวังนะ!”“เว่ยเหยียน!!!”องค์ชายใหญ่เปล่งเสียงทีหนึ่ง เห็นเพียงบุรุษรูปร่างสมดุล ผิวพรรณดำคล้ำแบกคันศรและธนูอยู่ที่หลังเดินขึ้นแท่นประลองมาถึงตรงหน้าองค์ชายใหญ่ช้า ๆ ทันทีที่ทุกคนเห็นเว่ยเหยียนต่างรู้สึกงุนงง“นี่ เว่ยเหยียนผู้นี้คือใครกัน? ทำไมไม่ยักเคยเห็นมาก่อน?”“การประลองสำคัญเช่นนี้ องค์ชายใหญ่กลับหาเจ้าหนุ่มคนหนึ่งมาลงแข่ง จะเห็นเป็นการเล่นแบบเด็ก ๆ ไปหน่อยหรือไม่?”......ทุกคนพากันงงงวยกับการกระทำขององค์ชายใหญ่ เห็นสีหน้าองค์ชายใหญ่มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม สายตาของบรรดาองค์ชายและคนอื่น ๆ ต่างมีข้อกังขา ทว่าฉินอวิ๋นฟานกลับเห็นความพิเศษเล็กน้อยแม้เว่ยเหยียนจะไม่มีรูปร่างกำยำ ทว่าปัจจัยทางสรีระกลับยอดเยี่ยมอย่างแปลกประหลาด ฉินอวิ๋นฟานคือหน่วยรบพิเศษสุดยอดในยุคปัจจุ
“สวรรค์ของข้า นี่ก็คืออานุภาพของธนูทองคำศักดิ์สิทธิ์หรือ? องค์ชายรองยังสามารถยิงเข้าเหรียญทองแดงที่ระยะร้อยห้าสิบเมตรได้ จะน่ากลัวเกินไปแล้วกระมัง?”“สมกับที่เป็นธนูเทพอันดับหนึ่งของต้าเฉียนที่องค์อดีตฮ่องเต้ประทานให้ อยู่ในมือขององค์ชายรองยิ่งน่ากลัวเหมือนเจ้าของ ต่อให้เป็นสุดยอดนักแม่นธนูขั้นเทพเกรงว่าจะเท่านั้นเอง”“องค์ชายรองไม่เพียงแต่มีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมสูงส่ง ยังมีความสามารถในการยิงธนูล่าสัตว์น่ากลัวเช่นนี้อีก สมกับที่เป็นองค์ชายผู้โดดเด่นที่สุดของต้าเฉียน”......บรรดาแคว้นทั้งหลายต่างอาศัยการยิงธนูในการโจมตีระยะไกล มือธนูจึงล้ำค่าอย่างเห็นได้ชัด เหตุนี้ทุกแคว้นต่างจึงบ่มเพาะผู้มีความสามารถด้านนี้มากที่สุดลูกหลานในราชวงศ์โดยมากจะมีความเชี่ยวชาญประมาณหนึ่ง แต่หากเทียบกับนักธนูมืออาชีพเหล่านั้น มากน้อยยังต่างกันอยู่บ้าง อย่างไรเสีย พวกเขาก็เคยผ่านร้อยสนามรบ มีประสบการณ์มากมาย ฝีมือการยิงธนูที่องค์ชายรองแสดงออกมาจึงทำให้ทุกคนอึ้งที่สุด“ร้อยห้าสิบเมตร ก็งั้น ๆ แหละ”องค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยยักไหล่ทำหน้าสบาย ๆ ในดวงตาที่เขามองไปทางฉินอวิ๋นฟานล้วนเป็นการเสียดสี ถ้าบอกว่าฉินอว
ฉินอวิ๋นฟานโต้กลับไปโดยตรงเขายกหน้าไม้ขึ้นเบา ๆ วางลูกศรขนนกไว้ในร่อง ตามด้วยยกหน้าไม้ในระดับสายตา เล็งไปที่เหรียญทองแดง เพียงกดปุ่มเบา ๆ ลูกศรขนนกก็พุ่งออกไป เกิดเป็นเสียงผ่าอากาศ“หึ ทำท่าทำทาง!”สิ้นเสียงองค์ชายรอง ทั้งคนแข็งทื่ออยู่กับที่ ใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน ในดวงตาเต็มไปด้วยความตะลึงฉึก!!!ไม่มีใครเชื่อว่าของที่อยู่ในมือฉินอวิ๋นฟานจะมีพลังอะไรได้ ยิ่งอย่าพูดถึงว่าจะยิงโดนเป้าเหรียญทองแดง ความดูถูกดูแคลนท่วมท้นสายตาของทุกคนทันทีที่ฉินอวิ๋นฟานยิงถูกใจกลางเป้าเหรียญทองแดง ทุกคนเบิกตาโพลงอ้าปากหวอ ในดวงตาเต็มไปด้วยความเหลือเชื่อ“เป็นไปได้ยังไง? เจ้าสิ่งนี้มีระยะการยิงที่น่ากลัวขนาดนี้เลยหรือ?”องค์ชายรองใบหน้าเปลี่ยนสีฉับพลัน เขาในเวลานี้ทรมานราวกับกินอุจจาระ เพิ่งพูดจาเสียดสีฉินอวิ๋นฟานไปหยก ๆ พริบตาเดียวก็ขายหน้าต่อหน้าธารกำนัล แสดงความโง่เขลาของตัวเองออกมาจนหมดทำไมของกระจ้อยร่อยเช่นนี้จึงมีระยะการยิงและพลังโจมตีมากขนาดนี้นะ? เขาคิดไม่ตกจริง ๆ ไม่เพียงเท่านี้ ทุกคนก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน“ปัญญามีน้อย!”ฉินอวิ๋นฟานไม่สนใจการตกตะลึงขององค์ชายรอง แต่เสียดสีอย่างเย็นชาป
รอบที่สามเพิ่งจะเริ่มต้น องค์ชายรองก็ก้าวออกไปสองก้าวและประกาศอย่างจริงจัง “ร้อยแปดสิบเมตรคือขีดจำกัดของข้าแล้ว การประลองต่อจากนี้ข้าขอสละสิทธิ์!”ซ่า...ทั้งสนามมีเสียงดังระงม การประลองมาถึงช่วงสำคัญที่สุด คิดไม่ถึงว่าองค์ชายรองจะสละสิทธิ์?กล่าวถึงความสามารถ เยี่ยนเป่ยคืออันดับหนึ่งด้านการยิงธนูของต้าเฉียน มีเขาอยู่ ถึงองค์ชายรองจะเก่งสักแค่ไหนไม่มีทางเอาชนะเขาได้จริง ๆ คิดดูแล้วการที่องค์ชายรองจะสละสิทธิ์ก็ใช่ว่าจะไม่มีเหตุผลอีกอย่างเว่ยเหยียนที่องค์ชายใหญ่เชิญมา เห็นชัดว่าเป็นยอดฝีมือยิงธนูชั้นเลิศแน่นอน การประลองครั้งนี้เกรงว่าจะยิ่งน่าสนุกเยี่ยนเป่ยไม่ลังเล ในแววตาคือความเผด็จการที่ราบรื่นตลอดทาง แววตาคมกริบประหนึ่งเหยี่ยวนั้นกำลังจ้องกลางเป้าเหรียญทองแดงตรงจุดสองร้อยเมตร เห็นเพียงเขาหรี่ดวงตาทั้งสองข้าง ลูกศรขนนกในมือพุ่งตัวออกไป จากนั้นก็เป็นเสียงหวีดหวิวของศรฉึก!!!ก็ขณะที่ทุกคนกำลังกลั้นลมหายใจ เห็นเพียงศรขนนกยิงถูกเหรียญทองแดงอย่างมั่นคงราวเส้นแสงสายหนึ่ง หลังจากเหรียญทองแดงตกลง ทั้งสนามร้องเฮกันขึ้นมาสีหน้าเว่ยเหยียนยังคงสงบ แววตาปราศจากสิ่งอื่น จ้องกลางเป้าตรงจ
“รัชทายาทคมในฝักหลายปี ปกติแทบไม่มีตัวตน แม้จะเป็นนางกำนัลก็ยังกลั่นแกล้งเขา บัดนี้กลับยืนอยู่จุดสูงสุด เหลือบมองทุกคน...เขาน่ากลัวแล้ว”......ผ่านการประลองหลายรอบ ทุกคนชินชาแล้ว ความตะลึงที่ฉินอวิ๋นฟานนำมาให้มีมากเกินไป มักให้คนคิดไม่ถึง และเป็นการเอาชนะในท้ายที่สุดด้วยท่วงทำนองเด็ดขาดไม่ว่าจะเป็นอัจฉริยะที่เก่งกาจสักแค่ไหน ร้ายกาจเพียงไร ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟานล้วนไร้สีสันเหมือนเดิม สุดท้ายก็แพ้ราบคาบอยู่ดีทีแรกนี่คือการแข่งตัดสินระหว่างองค์ชายใหญ่และองค์ชายรอง ไม่นึกว่าฉินอวิ๋นฟานต่างหากที่เป็นจ้าวในท้ายที่สุด ทุกคนคิดว่าการฉวยชัยชนะไปจากตรงหน้าฉินอวิ๋นฟาน คือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้ความรู้สึกอ่อนแรงอย่างหนักสายหนึ่งอัดแน่นอยู่ในหัวใจทุกคนเพื่อตัดสินผู้ชนะในท้ายที่สุด การประลองจะเพิ่มระยะทางเป็นสองร้อยยี่สิบเมตร และเป็นตามคาดของทุกคน ขีดจำกัดของเว่ยเหยียนและเยี่ยนเป่ยอยู่ที่สองร้อยเมตร ระยะสองร้อยยี่สิบเมตร พวกเขาล้มเหลวตามระเบียบสุดท้ายฉินอวิ๋นฟานยิงถูกกลางเป้าเหรียญทองแดงระยะสองร้อยยี่สิบเมตรได้อย่างมั่นคง คว้าชัยไปได้อีกครั้งประลองด้านบุ๋นและประลองด้านบู๊มีการประลองทั้งหมด
ความสามารถที่ฉินอวิ๋นฟานแสดงออกมาทำให้องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองตระหนักถึงวิกฤตร้ายแรงอย่างหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะกำจัดฉินอวิ๋นฟานแรงกล้ามากขึ้นทุกที ถ้าเขายังลงแข่งในรอบต่อไป จะต้องกำจัดเขาให้ได้ มิเช่นนั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ สถานการณ์จะไม่เป็นผลดีกับพวกเขาอย่างยิ่ง แต่ถ้าฉินอวิ๋นฟานไม่ลงแข่ง เช่นนั้นทุกอย่างยังอาจพลิกผันหรือก็หมายถึง ในการแข่งสองรอบที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะในรอบไหนก็สำคัญกับพวกเขาสองคนอย่างยิ่งยวดบนแท่นประลอง องค์ชายใหญ่ท่วงทำนองแข็งแกร่ง เนื้อตัวบนล่างเต็มไปด้วยเจตนารบ ประหนึ่งสัตว์ร้ายบ้าคลั่งตัวหนึ่ง กล้ามเนื้อปริแตก กล้ามเนื้อสีทองแดงอัดแน่นไปด้วยพลัง ในค่ายทหารมักมีการประลองกำลังและประลองยุทธ์เป็นประจำ หลายปีนี้องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังยืนหนึ่งอย่างมั่นคง เรียกได้ว่ามีพลังเต็มเปี่ยม เป็นจ้าวแห่งหมู่มวลบุรุษเพศ“กระถางมา!!!”องค์ชายใหญ่ตวาดเสียงหนึ่ง ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็ยกกระถางสามขาขนาดยักษ์ขึ้นไปบนแท่นประลองในสมัยโบราณจะใช้กระถางสามขาในการเซ่นไหว้ เป็นสัญลักษณ์ของการรับเจตนารมณ์ฟ้าดังนั้นจึงเข้มงวดกับน้ำหนักของกระถางมากที่สุด ช่างที่ทำกระถางจะต้องประกัน
อู่จ้านส่ายหน้าพูด “รัชทายาท ท่านเคยโง่เขลาเบาปัญญามาก่อน มิอาจบอกเรื่องพวกนี้กับท่านได้ แต่จะบอกท่านเวลานี้ก็ยังไม่สาย!”“ในโลกปัจจุบันนี้ เพื่อปกครองควบคุมประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ราชวงศ์ใหญ่ต่าง ๆ จึงส่งเสริมความคิดของขงจื๊อ เผยแผ่ภาพลักษณ์อันน่ายกย่องและเรื่องราวอันดีงามของฮ่องเต้ ทำให้ประชาชนยำเกรงศรัทธาพวกเขาเหมือนกับเทพ”“บวกกับข้อจำกัดทางกฎหมาย เมื่อล่วงเลยมาเป็นเวลานานวิถียุทธ์จึงค่อย ๆ สูญหายไป ผู้ที่สามารถเดินอยู่บนวิถียุทธ์ได้มีน้อยนัก มีเพียงพวกคนใหญ่คนโตกุมอำนาจจึงให้ความสำคัญกับวิถียุทธ์”“เพราะเพียงมีพลังยุทธ์สูงจึงจะมีเบี้ยเจรจาอย่างเท่าเทียม ถ้าประชาชนส่วนมากแห่ไปศรัทธาวิถียุทธ์กันหมด นี่คือภาพที่จ้าวแคว้นไหน ๆ ก็ไม่อยากเห็น”“องค์ชายใหญ่ชำนาญการรบแต่เยาว์วัย คลุกคลีกับการฝึกฝนวิถียุทธ์มานาน วิถียุทธ์ในตอนนี้ท่าทางน่าจะอยู่ระดับแปดแล้ว ห่างจากระดับเก้าสูงสุดอีกแค่ก้าวเดียว”อยู่ในวังหลายปี อู่จ้านได้เห็นหลักของจักรพรรดิจนสยอง ยังดีที่รัชทายาทโง่งม อยู่กินไปวัน ๆ รอความตาย ไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีใด ๆ เป็นคนอยู่เฉย ๆ ใช่จะไม่ดีแต่ฮ่องเต้ต้าเฉียนกลับสวรรคตกะทันหัน
เสียงหนึ่งโพล่งออกมาจากฝูงชน ทุกคนต่างหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงชายคนหนึ่งที่ดูอายุอานามประมาณสามสิบ ใบหน้าประหนึ่งหยก สุภาพเรียบร้อย มือของเขาถือกระบี่วิญญูชน เดินขึ้นแท่นประลองช้า ๆพอเห็นคนมา องค์ชายใหญ่เลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นชัดว่าเขาไม่รู้จักอีกฝ่าย“เจ้าเป็นใคร?”องค์ชายใหญ่ขมวดคิ้วถาม“ข้าคือหลิวเป้ยแห่งเมืองจัว วันนี้ได้รับคำเชิญจากองค์ชายรองมาประลองกำลังขอรับ”หลิวเป้ยวางตัวเหมาะสม รายงานชาติตระกูล ย่างเท้ามาถึงบนแท่นประลอง“อะไรนะ? เขาก็คือหลิวเป้ย(เล่าปี่)? สุภาพบุรุษอันดับหนึ่งแห่งเมืองจัว จิตใจดีงาม มีเมตตารักความยุติธรรม แม้จะยากจนข้นแค้น กลับมีปณิธาน มีจิตใจของจอมยุทธ์ เรียกได้ว่าชื่อเสียงระบือไกลทีเดียว”“ไม่เพียงเท่านี้ เขายังสาบานเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับเทพยุทธ์คนขายเนื้อจางเฟย (เตียวหุย) แห่งเมืองจัวและเทพดาบกวนอวี่ (กวนอู) ที่สวนดอกท้อ เมืองจัวรู้กันทั่ว”“หลิวเป้ยดูหน้าตาสะอาดหมดจด จะยกกระถางยักษ์หกร้อยชั่งได้จริงหรือ? ที่เขาเผชิญคือองค์ชายใหญ่เชียวนะ คนหนุ่มอันดับหนึ่งของต้าเฉียน”......กระถางยักษ์เป็นรายการแข่งขันที่นิยมเสมอมา นั่นคือสัญลักษณ์ของกำล
“ฮ่า ๆ ๆ...มา ชนแก้ว!”ภายใต้แสงขมุกขมัว ทั้งสี่จรดสุราหมดจอก ฉินอวิ๋นฟานที่หิวไส่กิ่วสวาปามราวกับพายุ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กวาดอาหารโอชาบนโต๊ะไปกว่าครึ่งเวลานี้มู่หรงจิ่น หลู่เซียงหลิงและเสี่ยวจวี๋ก็ดื่มจนแก้มแดงก่ำแล้ว งดงามอ้อนแอ้นจนอยากจะเด็ดมาดอมดม พวกนางกระดากใจยิ่งหนัก หลังจากอิ่มเอมกับสุราอาหารแล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านอีกต่อไป โอบสองดรุณีไปยังเตียงทันที“สุดที่รักของข้า ข้าคิดถึงพวกเจ้าจะตายอยู่แล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กระโจนใส่พวกนางโดยตรง สองดรุณีราวกับกระต่ายน้อยตื่นตกใจ ส่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ออกมาทีหนึ่งจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ด้านในของเตียง ยิ่งพวกนางเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งคึก“แหะ ๆ ร้องใช่ไหม คืนนี้จะให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย!”ฉินอวิ๋นฟานเลียริมฝีปาก ความปรารถนาปะทุขึ้นโดยสิ้นเชิง เบื้องล่างท้องน้อยเร่าร้อนยากจะทานทนนานแล้ว ‘แควก’ ทีหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มบนตัวฉีกขาด เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงทั่วร่าง กลิ่นอายบุรุษเข้มข้นทำให้ลมหายใจของสามดรุณีกระชั้น กระนั้นกลับมิอาจสะกด ฉินอวิ๋นฟานเสือตะครุบอีกหน คว้าเท้าเล็กของหลู่เซียงหลิงเอาไว
ฉินอวิ๋นฟานตบบ่าหวังอันสือเบา ๆ แล้วกล่าวคำพูดจากใจ “ขุนนางในอนาคตของต้าเฉียนจะกระจ่างใสได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”“รัชทายาทโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนขอรับ!”หวังอันสือตื้นตันจนน้ำตานองหน้า ถ้อยคำสวยงามใดก็มิอาจบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของเขา ในที่สุดก็มีเวทีแสดงปณิธานซึ่งมีอยู่เต็มอกของเขาแล้ว ในโลกอันขุ่นมัวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้แสดงฝีมือสักทีและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโชคดีคือ เขาได้พบกับป๋อเล่อ ผู้มีจุดมุ่งหมายและทิศทางปณิธานเดียวกับเขา มอบโอกาสพลิกชะตาให้กับเขาครั้งหนึ่งเมื่อได้รับคำตอบยืนยันของหวังอันสือ ฉินอวิ๋นฟานคลี่ยิ้มพึงพอใจ จึงออกไปจากห้องและตรงไปยังตำหนักรัชทายาท...“พี่อวิ๋นฟาน ท่านคงหิวแย่แล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งกลับมาถึงตำหนักที่พัก จิ่นเอ๋อร์ก็รีบเดินมาต้อนรับ ส่วนเสี่ยวจวี๋และเซียงหลิงต่างประกบอยู่ทางซ้ายและทางขวาจู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็รู้สึกว่าตำหนักที่พักต่างออกไปจากปกติ ปกติจะมีนางกำนัลรับใช้อยู่ในจวนอย่างน้อยสี่คน ทว่าวันนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ทั้งตำหนักมีเพียงผู้หญิงสามคนเท่านั้น คือจิ่นเอ๋อร์ เซียงหล
“รัชทายาท ท่านจะหารือเรื่องใหญ่กับข้าน้อยหรือขอรับ?!”เห็นท่าทางจริงใจของฉินอวิ๋นฟาน หวังอันสือร่างสะท้านเล็กน้อย ฉินอวิ๋นฟานคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินต้าเฉียนผู้สูงส่ง กลับมีเรื่องจะหารือกับเขา? มันมิควรเป็นคำสั่งหรือ?ฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทำให้หวังอันสือสงบใจไม่ได้อยู่นาน ท่าทางเข้าหาได้ง่ายของฉินอวิ๋นฟานกับรัชทายาทผู้แข็งกร้าวราวกับเทพสังหารสถิตร่างที่เขาเพิ่งพบเมื่อครู่ต่างกันโดยสิ้นเชิงฉินอวิ๋นฟานพูดเป็นการเป็นงาน “ถูกต้อง หากจะพูดกันจริง ๆ ก็คือข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า!”“มี มีเรื่องขอร้องข้าน้อย?”หวังอันสือสับสนมากกว่าเดิม เขาเป็นแค่ขุนนางระดับหก อาจารย์ต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าคนใดในเมืองหลวงที่ถูกบีบตายได้ง่าย ๆ น่ากลัวว่าจะมีอิทธิพลและฐานะเหนือเขา ฉินอวิ๋นฟานจะมีเรื่องขอร้องเขาได้อย่างไร?“หวังอันสือ ข้าได้ตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาคร่าว ๆ ทั้งหมดแล้ว เจ้าคือผู้มีความสามารถที่ข้าต้องการจริง”ฉินอวิ๋นฟานเข้าประเด็นทันที “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตอนนี้ต้าเฉียนเป็นยังไง ถึงภายนอกดูสงบ แต่ความจริงคือคลื่นใต้น้ำ บรรดาองค์ชายและขั้วอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังต่อสู้กันจน
หลู่หนีสีหน้าเคร่งขรึม แสดงท่าทีอีกครั้ง เขารู้ว่าฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเด็ดขาดฉับไว ในเมื่อฉินอวิ๋นฟานมอบงานนี้เขาก็ต้องเชื่อใจเขาหมดหัวใจอยู่แล้วอีกทั้งเรื่องนี้ยังสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อฉินอวิ๋นฟาน เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือทำงานนี้ให้สำเร็จ สิ่งของเงินทองฉินอวิ๋นฟานทุ่มทุนมาก“เวลากระชั้นชิด พรุ่งนี้พวกท่านก็ออกเดินทางไปเมืองจัวเถอะ เรื่องนี้ต้องทำที่เมืองจัว หลิวเป้ยจะให้ความช่วยเหลือมอบความสะดวกทั้งหมดกับพวกท่านเอง ต้องการอะไรก็บอกได้เต็มที่ พวกท่านแค่ทุ่มเทกายใจทำงานก็พอ”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวเสียงหนัก“เมีองจัว?”หลู่หนีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ก็ดี เมืองจัวเป็นคนของรัชทายาทเกือบทั้งหมด พวกเราแค่ทุ่มเทกายใจกับการผลิตก็พอ เช่นนี้จะลดอุปสรรคลงด้วย”......หลังจากกำชับทุกเรื่องเสร็จก็ดึกมาแล้ว ฉินอวิ๋นฟานลากร่างอันอ่อนล้ามายังที่รักษาตัวของพวกหวังอันสือ หลังจากทำความเข้าใจ ฉินอวิ๋นฟานพบว่าหวังอันสือคนนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหวังอันสือในสมัยซ่งเหนือบางส่วนดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงรู้สึกเห็นใจขึ้นมาเพราะเวลานี้เขากำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการคน หากหวังอันสือเป็นเหมือนกับหวังอันสือในประวัต
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านในตอนนี้ดี”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยท่าทางมั่นใจ “ความจริงไม่ว่าข้าจะอธิบายกับพวกท่านยังไงก็เข้าใจยากอยู่ดี เพราะนี่คือการปฏิรูปอุตสาหกรรมล้ำยุค ในอดีตทุกคนต่างเรียกมันว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก”หลู่หนีถามด้วยใบหน้างุนงง “ปฏิวัติอุตสาหกรรม? นั่นคือสิ่งใดหรือขอรับ?”“อื่ม! จะว่ายังไงดีล่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานลูบคางพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้พวกท่านฟังก็แล้วกัน ในสังคมศักดินาที่ทำการเกษตรเป็นหลัก ในตอนที่ชาวบ้านรดน้ำ ส่วนมากแล้วจะใช้กำลังคนเป็นสำคัญ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพต่ำ หนำซ้ำยังต้องใช้แรงงานเยอะมาก”“ทว่านับจากท่านหลู่ปันคิดค้นกังหันน้ำและระหัดวิดน้ำขึ้นมาก็เพิ่มประสิทธิภาพในการรดน้ำสูงขึ้น ทั้งยังประหยัดแรงงานไปเยอะ นี่ก็คือการพัฒนาทักษะในการเพาะปลูก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางเกษตรกรรม”“ดังนั้นเครื่องจักรนี้ของข้าซับซ้อนกว่าระหัดวิดน้ำมากกว่า แต่ปริมาณบรรจุขนส่งและแรงขับเคลื่อนของมันมีมากกว่ารถม้ามหาศาล ทำให้ประสิทธิภาพในการทำการค้าสูงขึ้น นี่ก็คือการปฏิวัติอย่างหนึ่งของการค้าและการเดินทาง ข้าเรียกมันว่าการปฏิวัติ
“ปืนใหญ่สนามอิตาลี? ชื่อช่างน่ามหัศจรรย์นัก!” หลู่หนีพูดด้วยใบหน้าสับสน!ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะน้อย ๆ ไม่ได้อธิบายมาก เขามองไปทางหลู่หนีแล้วพูดขึ้นอีก “ช่างใหญ่หลู่หนี ท่านทำเจ้าเหล็กนี้เถอะ ต้องระวังให้มาก จะดูแคลนอานุภาพของมันไม่ได้”“อ้อ? นี่คือสิ่งใดหรือ?”หลู่หนีรับภาพที่ฉินอวิ๋นฟานส่งมา ภาพนี้ไม่ใหญ่ ในนั้นมีแต่วัตถุทรงกลม ข้างบนมีแหวนอันหนึ่ง หลู่หนีเห็นแล้วทำหน้าฉงน“เจ้าสิ่งนี้เรียกว่าระเบิดมือ เอาไว้ใช้ป้องกันตัวในยามคับขันจะดีที่สุด ตอนท่านทำต้องป้องกันความปลอดภัย หากไม่เข้าใจอะไรก็มาถามข้าทันที”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ย“ขอรับ! ข้าน้อยต้องตั้งใจทำแน่นอน!”ติดตามฉินอวิ๋นฟานมานานอย่างนี้ หลู่หนีรู้ดี หากฉินอวิ๋นฟานกำชับเช่นนี้ นั่นแสดงว่ามันต้องไม่ธรรมดา แม้มีขนาดเล็ก แต่จะมองข้ามไม่ได้เด็ดขาด เขาไม่กล้าประมาทสักนิด!“เอาละ ตอนนี้เหลือเรื่องที่สำคัญที่สุดอีกหนึ่งเรื่อง จำเป็นต้องให้พวกท่านสามคนทำให้สำเร็จ!”จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็ขึงขังขึ้นมา เขาหยิบภาพเจ็ดแปดภาพมากองอยู่ตรงหน้าทุกคน ฉินอวิ๋นฟานวาดภาพพวกนี้เสร็จตั้งแต่อยู่ที่เมืองอู่โจว และสิ่งนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งในแผนการของเขาซึ่งมีค
“นายช่างใหญ่ทั้งสองเกรงใจแล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานรีบสองก้าวรวบเป็นหนึ่งไปข้างหน้า คว้ามือของพวกเขาเอาไว้ก่อนจะกล่าวอย่างไมตรีจิต “เป็นพี่น้องบ้านเดียวกัน ไยต้องยึดติดกับขนบธรรมเนียมพื้น ๆ พวกนี้ด้วย? รีบเชิญข้างในเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานมีไมตรีเช่นนี้ทำให้หลู่เซินและหลู่เหมี่ยวต่างตกใจอย่างไม่เคยประสบ ประทับใจอย่างยิ่ง ส่วนหลู่หนีที่อยู่ด้านข้างเห็นแล้วตาค้างไปเลย พลางตะลึงถอนใจในใจ ‘เจ้าหมอนี่ ไม่เห็นเหมือนเมื่อกี้นี้เลยนี่!’ไม่นานพวกเขาก็มาถึงห้องหนังสือ หลังจากสนทนากันอย่างเรียบง่ายประมาณหนึ่งแล้ว การสนทนาของพวกเขาก็เข้าสู่ประเด็นหลัก และนี่ก็คือจุดประสงค์ที่ฉินอวิ๋นฟานเรียกหลู่หนีมาฉินอวิ๋นฟานกล่าวเสียงหนัก “ช่างใหญ่หลู่หนี ที่ข้าตามพวกท่านมาเพราะมีงานสำคัญมากงานหนึ่ง และเป็นภารกิจยากเย็นแสนเข็ญจะมอบให้พวกท่าน หวังว่าพวกท่านจะทำสำเร็จได้”“ภารกิจยากเย็นแสนเข็ญ?”เมื่อทั้งสามได้ยินก็พลันเปลี่ยนสีหน้าเป็นจริงจังขึ้นมา ที่พวกเขามาก็เพื่อทำงาน สามารถมีภารกิจสำคัญได้ย่อมเป็นเรื่องดี!“หลังจากดัดแปลงหน้าไม้ของเราแล้ว รูปโฉมก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง เอเคสี่สิบแปดพัฒนาอานุภาพได้น่ากลัวถึงขีดสุดแ
ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้วถาม “ท่านก็รู้ ของที่พวกเราสร้างกันขึ้นมาล้วนเป็นเทคโนโลยีสุดล้ำ ทันทีที่เล็ดลอดออกไปจะเป็นการโจมตีพวกเราถึงตาย ดังนั้นข้ายอมให้ช้าลงหน่อยก็ไม่กล้าให้คนที่ไม่คุ้นเคยสอดมือยุ่งเรื่องนี้”ฉินอวิ๋นฟานย่อมเชื่อถือหลู่หนีเต็มร้อยอยู่แล้ว เพราะพวกเขาร่วมมือกันหลายเดือนเต็ม ๆ อีกอย่างลูกสาวของหลู่หนีก็กลายเป็นภรรยาของเขาแล้ว ไม่มีเหตุผลที่หลู่หนีจะหักหลังแต่คนนอกไม่เหมือนกัน ทันทีที่พวกเขาขโมยเทคโนโลยีหลักของเขาไป นั่นได้เดือดร้อนแล้ว เมื่อเทคโนโลยีสุดล้ำอย่างเอเคสี่สิบแปดผลิตในบ้านเมืองอื่น เช่นนั้นโลกใบนี้จะบังเกิดกลียุคแล้ว “รัชทายาทวางใจได้ พวกเขาสองคนคือศิษย์พี่หกและศิษย์พี่เจ็ดของข้าน้อย พวกเราสามคนโตมาด้วยกันแต่เล็ก สนิทกันมาก เชื่อได้แน่นอน และฝีมือของพวกเขาก็ไม่ด้อยไปกว่าข้าน้อยด้วย”หลู่หนีทุบอกรับประกัน “อันที่จริงที่อาจารย์ส่งพวกเขามาก็เป็นเพราะข้าน้อยเอ่ยปาก อย่างไรเสีย ลำพังข้าน้อยคนเดียวมีความจำกัดเรื่องความเร็ว ถ้าได้คนที่มีฝีมือดีมาช่วยเหลือ ต้องสำเร็จแบบทุ่นแรงได้มากแน่นอน”“อีกอย่าง อาจารย์ของข้าน้อยจัดเป็นขั้วอิทธิพลยุทธภพ ยึดมั่นกับการประดิษฐ์คิด
“นั่นสิ จุดยืนของฟานเอ๋อร์ในเวลานี้ไม่สู้ดีนัก ข้าก็สนับสนุนเขาโจ่งแจ้งไม่ได้ ไม่รู้ว่าต่อจากนี้เขาจะต้องเจอกับอะไรสิน่า?”ไท่ซั่งหวงพูดอย่างกังวลเล็กน้อย “หวังว่าในตอนที่ข้ายังมีชีวิตอยู่จะได้เห็นภาพต้าเฉียนสงบสุขร่มเย็น รุ่งเรืองแข็งแกร่ง ถึงตอนนั้นข้าก็วางใจหลับตาได้แล้ว!”......หลังจากสะสางงานเสร็จ หวังอันสือและคนอื่น ๆ ก็ถูกฉินอวิ๋นฟานเชิญที่ไปจวนรัชทายาท ทั้งเชิญหมอหลวงมาตรวจอาการรักษาพวกเขาโดยเฉพาะ“รัชทายาท ขอบคุณท่านอีกครั้งที่ช่วยเซียงหลิง...”หลู่หนีเพิ่งตามฉินอวิ๋นฟานเข้าห้องหนังสือมาก็อ้าปากพูดในฐานะที่เป็นคนซึ่งปราศจากตำแหน่งพิเศษ การต่อต้านหน่วยงานใหญ่อย่างสำนักศึกษาหลวงคือการรนหาที่ตายอย่างมิต้องสงสัย ฉินอวิ๋นฟานปรากฏตัวทันเวลา ทั้งยังทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยบุตรสาว นี่ทำให้หลู่หนีทราบซึ้งใจยิ่งนักในอดีต เขาถูกการประดิษฐ์ของฉินอวิ๋นฟานสยบ ดังนั้นจึงเข้าร่วมกับฉินอวิ๋นฟาน กระนั้นเขาไม่อยากให้บุตรสาวกลายเป็นผู้หญิงของอีกฝ่าย ทว่าความจริงได้พิสูจน์แล้ว ฉินอวิ๋นฟานคือคนที่ควรค่าแก่การฝากฝังเพิ่งจัดการขุนนางทุจริตที่ปกป้องพวกพ้องเดียวกันฝูงหนึ่งเสร็จ ฉินอวิ๋นฟานยังต