ความสามารถที่ฉินอวิ๋นฟานแสดงออกมาทำให้องค์ชายใหญ่และองค์ชายรองตระหนักถึงวิกฤตร้ายแรงอย่างหนึ่งความมุ่งมั่นที่จะกำจัดฉินอวิ๋นฟานแรงกล้ามากขึ้นทุกที ถ้าเขายังลงแข่งในรอบต่อไป จะต้องกำจัดเขาให้ได้ มิเช่นนั้น ไม่ว่าจะแพ้หรือชนะ สถานการณ์จะไม่เป็นผลดีกับพวกเขาอย่างยิ่ง แต่ถ้าฉินอวิ๋นฟานไม่ลงแข่ง เช่นนั้นทุกอย่างยังอาจพลิกผันหรือก็หมายถึง ในการแข่งสองรอบที่เหลือ ไม่ว่าจะเป็นชัยชนะในรอบไหนก็สำคัญกับพวกเขาสองคนอย่างยิ่งยวดบนแท่นประลอง องค์ชายใหญ่ท่วงทำนองแข็งแกร่ง เนื้อตัวบนล่างเต็มไปด้วยเจตนารบ ประหนึ่งสัตว์ร้ายบ้าคลั่งตัวหนึ่ง กล้ามเนื้อปริแตก กล้ามเนื้อสีทองแดงอัดแน่นไปด้วยพลัง ในค่ายทหารมักมีการประลองกำลังและประลองยุทธ์เป็นประจำ หลายปีนี้องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังยืนหนึ่งอย่างมั่นคง เรียกได้ว่ามีพลังเต็มเปี่ยม เป็นจ้าวแห่งหมู่มวลบุรุษเพศ“กระถางมา!!!”องค์ชายใหญ่ตวาดเสียงหนึ่ง ไม่นานคนกลุ่มหนึ่งก็ยกกระถางสามขาขนาดยักษ์ขึ้นไปบนแท่นประลองในสมัยโบราณจะใช้กระถางสามขาในการเซ่นไหว้ เป็นสัญลักษณ์ของการรับเจตนารมณ์ฟ้าดังนั้นจึงเข้มงวดกับน้ำหนักของกระถางมากที่สุด ช่างที่ทำกระถางจะต้องประกัน
อู่จ้านส่ายหน้าพูด “รัชทายาท ท่านเคยโง่เขลาเบาปัญญามาก่อน มิอาจบอกเรื่องพวกนี้กับท่านได้ แต่จะบอกท่านเวลานี้ก็ยังไม่สาย!”“ในโลกปัจจุบันนี้ เพื่อปกครองควบคุมประชาชนได้ดียิ่งขึ้น ราชวงศ์ใหญ่ต่าง ๆ จึงส่งเสริมความคิดของขงจื๊อ เผยแผ่ภาพลักษณ์อันน่ายกย่องและเรื่องราวอันดีงามของฮ่องเต้ ทำให้ประชาชนยำเกรงศรัทธาพวกเขาเหมือนกับเทพ”“บวกกับข้อจำกัดทางกฎหมาย เมื่อล่วงเลยมาเป็นเวลานานวิถียุทธ์จึงค่อย ๆ สูญหายไป ผู้ที่สามารถเดินอยู่บนวิถียุทธ์ได้มีน้อยนัก มีเพียงพวกคนใหญ่คนโตกุมอำนาจจึงให้ความสำคัญกับวิถียุทธ์”“เพราะเพียงมีพลังยุทธ์สูงจึงจะมีเบี้ยเจรจาอย่างเท่าเทียม ถ้าประชาชนส่วนมากแห่ไปศรัทธาวิถียุทธ์กันหมด นี่คือภาพที่จ้าวแคว้นไหน ๆ ก็ไม่อยากเห็น”“องค์ชายใหญ่ชำนาญการรบแต่เยาว์วัย คลุกคลีกับการฝึกฝนวิถียุทธ์มานาน วิถียุทธ์ในตอนนี้ท่าทางน่าจะอยู่ระดับแปดแล้ว ห่างจากระดับเก้าสูงสุดอีกแค่ก้าวเดียว”อยู่ในวังหลายปี อู่จ้านได้เห็นหลักของจักรพรรดิจนสยอง ยังดีที่รัชทายาทโง่งม อยู่กินไปวัน ๆ รอความตาย ไม่เข้าร่วมการแก่งแย่งชิงดีใด ๆ เป็นคนอยู่เฉย ๆ ใช่จะไม่ดีแต่ฮ่องเต้ต้าเฉียนกลับสวรรคตกะทันหัน
เสียงหนึ่งโพล่งออกมาจากฝูงชน ทุกคนต่างหันไปมองตามเสียง เห็นเพียงชายคนหนึ่งที่ดูอายุอานามประมาณสามสิบ ใบหน้าประหนึ่งหยก สุภาพเรียบร้อย มือของเขาถือกระบี่วิญญูชน เดินขึ้นแท่นประลองช้า ๆพอเห็นคนมา องค์ชายใหญ่เลิกคิ้วเล็กน้อย เห็นชัดว่าเขาไม่รู้จักอีกฝ่าย“เจ้าเป็นใคร?”องค์ชายใหญ่ขมวดคิ้วถาม“ข้าคือหลิวเป้ยแห่งเมืองจัว วันนี้ได้รับคำเชิญจากองค์ชายรองมาประลองกำลังขอรับ”หลิวเป้ยวางตัวเหมาะสม รายงานชาติตระกูล ย่างเท้ามาถึงบนแท่นประลอง“อะไรนะ? เขาก็คือหลิวเป้ย(เล่าปี่)? สุภาพบุรุษอันดับหนึ่งแห่งเมืองจัว จิตใจดีงาม มีเมตตารักความยุติธรรม แม้จะยากจนข้นแค้น กลับมีปณิธาน มีจิตใจของจอมยุทธ์ เรียกได้ว่าชื่อเสียงระบือไกลทีเดียว”“ไม่เพียงเท่านี้ เขายังสาบานเป็นพี่น้องร่วมเป็นร่วมตายกับเทพยุทธ์คนขายเนื้อจางเฟย (เตียวหุย) แห่งเมืองจัวและเทพดาบกวนอวี่ (กวนอู) ที่สวนดอกท้อ เมืองจัวรู้กันทั่ว”“หลิวเป้ยดูหน้าตาสะอาดหมดจด จะยกกระถางยักษ์หกร้อยชั่งได้จริงหรือ? ที่เขาเผชิญคือองค์ชายใหญ่เชียวนะ คนหนุ่มอันดับหนึ่งของต้าเฉียน”......กระถางยักษ์เป็นรายการแข่งขันที่นิยมเสมอมา นั่นคือสัญลักษณ์ของกำล
“เจ้า เจ้ากล้าพูดว่าข้าไม่ไหวหรือ?”ถูกองค์ชายรองฉินอวิ๋นฮุยยั่วยุ ไฟโทสะองค์ชายใหญ่เพิ่มขึ้นพรวด เขามองด้วยสายตาที่เกรี้ยวโกรธพลางพูด “น้องรอง ให้ดีเจ้าจงเบิกตาสุนัขของเจ้าดูให้ดีว่าข้ายกกระถางเก้าร้อยชั่งได้หรือไม่”“พี่ใหญ่กล้าหาญดังคาด วันนี้ก็ให้พวกเราได้เห็นท่วงทำนองแห่งยุคของท่านสักหน่อยเถอะ!”กลยุทธ์ยุแม่ทัพได้ผลจริง ๆ เห็นองค์ชายใหญ่ติดกับ องค์ชายรองหัวเราะเสียงเย็น ในดวงตาล้วนเป็นความกระหยิ่มใจ ยามนี้ กระถางยักษ์เก้าร้อยชั่งถูกคนหามขึ้นแท่นประลองแล้ว“ช้าก่อน!”ก็ขณะที่องค์ชายใหญ่เตรียมจะลงมือ จู่ ๆ แม่ทัพฝ่ายซ้ายฮั่วเจิ้นหลงก็เดินออกมา เขามีความน่าเกรงขามแม้ยามสงบ แผ่พลังแกร่งกล้าออกมาจากเนื้อตัวบนล่าง เพียงสายตาเดียวทำให้คนขนลุกโดยที่ไม่หนาวนี่คือกลิ่นอายเด็ดขาดของผู้ที่อยู่ในสนามรบหลายสิบปีจึงจะมี“ท่านพ่อตา มีอะไรหรือ?”องค์ชายใหญ่หันไปมองพ่อตา ถามด้วยใบหน้าฉงน“คังเอ๋อร์ เจ้ารอก่อน!”ฮั่วเจิ้นหลงหันไปมองทางองค์ชายรองพร้อมเอ่ยเสียงหนัก “องค์ชายรองสมกับที่เป็นหนึ่งในองค์ชายผู้โดดเด่นแห่งต้าเฉียน มีความเข้าใจในกติกาการแข่งขันลึกซึ้งเช่นนี้ ข้าผู้แซ่ฮั่วเลื่อมใส!”
ฉินอวิ๋นฟานที่ดูเรื่องสนุกอยู่ข้าง ๆ ถูกลูกไม้ที่คาดไม่ถึงขององค์ชายรองนี้ทำให้อึ้งอยู่เหมือนกัน ถ้าเขาไม่ชนะ เช่นนั้นก็ใช้กติกา ใช้ฐานะน้องชายแท้ ๆ เชื้อเชิญให้ผู้แข่งขันที่ร้ายกาจที่สุดประลองกับองค์ชายใหญ่ และเอาชนะอีกฝ่ายทั้งอย่างนี้วิธีการและนิสัยใจคอเช่นนี้ ทำให้ฉินอวิ๋นฟานระแวงคนผู้นี้มากขึ้นทันทีท่ามกลางความคาดหวังของทุกคน เห็นเพียงหลิวเป้ยกระชากเสื้อท่อนบนออก เผยกล้ามเอ๊ทแพคกับกล้ามเนื้อแข็งแรงออกสู่อากาศโดยตรงว้าว...ทันทีที่เห็นกล้ามเนื้อฟิตเปรียะทั้งตัวของหลิวเป้ย ทุกคนก็โกลาหลทันที ดูคนที่หน้าไม่ได้จริง ๆ ผิวเผินดูสุภาพเรียบร้อย คิดไม่ถึงว่าจะเป็นชายฉกรรจ์ล่ำบึกคนหนึ่งมิน่าพวกจางเฟยกวนอวี่ถึงยินยอมกราบหลิวเป้ยเป็นพี่ใหญ่ ดูท่าคนผู้นี้จะไม่ธรรมดาพู่...ครั้นเห็นภาพนี้ ฉินอวิ๋นฟานน้ำพุ่งออกจากปากอีกครั้ง ทำไมมันไม่เหมือนในประวัติศาสตร์เลยเนี่ย หลิวเป้ยกลายเป็นผู้ชายกล้ามปูไปตั้งแต่เมื่อไร? อยู่นานได้เห็นเยอะจริง ๆ!ภายใต้สายตาของทุกคน สองมือหลิวเป้ยจับด้านล่างของกระถางเก้าร้อยชั่งฉับพลัน สองขาย่อลง ออกแรงทันที ส่งเสียงครางต่ำหนัก ๆ ทีหนึ่งไม่กี่วินาทีให้หลัง กร
“ถ้าข้าเดาไม่ผิด องค์ชายรองต้องสัญญาอะไร มิเช่นนั้นด้วยนิสัยของเขา คงไม่ร่วมศึกชิงบัลลังก์ง่าย ๆ เช่นนี้”“ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้!!!”ฉินอวิ๋นฟานผงกศีรษะหนัก ๆ ดูว่าหลิวเป้ยคงถูกองค์ชายรองปั่นหัวแล้ว ด้วยความเข้าใจที่ฉินอวิ๋นฟานมีต่อองค์ชายรอง คนที่ชำนาญการวางแผนชั่วร้ายคนหนึ่ง ในสายตามีแต่ผลประโยชน์ จะเป็นคนที่ยึดมั่นในสัจจะได้ยังไง?ไม่ถึงครึ่งนาที หลิวเป้ยยกกระถางเก้าร้อยชั่งได้จริง ๆ ทุกคนในลานฝึกยุทธ์กู่ร้องกระโดดโลดเต้น มือโบกเท้ารำ ดีใจกับความสำเร็จของหลิวเป้ยเวลานี้ สองมือหลิวเป้ยยกกระถางเก้าร้อยชั่งขึ้นสูง เส้นเลือดฝอยในดวงตาแตก กัดฟันแน่น สีหน้าของทั้งคนแทบผิดรูปผิดร่าง ภายใต้แรงถ่วงอย่างหนัก ใบหู จมูกมีเลือดสดซึมออกมา แต่หลิวเป้ยยังคงไม่ยอมแพ้การนับเวลายังคงดำเนินต่อ หลิวเป้ยยังอดทน จางเฟยและกวนอวี่ที่อยู่ด้านล่างทนดูไม่ไหวแล้ว“พี่ใหญ่ ยกได้ก็เก่งมากแล้ว พอประมาณก็พอ พวกเราอย่าเอาชีวิตมาเล่นเลย มันไม่คุ้มกัน!”จางเฟยอยู่ข้างล่างร้อนรนปานมดในกระทะร้อน ทำใจไม่ได้ แทบอยากขึ้นไปรับแทนพี่ใหญ่ แต่เขารู้นิสัยของอีกฝ่าย ดื้อรั้นนัก เพื่อชัยชนะแล้ว แม้แต่ชีวิตก็ใช้เดิมพัน“น
การประลองกำลังมาถึงช่วงสำคัญ เชื่อมโยงกับหัวใจทุกคน โดยเฉพาะสำหรับผู้ที่สนับสนุนองค์ชายใหญ่ ชัยชนะครั้งนี้อาจตัดสินอนาคตและโชคชะตาของพวกเขาหลิวเป้ยผู้ช่วยขององค์ชายรองยกกระถางเก้าร้อยชั่งด้วยท่วงทำนองล้อเล่นกับชีวิต ทั้งยังสามารถยกได้นานถึงเจ็ดนาทีอย่างน่าสะพรึงกลัว สำหรับองค์ชายใหญ่ มันคือความท้าทายอย่างใหญ่หลวงแบบไม่ต้องสงสัยไม่ถึงสามนาที องค์ชายใหญ่กลับปรากฏสภาพที่กำลังใจกำลังกายไม่เพียงพอ สีหน้าซีดขาวมากขึ้นเรื่อย ๆ เหงื่อกาฬมากขึ้นทุกทีในฐานะที่อยู่สูงและมีสิทธิพิเศษมากมาย สาวงามข้างกายและผู้ติดตามขององค์ชายใหญ่ย่อมมีมากมายไม่สิ้นเขาซึ่งเข้าวิธียุทธ์ร่างกายแข็งแรง คนทั่วไปไม่อาจเทียบ ฮอร์โมนมากกว่าคนทั่วไปหลายเท่า แต่การสุขสันต์ทุกค่ำคืน แม้ร่างกายจะทำจากเหล็กก็รับไม่ไหว รายรับไม่พอจ่ายเพียงไม่กี่นาทีก็อ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด“พี่ใหญ่หนอพี่ใหญ่ ท่านทะนงตนมากเกินไปแล้ว”องค์ชายรองยิ้มร้าย “ถึงข้าจะพ่ายแพ้ในการประลองด้านบุ๋น จบอย่างอเนจอนาถ แล้วท่านเคยคิดหรือไม่ ข้ามุ่งเป้าเป็นพิเศษที่การประลองด้านบู๊ต่างหาก ขอเพียงท่านอดทนได้ไม่ถึงเจ็ดนาที เช่นนั้นชัยชนะสองรอบหลังก็จะตกเ
ชั่ววูบเดียว ทุกคนลุกขึ้นยืนพรวดพร้อมส่งเสียงกรีดร้อง ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก ยามนี้ สีหน้าองค์ชายใหญ่เปลี่ยนถนัด ในใจยิ่งประหวั่นพรั่นพรึงหมื่นส่วน กลิ่นอายแห่งความตายปะทะเข้าใบหน้ากระถางยักษ์อยู่เหนือศีรษะเขาสามชุ่น เป็นระยะห่างที่ประชิดเหลือเกิน ไม่มีโอกาสหลีกหนีใด ๆฉินอวิ๋นฟานยามนี้ขมวดคิ้วมุ่น หากกระถางใบนี้ทับอยู่บนตัวองค์ชายใหญ่ เขาจะต้องตายแน่ ในช่วงเวลาสำคัญของการชิงบัลลังก์ หากองค์ชายต้องเสียชีวิตเพราะการประลอง เรื่องนี้จะต้องกลายเป็นเรื่องใหญ่วินาทีนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีของขนาดประมาณถั่วลันเตาพุ่งไปทางแท่นประลอง อานุภาพร้ายกาจมาก กระแทกกระถางยักษ์ใบนั้น ส่งเสียงสะเทือนเลือนลั่นในหูจนอื้ออึงจากนั้นก็เห็นวิถีเคลื่อนไหวของกระถางยักษ์เปลี่ยนแปลงทันใด ภายใต้แรงกระแทกอันหนักหน่วง มันลอยออกนอกแท่นประลองปัง!!!!น้ำหนักอันหนักอึ้ง ภายใต้แรงกระแทกหนัก ๆ มันตกอยู่บนพื้นอย่างจัง ลานฝึกยุทธ์สั่นสะเทือนทันใด การเปลี่ยนแปลงกะทันหันทำให้ทุกคนร้องเสียงหลงดังระงมซี้ด...ไม่มีใครไม่ระทึก กวาดสายตามองดูรอบ ๆ ไม่เห็นอะไรน่าสงสัย นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?หลังจากพ้นเคราะห์ องค์