“ไม่สนท่านแล้ว!”มู่หรงจิ่นอายขั้นสุด เบือนหน้าแล้วเดินไปทางอื่น ฉินอวิ๋นฟานคว้าตัวนางกลับมา ฉินอวิ๋นฟานในเวลานี้ใกล้จะควบคุมตัวเองไม่อยู่เต็มทนแล้ว อารมณ์เช่นนี้บรรยากาศเช่นนี้ เหมาะสมทำอะไรสักหน่อยอย่างยิ่ง!“กระต่ายขาวตัวน้อยน่ารักของข้า เจ้าหนีไม่พ้นเงื้อมมือของข้าหรอก!”ฉินอวิ๋นฟานกอดมู่หรงจิ่นแล้วจูบหน้าผากของนางหนัก ๆ แม้ตอนนี้เขาอยากทำอะไรสักหน่อยมาก ๆ แต่เทศกาลโคมไฟอันยิ่งใหญ่จะเริ่มขึ้นแล้ว ด้วยพลังการรบของเขา สองชั่วยามไม่พอแน่ คิดแล้วก็ช่างเถอะ มิเช่นนั้นจะเสียงานใหญ่เข้าจริง ๆ“ไอ้หยา พี่อวิ๋นฟาน เทศกาลโคมไฟจะเริ่มแล้วนะ ทุกคนกำลังรอท่านอยู่ข้างล่างแน่ะ”มู่หรงจิ่นเขินจัด“ก็ได้!”ฉินอวิ๋นฟานได้แต่ปล่อยตัวมู่หรงจิ่นด้วยใบหน้าทุกข์ระทมหลังจากม่านราตรีมาถึง ฉินอวิ๋นฟานและคนอื่น ๆ ก็มาถึงท้องถนนที่ครึกครื้นแห่งนี้ ในมือของผู้ใหญ่และเด็กต่างถือโคมไฟรูปแบบต่าง ๆ ฉลองเทศกาลนี้กันอย่างคึกคัก“จิ่นเอ๋อร์ เจ้าร่วมเทศกาลโคมไฟทุกปี หรือไม่เจ้าก็บรรยายเทศกาลนี้กับพวกเราหน่อยเถอะ พวกเราจะได้เตรียมใจเอาไว้”ฉินอวิ๋นฟานจูงมือของมู่หรงจิ่นและพูดเสียงอ่อนนุ่ม“อื้ม!”มู่หรงจิ่
มู่หรงจิ่นยิ้มสวย “การเปิดงานเทศกาลโคมไฟของทุกปีจะเริ่มจากการแสดงของหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียงก่อน เพื่อเฉลิมฉลองและอวยพรให้ฤดูกาลเก็บเกี่ยวจะแสดงให้แบบไม่คิดเงินสามเพลง แสดงการบรรเลงเพลงหนึ่ง แสดงการร่ายรำหนึ่ง และแสดงการตีกลองอีกหนึ่ง”“เมื่อการแสดงตีกลองเริ่มขึ้น ก็หมายถึงเทศกาลโคมไฟได้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการแล้ว”“อย่างนี้นี่เอง!”ฉินอวิ๋นฟานพยักหน้าด้วยความพอใจ สมกับที่เป็นหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียง ทำการค้าเก่งจริง ๆ ถึงกับรู้จักใช้วิธีการเช่นนี้ทำโฆษณาให้ตัวเองเสียด้วยพอการตีกลองจบลง ที่ทำให้ฉินอวิ๋นฟานประหลาดใจอย่างหนักคือการปรากฏตัวของหวงต้าหยวน!เห็นเพียงนางถือโทรโข่งในมือแล้วพูดว่า “เพื่อฉลองการเปิดงานเทศกาลโคมไฟในปีนี้ หอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียงเจาะจงเชิญแม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงปรมาจารย์ด้านดนตรีคนดังมาบรรเลงเพื่อทุกท่านเพลงหนึ่ง”“อะไรนะ?! ให้แม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงปรมาจารย์ด้านดนตรีคนดังมาบรรเลงเพลงด้วยตัวเอง? ครั้งนี้หอวั่งเจียงทุ่มทุนจริง ๆ!”“ก็นั่นนะสิ คนดังของหอวั่งเจียงไม่ธรรมดานะ ต่อให้เจ้ามีเงินก็ไม่แน่ว่าจะได้พบพวกนางสักครั้ง ยิ่งไม่ต้องพูดถ
“เอาละ ๆ ลิ้นเป็นปลาไหล น่าชังนัก!”ฉินอวิ๋นฟานสารภาพรักกะทันหันต่อหน้าธารกำนัล มู่หรงจิ่นเขินอายแบบสุด ๆ หน้าสวยแดงระเรื่อ หัวใจหวานชื่น บุปผาในใจผลิบานเห็นว่าหยอกสำเร็จ ฉินอวิ๋นฟานจึงทำหน้าได้ใจ มีแต่ผู้ชายที่หน้าด้านพอ ปากขยันขันแข็งและหวานพอ ไม่ว่าจะกลางวันหรือกลางคืนก็สยบผู้หญิงได้ทั้งนั้น ต้องการหัวใจของหญิงสาว อาศัยเพียงหนึ่งปากก็พอ!อู่จ้านเห็นภาพนี้แล้วอิจฉายิ่งนัก มีเมียนี่ดีจริง ๆ ชมโคมไฟพลางหยอกล้อกันไป พาลให้คนรอบข้างอิจฉา หลังจากแม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงบรรเลงเพลงจบก็มีเสียงปรบมือดังระงมจากทุกสารทิศ ทุกคนล้วนรู้สึกทึ่งและเลื่อมใสการบรรเลงรวมไปถึงท่วงทำนองที่ไต่ระดับถึงขั้นสูงสุดของสองนาง มอบคำวิจารณ์สูงส่งยิ่งจากนั้นก็คือการแสดงร่ายรำของคนดังจากหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียง หญิงแปดนางต่างอยู่ในชุดกระโปรงผ้าบางสีแดง ปานนางฟ้าบนสวรรค์ งดงามตระการตาอย่างยิ่ง ตามการร่ายรำด้วยท่วงท่าชดช้อย นำการเปิดงานเทศกาลโคมไฟเข้าสู่ช่วงครื้นเครงที่สุดฉินอวิ๋นฟานกลับเฉย สามวันก่อนมีอะไรที่เขายังไม่เห็น? น่าเสียดายที่ได้แต่มอง ได้แต่จับ แต่ล้ำเส้นไม่ได้ครึ่งชั่วยามให้หลัง การแ
“บังอาจ!”“กำแหง!”“เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมถึงกับกล้าด่าทอลบหลู่พวกเรา? น่ารังเกียจที่สุด...”......ถูกเยียนอวี่เฉินลบหลู่ต่อหน้าสาธารณชน บรรดาอาจารย์ในสำนึกศึกษาหลวงโมโหโกรธาจนเป่าหนวดถลึงตา ในดวงตาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น แต่ต่อหน้าเยียนอวี่เฉินผู้หยิ่งทระนงแข็งกร้าว พวกเขากลับมิอาจเกรี้ยวกราดสำนักศึกษาหลวงคือสำนักศึกษาสูงสุดของต้าเฉียน การที่พวกเขาสามารถยืนอยู่ที่นี่ได้ ย่อมเป็นตัวแทนของความรู้ขั้นสุดของต้าเฉียน นั่นคือเกียรติยศสูงสุดบัดนี้ศักดิ์ศรีที่พวกเขาภาคภูมิใจกลับถูกแม่นางวัยยี่สิบกว่าเหยียบขยี้อยู่กับพื้น เหลืออดเหลือคนจริง ๆ! “เฮอะ ข้าบังอาจ ข้ากำแหง?”เยียนอวี่เฉินหัวเราะเสียดสีทีหนึ่ง “ฝูงตาแก่อย่างพวกเจ้าแน่จริงก็ต่อกลอนคู่วรรคหลังของข้าได้ให้สิ?+ ไม่อย่างนั้นจะให้ทุกคนยอมรับได้ยังไง? ใช่ว่าข้ากำแหง แต่เป็นพวกเจ้าที่ไร้น้ำยาเองต่างหาก ให้ต้นทุนในการกำแหงกับข้า ที่ข้าพูด...ไม่ผิดกระมัง?”“จะ เจ้า...”ถูกเยียนอวี่เฉินลบหลู่ด้วยวาจา เหล่าชายชราต่างเดือดดาลจนหน้าเขียวปัด น้ำท่วมปาก กับการท้าทายของเยียนอวี่เฉิน พวกเขาไร้ความสามารถโต้กลับจริง ๆ“ให้เวลาข้าหน่อย ข้
“เหอะ แม่นางน้อย เจ้าจะไร้เดียงสาเกินไปแล้วกระมัง?”หลัวเทียนเป้าแสยะยิ้มพูด “นี่คือโลกที่ปลาใหญ่กินปลาเล็ก รั้งท้ายต้องถูกเหยียบย่ำ พวกเจ้าคือปลาเล็ก มีสิทธิ์อะไรมาพูดเรื่องเกียรติต่อหน้าพวกเราที่เป็นปลาใหญ่?”“บู๊ไม่เอาไหนก็ช่างเถอะ ไม่นึกว่าบุ๋นก็ยังห่วยแตกเช่นนี้ ข้าลบหลู่บ้านเมืองของพวกเจ้าแล้วจะทำไม? พวกเจ้าต่อกลอนคู่วรรคหลังได้หรือ? ข้าละขายหน้าแทนพวกเจ้าจริง ๆ! เป็นเช่นขยะกองหนึ่งยังไม่รู้จักอายอีก?!”กับความเดือดดาลของหลู่เซียงหลิง หลัวเทียนเป้าไม่มีท่าทีถนอมหญิงสาวแม้แต่น้อย วาจายังคงเสียดสีหยามเหยียด ในสายตาของเขา ต้าเฉียนในปัจจุบันก็คือขยะ“พวก พวกเจ้าจะรังแกคนมากไปแล้วนะ!”ถูกหลัวเทียนเป้าโต้กลับมา หลู่เซียงหลิงโกรธจนจะร้องไห้แล้ว นางร้อนรนจนเดินวนอยู่กับที่ ไม่รู้ว่าควรโต้ตอบอย่างไรดี หนึ่งปีก่อนต้าเฉียนเสียห้าเมืองไป บัดนี้การประลองด้านบุ๋นยังจะจบด้วยความพ่ายแพ้อีก นี่ควรทำอย่างไรดี?“บัดซบ! ต้าเยียนของพวกเจ้าจะกัดคนไม่ปล่อยเกินไปแล้วมั้ง?!”“ทำเกินไปแล้ว พวกเราแค่แพ้ในการประลองด้านบุ๋น เจ้าถือดียังไงพูดจาไม่น่าฟังเช่นนี้? นึกว่าพวกเราต้าเฉียนรังแกได้ง่าย ๆ รึ?!”
“แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ไม่ต้องมาทำตัวน่าสงสารหรอก ข้าไม่รู้จักเคารพคนแก่รักเด็กอะไรทั้งนั้น!”หลัวเทียนเป้าพูดถากถาง “เร็วหน่อย อย่าบีบให้ข้าลงมือละ ถึงตอนนั้นหน้าตาของทุกคนจะไม่น่าดูแล้ว”เยียนอวี่เฉินเอามือกอดอก เหยียดยิ้มตรงมุมปาก ใบหน้าคือความหยิ่งทระนง การเหยียบสำนักศึกษาหลวงต้าเฉียนอยู่ใต้ฝ่าเท้าได้แบบสบาย ๆ ทำให้นางรู้สึกภูมิใจอย่างหาที่เปรียบมิได้“พวกเจ้าไม่ลงมือสักที หรือว่าแพ้ไม่ลง?”เยียนอวี่เฉินเห็นหมู่ชายชราใบหน้าอีหลักอีเหลื่อ ครึ่งค่อนวันก็ยังไม่มีทีท่าลงมือ นางจึงก้าวออกมาอีกครั้ง ข่มบรรดาอาจารย์ทั้งหลาย ความรู้สึกที่แลมองจากที่สูงเช่นนี้ทำให้นางรู้สึกสะใจมาก!“เอ่อ...”เวลานี้บรรดาคนของสำนักศึกษาหลวงลำบากใจมากกว่าเดิม... ไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี“เมียจ๋า คนกันเองทั้งนั้น ทำไมต้องทำให้เขาลำบากใจด้วย?”ก็ขณะที่กำลังประชันหน้ากันอยู่ จู่ ๆ ก็มีเสียงระคายหูดังมาจากด้านล่างของเวที ทุกคนต่างมองหาต้นเสียง เห็นเพียงชายหนุ่มองอาจหล่อเหลาคนหนึ่ง มุมปากทำมุมมั่นใจกำลังเดินขึ้นบนเวทีช้า ๆตึง...“เจ้า ไอ้ลามก! ถึงกับกล้าล่วงเกินข้าต่อหน้าสาธารณชน รนหาที่ตายแล้ว!”เยียนอวี
“ปั้นน้ำเป็นตัว?”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มอย่างล้ำลึก “ข้าคือรัชทายาทของต้าเฉียน ใต้หนึ่งคน เหนือหมื่นคน จะล้อเล่นกับองค์หญิงสามต้าเยียนในเรื่องพรรค์นี้หรือ?”ถ้อยคำที่ราวกับฟ้าผ่าของฉินอวิ๋นฟานทำให้ทุกคนแตกตื่นกันทันทีแรกเริ่มเดิมที ทุกคนนึกว่าฉินอวิ๋นฟานแค่แกล้งเล่น แต่ที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ ฉินอวิ๋นฟานไม่เหมือนกับล้อเล่น แต่ให้คำตอบยืนยันแบบจริงจังคราวนี้ทุกคนอลหม่านแล้ว!ฉินอวิ๋นฟานที่กำลังจดจ้องด้วยใบหน้าเท่ ๆ เยียนอวี่เฉินโกรธควันออกหู กระทั่งไม่รู้ว่าฉินอวิ๋นฟานกำลังมาไม้ไหน ตอนนี้นางมีข้อสรุปแล้ว ฉินอวิ๋นฟานต้องมีแผนสำรองแน่ ไม่อย่างนั้นจะไม่พูดอย่างนี้เด็ดขาด!นางหรี่ดวงตาทั้งสอง “ฉินอวิ๋นฟาน ในเมื่อไม่ได้ล้อเล่น เช่นนั้นเจ้าก็ควรอธิบายหน่อยว่ามันยังไงกันแน่?ในฐานะที่เป็นองค์หญิงสามแห่งต้าเยียน มีเรื่องอะไรที่ไม่เคยเจอบ้าง? ครั้นรู้ตัวตนของฉินอวิ๋นฟาน นางก็ใจเย็นลงทันที แม้จะถูกฉินอวิ๋นฟานเอารัดเอาเปรียบ นางก็ยังสะกดไฟโกรธในใจ“หึ ถึงเจ้าฉินอวิ๋นฟานจะเป็นรัชทายาทของต้าเฉียน แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะล่วงเกินองค์หญิงสามของเรากระมัง ถ้าอธิบายอย่างสมเหตุสมผลไม่ได้ เรื่องนี้เกรงว
“องค์หญิงสาม!!!”หลัวเทียนเป้าเห็นองค์หญิงสามยอมอ่อนข้อให้ก่อน อารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน ในฐานะที่เป็นขุนศึกทหารกล้า จะแพ้มาดให้กับคนอื่นได้อย่างไร? มิหนำซ้ำยังเป็นแคว้นกระจอก ๆ รัชทายาทผู้มิมีกำลังจับไก่!“หุบปาก!”เยียนอวี่เฉินตวาด หลัวเทียนเป้าเห็นองค์หญิงสามเกิดโทสะแล้ว จึงได้แต่อดกลั้นความโกรธในใจเอาไว้และปิดปากเสีย“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ที่นี่คือต้าเฉียนของข้า มิใช่ต้าเยียนของพวกเจ้า จะทำอะไรต้องดูสีหน้าข้าฉินอวิ๋นฟาน เป็นพยัคฆ์ต้องหมอบให้ข้า เป็นมังกรก็ต้องขดตัวให้ข้า!”ฉินอวิ๋นฟานสองมือไพล่หลัง ดวงตาเห็นทุกสิ่งคือว่างเปล่า “ต่อให้ต้าเยียนของพวกเจ้ามีกำลังเหยียบต้าเยียนข้าให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็มีกำลังลงพันดาบหมื่นเฉือนกับพวกเจ้า!”กับกำลังแข็งแกร่งมิมีใดเทียมตรงหน้า ฉินอวิ๋นฟานแข็งกร้าวถึงที่สุด เยียนอวี่เฉินรูม่านตาหดเล็กฉับพลัน ในใจยิ่งเกิดคลื่นปั่นป่วน ให้นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเด็ดขาดแท้ ทั้งยังเป็นคนบ้าที่ไม่สนโลกด้วยถ้าพวกเขากล้าทำเลยเถิด น่ากลัวว่าฉินอวิ๋นฟานจะกล้าเอาชีวิตพวกเขาจริง ๆ!“เหอะ ต่อให้เป็นเช่นนี้
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ