“ปั้นน้ำเป็นตัว?”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มอย่างล้ำลึก “ข้าคือรัชทายาทของต้าเฉียน ใต้หนึ่งคน เหนือหมื่นคน จะล้อเล่นกับองค์หญิงสามต้าเยียนในเรื่องพรรค์นี้หรือ?”ถ้อยคำที่ราวกับฟ้าผ่าของฉินอวิ๋นฟานทำให้ทุกคนแตกตื่นกันทันทีแรกเริ่มเดิมที ทุกคนนึกว่าฉินอวิ๋นฟานแค่แกล้งเล่น แต่ที่ทำให้ทุกคนคาดไม่ถึงคือ ฉินอวิ๋นฟานไม่เหมือนกับล้อเล่น แต่ให้คำตอบยืนยันแบบจริงจังคราวนี้ทุกคนอลหม่านแล้ว!ฉินอวิ๋นฟานที่กำลังจดจ้องด้วยใบหน้าเท่ ๆ เยียนอวี่เฉินโกรธควันออกหู กระทั่งไม่รู้ว่าฉินอวิ๋นฟานกำลังมาไม้ไหน ตอนนี้นางมีข้อสรุปแล้ว ฉินอวิ๋นฟานต้องมีแผนสำรองแน่ ไม่อย่างนั้นจะไม่พูดอย่างนี้เด็ดขาด!นางหรี่ดวงตาทั้งสอง “ฉินอวิ๋นฟาน ในเมื่อไม่ได้ล้อเล่น เช่นนั้นเจ้าก็ควรอธิบายหน่อยว่ามันยังไงกันแน่?ในฐานะที่เป็นองค์หญิงสามแห่งต้าเยียน มีเรื่องอะไรที่ไม่เคยเจอบ้าง? ครั้นรู้ตัวตนของฉินอวิ๋นฟาน นางก็ใจเย็นลงทันที แม้จะถูกฉินอวิ๋นฟานเอารัดเอาเปรียบ นางก็ยังสะกดไฟโกรธในใจ“หึ ถึงเจ้าฉินอวิ๋นฟานจะเป็นรัชทายาทของต้าเฉียน แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลที่จะล่วงเกินองค์หญิงสามของเรากระมัง ถ้าอธิบายอย่างสมเหตุสมผลไม่ได้ เรื่องนี้เกรงว
“องค์หญิงสาม!!!”หลัวเทียนเป้าเห็นองค์หญิงสามยอมอ่อนข้อให้ก่อน อารมณ์โกรธพลุ่งพล่าน ในฐานะที่เป็นขุนศึกทหารกล้า จะแพ้มาดให้กับคนอื่นได้อย่างไร? มิหนำซ้ำยังเป็นแคว้นกระจอก ๆ รัชทายาทผู้มิมีกำลังจับไก่!“หุบปาก!”เยียนอวี่เฉินตวาด หลัวเทียนเป้าเห็นองค์หญิงสามเกิดโทสะแล้ว จึงได้แต่อดกลั้นความโกรธในใจเอาไว้และปิดปากเสีย“ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะรู้จักวางตัวให้เหมาะสม ที่นี่คือต้าเฉียนของข้า มิใช่ต้าเยียนของพวกเจ้า จะทำอะไรต้องดูสีหน้าข้าฉินอวิ๋นฟาน เป็นพยัคฆ์ต้องหมอบให้ข้า เป็นมังกรก็ต้องขดตัวให้ข้า!”ฉินอวิ๋นฟานสองมือไพล่หลัง ดวงตาเห็นทุกสิ่งคือว่างเปล่า “ต่อให้ต้าเยียนของพวกเจ้ามีกำลังเหยียบต้าเยียนข้าให้ราบเป็นหน้ากลอง แต่อย่างน้อยตอนนี้ข้าก็มีกำลังลงพันดาบหมื่นเฉือนกับพวกเจ้า!”กับกำลังแข็งแกร่งมิมีใดเทียมตรงหน้า ฉินอวิ๋นฟานแข็งกร้าวถึงที่สุด เยียนอวี่เฉินรูม่านตาหดเล็กฉับพลัน ในใจยิ่งเกิดคลื่นปั่นป่วน ให้นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเด็ดขาดแท้ ทั้งยังเป็นคนบ้าที่ไม่สนโลกด้วยถ้าพวกเขากล้าทำเลยเถิด น่ากลัวว่าฉินอวิ๋นฟานจะกล้าเอาชีวิตพวกเขาจริง ๆ!“เหอะ ต่อให้เป็นเช่นนี้
ทันทีที่เห็นฉินอวิ๋นฟานล้วงถุงหอมประจำตัวขององค์หญิงสามออกมาหลัวเทียนเป้าก็ทำหน้าฉงนเหมือนกัน ไม่มีใครรู้ความหมายของมันต่อองค์หญิงสามได้ดีไปกว่าเขาอีกแล้วในเมื่อถุงหอมปรากฏอยู่ในมือของฉินอวิ๋นฟาน เช่นนั้นก็มีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว ฉินอวิ๋นฟานต้องจงใจขโมยแน่ ด้วยเรื่องนี้ มันทำให้เขาดูถูกฉินอวิ๋นฟานมากกว่าเดิมต้าเฉียนบนล่างคานบนไม่ตรงคานล่างเบี้ยวโดยแท้ ลูกไม้สกปรกก็ยังเอาออกมาใช้“ฉินอวิ๋นฟาน ยังไงเจ้าก็เป็นถึงรัชทายาทของต้าเฉียน ทำไมถึงทำเรื่องลักเล็กขโมยน้อยเล่า? พฤติกรรมเช่นนี้จะไร้ยางอายเกินไปแล้วกระมัง? แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ไยต้องลดเส้นต่ำสุดของบ้านเมืองอีก?”ถงจินเฉิงเห็นดังนั้นจึงเปิดโหมดถากถาง“พี่อวิ๋นฟาน...”มู่หรงจิ่นกระตุกแขนเสื้อของฉินอวิ๋นฟาน ใบหน้าเต็มไปด้วยความร้อนรนถุงหอมนี้พนักงานโรงแรมของพวกเขาเก็บได้แล้วมอบให้พี่อวิ๋นฟานแท้ ๆ จะขโมยได้อย่างไร?ตอนนี้ไม่เพียงแต่พวกคนต้าเยียนจะเข้าใจผิดว่าพี่อวิ๋นฟานขโมย ประชาชนต้าเยียนที่อยู่รอบ ๆ ก็มีสีหน้าอีหลักอีเหลื่ออย่างหนักเหมือนกัน อย่างไรเสีย ถุงหอมต้องเป็นของที่องค์หญิงสามพกติดตัวแน่ ในเมื่ออยู่ในมือของพี่อว
“ฮ่า ๆ ๆ ๆ...”“คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ รัชทายาทของต้าเฉียนกลับเป็นพวกลักเล็กขโมยน้อย ไร้ยางอายที่สุด! ไม่รักษาหน้าสักนิด! แม้แต่ของประจำกายขององค์หญิงสามต้าเยียนเราก็ยังจะลัก น่าขายหน้าจริงแท้!”“ฉินอวิ๋นฟาน ถ้าเจ้านิยมถุงหอมของอิสตรีจริง ๆ ข้าจะให้เจ้าสักสองสามร้อยใบก็ได้ ราคาเท่าเศษขี้เล็บ ไยต้องฉกฉวย เจ้าว่าใช่หรือไม่? ลักมาเพื่อให้ได้มาในชั่วครู่ ลมปากไม่ผ่านสมอง ช่างน่าขายหน้าโดยแท้ หนำซ้ำยังขายหน้าต้าเฉียนของพวกเจ้าด้วย!”......ได้รับคำตอบยืนยันจากฉินอวิ๋นฟาน บรรดาคนจากต้าเยียนก็หัวเราะเป็นบ้าเป็นหลัง เปิดโหมดเยาะเย้ยถากถางทันที เริ่มมหกรรมด่าทอฉินอวิ๋นฟานต่าง ๆ นานากับการโจมตีทางวาจาของหมู่คนต้าเยียน คนของต้าเฉียนล้วนอับอายก้มหน้างุด ทำท่าทอดถอนใจอย่างหนัก ท่าทางเศร้าสลดที่ไม่โชคดี โกรธแค้นที่สู้ไม่ได้ทว่าตั้งแต่ต้นจนจบฉินอวิ๋นฟานยังไม่เปลี่ยนสีหน้า ผ่อนคลายสบายอารมณ์!ตอนนี้เอง จู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็เอ่ยขึ้น บุคลิกของทั้งคนเกิดการเปลี่ยนแปลงแบบกลับตาลปัตร เขากวาดมองทุกคน สายตาเปลี่ยนเป็นคมกริบอย่างหาที่เปรียบมิได้เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงกร้าว “ต่อให้ข้าเป็นคนขโมยถุงหอ
“หากข้าบอกว่าให้พวกเจ้าคืนห้าเมืองให้เรา พวกเจ้าจะยินดีหรือไม่?!”ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟานที่บีบคั้นทุกฝีก้าว เยียนอวี่เฉินในเวลานี้อึดอัดยิ่งนัก นางต้องยอมรับว่าฉินอวิ๋นฟานหาวิธีการแสดงความไม่พอใจต้าเยียนที่รุกรานห้าเมืองได้ยอดเยี่ยมมากคืนรึ? นั่นคือเป็นไปไม่ได้!“คืนห้าเมืองให้พวกเจ้า เป็นไปไม่ได้เด็ดขาด!”เยียนอวี่เฉินส่ายหน้าพูด “หวังว่าเจ้าฉินอวิ๋นฟานจะเข้าใจ การที่ระหว่างแคว้นจะมีเรื่องบาดหมาง การเสียเมืองสักเมืองสองเมืองคือเรื่องปกติ และนี่ก็คือการแสดงให้เห็นถึงความสามารถเหนือชั้นของแคว้นหนึ่ง”กับคำตอบของเยียนอวี่เฉิน ฉินอวิ๋นฟานไม่แปลกใจเลยสักนิด ยึดเมืองด้วยความสามารถ ถือดียังไงต้องคืนด้วย? และเขาก็จับจุดนี้ได้อย่างพอดิบพอดี“นั่นสิ ข้าใช้ความสามารถขโมยถุงหอมมา แล้วถือดียังไงต้องคืน?!”ฉินอวิ๋นฟานแบมือพลางพูด“เจ้า...!”เห็นฉินอวิ๋นฟานไม่คิดจะคืนถุงหอมให้แน่แล้ว เยียนอวี่เฉินกระฟัดกระเฟียดกระทืบเท้า แต่นางกลับทำอะไรฉินอวิ๋นฟานไม่ได้เลย“ฉินอวิ๋นฟาน นอกจากห้าเมืองแล้ว เจ้าจะเอายังไงถึงจะยอมคืนถุงหอมให้ข้า!”เยียนอวี่เฉินกัดฟันกรอด พูดด้วยความเคียดแค้น“นอกจากห้าเมือง ไม
“รัชทายาท ท่านบ้าไปแล้วรึ?!”“ป้ายแผ่นนี้หมายถึงเกียรติของต้าเฉียนเรา ท่าน ท่านกลับทำลายมัน?!”.......เห็นป้ายของสำนักศึกษาหลวงถูกฉินอวิ๋นฟานทำลาย เหล่าคณาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงพากันถลึงตาเป่าหนวด ในดวงตาความโกรธอัดแน่น กรุ่นโกรธกับการกระทำของฉินอวิ๋นฟานมาก“หุบปาก! ตาแก่หงำเหงือก! เมื่อกี้ก็เป็นพวกเจ้านั่นแหละที่ทำลายเกียรติของสำนักศึกษาหลวงต้าเฉียนข้าสูญสิ้น! ตอนนี้ยังมีหน้ามาว่าข้า?!”ฉินอวิ๋นฟานตะคอกด่า “เก็บป้ายนี้ไว้ก็ปิดบังการแพ้ยับเยินของพวกเจ้าได้แล้วรึ? ปิดเรื่องที่พวกเจ้าที่เป็นถึงอาจารย์สู้แม่นางน้อยคนหนึ่งไม่ได้?!”“พวกเจ้ามันเป็นคนที่ฝังร่างครึ่งท่อนอยู่ในดินแล้ว จะรักษาหน้าหน่อยได้ไหม? อย่าหลอกตัวเองเลยได้ไหม? พวกเจ้ารู้หรือไม่กันแน่ว่าอะไรคือยางอาย?!”“แพ้แล้วก็คือแพ้แล้ว ยังจะอิด ๆ ออด ๆ อะไร? รักษาป้ายนี้ไว้แล้ว ความเก่งของพวกเจ้าจะเพิ่มขึ้นรึ?!”“เทียบกับการดึงดันจะเอาป้ายให้ได้ มิสู้ถกปัญหาศึกษาวรรณกรรมให้ถ่องแท้ พัฒนาตัวเองเรื่อย ๆ ต่อไปพอเจอเรื่องแบบนี้จะได้ไม่ถึงกับเอาหน้าแก่ ๆ ไปขาย!”“ข้า...”คณาจารย์สำนักศึกษาหลวงถูกฉินอวิ๋นฟานตอกหน้าต่อหน้าธารกำนัล
“อะไรนะ?!”“เจ้ารับปาก?!”“รัชทายาท จะวู่วามไม่ได้เด็ดขาดนะขอรับ!”......เห็นฉินอวิ๋นฟานรับปากฉับไวเช่นนี้ เหล่าคณาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงรวมถึงผู้คนรอบด้านจ้าละหวั่นทันที ความตื่นตระหนกลนลานปรากฏอยู่บนสีหน้าของทุกคนห้าเมืองย่อมสำคัญ แต่อย่างไรมันก็เป็นแต่เมืองบริวารเล็ก ๆ ของเมืองจัว ประชากรไม่ถึงล้าน แต่เมืองจัวไม่เหมือนกัน นั่นคือหนึ่งในเจ็ดเมืองหลักของต้าเฉียน ยิ่งเป็นเมืองชายแดนสำคัญของต้าเฉียน!หากใช้เมืองจัวเป็นสิ่งเดิมพัน เช่นนั้นเกมนี้จะเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ทันทีที่แพ้การประลอง เมืองจัวจะต้องไปจากต้าเฉียน เรื่องใหญ่เทียมฟ้าเช่นนี้ต้องสะเทือนไปถึงเบื้องบนของต้าเฉียนแน่ สถานการณ์เช่นนี้พวกเขาเดิมพันไม่ไหวความสามารถด้านวรรณกรรมของพวกคนต้าเยียนแข็งแกร่งมาก พวกเขามิใช่คู่ต่อสู้เลย องค์หญิงสามต้าเยียนเพิ่มเดิมพันในเวลานี้กะทันหัน เห็นได้ว่าฉวยโอกาสปล้นกันชัด ๆถ้าฉินอวิ๋นฟานตอบรับในยามนี้ จะมิตกหลุมพรางพวกเขาหรือ?เยียนอวี่เฉินเห็นชาวต้าเฉียนมีปฏิกิริยารุนแรงเช่นนี้จึงยิ่งเอ่ยปากได้ใจ “ฉินอวิ๋นฟาน เมืองจัวคือเมืองสำคัญของต้าเฉียน ต่อให้ประสบกับอุทกภัย มันก็ยังเป็นหนึ่งในเ
ไท่ซั่งหวงเงียบมาตลอด จู่ ๆ ก็ถามขึ้น “เหล่าเฉา เรื่องของจักรพรรดิต้าเยียนเยียนจ้านเทียน เจ้าน่าจะรู้ดีกระมัง?”เฉาเจิ้งฉุนอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังอธิบาย “จักรพรรดิต้าเยียนเยียนจ้านเทียนขึ้นครองราชย์ในวัยยี่สิบหกชันษา สร้างผลงานบันลือโลกแต่เยาว์วัย เพื่อขยายดินแดนต้าเยียนทำศึกไปทั่ว มีอุปนิสัยเด็ดขาดฉับไว วิธีการเผด็จการ มีชื่อเสียงในต้าเยียนอย่างยิ่ง ขึ้นครองราชย์ด้วยท่วงทำนองเหนือชั้นแต่ยังเยาว์วัย”“บัดนี้ทรงมีพระชนมายุสี่สิบหกชันษา อยู่ในวัยฉกรรจ์ ช่วงเวลายี่สิบปีที่ดำรงตำแหน่ง พัฒนาศักยภาพรอบด้านของต้าเยียนแบบก้าวกระโดด กระทั่งหากจะขนานนามว่าจักรพรรดิอันดับหนึ่งของโลกปัจจุบันก็มิเกินจริงพ่ะย่ะค่ะ”ไท่ซั่งหวงพยักหน้าน้อย ๆ และพูด “ในเมื่อเจ้ายังเรียกเขาว่าจักรพรรดิอันดับหนึ่งของโลกปัจจุบัน เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาจะมีจิตใจทะยานอยากจะครองโลกหรือไม่?”เฉาเจิ้งฉุนผงะเล็กน้อย เขาถามราวกับมีความคิด “ไท่ซั่งหวง ทรงหมายถึง...เยียนจ้านเทียนมิได้พึงพอใจแค่การปกครองหนึ่งแคว้น? แต่คิดวางแผนสร้างสิ่งที่มิเคยมีมาก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ไท่ซั่งหวงมิได้ตอบยืนยันความทึ่งของเฉาเจิ้งฉุน สำหรับจักรพรรดิ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ