ไท่ซั่งหวงเงียบมาตลอด จู่ ๆ ก็ถามขึ้น “เหล่าเฉา เรื่องของจักรพรรดิต้าเยียนเยียนจ้านเทียน เจ้าน่าจะรู้ดีกระมัง?”เฉาเจิ้งฉุนอึ้งไปเล็กน้อย แต่ก็ยังอธิบาย “จักรพรรดิต้าเยียนเยียนจ้านเทียนขึ้นครองราชย์ในวัยยี่สิบหกชันษา สร้างผลงานบันลือโลกแต่เยาว์วัย เพื่อขยายดินแดนต้าเยียนทำศึกไปทั่ว มีอุปนิสัยเด็ดขาดฉับไว วิธีการเผด็จการ มีชื่อเสียงในต้าเยียนอย่างยิ่ง ขึ้นครองราชย์ด้วยท่วงทำนองเหนือชั้นแต่ยังเยาว์วัย”“บัดนี้ทรงมีพระชนมายุสี่สิบหกชันษา อยู่ในวัยฉกรรจ์ ช่วงเวลายี่สิบปีที่ดำรงตำแหน่ง พัฒนาศักยภาพรอบด้านของต้าเยียนแบบก้าวกระโดด กระทั่งหากจะขนานนามว่าจักรพรรดิอันดับหนึ่งของโลกปัจจุบันก็มิเกินจริงพ่ะย่ะค่ะ”ไท่ซั่งหวงพยักหน้าน้อย ๆ และพูด “ในเมื่อเจ้ายังเรียกเขาว่าจักรพรรดิอันดับหนึ่งของโลกปัจจุบัน เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเขาจะมีจิตใจทะยานอยากจะครองโลกหรือไม่?”เฉาเจิ้งฉุนผงะเล็กน้อย เขาถามราวกับมีความคิด “ไท่ซั่งหวง ทรงหมายถึง...เยียนจ้านเทียนมิได้พึงพอใจแค่การปกครองหนึ่งแคว้น? แต่คิดวางแผนสร้างสิ่งที่มิเคยมีมาก่อนหรือพ่ะย่ะค่ะ?”ไท่ซั่งหวงมิได้ตอบยืนยันความทึ่งของเฉาเจิ้งฉุน สำหรับจักรพรรดิ
“จะ เจ้าพูดว่าอะไรนะ?! ให้เข้าไปเป็นอนุของเจ้า?!”พอได้ยินถ้อยคำนี้ของฉินอวิ๋นฟาน ดวงตาทั้งคู่ของเยียนอวี่เฉินหรี่ลงทันที ดวงหน้ารูปไข่สวยงามเย็นยะเยือกปานน้ำค้างแข็ง คับอกคับใจกับการล่วงเกินและไร้ยางอายของฉินอวิ๋นฟานถึงที่สุดเห็นแววตาลวนลามโลภโมโทสันนั้นของฉินอวิ๋นฟาน ตอนนี้นางมั่นใจแล้ว ฉินอวิ๋นฟานเป็นพวกคนลามกคนหนึ่ง เพลิงโทสะที่เก็บกดมานานแทบจะปะทุเต็มทนจากเล็กจนโต ไม่ว่าผู้ชายคนไหนกล้ากระทำการล่วงเกินหรือพูดจาจาบจ้วงนาง ถ้าไม่ถูกตอนก็คือเป็นคนตายคนหนึ่งหนึ่งเพราะนางมีปัญญาหลักแหลมอย่างยิ่ง มีพรสวรรค์ด้านวรรณกรรมสูงส่ง สองคือนางได้รับความรักและการเอาอกเอาใจจากจักรพรรดิต้าเยียน เป็นดั่งไข่มุกบนฝ่ามือ ตั้งแต่ยังเยาว์วัย นางมีความรู้สึกเหนือกว่าผู้อื่นมากกว่าคนทั่วไป ท่าทางสูงส่งทำให้คนยำเกรงนางมาก มิมีผู้ใดกล้าพูดจาหมิ่นประมาทนางฉินอวิ๋นฟานแตะเส้นต่ำสุดของนางหลายครั้งหลายหน ทำให้นางอดรนทนไม่ไหวนานแล้ว“ดูจากเงื่อนไขการประลอง ยุติธรรมมาก ถุงหอมต่อห้าเมือง สำหรับเมืองหานกู่ก็เป็นแค่เมืองริม ๆ ขอบ ๆ เล็กขี้ปะติ๋วของต้าเยียนเจ้าเท่านั้น มิอาจเทียบกับเมืองจัวของเราได้”ฉินอวิ
เยียนอวี่เฉินหรี่ดวงตาทั้งสองและพูด “เจ้าต้องการลบหลู่ต้าเยียนของข้า ลบหลู่ข้าเยียนอวี่เฉินต่างหาก! เจ้าคิดว่าข้าไม่กล้าแตกหักกับเจ้าจริงรึ?!”“อ้อ?”ฉินอวิ๋นฟานชะงักงันเล็กน้อยแล้วตอบ “เช่นนั้นจะทำอย่างไรดี? บ้านข้าฉินอวิ๋นฟานมีคนเสียแล้วด้วย ฮ่องเต้หญิงแคว้นเหมียวก็อยากต่อแถวเป็นคนในบ้านข้าเหมือนกัน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์หญิงเล็ก ๆ เช่นเจ้า?”ฉินอวิ๋นฟานโอบมู่หรงจิ่นเข้าอ้อมแขนพลางยิ้มชั่วร้าย ก่อนจะพูด “ตอนนี้จิ่นเอ๋อร์ต่างหากที่เป็นยอดรักของข้า เจ้าคิดจะแทนที่ตำแหน่งของนาง? เช่นนั้นก็ต้องดูการแสดงออกของเจ้าแล้ว”“เจ้า...!”ถ้อยคำของฉินอวิ๋นฟานเกือบทำให้เยียนอวี่เฉินโกรธจนกระอักเลือด ทีแรกนึกว่าเงื่อนไขที่ฉินอวิ๋นฟานกล่าวมาเพื่อหยามนาง แต่ให้นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานกลับหน้าหนาไม่มียางอายเช่นนี้ นางนับว่าแพ้ฉินอวิ๋นฟานราบคาบแล้วกับพฤติกรรมไร้ยางอายของฉินอวิ๋นฟาน ทุกคนต่างทำหน้าอีหลักอีเหลื่อ ที่ฉินอวิ๋นฟานเผชิญหน้าอยู่คือองค์หญิงสามแห่งราชวงศ์ต้าเยียนผู้เป็นใหญ่สูงสุดเชียวนะ ทำไมเขาถึงไม่ครั่นคร้ามสักนิด ไม่เกรงกลัวอะไรเลยหรือ?แต่พอเห็นพวกต้าเยียนจุกอก ในใจกลับฮึก
เห็นว่าลงนามในหนังสือสัญญาพนันแล้ว ทุกคนต่างตื่นตระหนกถ้วนหน้าหนนี้เดิมพันหนักแล้วจริง ๆ ไม่ว่าฝ่ายไหนจะชนะ น่ากลัวว่าจะเป็นเรื่องที่ยอมรับยากสำหรับทุกฝ่าย “เยียนอวี่เฉิน เจ้าเป็นผู้หญิง เจ้าเริ่มก่อนเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มพลางพูดเรียบ“ฮึ!”เยียนอวี่เฉินแค่นฮึเสียงเย็น “ยังเป็นกลอนคู่วรรคนั้นของข้า ตำราหอมสิบลี้ชิงชัยแปดทิศ เจ้าต่อเถอะ!”เยียนอวี่เฉินมั่นใจกับกลอนคู่ของตัวเองมาก ใช้ตัวเลขและตำราหอมเป็นหัวข้อ ย่อมมีระดับความยากสูงเป็นธรรมดา หากไม่มีการสั่งสมที่มากพอรวมถึงผ่านการศึกษาเชิงลึกและรักก็ไม่มีทางต่อวรรคหลังได้คณาจารย์ของสำนักศึกษาหลวงต่างมองฉินอวิ๋นฟานด้วยใบหน้าสิ้นหวัง พวกเขารู้ว่าฉินอวิ๋นฟานมีพรสวรรค์และความสามารถด้านวรรณกรรมเหนือคน แต่พวกเขากลับไม่ค่อยเชื่อว่าฉินอวิ๋นฟานจะสามารถต่อวรรคต่อไปได้จริงหลู่เซียงหลิงและมู่หรงจิ่นจ้องฉินอวิ๋นฟานด้วยแววตาแห่งความหวัง หวังว่าเขาจะสามารถต่อวรรคหลังได้อย่างสมบูรณ์แบบ!เห็นเพียงฉินอวิ๋นฟานยกยิ้มตรงมุมปากเล็กน้อย ก่อนจะเอื้อนเอ่ย “ข้าต่อว่า ท่องเมฆเก้าทิวาเขียนภาพสี่สมุทร!”ซ่า...ขณะฉินอวิ๋นฟานต่อวรรคหลังได้ รอบด้านส่งเสียง
“เฮอะ ฉินอวิ๋นฟาน เจ้าเสียใจตอนนี้ยังทันนะ ข้าจะขอร้ององค์หญิงสามให้ก็ได้ ว่าให้เมตตาเจ้าสักหน่อยหน่อย เหลือเกียรติให้เจ้าสักนิด อย่างไรเสีย อีกเดี๋ยวแพ้ยับเยินแล้วข้าละกลัวว่าเจ้าจะรับไม่ได้”ถงจินเฉิงสาวเท้ายาวออกมาข้างหน้าถึงตรงหน้าของฉินอวิ๋นฟานแล้วพูดวาจาเสียดสี“ถงจินเฉิง เจ้ามีโรคร้ายแรงอะไรหรือไม่?”ฉินอวิ๋นฟานไม่ตามใจถงจินเฉิงสักนิด เขาพูดด้วยใบหน้าดูถูก “เจ้าหมูตอนสมควรตายนี่ คนที่ข้าซ้อมที่หอวั่งเจียงเมื่อสามวันก่อนไม่ใช่เจ้าหรอกรึ? คนที่คุกเข่าร้องไห้ฟูมฟายวิงวอนข้ามิใช่เจ้า? ตอนนี้มาทำเป็นใหญ่เป็นโตอะไรต่อหน้าข้า?!” “เจ้ามันก็แค่สุนัขที่ต้าเยียนเลี้ยงไว้ตัวหนึ่ง จะมาเห่าหอนต่อหน้าข้าทำอะไร? ข้าไม่ตามใจนิสัยแย่ ๆ ของเจ้าหรอก ถ้ากล้าท้าทายข้าอีก เชื่อหรือไม่ข้าจะซ้อมเจ้าให้หนักอีกรอบ?”“ก็แค่จอหงวนบุ๋นของต้าเยียนเท่านั้น เก่งมากรึ? มากางปีกรำแพนต่อหน้าข้าให้มีตัวตน เจ้าไม่คู่ควรสักนิด!”“เอ่อ...”เดิมถงจินเฉิงวางแผนว่าจะเหยียดหยามฉินอวิ๋นฟานสักหน่อย กระทืบเขาสักที ไม่คิดว่าที่ต้อนรับเขากลับเป็นคำพูดเสีย ๆ หาย ๆ เฉกเช่นพายุฝนกระหน่ำของฉินอวิ๋นฟาน หยามเขาเสียไม่มีชิ้นด
“ดี กลอนคู่นี้สมบูรณ์แบบนัก!”พอเยียนอวี่เฉินได้ยินกลอนวรรคแรกของถงจินเฉิงที่เป็นกลโกงเช่นนี้ก็ปรบมือทันทีคณะทูตต้าเยียนฉายความยินดีออกมาจากใบหน้า ทั้งชื่นชมถงจินเฉิงมาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถงจินเฉิงมีลักษณะนิสัยอย่างไร แต่ฝีมือด้านวรรณกรรมชวนให้ขนหัวลุกจริง ๆ การประลองกับเขาแทบจะเป็นการหาเรื่องอัปยศใส่ตัว! “พี่อวิ๋นฟาน กลอนวรรคนี้...”มู่หรงจิ่นมองไปทางฉินอวิ๋นฟานด้วยความกังวลใจเล็กน้อย ด้วยความรู้ที่นางมีต่อสุดยอดกลอนคู่ กลอนวรรคนี้ถึงกับเรียกได้ว่ามีระดับความยากนรก การจะค้นหาสัมผัสในเวลาสั้น ๆ พร้อมต่อวรรคหลังที่สอดคล้องกันแทบจะเป็นการเพ้อฝัน“เชี่ย เจ้าหมูตอนนี่ร้ายนัก เปิดมาก็เป็นความยากระดับนรกแล้ว นี่จะเล่นยังไงต่อ?”“เฮ้อ! นั่นนะสิ! ไม่นึกว่าระดับวรรณกรรมของต้าเยียนจะร้ายกาจเพียงนี้ คราวนี้แย่แล้ว คิดจะเอาชนะพวกเขาคงว่าจะเป็นจริงยากแล้ว”“สุดท้ายถงจินเฉิงก็คือจอหงวนบุ๋นของต้าเยียน ฝีมือด้านวรรณกรรมเก่งกาจถึงขั้นหลุดโลก แค่พูดออกมางั้น ๆ ก็คือที่สุด ต้าเฉียนเราคงเจอตอเข้าแล้วล่ะ!”ผู้รักงานวรรณกรรมรอบ ๆ ล้วนเผยความสิ้นหวังบนใบหน้า อึ้งทึ่งกับความสามารถด้านวรรณกรรมอันน่า
ถงจินเฉิงในเวลานี้อย่าให้พูดเลยว่าอัดอั้นตันใจขนาดไหน นี่มันอะไรกันเนี่ย?!“ฉินอวิ๋นฟาน เวทีประลองนี้กำลังประลองวรรณกรรมอยู่ มิใช่สถานที่จัดประลองการต่อสู้ หวังว่าเจ้าจะระวังพฤติกรรมของตัวเองด้วย?!”เยียนอวี่เฉินหน้าอึมครึมจนแทบจะหยดเป็นน้ำได้แล้ว นับจากฉินอวิ๋นฟานปรากฏตัว นางรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสาป ถูกฉินอวิ๋นฟานข่มอยู่เรื่อย ติดขัดไปเสียทุกอย่าง ในใจมีไฟโทสะไร้นามกลุ่มหนึ่งถูกสะกดอยู่ กลับมิอาจระบายนางพูดไม่ออกเลยจริง ๆ ละคร้านจะเอาเรื่องกับคนหน้าด้านอย่างฉินอวิ๋นฟานด้วย จึงเอ่ยเสียงหนัก “ในเมื่อเจ้าต่อวรรคหลังได้ เช่นนั้นก็เชิญเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานจ้องท่าทางเยียนอวี่เฉินที่เย็นชาประดุจน้ำค้างแข็ง แล้วจึงพบว่าความงามเย็นชาสะดุดตานี้ช่างแตกต่างนัก ไม่รู้ว่าหลังจากนางแพ้การประลองแล้ว ท่าทางขัดขืนอย่างหนักจะเป็นอย่างไรฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากเรียบ “เจ้าฟังให้ดีแล้วกัน ข้าต่อว่า โรงใหญ่โรงเล็กโรงต่อโรงโรงเต็มไปหมด!”“อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง?!”เยียนอวี่เฉินนัยน์ตาหดเล็กฉับพลัน เผยความสยองขวัญออกมาจากใบหน้า เวลานี้ นางมองสายตาของฉินอวิ๋นฟานคล้ายมองเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น กลอนเช่นนี้ฉินอวิ๋น
กับความบ้าบิ่นและการท้าทายของฉินอวิ๋นฟาน คณะทูตต้าเยียนเต้นโมโหจนถลึงตาเป่าหนวด แต่นอกจากเจ็บแค้น พวกเขามิอาจทำอะไรได้ อย่าให้บอกเลยว่าอัดอั้นตันใจแค่ไหน“หึ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้ายังจะต่อกลอนคู่บทต่อไปได้!”ถงจินเฉิงหน้าตาเคร่งเครียด เริ่มร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยเสียงหนัก “นิ้วดินคือวัด วาจาข้างวัดคือกลอน มีกลอนกล่าวว่า จันทร์กระจ่างส่งพระกลับวัดโบราณ!”ครั้นได้ยินกลอนคู่วรรคแรกนี้ ชาวต้าเฉียนหน้าแข็งทื่ออีกครั้งสุดยอดกลอนแยกคำนี้ แยกคำว่า ‘วัด’ ออกก็คือ ‘นิ้ว’ กับ ‘ดิน’ แล้วยังรวมกันได้อีกหนึ่งประโยค แยกกลอนออกก็คือ ‘วัด’ กับ ‘วาจา’ ‘วัด’ สัมผัสกับท้ายประโยคแรก มิหนำซ้ำยังแต่งกลอนที่สอดคล้องกับประโยคหน้าอีกระดับความยากของกลอนคู่นี้ยากกว่าบทเมื่อครู่ไม่รู้ว่าเท่าไรต่อเท่าไร ทุกคนทึ่งกับความสามารถด้านวรรณกรรมอันน่าสะพรึงของถงจินเฉิงอีกครั้งทุกคนพากันใช้สายตาซึ่งอัดแน่นไปด้วยความเห็นใจละจนปัญญามองไปทางฉินอวิ๋นฟาน แม้พวกเขาจะหวังว่าฉินอวิ๋นฟานจะสามารถต่อวรรคหลังได้ แต่ระดับความยากก็เห็น ๆ กันอยู่ มันง่ายอย่างนั้นเสียที่ไหน จะแต่งสุดยอดกลอนได้ทุกครั้งหรือ?“ฉินอวิ๋นฟาน ต่อ