ถงจินเฉิงในเวลานี้อย่าให้พูดเลยว่าอัดอั้นตันใจขนาดไหน นี่มันอะไรกันเนี่ย?!“ฉินอวิ๋นฟาน เวทีประลองนี้กำลังประลองวรรณกรรมอยู่ มิใช่สถานที่จัดประลองการต่อสู้ หวังว่าเจ้าจะระวังพฤติกรรมของตัวเองด้วย?!”เยียนอวี่เฉินหน้าอึมครึมจนแทบจะหยดเป็นน้ำได้แล้ว นับจากฉินอวิ๋นฟานปรากฏตัว นางรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสาป ถูกฉินอวิ๋นฟานข่มอยู่เรื่อย ติดขัดไปเสียทุกอย่าง ในใจมีไฟโทสะไร้นามกลุ่มหนึ่งถูกสะกดอยู่ กลับมิอาจระบายนางพูดไม่ออกเลยจริง ๆ ละคร้านจะเอาเรื่องกับคนหน้าด้านอย่างฉินอวิ๋นฟานด้วย จึงเอ่ยเสียงหนัก “ในเมื่อเจ้าต่อวรรคหลังได้ เช่นนั้นก็เชิญเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานจ้องท่าทางเยียนอวี่เฉินที่เย็นชาประดุจน้ำค้างแข็ง แล้วจึงพบว่าความงามเย็นชาสะดุดตานี้ช่างแตกต่างนัก ไม่รู้ว่าหลังจากนางแพ้การประลองแล้ว ท่าทางขัดขืนอย่างหนักจะเป็นอย่างไรฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากเรียบ “เจ้าฟังให้ดีแล้วกัน ข้าต่อว่า โรงใหญ่โรงเล็กโรงต่อโรงโรงเต็มไปหมด!”“อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง?!”เยียนอวี่เฉินนัยน์ตาหดเล็กฉับพลัน เผยความสยองขวัญออกมาจากใบหน้า เวลานี้ นางมองสายตาของฉินอวิ๋นฟานคล้ายมองเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น กลอนเช่นนี้ฉินอวิ๋น
กับความบ้าบิ่นและการท้าทายของฉินอวิ๋นฟาน คณะทูตต้าเยียนเต้นโมโหจนถลึงตาเป่าหนวด แต่นอกจากเจ็บแค้น พวกเขามิอาจทำอะไรได้ อย่าให้บอกเลยว่าอัดอั้นตันใจแค่ไหน“หึ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้ายังจะต่อกลอนคู่บทต่อไปได้!”ถงจินเฉิงหน้าตาเคร่งเครียด เริ่มร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยเสียงหนัก “นิ้วดินคือวัด วาจาข้างวัดคือกลอน มีกลอนกล่าวว่า จันทร์กระจ่างส่งพระกลับวัดโบราณ!”ครั้นได้ยินกลอนคู่วรรคแรกนี้ ชาวต้าเฉียนหน้าแข็งทื่ออีกครั้งสุดยอดกลอนแยกคำนี้ แยกคำว่า ‘วัด’ ออกก็คือ ‘นิ้ว’ กับ ‘ดิน’ แล้วยังรวมกันได้อีกหนึ่งประโยค แยกกลอนออกก็คือ ‘วัด’ กับ ‘วาจา’ ‘วัด’ สัมผัสกับท้ายประโยคแรก มิหนำซ้ำยังแต่งกลอนที่สอดคล้องกับประโยคหน้าอีกระดับความยากของกลอนคู่นี้ยากกว่าบทเมื่อครู่ไม่รู้ว่าเท่าไรต่อเท่าไร ทุกคนทึ่งกับความสามารถด้านวรรณกรรมอันน่าสะพรึงของถงจินเฉิงอีกครั้งทุกคนพากันใช้สายตาซึ่งอัดแน่นไปด้วยความเห็นใจละจนปัญญามองไปทางฉินอวิ๋นฟาน แม้พวกเขาจะหวังว่าฉินอวิ๋นฟานจะสามารถต่อวรรคหลังได้ แต่ระดับความยากก็เห็น ๆ กันอยู่ มันง่ายอย่างนั้นเสียที่ไหน จะแต่งสุดยอดกลอนได้ทุกครั้งหรือ?“ฉินอวิ๋นฟาน ต่อ
“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?!”เยียนอวี่เฉินแสดงอารมณ์ตื่นตระหนกบนใบหน้า ไม่กล้าเชื่อเลยว่าทั้งหมดจะเป็นความจริง เดิมนึกว่าให้เวลาฉินอวิ๋นฟานหนึ่งก้านธูป หยามเขาให้หนำใจสักหน่อย อย่างไรเสียกลอนบทนี้ต้องเป็นกลอนพลิกเกมขึ้นนำของพวกเขาต้าเยียนแน่แต่ให้นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานกลับต่อกลอนคู่วรรคหลังระดับนรกเช่นนี้ได้อย่างลงตัวเหมาะเจาะ นี่ยังจะประลองอย่างไรได้อีก? มันคือการต่อสู้แบบลดมิติชัด ๆ!ถงจินเฉิงจอหงวนบุ๋นต้าเยียนที่พวกเขาภาคภูมิใจกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งด้านวรรณกรรม กลับถูกฉินอวิ๋นฟานขยี้แหลกในเสี้ยววินาทีเหมือนปอกกล้วย ความสิ้นหวังสุดคณนาสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ“รัชทายาท ท่านเก่งจังเลย!”หลู่เซียงหลิงดีใจจนน้ำตาจะไหล นางไม่เคยเจอกับการประลองด้านวรรณกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ประสบครั้งแรกก็ถูกอัจฉริยะของต้าเยียนทำจนน้ำตาร่วงแล้ว เหยียบย่ำพวกนางเสียไม่มีชิ้นดี ไม่มีกำลังตอบโต้สักนิดก็ตอนที่นางใกล้จะสิ้นหวังเต็มทน ฉินอวิ๋นฟานเสริมกำลังกอบกู้ โต้กลับไปอย่างแข็งกร้าว ทลายความยากระดับนรกของต้าเยียนจนสิ้น คว้าชัยชนะมาด้วยท่วงทำนองที่แทบจะบดขยี้
“ไม่รีบ เจ้ามีเวลาหนึ่งก้านธูป!”ฉินอวิ๋นฟานไม่รีบร้อน การประลองประเภทนี้ เวลาคือความกดดันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา ถ้าต่อไม่ได้ ให้เวลามากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์พวกเขาต้าเยียนให้เวลาหนึ่งก้านธูป แท้จริงแล้วก็เพื่อลบหลู่คนต้าเฉียน กดดันพวกสำนักศึกษาหลวง ความจริงพวกเขาไม่มีความสามารถรับมือสักนิดฉินอวิ๋นฟานกลับใช้วิธีการเดียวกันนี้โต้กลับอีกฝ่าย“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทเก่งกาจแท้ มาถึงก็เป็นความยากระดับนรกเลย คราวนี้มอบความกดดันให้กับต้าเยียนแล้ว!”“การประลองในวันนี้ระทึกใจนัก ไม่ว่าจะเป็นกลอนบทไหนก็เรียกได้ว่าบันลือโลก คือผลงานชิ้นเอกแพร่หลายทั่วแดนดิน พวกเราต้าเฉียนมีโอกาสมากที่จะคว้าชัยในท้ายที่สุดมาได้!”“ย่อมเป็นเช่นนั้น กลอนแยกคำเหมือนกัน รัชทายาทของเรามิต้องเปลืองกำลังเป่าฝุ่น[1]ก็ต่อวรรคหลังได้สบาย ๆ ทั้งยังสมบูรณ์แบบ พวกเจ้าดูถงจินเฉิงที่เรียกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งสิ เหงื่อท่วมตัวแล้ว!”......ฉินอวิ๋นฟานเอาชนะขาดลอยสามครั้ง สร้างขวัญกำลังใจให้ชาวต้าเฉียนมาก เกิดประโยชน์สำคัญ ความศรัทธาที่ทุกคนมีต่อฉินอวิ๋นฟานประหนึ่งน้ำหลากครั้นหันกลับมามองจอหงวนบุ๋นต้าเยียนถงจินเฉิง เห็นชัดว่าเข็น
ผ่าง!!!ครั้นร่ายกลอนคู่นี้ออกมา ทั้งงานตกตะลึง ทุกคนพากันอึ้งจนปากอ้าตาค้าง นี่คือกลอนตัวเลข และเลขแต่ละตัวยังร้อยเรียงเรื่องราวเข้าด้วยกันอีก ยังให้ต่อยังไง?!“นี่ นี่ยังจะต่อยังไงได้อีก?!”เยียนอวี่เฉินสิ้นหวังโดยพลัน ใช่ว่าจะไม่ชื่อฝีมือของถงจินเฉิง แต่ระดับและเงื่อนไขของกลอนบทนี้สูงมากจริง ๆ ถ้าไม่ได้อ่านและสั่งสมมากพอก็ไม่มีทางต่อกลอนนี้ได้!“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ทำไมฉินอวิ๋นฟานถึงรู้มากขนาดนี้? รอบรู้เช่นนี้?”นาทีนี้เซี่ยมู่ไป๋มีสีหน้าสิ้นหวังเหมือนกัน กลอนบทแรกของฉินอวิ๋นฟานมีบางเรื่องที่แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถงจินเฉิง? ถ้ามิอาจเข้าถึงความหมายของบทแรก แล้วต่อบทต่อไปได้อย่างไร? คนฝั่งต้าเยียนจ้องฉินอวิ๋นฟาน ความหวังเป็นศูนย์แล้ว ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน พวกเขามิใช่ระดับเดียวกัน“หมดสิ้นแล้ว!”ถงจินเฉิงสองขาอ่อนแรง ทรุดตัวลงกองอยู่กับพื้นอีกครั้ง ฉินอวิ๋นฟานไม่ต้องให้เวลาเขาเลย เขาสละสิทธิ์แล้ว ต่อให้เขาเก่งกล้าสามารถเพียงไรก็ต่อบทต่อไปของฉินอวิ๋นฟานไม่ได้!ไชโย...ครั้นชาวต้าเฉียนทุกคนเห็นภาพนี้ก็ดีใจลิงโลด ฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงต่อวรรคเก่ง หนำซ้ำยังเปิดกล
“ประลองกลอนหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้ว กาพย์ฉันท์โคลงกลอนคลาสสิกทั้งโบราณ ปัจจุบัน ในประเทศหรือนอกประเทศเขาเชี่ยวชาญหมด ถ้าเทียบกับกลอนคู่ โคลงกลอนต่างหากที่เป็นงานถนัดของเขา!และถงจินเฉิงซึ่งเป็นยอดฝีมือกลอนคู่ที่เก่งกาจที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุดของต้าเยียนประลองกับเขาแล้วยังล้มไม่เป็นท่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าใครหน้าไหนจะมาประลองแต่งกลอนกับเขาถ้าตาแก่นี่คิดจะประลองแต่งกลอนกับเขาฉินอวิ๋นฟาน นี่อีกฝ่ายจะปลงไม่ตกขนาดไหน? มิใช่การเอามีดเฉือนเปิดหูเปิดตาหรือ? เซี่ยมู่ไป๋เอ่ย “ถูกต้อง ข้าท่องไปทางชายแดนต่าง ๆ หลายปี มีความรู้สึกต่อสงคราม มั่นใจว่าตัวเองมีความรู้ความเข้าใจต่อสงครามและการพิทักษ์ชาติบ้านเมืองอย่างถ่องแท้”“และรัชทายาทต้าเฉียนก็เคยรังสรรค์กลอนบทล้ำเลิศบทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชายแดน ฉะนั้นพวกเรามิสู้ใช้มันเป็นหัวข้อ ประลองกันสักตั้งเป็นอย่างไร?”“เช่นนี้จะยุติธรรมกับเราทั้งสองฝ่าย ไม่ถึงกับให้คนกล่าวหาว่าข้าคนเฒ่าคนแก่รังแกเด็กเช่นเจ้า เป็นอย่างไร?”“เอ่อ...มันไม่ดีกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยสีหน้าประหลาดเซี่ยมู่ไป๋เห็นฉินอวิ๋นฟานมีท่าทีหวาดหวั่น ไม่รู้สึกว่านี่เพราะฉินอวิ๋น
“พ่อหนุ่ม อย่าได้ผยองนัก!”เซี่ยมู่ไป๋เห็นฉินอวิ๋นฟานดื้อรั้นเช่นนี้จึงประหลาดใจมาก ใบหน้ากรุ่นโกรธ เขาไม่รู้ว่าฉินอวิ๋นฟานเอาความกล้ามาจากไหน กล้าโอหังต่อหน้าเขาเช่นนี้และสิ่งที่ทำให้เซี่ยมู่ไป๋เดือดดาลถึงที่สุดคือท่าทีที่ฉินอวิ๋นฟานมีต่อเยียนอวี่เฉิน เขาถึงกับกล้าพูดอวดอ้างว่าเยียนอวี่เฉินคืออนุภรรยาของเขา? นี่มิใช่การหมิ่นเกียรติของเยียนอวี่เฉินซึ่งหน้าหรือ มิใช่การหมิ่นเกียรติต้าเยียนหรือ?นี่ก็คือสิ่งที่เซี่ยมู่ไป๋รับไม่ได้ที่สุด จึงเปลี่ยนท่าทีที่เคารพฉินอวิ๋นฟานทันที เขาพบว่าต่อให้เขาลดตัวลงมา ก็ยังเปลี่ยนท่าทีจองหองโอหังที่ฉินอวิ๋นฟานมีต่อพวกเขาไม่ได้อยู่ดีกลับไม่รู้ว่าความจองหองของฉินอวิ๋นฟานยังไม่จบ!“เอ่อ ตาแก่ เราอย่าไร้สาระกันเลยได้ไหม?”ฉินอวิ๋นฟานเริ่มหงุดหงิดแล้ว พูดเหตุผลกับคนแก่นี่ยากจริง ๆ ตรรกะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ฉินอวิ๋นฟานจึงพูดหน้าขรึม “วาจาดียากจะเกลี้ยกล่อมผีสมควรตาย เจ้าอยากประลองแต่งกลอนกับข้ามากมิใช่รึ? ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนก็ได้แล้วใช่ไหม?”“หึ ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือกลอนบทเจ็ดพยางค์ผลงานสูงสุดยอด ให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือละอายใจที่สู้คนอื่น
“จะเป็นไปได้ยังไง...”เซี่ยมู่ไป๋ตะลึงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่กล้าเชื่อหูตัวเองเลย กลอนบทเจ็ดพยางค์ที่สุดยอดสมบูรณ์แบบเช่นนี้ กลับออกมาจากปากของฉินอวิ๋นฟานรึ?กลอนบทเจ็ดพยางค์สามบทนี้ไม่ว่าจะเป็นภาพแวดล้อมหรือจะเป็นภาษาล้วนเป็นความสุดยอดแห่งยุค เป็นผลงานของโลก สามารถได้รับการยกย่องสรรเสริญจากนับพันปีไม่เพียงแต่เซี่ยมู่ไป๋ ทุกคนในที่นั้นก็อึ้งจนอ้าปากหวอเหมือนกัน ความทึ่งอัดแน่นอยู่ในดวงตาหากกลอนบทเจ็ดพยางค์หนึ่งบทซึ่งเป็นยอดแห่งยุคมิอาจอธิบายอะไร เช่นนั้นฉินอวิ๋นฟานร่ายออกมาสามบทได้อย่างง่ายดายก็เพียงพอพิสูจน์ระดับวรรณกรรมสูงส่งของเขาแล้วเยียนอวี่เฉินเริ่มแรกยังมีความหวังเสี้ยวหนึ่ง รู้สึกว่าเซี่ยมู่ไป๋อาจเป็นตัวแปรสำคัญที่พลิกสถานการณ์ของต้าเยียนได้ ผลคือถูกตอกหน้าอย่างจัง อยู่ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน เซี่ยมู่ไป๋ยังไม่คู่ควรหิ้วรองเท้าให้เขาเลย มวยคนละรุ่นโดยสิ้นเชิงความแตกต่างห่างกันมากเช่นนี้จะประลองอย่างไรได้อีก?!“นี่มีอะไรเป็นไปไม่ได้?”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะเสียงเย็น “ในเมื่อเจ้าไม่ยอม เช่นนั้นข้าจะแต่งอีกสองสามบท ให้เจ้ารู้ซึ้งถึงความแตกต่างว่ามีมากสักแค่ไหน ให้เจ้ารู้ว่าประลองกลอ