“ดี กลอนคู่นี้สมบูรณ์แบบนัก!”พอเยียนอวี่เฉินได้ยินกลอนวรรคแรกของถงจินเฉิงที่เป็นกลโกงเช่นนี้ก็ปรบมือทันทีคณะทูตต้าเยียนฉายความยินดีออกมาจากใบหน้า ทั้งชื่นชมถงจินเฉิงมาก ยังไม่ต้องพูดถึงว่าถงจินเฉิงมีลักษณะนิสัยอย่างไร แต่ฝีมือด้านวรรณกรรมชวนให้ขนหัวลุกจริง ๆ การประลองกับเขาแทบจะเป็นการหาเรื่องอัปยศใส่ตัว! “พี่อวิ๋นฟาน กลอนวรรคนี้...”มู่หรงจิ่นมองไปทางฉินอวิ๋นฟานด้วยความกังวลใจเล็กน้อย ด้วยความรู้ที่นางมีต่อสุดยอดกลอนคู่ กลอนวรรคนี้ถึงกับเรียกได้ว่ามีระดับความยากนรก การจะค้นหาสัมผัสในเวลาสั้น ๆ พร้อมต่อวรรคหลังที่สอดคล้องกันแทบจะเป็นการเพ้อฝัน“เชี่ย เจ้าหมูตอนนี่ร้ายนัก เปิดมาก็เป็นความยากระดับนรกแล้ว นี่จะเล่นยังไงต่อ?”“เฮ้อ! นั่นนะสิ! ไม่นึกว่าระดับวรรณกรรมของต้าเยียนจะร้ายกาจเพียงนี้ คราวนี้แย่แล้ว คิดจะเอาชนะพวกเขาคงว่าจะเป็นจริงยากแล้ว”“สุดท้ายถงจินเฉิงก็คือจอหงวนบุ๋นของต้าเยียน ฝีมือด้านวรรณกรรมเก่งกาจถึงขั้นหลุดโลก แค่พูดออกมางั้น ๆ ก็คือที่สุด ต้าเฉียนเราคงเจอตอเข้าแล้วล่ะ!”ผู้รักงานวรรณกรรมรอบ ๆ ล้วนเผยความสิ้นหวังบนใบหน้า อึ้งทึ่งกับความสามารถด้านวรรณกรรมอันน่า
ถงจินเฉิงในเวลานี้อย่าให้พูดเลยว่าอัดอั้นตันใจขนาดไหน นี่มันอะไรกันเนี่ย?!“ฉินอวิ๋นฟาน เวทีประลองนี้กำลังประลองวรรณกรรมอยู่ มิใช่สถานที่จัดประลองการต่อสู้ หวังว่าเจ้าจะระวังพฤติกรรมของตัวเองด้วย?!”เยียนอวี่เฉินหน้าอึมครึมจนแทบจะหยดเป็นน้ำได้แล้ว นับจากฉินอวิ๋นฟานปรากฏตัว นางรู้สึกเหมือนตัวเองถูกสาป ถูกฉินอวิ๋นฟานข่มอยู่เรื่อย ติดขัดไปเสียทุกอย่าง ในใจมีไฟโทสะไร้นามกลุ่มหนึ่งถูกสะกดอยู่ กลับมิอาจระบายนางพูดไม่ออกเลยจริง ๆ ละคร้านจะเอาเรื่องกับคนหน้าด้านอย่างฉินอวิ๋นฟานด้วย จึงเอ่ยเสียงหนัก “ในเมื่อเจ้าต่อวรรคหลังได้ เช่นนั้นก็เชิญเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานจ้องท่าทางเยียนอวี่เฉินที่เย็นชาประดุจน้ำค้างแข็ง แล้วจึงพบว่าความงามเย็นชาสะดุดตานี้ช่างแตกต่างนัก ไม่รู้ว่าหลังจากนางแพ้การประลองแล้ว ท่าทางขัดขืนอย่างหนักจะเป็นอย่างไรฉินอวิ๋นฟานเอ่ยปากเรียบ “เจ้าฟังให้ดีแล้วกัน ข้าต่อว่า โรงใหญ่โรงเล็กโรงต่อโรงโรงเต็มไปหมด!”“อะไรนะ เป็นไปได้ยังไง?!”เยียนอวี่เฉินนัยน์ตาหดเล็กฉับพลัน เผยความสยองขวัญออกมาจากใบหน้า เวลานี้ นางมองสายตาของฉินอวิ๋นฟานคล้ายมองเห็นผีอย่างไรอย่างนั้น กลอนเช่นนี้ฉินอวิ๋น
กับความบ้าบิ่นและการท้าทายของฉินอวิ๋นฟาน คณะทูตต้าเยียนเต้นโมโหจนถลึงตาเป่าหนวด แต่นอกจากเจ็บแค้น พวกเขามิอาจทำอะไรได้ อย่าให้บอกเลยว่าอัดอั้นตันใจแค่ไหน“หึ! ข้าไม่เชื่อหรอกว่าเจ้ายังจะต่อกลอนคู่บทต่อไปได้!”ถงจินเฉิงหน้าตาเคร่งเครียด เริ่มร้อนรนอย่างเห็นได้ชัด เขาเอ่ยเสียงหนัก “นิ้วดินคือวัด วาจาข้างวัดคือกลอน มีกลอนกล่าวว่า จันทร์กระจ่างส่งพระกลับวัดโบราณ!”ครั้นได้ยินกลอนคู่วรรคแรกนี้ ชาวต้าเฉียนหน้าแข็งทื่ออีกครั้งสุดยอดกลอนแยกคำนี้ แยกคำว่า ‘วัด’ ออกก็คือ ‘นิ้ว’ กับ ‘ดิน’ แล้วยังรวมกันได้อีกหนึ่งประโยค แยกกลอนออกก็คือ ‘วัด’ กับ ‘วาจา’ ‘วัด’ สัมผัสกับท้ายประโยคแรก มิหนำซ้ำยังแต่งกลอนที่สอดคล้องกับประโยคหน้าอีกระดับความยากของกลอนคู่นี้ยากกว่าบทเมื่อครู่ไม่รู้ว่าเท่าไรต่อเท่าไร ทุกคนทึ่งกับความสามารถด้านวรรณกรรมอันน่าสะพรึงของถงจินเฉิงอีกครั้งทุกคนพากันใช้สายตาซึ่งอัดแน่นไปด้วยความเห็นใจละจนปัญญามองไปทางฉินอวิ๋นฟาน แม้พวกเขาจะหวังว่าฉินอวิ๋นฟานจะสามารถต่อวรรคหลังได้ แต่ระดับความยากก็เห็น ๆ กันอยู่ มันง่ายอย่างนั้นเสียที่ไหน จะแต่งสุดยอดกลอนได้ทุกครั้งหรือ?“ฉินอวิ๋นฟาน ต่อ
“ทำไมเป็นแบบนี้ไปได้?!”เยียนอวี่เฉินแสดงอารมณ์ตื่นตระหนกบนใบหน้า ไม่กล้าเชื่อเลยว่าทั้งหมดจะเป็นความจริง เดิมนึกว่าให้เวลาฉินอวิ๋นฟานหนึ่งก้านธูป หยามเขาให้หนำใจสักหน่อย อย่างไรเสียกลอนบทนี้ต้องเป็นกลอนพลิกเกมขึ้นนำของพวกเขาต้าเยียนแน่แต่ให้นางคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นฟานกลับต่อกลอนคู่วรรคหลังระดับนรกเช่นนี้ได้อย่างลงตัวเหมาะเจาะ นี่ยังจะประลองอย่างไรได้อีก? มันคือการต่อสู้แบบลดมิติชัด ๆ!ถงจินเฉิงจอหงวนบุ๋นต้าเยียนที่พวกเขาภาคภูมิใจกระทั่งเรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งด้านวรรณกรรม กลับถูกฉินอวิ๋นฟานขยี้แหลกในเสี้ยววินาทีเหมือนปอกกล้วย ความสิ้นหวังสุดคณนาสายหนึ่งผุดขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ“รัชทายาท ท่านเก่งจังเลย!”หลู่เซียงหลิงดีใจจนน้ำตาจะไหล นางไม่เคยเจอกับการประลองด้านวรรณกรรมยิ่งใหญ่เช่นนี้มาก่อน ประสบครั้งแรกก็ถูกอัจฉริยะของต้าเยียนทำจนน้ำตาร่วงแล้ว เหยียบย่ำพวกนางเสียไม่มีชิ้นดี ไม่มีกำลังตอบโต้สักนิดก็ตอนที่นางใกล้จะสิ้นหวังเต็มทน ฉินอวิ๋นฟานเสริมกำลังกอบกู้ โต้กลับไปอย่างแข็งกร้าว ทลายความยากระดับนรกของต้าเยียนจนสิ้น คว้าชัยชนะมาด้วยท่วงทำนองที่แทบจะบดขยี้
“ไม่รีบ เจ้ามีเวลาหนึ่งก้านธูป!”ฉินอวิ๋นฟานไม่รีบร้อน การประลองประเภทนี้ เวลาคือความกดดันยิ่งใหญ่สำหรับพวกเขา ถ้าต่อไม่ได้ ให้เวลามากแค่ไหนก็ไร้ประโยชน์พวกเขาต้าเยียนให้เวลาหนึ่งก้านธูป แท้จริงแล้วก็เพื่อลบหลู่คนต้าเฉียน กดดันพวกสำนักศึกษาหลวง ความจริงพวกเขาไม่มีความสามารถรับมือสักนิดฉินอวิ๋นฟานกลับใช้วิธีการเดียวกันนี้โต้กลับอีกฝ่าย“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทเก่งกาจแท้ มาถึงก็เป็นความยากระดับนรกเลย คราวนี้มอบความกดดันให้กับต้าเยียนแล้ว!”“การประลองในวันนี้ระทึกใจนัก ไม่ว่าจะเป็นกลอนบทไหนก็เรียกได้ว่าบันลือโลก คือผลงานชิ้นเอกแพร่หลายทั่วแดนดิน พวกเราต้าเฉียนมีโอกาสมากที่จะคว้าชัยในท้ายที่สุดมาได้!”“ย่อมเป็นเช่นนั้น กลอนแยกคำเหมือนกัน รัชทายาทของเรามิต้องเปลืองกำลังเป่าฝุ่น[1]ก็ต่อวรรคหลังได้สบาย ๆ ทั้งยังสมบูรณ์แบบ พวกเจ้าดูถงจินเฉิงที่เรียกว่าอัจฉริยะอันดับหนึ่งสิ เหงื่อท่วมตัวแล้ว!”......ฉินอวิ๋นฟานเอาชนะขาดลอยสามครั้ง สร้างขวัญกำลังใจให้ชาวต้าเฉียนมาก เกิดประโยชน์สำคัญ ความศรัทธาที่ทุกคนมีต่อฉินอวิ๋นฟานประหนึ่งน้ำหลากครั้นหันกลับมามองจอหงวนบุ๋นต้าเยียนถงจินเฉิง เห็นชัดว่าเข็น
ผ่าง!!!ครั้นร่ายกลอนคู่นี้ออกมา ทั้งงานตกตะลึง ทุกคนพากันอึ้งจนปากอ้าตาค้าง นี่คือกลอนตัวเลข และเลขแต่ละตัวยังร้อยเรียงเรื่องราวเข้าด้วยกันอีก ยังให้ต่อยังไง?!“นี่ นี่ยังจะต่อยังไงได้อีก?!”เยียนอวี่เฉินสิ้นหวังโดยพลัน ใช่ว่าจะไม่ชื่อฝีมือของถงจินเฉิง แต่ระดับและเงื่อนไขของกลอนบทนี้สูงมากจริง ๆ ถ้าไม่ได้อ่านและสั่งสมมากพอก็ไม่มีทางต่อกลอนนี้ได้!“เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง? ทำไมฉินอวิ๋นฟานถึงรู้มากขนาดนี้? รอบรู้เช่นนี้?”นาทีนี้เซี่ยมู่ไป๋มีสีหน้าสิ้นหวังเหมือนกัน กลอนบทแรกของฉินอวิ๋นฟานมีบางเรื่องที่แม้แต่เขาก็ยังไม่รู้เลย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงถงจินเฉิง? ถ้ามิอาจเข้าถึงความหมายของบทแรก แล้วต่อบทต่อไปได้อย่างไร? คนฝั่งต้าเยียนจ้องฉินอวิ๋นฟาน ความหวังเป็นศูนย์แล้ว ต่อหน้าฉินอวิ๋นฟาน พวกเขามิใช่ระดับเดียวกัน“หมดสิ้นแล้ว!”ถงจินเฉิงสองขาอ่อนแรง ทรุดตัวลงกองอยู่กับพื้นอีกครั้ง ฉินอวิ๋นฟานไม่ต้องให้เวลาเขาเลย เขาสละสิทธิ์แล้ว ต่อให้เขาเก่งกล้าสามารถเพียงไรก็ต่อบทต่อไปของฉินอวิ๋นฟานไม่ได้!ไชโย...ครั้นชาวต้าเฉียนทุกคนเห็นภาพนี้ก็ดีใจลิงโลด ฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงต่อวรรคเก่ง หนำซ้ำยังเปิดกล
“ประลองกลอนหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานขมวดคิ้ว กาพย์ฉันท์โคลงกลอนคลาสสิกทั้งโบราณ ปัจจุบัน ในประเทศหรือนอกประเทศเขาเชี่ยวชาญหมด ถ้าเทียบกับกลอนคู่ โคลงกลอนต่างหากที่เป็นงานถนัดของเขา!และถงจินเฉิงซึ่งเป็นยอดฝีมือกลอนคู่ที่เก่งกาจที่สุด ยอดเยี่ยมที่สุดของต้าเยียนประลองกับเขาแล้วยังล้มไม่เป็นท่า ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าใครหน้าไหนจะมาประลองแต่งกลอนกับเขาถ้าตาแก่นี่คิดจะประลองแต่งกลอนกับเขาฉินอวิ๋นฟาน นี่อีกฝ่ายจะปลงไม่ตกขนาดไหน? มิใช่การเอามีดเฉือนเปิดหูเปิดตาหรือ? เซี่ยมู่ไป๋เอ่ย “ถูกต้อง ข้าท่องไปทางชายแดนต่าง ๆ หลายปี มีความรู้สึกต่อสงคราม มั่นใจว่าตัวเองมีความรู้ความเข้าใจต่อสงครามและการพิทักษ์ชาติบ้านเมืองอย่างถ่องแท้”“และรัชทายาทต้าเฉียนก็เคยรังสรรค์กลอนบทล้ำเลิศบทหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับชายแดน ฉะนั้นพวกเรามิสู้ใช้มันเป็นหัวข้อ ประลองกันสักตั้งเป็นอย่างไร?”“เช่นนี้จะยุติธรรมกับเราทั้งสองฝ่าย ไม่ถึงกับให้คนกล่าวหาว่าข้าคนเฒ่าคนแก่รังแกเด็กเช่นเจ้า เป็นอย่างไร?”“เอ่อ...มันไม่ดีกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยสีหน้าประหลาดเซี่ยมู่ไป๋เห็นฉินอวิ๋นฟานมีท่าทีหวาดหวั่น ไม่รู้สึกว่านี่เพราะฉินอวิ๋น
“พ่อหนุ่ม อย่าได้ผยองนัก!”เซี่ยมู่ไป๋เห็นฉินอวิ๋นฟานดื้อรั้นเช่นนี้จึงประหลาดใจมาก ใบหน้ากรุ่นโกรธ เขาไม่รู้ว่าฉินอวิ๋นฟานเอาความกล้ามาจากไหน กล้าโอหังต่อหน้าเขาเช่นนี้และสิ่งที่ทำให้เซี่ยมู่ไป๋เดือดดาลถึงที่สุดคือท่าทีที่ฉินอวิ๋นฟานมีต่อเยียนอวี่เฉิน เขาถึงกับกล้าพูดอวดอ้างว่าเยียนอวี่เฉินคืออนุภรรยาของเขา? นี่มิใช่การหมิ่นเกียรติของเยียนอวี่เฉินซึ่งหน้าหรือ มิใช่การหมิ่นเกียรติต้าเยียนหรือ?นี่ก็คือสิ่งที่เซี่ยมู่ไป๋รับไม่ได้ที่สุด จึงเปลี่ยนท่าทีที่เคารพฉินอวิ๋นฟานทันที เขาพบว่าต่อให้เขาลดตัวลงมา ก็ยังเปลี่ยนท่าทีจองหองโอหังที่ฉินอวิ๋นฟานมีต่อพวกเขาไม่ได้อยู่ดีกลับไม่รู้ว่าความจองหองของฉินอวิ๋นฟานยังไม่จบ!“เอ่อ ตาแก่ เราอย่าไร้สาระกันเลยได้ไหม?”ฉินอวิ๋นฟานเริ่มหงุดหงิดแล้ว พูดเหตุผลกับคนแก่นี่ยากจริง ๆ ตรรกะไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกัน ฉินอวิ๋นฟานจึงพูดหน้าขรึม “วาจาดียากจะเกลี้ยกล่อมผีสมควรตาย เจ้าอยากประลองแต่งกลอนกับข้ามากมิใช่รึ? ข้าจะเล่นเป็นเพื่อนก็ได้แล้วใช่ไหม?”“หึ ข้าจะให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือกลอนบทเจ็ดพยางค์ผลงานสูงสุดยอด ให้เจ้าได้รู้ว่าอะไรคือละอายใจที่สู้คนอื่น
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ