ตอนนี้เอง นายผู้เฒ่าเหอเอ่ยปากแล้ว ดวงตาประหนึ่งเหยี่ยวคู่นั้นของเขาคมกริบและหนักแน่นที่สุด เขาที่บัดนี้อายุอานามสูงถึงเจ็ดสิบปียังคงมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมเขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในต้าเฉียนห้าสิบกว่าปี จะบอกว่าเขาเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งก็ไม่เกินไปสักนิด ความสามารถในการวิเคราะห์ยิ่งดังไฟเผาไหม้สมบูรณ์เขาติดตามไท่ซั่งหวงห้าสิบกว่าปี ย่อมรู้แก่นแท้ของเขามากกว่า“อื่ม ข้าเข้าใจแล้ว!”องค์ชายรองพยักหน้าราวกับมีความคิด หลังจากทบทวนแผนการทั้งหมด เขาก็พูดอย่างจริงจัง “น้าสาม เรื่องนี้สำคัญมาก มิเช่นนั้นท่านก็จัดการให้ชาวยุทธภพในท้องที่ทำเถอะ”“อื่ม! ได้!”และแผนการร้ายทั้งหมดนี้ ฉินอวิ๋นฟานไม่รู้เลยสักนิดฉินอวิ๋นฟานตื่นขึ้นมาท่ามกลางความอ่อนล้าในตอนเช้าตรู่ ยามนี้มู่หรงจิ่นยังหลับสนิท เสี่ยวจวี๋กลับยกอาหารเช้าจำนวนหนึ่งมาแล้วจ้องเรือนร่างสมบูรณ์แบบของมู่หรงจิ่น ฉินอวิ๋นฟานฉายรอยยิ้มอิ่มเอมอย่างยิ่ง แม่สาวคนนี้จากที่ต่อต้านพยศในทีแรก มาถึงตอนหลังที่ค่อย ๆ ดื่มด่ำและรับมันอย่างช้า ๆ จนถึงการรุกและให้ความร่วมมือเมื่อวานในท้ายที่สุดน่าเสียดาย บนตัวของมู่หรงจิ่นมีบาดแผลมากเกินไป เสี
“อู่เหลียงเย่? ชื่อนี้พิเศษนัก มีความหมายว่าอย่างไรหรือ?”มู่หรงซื่อควานถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย“ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษหรอก เหล้าของพวกเราทำจากธัญพืช ก็เลยตั้งชื่อนี้”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มบาง ไม่ได้อธิบายมากนัก ที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน เขาชอบเหล้ายี่ห้อนี้มาก และนี่ก็คงเป็นตราหนึ่งที่เขาประทับไว้ในยุคนี้กับตัวเองที่เป็นคนสมัยใหม่กระมัง“ได้ งั้นเราจะเริ่มโฆษณาออกไปเดี๋ยวนี้!”ตามคำสั่งของมู่หรงซื่อควาน ไม่นานรถม้าหลายสิบคันก็ปรากฏอยู่บนท้องถนนเมืองหลวงต้าเฉียน บนรถม้ามีแถบผ้าแขวนอยู่เต็มไปหมด คนที่อยู่หน้ารถม้าตีฆ้องร้องป่าว คึกคักผิดปกติแค่ชั่วเดี๋ยวเดียวถนนทั้งสายก็คึกคักอย่างยิ่ง จากโบราณถึงปัจจุบัน ผู้คนต่างชอบดูความครื้นเครง ภาพครึกครื้นที่จู่ ๆ ก็มีการฆ้องร้องป่าวจึงดึงดูดสายตาของทุกคน“เอ๋ วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหรือ? ทำไมภัตตาคารต้าเฉียนถึงตีฆ้องโฉ่งฉ่าง จุดประทัดดังสนั่นคึกคักอย่างนี้”“พวกเจ้าดูสิ บนป้ายเขียนไว้ว่าอู่เหลียงเย่สุราอันดับหนึ่งของต้าเฉียน นี่มันอะไรกัน? โอ้อวดขนาดนี้เชียว? ใครก็รู้ว่านารีแดงของพวกเขาเป็นน้ำเหล้าอันดับสองของต้าเฉียนไปแล
ซุนฉี่เชาหยิบข้อตกลงออกมายื่นให้บิดาซุนหั่ววั่งเลยจังหวะที่ซุนหั่ววั่งเห็นเนื้อหาข้อตกลงทั้งหมด ตบหน้าขาแรง ๆ ฉาดหนึ่งแล้วกระโดดโหยงขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้นที่สุด “เชาเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นลูกชายประเสริฐของข้า ได้เรื่องแล้ว ข้าพยายามมาตั้งหลายปีก็ไม่ได้ภัตตาคารตรงนั้นสักที กลับจะได้มาด้วยข้อตกลงแผ่นหนึ่งของเจ้าไม่ต้องจ่ายเงินสักแดง?”ซุนหั่ววั่งยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไป กลับมาอ่านข้อตกลงอีกครั้ง พบว่ากระดาษขาว ตัวหนังสือดำ ลงชื่อ พิมพ์นิ้วมือ ปราศจากข้อผิดพลาดอย่าว่าแต่ยอดขายเจ็ดวันเลย ต่อให้ใช้ยอดขายหนึ่งวันของพวกเขาเทียบกับยอดขายสิบวันของภัตตาคารต้าเฉียน นี่มิใช่การค้าที่มีแต่ได้ไม่มีเสียแน่อย่างแช่แป้งหรือ?นี่ฉินอวิ๋นฟานคิดไม่ตกขนาดไหนถึงได้ทำข้อตกลงผิดไร้มโนธรรมฟ้าเช่นนี้? ตาแก่มู่หรงซื่อควานกลับไม่คัดค้าน? ไม่รู้จักประมาณตนแท้ ๆ“ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ท่านพ่อ นี่ข้าจัดการปัญหาใหญ่เทียมฟ้าให้ภัตตาคารเซิ่งหลงพวกเราเลยนะ”ร่างอ้วนตุ๊ต๊ะของซุนฉี่เชานอนไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ มองดูภาพคึกคักเบื้องล่าง ท่าทางเกษมสันต์ยิ้มย่อง“ยอดไปเลย ยอดมาก เชาเอ๋อร์ เจ้าทำผลงานใหญ่ให้ตระกูลซุนแล้ว
แขกเหรื่อในภัตตาคารต้าเฉียนเกิดเสียงฮือฮา ไม่นานก็ดึงดูดคนที่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่โดยรอบ คนมากมายล้อมมุงดูความคึกคักรอบภัตตาคารต้าเฉียน“เสี่ยวเอ้อร์ เหล้าดีเช่นนี้เอามาให้ข้าอีกหนึ่งไห และอีกเดี๋ยวเอากลับอีกหนึ่งไห”“เสี่ยวเอ้อร์ ปลาไหลผัดพริกนี่ไม่เลว เอามาให้ข้าอีกสามจาน ปลาไหลน้ำแดงนี่ก็เยี่ยม เอามาให้ข้าอีกสองจาน แล้วลวดห่อกลับบ้านให้ข้าอีกอย่างละห้าชุด ข้าจะเอากลับไปให้ลูกเมียกิน”“เสี่ยวเอ้อร์ อย่ามัวชักช้าสิ! ข้าก็เอาสองไหเหมือนกัน รีบเอามาเร็ว ๆ เหล้านี่จะรสดีเกินไปแล้ว”......แค่ชั่วเดี๋ยวเดียว บรรดาลูกค้าต่างคลั่งกันขึ้นมา เพียงเหล้าจอกเล็ก ๆ ลงท้อง สยบคนได้โดยตรง ความยั่วยวนของอาหารอันโอชะยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง คืออาหารสุดล้ำที่พวกเขาเคยกินมาในชาตินี้แน่นอนชั่วอึดใจเดียว ทุกคนเริ่มตะโกนแย่งกันสั่งทีแรกพวกเขานึกว่าเสี่ยวเอ้อร์จะตื่นเต้นจนตัวสั่นเพราะพวกเราสั่งกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่คิดว่าพวกเขาเรียกจนคอแทบแตกกลับไม่มีเสี่ยวเอ้อร์คนไหนในร้านสนใจพวกเขาเลย“แค่ก ๆ...”ผู้ดูแลอายุครึ่งร้อยต้น ๆ กระแอมกระไอสองที กวาดสายตามองทุกคนและเอ่ย “นายท่านทั้งหลาย ต้องขออภัยจริง ๆ ขอร
“นั่นนะสิ ถึงเหล้านี้จะอร่อยยังไงก็ไม่ตั้งราคาอย่างนี้กันกระมัง? เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ ไหละสองร้อยตำลึง อยู่นานได้เห็นโลกแท้ ๆ”“ไม่ต้องพูดมาก เรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้าออกมา ข้าอยากเห็นสิว่าเขามีหัวกี่หัวถึงกล้าขูดรีดโจ่งแจ้งอย่างนี้”......พอได้ยินราคาสูงฉี่อย่างนี้ ทุกคนพากันด่าทอพ่นน้ำลาย สุราคือสิ่งจำเป็นในชีวิตของพวกเขา หนึ่งไหสองสามตำลึงกลับไม่นับเป็นอะไร แต่ไหละสองสามร้อยตำลึงนี่แทบจะพลิกความรู้ความเข้าใจของพวกเขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ตั้งราคาเช่นนี้มิสู้ปล้นเสียเลยดีกว่า“เอ่อ...”ผู้ดูลองมองไปทางชั้นสองด้วยสีหน้าปั้นยาก อย่างไรเรื่องนี้เขาก็ตัดสินใจไม่ได้ จึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากด้านบนฉินอวิ๋นฟานเห็นดังนั้นรู้ว่าถึงตาเขาออกโรงแล้ว มิเช่นนั้นพวกขุนนางใหญ่มากบารมีพวกนี้ไม่หาเรื่องหน่อยคงไม่ยอมรามือ“ยังไง? เห็นว่าคนจะหาเรื่องหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานสองมือกอดอก เดินลงมาจากชั้นสองด้วยใบหน้าเย็นชา กวาดมองทุกคน เนื้อตัวบนล่างเต็มไปด้วยความเผด็จการ ท่าทางแลมองเบื้องล่างทำให้ทุกคนหยุดลงทันทีเห็นว่าคนที่มายังหนุ่มทั้งยังโอหัง จึงถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นใคร? เรื่องน
“อย่างไร? ไม่ต้อนรับข้ารึ?”จางเต้าหลินกล่าวอย่างไม่มีพิษไม่มีภัย นับจากดื่มสุราของฉินอวิ๋นฟานในคืนนั้นแล้ว เขาก็ลืมความรู้สึกเผ็ดร้อนกระตุ้นนั้นไม่ลง ทุกครั้งที่ดื่มสุราอื่นให้ความรู้สึกราวกับน้ำเปล่า ชืดสนิทสุราในสมัยโบราณแค่สิบกว่าดีกรี กระตุ้นต่อมรับรสน้อยมาก แต่อู่เหลียงเย่ที่ฉินอวิ๋นฟานหมักทำให้เขาได้นิยามของสุรารูปแบบใหม่หมดประเด็นสุดสำคัญคือ บุตรสาวชอบสุราชนิดนี้มาก ครั้นดื่มร่วมกับปลาไหลผัดพริกและปลาไหลน้ำแดง นั่นแทบจะสมบูรณ์แบบ เมื่อวานยังทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องนี้ทั้งวันอีกแน่ะหนึ่งเพื่อความต้องการทางปากของตัวเอง สองก็เพื่อบุตรสาวสุดที่รักของเขา จากที่เขาสังเกตฉินอวิ๋นฟานในระยะนี้ เจ้านี่เปลี่ยนแปลงไปแบบสุดโต่ง ไหวพริบดี กระเหี้ยนกระหือรือ แม้แต่องค์ชายห้าก็ยังกล้าฆ่าตามสัญชาตญาณของเขา สองร้อยตำลึงต้องไม่ใช่ราคาสูงสุดของอีกฝ่ายแน่ เพื่อป้องกันว่าเจ้านี่จะไม่ทำให้ของขาดตลาดแล้วให้คนรอคอยตาละห้อยในตอนหลัง เขาจึงเลือกซื้อสิบไหในคราวเดียว นี่พอให้เขาดื่มได้สองเดือนแล้ว“ต้อนรับสิ จะไม่ต้อนรับใต้เท้าไท่เว่ยของต้าเฉียนได้อย่างไร!”ฉินอวิ๋นฟานฉีกยิ้ม ตาแก่นี่เป็นจิ้งจอกเฒ
คุณชายคนรวยในชุดผ้าต่วนเห็นจางไท่เว่ยมาซื้อสุราด้วยตนเอง เขายังมีเหตุผลอะไรมาอ้างอีก? แพงก็ต้องมีเหตุผลที่แพง ก็อู่เหลียงเย่มันรสดีจริง ๆ นี่แต่ละคนต่างมองหน้ากัน แค่ชั่วเดี๋ยวเดียวก็ขายไปแล้วสิบสองไหจึงพากันคล้อยตาม หลาย ๆ คนชักอยากลอง แต่ก็ยังลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะราคาต่างกันร้อยเท่า หัวใจเลือดซิบจริง ๆ ก็เหมือนกับการหาสาวมาเล่นไพ่ด้วยในราคาแปดร้อยมาตลอด แต่จู่ ๆ วันหนึ่งอีกฝ่ายกลับบอกว่าตัวเองไปกรอบทองยกกระชับมา ต่อไปราคาเล่นไพ่คือแปดหมื่น นี่ก็ทำให้รู้สึกเสียดายมากเหมือนกันและในตอนนี้เอง ฉินอวิ๋นฟานเห็นคนจำนวนไม่น้อยมีท่าทีลังเลตัดสินใจไม่ได้ เพื่อกระตุ้นการขาย เขาจึงเอ่ยเสียงหนัก “นับจากวันนี้ อู่เหลียงเย่จะขายในจำนวนจำกัด ขายในรูปแบบขั้นบันได ใครมาก่อนได้ก่อน”“หา? จำกัดการขาย ขายในรูปแบบขั้นบันไดหมายความว่ายังไง?”พอทุกคนได้ยิน ต่างไม่รู้เลยว่าฉินอวิ๋นฟานกำลังมาไม้ไหน ราคาสูงลิ่วถึงขั้นนี้แล้ว คนที่ซื้อไหวคงมีอยู่แค่ไม่กี่คน ยังจะใช้กลยุทธ์ทางการขายอีก?“หนึ่งวันจะขายแค่สามร้อยไห ขายหมดก็หยุด ร้อยไหแรกราคาสองร้อยตำลึง ร้อยไหต่อมาห้าร้อยตำลึง ร้อยไหที่เหลือพันตำลึง”ฉิน
“เฮ้ย นี่ล้อกันเล่นรึ?!”พอทุกคนได้ยินว่าราคาอู่เหลียงเย่พุ่งขึ้นไปถึงไหละห้าร้อยตำลึงก็รับไม่ได้ กระทั่งมีคนจำนวนไม่น้อยหัวเสียที่เมื่อกี้ไม่ได้ซื้อสักสองไห ตอนนี้ราคาแทบจะกีดกันทุกคนให้อยู่ข้างนอก“เอ่อ คือว่านะ จางไท่เว่ย เมื่อครู่ท่านซื้ออู่เหลียงเย่เยอะแยะอย่างนั้น ดื่มไม่หมดหรอก หรือท่านจะทำบุญสักหน่อย ข้าให้ท่านสองร้อยตำลึง ท่านให้ข้าหนึ่งไหเป็นอย่างไร?”มีคนทำหน้าเจ้าเล่ห์มองมาทางจางเต้าหลินแบบมีแผนการร้ายและเอ่ยปาก“เจ้าคิดจะกินลมผาย? ตอนนี้ไหละห้าร้อยตำลึง เจ้ากลับจะซื้อจากข้าสองร้อยตำลึง? เจ้าพูดออกมาได้ยังไง? เจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่ไหม? นี่ข้ายังว่าน้อยไปเลย!”จางเต้าหลินปฏิเสธการร้องขอของอีกฝ่ายแบบไม่ลังเล ขอเพียงสุรานี้เข้าสู่ตลาด ผู้คนต้องพากันแย่งซื้ออย่างดุเดือดแน่ สุราแต่ละไหล้ำค่าปานอัญมณี อย่าว่าแต่คนผู้นั้นให้สองร้อยตำลึงเลย ต่อให้หนึ่งพันตำลึง จางเต้าหลินก็ไม่ขายด้วยความเข้าใจในธุรกิจและความเข้าใจฉินอวิ๋นฟาน ไหละพันตำลึงเกรงว่าเดี๋ยวเดียวคงกลายเป็นอดีตไปแล้ว เจ้านี่หน้าเลือดจะตาย“เอ่อ...”คนผู้นั้นสีหน้าปั้นยากเดี๋ยวนั้น เขาหันไปมองชายในชุดผ้าต่วนเมื่อครู่
“เด็กบางคนคือเด็ก เด็กบางคนเกิดมาก็คือปีศาจ ข้าฆ่าปีศาจมีอะไรผิด?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “ถ้าพี่รองไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ตรวจสอบให้ละเอียดได้ หากข้าไม่มีจุดไหนที่ทำไม่ถูก ท่านก็ต้องทนเอาไว้ อย่างไรนี่ก็คือลักษณะการทำงานของข้าฉินอวิ๋นฟาน”“สำหรับทำไมถึงฆ่าคนเยอะอย่างนั้น ข้าได้แต่บอกท่านว่าพวกเขาล้วนสมควรตาย พร้อมกันนั้น ข้ากำลังเตือนทุกคน มีบางเรื่องทำได้ มีบ้างเรื่องทำไม่ได้ ถ้าใครกล้าล้ำเส้น ข้าฉินอวิ๋นฟานก็จะเอาชีวิตมันผู้นั้นเหมือนกัน!”“และถ้าจะให้ข้ามอบเหตุผลให้ได้ละก็ เช่นนั้นข้าได้แต่พูดว่าเพราะข้าคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียน มีกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่ในมือ คือผู้ดำรงกฎหมายต้าเฉียน ข้ามีอำนาจและมีหน้าที่พิทักษ์บ้านเมืองของต้าเฉียน ชาวบ้านคือรากฐานของเรา มิใช่คนที่พวกท่านจะข่มเหงรังแกได้ตามอำเภอใจ!”ซี้ด...ฉินอวิ๋นฟานกล่าววาจาเผด็จการ ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างสูดลมเย็นเข้าปาก แม้ในใจพวกเขาจะมีความแค้นมากมายเพียงใด หากเวลานี้ได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้เพราะฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงแต่มีอำนาจประหารอันเป็นอำนาจสูงสุด ยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจราชวงศ์ต้าเฉียน ผู้ใดกล้าคั
“เจ้า...!”ฉินอวิ๋นฮุยมาถึงก็พูดแทงใจดำของเขา ทำให้ฉินอวิ๋นฮุยเลือดขึ้นหน้า กลับไร้กำลังโต้ตอบ นาทีนี้เขาแทบอยากสับฉินอวิ๋นฟานเป็นหมื่น ๆ ชิ้น“นี่คือท้องพระโรง คือสถานที่หารือเรื่องสำคัญของบ้านเมือง มิใช่สถานที่ให้พวกท่านมาอวดเก่ง แต่ละคนกัดข้าไม่ปล่อยกับแค่เรื่องที่ข้ามาสายครึ่งชั่วยาม? พวกท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามอง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีแข็งกระด้าง “มีความสามารถก็ทำการทำงานให้มากหน่อย มิใช่ใช้เล่ห์กลอุบาย อวดเก่งแต่ขี้เกียจ ถ้าไม่มีความสามารถก็ลาออกไปเสีย ปลดเกษียณกลับบ้านเกิด อย่าครองส้วมแล้วไม่ขี้ คนที่อยากแทนที่ตำแหน่งพวกเจ้ามีถมเถไป!”เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันเบิกตาโต ทีแรกนึกว่าจะหาเรื่องฉินอวิ๋นฟาน ไม่นึกว่าเพิ่งเริ่มก็แพ้ย่อยยับแล้ว ในทางกลับกัน ยังถูกฉินอวิ๋นฟานเหยียดหยามอย่างหนักอีก ทำเอาทุกคนตัวชาไปทั้งคนหลังจากองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังรู้เรื่องตระกูลเริ่น จนถึงตอนนี้ก็ยังผวาไม่หาย อกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก จากนั้นจึงเลือกเก็บตัวเงียบ ๆ ทันที ดังนั้นขณะฉินอวิ๋นฟานถูกทุกคนเปิดฉากสงครามน้ำลาย เขาจึงเลือกเงียบงัน“ดี ในเมื่อน้องเจ็ดพูดถึงขั้นนี้แล้ว เช่น
ฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงหลีกเลี่ยงการหาเรื่องของอู๋ต้าไห่ มิหนำซ้ำยังเลือกเผชิญหน้าอย่างแข็งกร้าว คราวนี้ทำเอาทุกคนไปต่อไม่เป็นแล้วเหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยความมึนงง ทำผิดแล้วยังอวดเก่งเช่นนี้อีก? โอหังขนาดนี้เชียว? ก็คงจะมีแต่เจ้าฉินอวิ๋นฟานนี่แหละ!“แค่ยึดอู่โจวซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ มาได้ก็ทำให้รัชทายาทลำพองใจจนลืมตัวเช่นนี้เลยหรือ?”อู๋ต้าไห่เห็นฉินอวิ๋นฟานเหิมเกริมเช่นนี้จึงโต้กลับด้วยโทสะทันที “แม่ทัพใหญ่ทุกท่านของต้าเฉียนต่างสร้างผลงานการศึกให้ราชวงศ์ต้าเฉียนมากมาย ยังไม่เคยเห็นใจวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเช่นนี้มาก่อน รัชทายาทจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเหยียดยิ้มมุมปาก เหน็บแนมกลับทันที “แม่ทัพคนอื่น ๆ สร้างผลงานการศึกเพื่อต้าเฉียน ข้ายังพอเข้าใจได้ แต่ข้าขอถามหน่อย เกี่ยวอันใดกับเจ้าอู๋ต้าไห่ด้วย?”“ท่าน ท่านเถียงข้าง ๆ คู ๆ ข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องสร้างผลงานกับท่านอยู่ ท่านกลับไร้เหตุผลกัดไม่ปล่อย?”อู๋ต้าไห่ถูกคำพูดประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานตอกหน้าจนหน้าเขียวปัด แต่ในฐานะที่เขาเป็นรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย คือยอดฝีมือในการใช้ภาษาแก้ต่าง ชำนิชำน
ถูกฉินอวิ๋นฟานเอาใจเช่นนี้ สามดรุณีหน้าแดงระเรื่อด้วยความสุข ฉินอวิ๋นฟานประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงชาดของพวกนางสามพี่น้องแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะลุกจากเตียง......“ไม่มีระเบียบ ไม่มีระเบียบ!”“ก็นั่นนะสิ! ประชุมขุนนางเริ่มมาครึ่งชั่วยามแล้ว รัชทายาทกลับยังไม่ถึง? ไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตาเลย ช่างไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตา!”“สร้างผลงานเข้าหน่อยก็เมินระเบียบของราชสำนักแล้วหรือ? ก็ทำตามอำเภอใจได้แล้วหรือ? บังอาจยิ่งนัก!”......ในท้องพระโรง เหล่าขุนนางเริ่มเปิดฉากด่าทอต่าง ๆ นานาต่อพฤติกรรมมาสายของฉินอวิ๋นฟานด้วยไฟโกรธเต็มทรวงและถ้อยคำแข็งกร้าว เดิมพวกเขาก็ไม่มีภาพจำดีอะไรต่อฉินอวิ๋นฟานอยู่แล้ว กอปรกับการกระทำของฉินอวิ๋นฟานเมื่อวาน ชัดเจนว่ากำลังท้าทายบรรดาผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในเมื่อเช้ามาฉินอวิ๋นฟานก็เปิดช่องโหว่ เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ปล่อยไปเป็นธรรมดา ต่อให้การมาสายมิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ก็จะไม่ละเว้นฉินอวิ๋นฟานเด็ดขาดบนบัลลังก์มังกร ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วหันไปกล่าวกับเฉาเจิ้งฉุน “ส่งคนไปตามฟานเอ๋อร์แล้วหรือ?”“ทูลไท่ซั่งหวง ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฉาเจิ้งฉุนกระซิบ “แต่ดูเหมื
“ฮ่า ๆ ๆ...มา ชนแก้ว!”ภายใต้แสงขมุกขมัว ทั้งสี่จรดสุราหมดจอก ฉินอวิ๋นฟานที่หิวไส่กิ่วสวาปามราวกับพายุ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กวาดอาหารโอชาบนโต๊ะไปกว่าครึ่งเวลานี้มู่หรงจิ่น หลู่เซียงหลิงและเสี่ยวจวี๋ก็ดื่มจนแก้มแดงก่ำแล้ว งดงามอ้อนแอ้นจนอยากจะเด็ดมาดอมดม พวกนางกระดากใจยิ่งหนัก หลังจากอิ่มเอมกับสุราอาหารแล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านอีกต่อไป โอบสองดรุณีไปยังเตียงทันที“สุดที่รักของข้า ข้าคิดถึงพวกเจ้าจะตายอยู่แล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กระโจนใส่พวกนางโดยตรง สองดรุณีราวกับกระต่ายน้อยตื่นตกใจ ส่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ออกมาทีหนึ่งจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ด้านในของเตียง ยิ่งพวกนางเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งคึก“แหะ ๆ ร้องใช่ไหม คืนนี้จะให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย!”ฉินอวิ๋นฟานเลียริมฝีปาก ความปรารถนาปะทุขึ้นโดยสิ้นเชิง เบื้องล่างท้องน้อยเร่าร้อนยากจะทานทนนานแล้ว ‘แควก’ ทีหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มบนตัวฉีกขาด เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงทั่วร่าง กลิ่นอายบุรุษเข้มข้นทำให้ลมหายใจของสามดรุณีกระชั้น กระนั้นกลับมิอาจสะกด ฉินอวิ๋นฟานเสือตะครุบอีกหน คว้าเท้าเล็กของหลู่เซียงหลิงเอาไว
ฉินอวิ๋นฟานตบบ่าหวังอันสือเบา ๆ แล้วกล่าวคำพูดจากใจ “ขุนนางในอนาคตของต้าเฉียนจะกระจ่างใสได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”“รัชทายาทโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนขอรับ!”หวังอันสือตื้นตันจนน้ำตานองหน้า ถ้อยคำสวยงามใดก็มิอาจบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของเขา ในที่สุดก็มีเวทีแสดงปณิธานซึ่งมีอยู่เต็มอกของเขาแล้ว ในโลกอันขุ่นมัวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้แสดงฝีมือสักทีและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโชคดีคือ เขาได้พบกับป๋อเล่อ ผู้มีจุดมุ่งหมายและทิศทางปณิธานเดียวกับเขา มอบโอกาสพลิกชะตาให้กับเขาครั้งหนึ่งเมื่อได้รับคำตอบยืนยันของหวังอันสือ ฉินอวิ๋นฟานคลี่ยิ้มพึงพอใจ จึงออกไปจากห้องและตรงไปยังตำหนักรัชทายาท...“พี่อวิ๋นฟาน ท่านคงหิวแย่แล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งกลับมาถึงตำหนักที่พัก จิ่นเอ๋อร์ก็รีบเดินมาต้อนรับ ส่วนเสี่ยวจวี๋และเซียงหลิงต่างประกบอยู่ทางซ้ายและทางขวาจู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็รู้สึกว่าตำหนักที่พักต่างออกไปจากปกติ ปกติจะมีนางกำนัลรับใช้อยู่ในจวนอย่างน้อยสี่คน ทว่าวันนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ทั้งตำหนักมีเพียงผู้หญิงสามคนเท่านั้น คือจิ่นเอ๋อร์ เซียงหล
“รัชทายาท ท่านจะหารือเรื่องใหญ่กับข้าน้อยหรือขอรับ?!”เห็นท่าทางจริงใจของฉินอวิ๋นฟาน หวังอันสือร่างสะท้านเล็กน้อย ฉินอวิ๋นฟานคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินต้าเฉียนผู้สูงส่ง กลับมีเรื่องจะหารือกับเขา? มันมิควรเป็นคำสั่งหรือ?ฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทำให้หวังอันสือสงบใจไม่ได้อยู่นาน ท่าทางเข้าหาได้ง่ายของฉินอวิ๋นฟานกับรัชทายาทผู้แข็งกร้าวราวกับเทพสังหารสถิตร่างที่เขาเพิ่งพบเมื่อครู่ต่างกันโดยสิ้นเชิงฉินอวิ๋นฟานพูดเป็นการเป็นงาน “ถูกต้อง หากจะพูดกันจริง ๆ ก็คือข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า!”“มี มีเรื่องขอร้องข้าน้อย?”หวังอันสือสับสนมากกว่าเดิม เขาเป็นแค่ขุนนางระดับหก อาจารย์ต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าคนใดในเมืองหลวงที่ถูกบีบตายได้ง่าย ๆ น่ากลัวว่าจะมีอิทธิพลและฐานะเหนือเขา ฉินอวิ๋นฟานจะมีเรื่องขอร้องเขาได้อย่างไร?“หวังอันสือ ข้าได้ตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาคร่าว ๆ ทั้งหมดแล้ว เจ้าคือผู้มีความสามารถที่ข้าต้องการจริง”ฉินอวิ๋นฟานเข้าประเด็นทันที “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตอนนี้ต้าเฉียนเป็นยังไง ถึงภายนอกดูสงบ แต่ความจริงคือคลื่นใต้น้ำ บรรดาองค์ชายและขั้วอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังต่อสู้กันจน
หลู่หนีสีหน้าเคร่งขรึม แสดงท่าทีอีกครั้ง เขารู้ว่าฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเด็ดขาดฉับไว ในเมื่อฉินอวิ๋นฟานมอบงานนี้เขาก็ต้องเชื่อใจเขาหมดหัวใจอยู่แล้วอีกทั้งเรื่องนี้ยังสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อฉินอวิ๋นฟาน เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือทำงานนี้ให้สำเร็จ สิ่งของเงินทองฉินอวิ๋นฟานทุ่มทุนมาก“เวลากระชั้นชิด พรุ่งนี้พวกท่านก็ออกเดินทางไปเมืองจัวเถอะ เรื่องนี้ต้องทำที่เมืองจัว หลิวเป้ยจะให้ความช่วยเหลือมอบความสะดวกทั้งหมดกับพวกท่านเอง ต้องการอะไรก็บอกได้เต็มที่ พวกท่านแค่ทุ่มเทกายใจทำงานก็พอ”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวเสียงหนัก“เมีองจัว?”หลู่หนีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ก็ดี เมืองจัวเป็นคนของรัชทายาทเกือบทั้งหมด พวกเราแค่ทุ่มเทกายใจกับการผลิตก็พอ เช่นนี้จะลดอุปสรรคลงด้วย”......หลังจากกำชับทุกเรื่องเสร็จก็ดึกมาแล้ว ฉินอวิ๋นฟานลากร่างอันอ่อนล้ามายังที่รักษาตัวของพวกหวังอันสือ หลังจากทำความเข้าใจ ฉินอวิ๋นฟานพบว่าหวังอันสือคนนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหวังอันสือในสมัยซ่งเหนือบางส่วนดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงรู้สึกเห็นใจขึ้นมาเพราะเวลานี้เขากำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการคน หากหวังอันสือเป็นเหมือนกับหวังอันสือในประวัต
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านในตอนนี้ดี”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยท่าทางมั่นใจ “ความจริงไม่ว่าข้าจะอธิบายกับพวกท่านยังไงก็เข้าใจยากอยู่ดี เพราะนี่คือการปฏิรูปอุตสาหกรรมล้ำยุค ในอดีตทุกคนต่างเรียกมันว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก”หลู่หนีถามด้วยใบหน้างุนงง “ปฏิวัติอุตสาหกรรม? นั่นคือสิ่งใดหรือขอรับ?”“อื่ม! จะว่ายังไงดีล่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานลูบคางพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้พวกท่านฟังก็แล้วกัน ในสังคมศักดินาที่ทำการเกษตรเป็นหลัก ในตอนที่ชาวบ้านรดน้ำ ส่วนมากแล้วจะใช้กำลังคนเป็นสำคัญ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพต่ำ หนำซ้ำยังต้องใช้แรงงานเยอะมาก”“ทว่านับจากท่านหลู่ปันคิดค้นกังหันน้ำและระหัดวิดน้ำขึ้นมาก็เพิ่มประสิทธิภาพในการรดน้ำสูงขึ้น ทั้งยังประหยัดแรงงานไปเยอะ นี่ก็คือการพัฒนาทักษะในการเพาะปลูก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางเกษตรกรรม”“ดังนั้นเครื่องจักรนี้ของข้าซับซ้อนกว่าระหัดวิดน้ำมากกว่า แต่ปริมาณบรรจุขนส่งและแรงขับเคลื่อนของมันมีมากกว่ารถม้ามหาศาล ทำให้ประสิทธิภาพในการทำการค้าสูงขึ้น นี่ก็คือการปฏิวัติอย่างหนึ่งของการค้าและการเดินทาง ข้าเรียกมันว่าการปฏิวัติ