คุณชายคนรวยในชุดผ้าต่วนเห็นจางไท่เว่ยมาซื้อสุราด้วยตนเอง เขายังมีเหตุผลอะไรมาอ้างอีก? แพงก็ต้องมีเหตุผลที่แพง ก็อู่เหลียงเย่มันรสดีจริง ๆ นี่แต่ละคนต่างมองหน้ากัน แค่ชั่วเดี๋ยวเดียวก็ขายไปแล้วสิบสองไหจึงพากันคล้อยตาม หลาย ๆ คนชักอยากลอง แต่ก็ยังลังเลอยู่เล็กน้อยเพราะราคาต่างกันร้อยเท่า หัวใจเลือดซิบจริง ๆ ก็เหมือนกับการหาสาวมาเล่นไพ่ด้วยในราคาแปดร้อยมาตลอด แต่จู่ ๆ วันหนึ่งอีกฝ่ายกลับบอกว่าตัวเองไปกรอบทองยกกระชับมา ต่อไปราคาเล่นไพ่คือแปดหมื่น นี่ก็ทำให้รู้สึกเสียดายมากเหมือนกันและในตอนนี้เอง ฉินอวิ๋นฟานเห็นคนจำนวนไม่น้อยมีท่าทีลังเลตัดสินใจไม่ได้ เพื่อกระตุ้นการขาย เขาจึงเอ่ยเสียงหนัก “นับจากวันนี้ อู่เหลียงเย่จะขายในจำนวนจำกัด ขายในรูปแบบขั้นบันได ใครมาก่อนได้ก่อน”“หา? จำกัดการขาย ขายในรูปแบบขั้นบันไดหมายความว่ายังไง?”พอทุกคนได้ยิน ต่างไม่รู้เลยว่าฉินอวิ๋นฟานกำลังมาไม้ไหน ราคาสูงลิ่วถึงขั้นนี้แล้ว คนที่ซื้อไหวคงมีอยู่แค่ไม่กี่คน ยังจะใช้กลยุทธ์ทางการขายอีก?“หนึ่งวันจะขายแค่สามร้อยไห ขายหมดก็หยุด ร้อยไหแรกราคาสองร้อยตำลึง ร้อยไหต่อมาห้าร้อยตำลึง ร้อยไหที่เหลือพันตำลึง”ฉิน
“เฮ้ย นี่ล้อกันเล่นรึ?!”พอทุกคนได้ยินว่าราคาอู่เหลียงเย่พุ่งขึ้นไปถึงไหละห้าร้อยตำลึงก็รับไม่ได้ กระทั่งมีคนจำนวนไม่น้อยหัวเสียที่เมื่อกี้ไม่ได้ซื้อสักสองไห ตอนนี้ราคาแทบจะกีดกันทุกคนให้อยู่ข้างนอก“เอ่อ คือว่านะ จางไท่เว่ย เมื่อครู่ท่านซื้ออู่เหลียงเย่เยอะแยะอย่างนั้น ดื่มไม่หมดหรอก หรือท่านจะทำบุญสักหน่อย ข้าให้ท่านสองร้อยตำลึง ท่านให้ข้าหนึ่งไหเป็นอย่างไร?”มีคนทำหน้าเจ้าเล่ห์มองมาทางจางเต้าหลินแบบมีแผนการร้ายและเอ่ยปาก“เจ้าคิดจะกินลมผาย? ตอนนี้ไหละห้าร้อยตำลึง เจ้ากลับจะซื้อจากข้าสองร้อยตำลึง? เจ้าพูดออกมาได้ยังไง? เจ้ายังมีจิตสำนึกอยู่ไหม? นี่ข้ายังว่าน้อยไปเลย!”จางเต้าหลินปฏิเสธการร้องขอของอีกฝ่ายแบบไม่ลังเล ขอเพียงสุรานี้เข้าสู่ตลาด ผู้คนต้องพากันแย่งซื้ออย่างดุเดือดแน่ สุราแต่ละไหล้ำค่าปานอัญมณี อย่าว่าแต่คนผู้นั้นให้สองร้อยตำลึงเลย ต่อให้หนึ่งพันตำลึง จางเต้าหลินก็ไม่ขายด้วยความเข้าใจในธุรกิจและความเข้าใจฉินอวิ๋นฟาน ไหละพันตำลึงเกรงว่าเดี๋ยวเดียวคงกลายเป็นอดีตไปแล้ว เจ้านี่หน้าเลือดจะตาย“เอ่อ...”คนผู้นั้นสีหน้าปั้นยากเดี๋ยวนั้น เขาหันไปมองชายในชุดผ้าต่วนเมื่อครู่
“รีบส่งคนไปตำหนักรัชทายาท ข้าต้องการอู่เหลียงเย่ห้าร้อยไห เงินไม่ใช่ปัญหา!”“ข้าเอาพันไห รีบไปหามู่หรงซื่อควานที่ภัตตาคารต้าเฉียนเร็ว ขึ้นราคาเป็นสองเท่าก็ไม่เป็นไร ข้าต้องการดื่มอู่เหลียงเย่ อย่ามาขวางข้านะ!”.......แค่เวลาครึ่งวัน ต้าเฉียนเดือดพล่านแล้ว คนที่มาซื้ออู่เหลียงเย่ถึงหน้าประตูมีมาไม่ขาดสาย ทั้งยังเป็นขุนนางใหญ่มากบารมีทั้งนั้น พกตั๋วเงินตำลึงมหาศาลมาซื้อ แต่ผลลัพธ์คือถูกปฏิเสธอยู่หน้าประตูภัตตาคารต้าเฉียนทั้งหมดข่าวที่ทุกคนได้รับเหมือนกันหมด คือจะขายในวันพรุ่งนี้ตอนแปดโมงเช้า และจะประกาศราคาในตอนนั้น“ต้าซวง เสี่ยวซวง คนของพวกเราไปขอซื้ออู่เหลียงเย่ที่ตำหนักรัชทายาทถูกปฏิเสธอยู่นอกประตูหมด เหล้านี้เป็นของชั้นยอด ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องได้มาก่อน ไม่อย่างนั้นจะกระทบกับการค้าของหอวั่งเจียงมาก”ในห้องที่ตกแต่งเป็นสีชมพูอ่อนห้องหนึ่งในหอวั่งเจียง สตรีนางหนึ่งซึ่งปกปิดใบหน้าด้วยผ้าผืนบางสีชมพู แม้จะเป็นเช่นนี้ก็มิอาจปกปิดโฉมหน้างามล่มเมืองของนางได้มิดชิด นางนั่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะกลม เอ่ยปากกับแม่นางต้าซวงและแม่นางเสี่ยวซวงที่กำลังยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม“พี่หยวน อู่เหลียงเย่นี
“องค์ชายใหญ่ พอข้าน้อยทราบข่าวก็ส่งคนไปติดต่อขอซื้ออู่เหลียงเย่จำนวนหนึ่งที่ตำหนักรัชทายาททันที กลับพบว่าหน้าประตูราวกับตลาดสด มีคนรอขอเข้าพบฉินอวิ๋นฟานมากมาย ทั้งยังถูกเขาปฏิเสธกลับไปหมด ข้าน้อยต้องกลับมามือเปล่าเหมือนกับทุกคน”บ่าวรับใช้ผู้นั้นพูดหน้าเศร้า “เพื่อซื้ออู่เหลียงเย่ให้องค์ชายใหญ่ ข้าไปที่ภัตตาคารต้าเฉียนอีก แต่สุดท้ายก็ถูกปฏิเสธอยู่นอกประตู น่ากลัวว่าจะมีบางคนต่อแถวยาวเหยียดหน้าประตูภัตตาคารต้าเฉียนเพื่อซื้ออู่เหลียงเย่แล้วขอรับ”“หา? ต่อแถวอะไร?”องค์ชายใหญ่ถามด้วยใบหน้าไม่เข้าใจบ่าวรับใช้ตอบ “พรุ่งนี้แปดโมงจึงจะเริ่มขายอู่เหลียงเย่ ดังนั้นพวกเขาจึงต่อแถวอยู่หน้าประตูภัตตาคารยาวเป็นมังกรแล้วขอรับ”“เฮ้ย! บ้าขนาดนั้นเชียว?”องค์ชายใหญ่ตกใจกับคนที่คลั่งไคล้เหล่านั้น เพื่ออู่เหลียงเย่ไหเดียวกลับต้องต่อแถวทั้งวันทั้งคืน มันต้องสู้ตายอย่างนั้นเลยรึ?“ไม่ดื่มก็ช่างเถอะ ไปเอาจอหงวนแดงชั้นดีให้ข้าไหหนึ่ง”องค์ชายใหญ่งงเป็นไก่ตาแตก ในเมื่อซื้อไม่ได้ก็มีแต่ต้องดื่มจอหงวนแดงชั้นดีต่อแล้ว อย่างไรนี่ก็เป็นสุราที่ดีที่สุดในตลาดต้าเฉียนในเวลานี้“ขอรับ!”บ่าวรับใช้รีบวิ่งไป
เฉาเจิ้งฉุนพยักหน้าแสดงออกว่าเห็นด้วย“เจ้าเด็กนี่มีความกล้า มีความมั่นใจ กล้าฟันฝ่า กล้าทำ ไหวพริบดี ดูท่าการเก็บตัวสิบกว่าปีก่อนหน้าเพียงเพื่อเฉิดฉายในวันนี้”ไท่ซั่งหวงชมเชยแบบไม่ปกปิด“ทูลไท่ซั่งหวง รัชทายาทของเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ!”ในตอนที่ไท่ซั่งหวงกำลังถกเรื่องฉินอวิ๋นฟานกับเฉาเจิ้งฉุน ฉินอวิ๋นฟานก็ปรากฏ ทั้งสองสบตากันลึก ๆ ทีหนึ่ง ต่างเผยรอยยิ้มมีความนัย“ให้เขาเข้ามาเถอะ!”ไท่ซั่งหวงกล่าวจบ ฉินอวิ๋นฟานก็พาอู่จ้านเข้ามา “ถวายบังคมเสด็จปู่ ขอให้เสด็จปู่มีพระพลานามัยแข็งแรงสมบูรณ์”“อื่ม ลุกขึ้นเถอะ”ไท่ซั่งหวงยกมือพูดด้วยใบหน้าเมตตา “ฟานเอ๋อร์ ทำไมจู่ ๆ เจ้าก็มาเยี่ยมตาแก่อย่างข้าได้ล่ะ มีเรื่องสำคัญอะไรหรือ?”ไท่ซั่งหวงนอนอยู่บนเก้าอี้ ท่าทางเหมือนคนแก่อ่อนแอ กำลังอาบแสงแดดอย่างเพลิดเพลิน“เสด็จปู่ หม่อมฉันจะมีธุระอะไรได้ แค่ว่าช่วงนี้คิดค้นอู่เหลียงเย่ รสชาติไม่เลว จึงเจาะจงนำมาถวายพระองค์ไหหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ”ขณะฉินอวิ๋นฟานพูด ขันทีสองคนยกไหสุราเข้ามาถึงตรงหน้าฉินอวิ๋นฟาน จากนั้นจึงพูดต่อ “เสด็จปู่ สุรานี้มีรสพิเศษจำเพาะ หากพอพระทัย ต่อไปหม่อมฉันรับรองว่ามีส่วนของพระองค์เ
ไม่ว่าจะในประวัติศาสตร์หรือในภาพยนตร์ ฉินอวิ๋นฟานเคยเห็นการต่อสู้อย่างโหดเหี้ยมของกษัตริย์นับไม่ถ้วน ไหนเลยจะมีสายใยพี่น้อง เพื่อผลประโยชน์และตำแหน่งสูงสุด พ่อบังเกิดเกล้าก็ยังฆ่าได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงพี่น้องต่างแม่?อยากรอดก็ต้องพยายามวิ่ง หยุดไม่ได้แม้แต่นาทีเดียว“ฟานเอ๋อร์ ข้าเข้าใจความรู้สึกของเจ้าในยามนี้ และรู้สึกภูมิใจกับความคิดและปณิธานเช่นนี้ของเจ้าด้วย”ไท่ซั่งหวงพูดหักมุม “แต่กับเรื่องของเจ้าห้า เจ้าจัดการผลีผลามเกินไป!”“ผลีผลาม?”ฉินอวิ๋นฟานพูดแบบประหลาดใจเล็กน้อย “เสด็จปู่ ความผิดที่พี่ห้าก่อ ไม่ว่าจะเป็นข้อไหนก็คือโทษตายทั้งนั้น ข้าฆ่าเขาไม่ใช่เพราะความโกรธแค้นทั้งหมด แต่เพื่อความยุติธรรมด้วย”ฉินอวิ๋นฟานแสดงความคิดของตัวเองอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย การเอาชีวิตฉินอวิ๋นผู่คือเรื่องที่เขาต้องทำอยู่แล้ว แค่ต้องการเหตุผลที่เหมาะสมจะโทษก็ต้องโทษที่เขาไม่รู้จักดูตาม้าตาเรือ อยู่หน้ากระบอกปืนของเขาในเวลานี้“ถ้าพูดในด้านของความยุติธรรม ที่เจ้าทำมันไม่ผิด แต่ถ้าอนาคตของเจ้าแค่เพื่อผดุงความยุติธรรม เช่นนั้นที่เจ้าทำมาทั้งหมดก็คือไร้ความหมาย”ไท่ซั่งหวงเอ่ยเสียงหนัก“เสด็
“เพราะอะไรพ่ะย่ะค่ะ”ฉินอวิ๋นฟานในตอนนี้จิตใจมิอาจสงบ ดูท่าสุดท้ายยังเพราะตัวเองเด็กเกินไป ถ้าไม่ใช่เพราะการฉุกให้คิดของไท่ซั่งหวงนี้ เขาจะตายอย่างไรก็ยังไม่รู้ไท่ซั่งหวงทำท่ามือและพูดกับขันทีเฒ่าเฉาเจิ้งฉุนที่อยู่ด้านหลัง “เฉากงกง เจ้าอธิบายให้เขาฟังหน่อยเถอะ!”ครั้นเห็นสีหน้าบ่อน้ำโบราณไร้คลื่นนั้นของเฉาเจิ้งฉุน ฉินอวิ๋นฟานจึงสังเกตว่าคนผู้นี้แทบจะเป็นคนที่ไร้ตัวตน เป็นขันทีเฒ่าลึกลับที่ติดตามอยู่เบื้องหลังไท่ซั่งหวงเงียบ ๆเพียงสายตาเดียว ฉินอวิ๋นฟานก็รู้ว่าคนผู้นี้ไม่ธรรมดา“คารวะรัชทายาท!”เฉาเจิ้งฉุนทำความเคารพฉินอวิ๋นฟานอย่างจริงจังและพูด “หากข้าน้อยสันนิษฐานไม่ผิด ที่ตระกูลเหอไม่กล้าลงมือกับรัชทายาทง่าย ๆ เพราะกลัวไท่ซั่งหวงกับหน่วยบูรพาที่ข้าน้อยดูแลอยู่ขอรับ”“ข้าน้อยทราบว่ารัชทายาทคงสับสนมาก ข้าน้อยจะไขข้อข้องใจรัชทายาททีละเรื่อง เมื่อสองศตวรรษก่อน ฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าเฉียนเผชิญกับวิกฤต ราชสำนักเสียการควบคุม เพื่อปกป้องแผ่นดินต้าเฉียน ฝ่าบาทสั่งให้ขันทีคนสนิทที่เชื่อพระทัยมากที่สุดตั้งหน่วยบูรพาองค์กรลับขึ้นมาอย่างลับ ๆ!”“การปรากฏอย่างกะทันหันของหน่วยบูรพาสะเทือนเ
ฉินอวิ๋นฟานย่อมรู้ความสำคัญของข้อมูลข่าวสาร มีข่าวสารสนับสนุนจะสามารถวางแผนในกระโจม ตัดสินแพ้ชนะพันลี้ แต่ด้วยกำลังของเขาในตอนนี้ จำเป็นต้องมีข่าวสารสนับสนุน ดังนั้นเขาจึงเบนความหวังไปที่ตัวเฉาเจิ้งฉุน นี่คือองค์กรข่าวสารสุดเจ๋งและน่ากลัวที่สุดของต้าเฉียนเชียวนะ มีเขาสนับสนุนมิเท่ากับเสือติดปีก?“รัชทายาทคิดมากไปแล้ว ก่อนที่ท่านจะได้นั่งตำแหน่งสูงสุด หน่วยบูรพาจะไม่สนับสนุนและช่วยเหลือองค์ชายองค์ไหน นี่คือกฎเหล็กของต้าเฉียนขอรับ”เฉาเจิ้งฉุนยิ้มตาหยีเอ่ย“เอ่อ นี่จะยากแล้วสิ!”ฉินอวิ๋นฟานในเวลานี้เครียดจนหนึ่งหัวเท่ากับสองหัว สถานการณ์ในปัจจุบันไม่เป็นผลดีกับเขาอย่างยิ่ง ถ้าประมาทเพียงนิดเดียวจะต้องตกเหวลึกพันจั้น ถ้าอยากสร้างระบบข่าวสารของตัวเองและเสริมสร้างความแข็งแกร่งของกองทัพตัวเองให้เร็ว จะไม่ใช่เรื่องธรรมดาเรื่องหนึ่ง“ฟานเอ๋อร์ เจ้าฉลาดมาก ทั้งยังมีเมตตากับราษฎรใต้หล้า”ไท่ซั่งหวงพูดอย่างจริงจังที่สุด “ถ้าเจ้าอยากเปลี่ยนแปลงต้าเฉียนจริง อย่างเปลี่ยนแปลงโลก ให้ทุกคนมีชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีแต่ความเสมอภาคและยุติธรรม เช่นนั้นเจ้าต้องมีสติปัญญาเหนือคนและความสามารถ
“เด็กบางคนคือเด็ก เด็กบางคนเกิดมาก็คือปีศาจ ข้าฆ่าปีศาจมีอะไรผิด?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “ถ้าพี่รองไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ตรวจสอบให้ละเอียดได้ หากข้าไม่มีจุดไหนที่ทำไม่ถูก ท่านก็ต้องทนเอาไว้ อย่างไรนี่ก็คือลักษณะการทำงานของข้าฉินอวิ๋นฟาน”“สำหรับทำไมถึงฆ่าคนเยอะอย่างนั้น ข้าได้แต่บอกท่านว่าพวกเขาล้วนสมควรตาย พร้อมกันนั้น ข้ากำลังเตือนทุกคน มีบางเรื่องทำได้ มีบ้างเรื่องทำไม่ได้ ถ้าใครกล้าล้ำเส้น ข้าฉินอวิ๋นฟานก็จะเอาชีวิตมันผู้นั้นเหมือนกัน!”“และถ้าจะให้ข้ามอบเหตุผลให้ได้ละก็ เช่นนั้นข้าได้แต่พูดว่าเพราะข้าคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียน มีกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่ในมือ คือผู้ดำรงกฎหมายต้าเฉียน ข้ามีอำนาจและมีหน้าที่พิทักษ์บ้านเมืองของต้าเฉียน ชาวบ้านคือรากฐานของเรา มิใช่คนที่พวกท่านจะข่มเหงรังแกได้ตามอำเภอใจ!”ซี้ด...ฉินอวิ๋นฟานกล่าววาจาเผด็จการ ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างสูดลมเย็นเข้าปาก แม้ในใจพวกเขาจะมีความแค้นมากมายเพียงใด หากเวลานี้ได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้เพราะฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงแต่มีอำนาจประหารอันเป็นอำนาจสูงสุด ยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจราชวงศ์ต้าเฉียน ผู้ใดกล้าคั
“เจ้า...!”ฉินอวิ๋นฮุยมาถึงก็พูดแทงใจดำของเขา ทำให้ฉินอวิ๋นฮุยเลือดขึ้นหน้า กลับไร้กำลังโต้ตอบ นาทีนี้เขาแทบอยากสับฉินอวิ๋นฟานเป็นหมื่น ๆ ชิ้น“นี่คือท้องพระโรง คือสถานที่หารือเรื่องสำคัญของบ้านเมือง มิใช่สถานที่ให้พวกท่านมาอวดเก่ง แต่ละคนกัดข้าไม่ปล่อยกับแค่เรื่องที่ข้ามาสายครึ่งชั่วยาม? พวกท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามอง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีแข็งกระด้าง “มีความสามารถก็ทำการทำงานให้มากหน่อย มิใช่ใช้เล่ห์กลอุบาย อวดเก่งแต่ขี้เกียจ ถ้าไม่มีความสามารถก็ลาออกไปเสีย ปลดเกษียณกลับบ้านเกิด อย่าครองส้วมแล้วไม่ขี้ คนที่อยากแทนที่ตำแหน่งพวกเจ้ามีถมเถไป!”เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันเบิกตาโต ทีแรกนึกว่าจะหาเรื่องฉินอวิ๋นฟาน ไม่นึกว่าเพิ่งเริ่มก็แพ้ย่อยยับแล้ว ในทางกลับกัน ยังถูกฉินอวิ๋นฟานเหยียดหยามอย่างหนักอีก ทำเอาทุกคนตัวชาไปทั้งคนหลังจากองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังรู้เรื่องตระกูลเริ่น จนถึงตอนนี้ก็ยังผวาไม่หาย อกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก จากนั้นจึงเลือกเก็บตัวเงียบ ๆ ทันที ดังนั้นขณะฉินอวิ๋นฟานถูกทุกคนเปิดฉากสงครามน้ำลาย เขาจึงเลือกเงียบงัน“ดี ในเมื่อน้องเจ็ดพูดถึงขั้นนี้แล้ว เช่น
ฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงหลีกเลี่ยงการหาเรื่องของอู๋ต้าไห่ มิหนำซ้ำยังเลือกเผชิญหน้าอย่างแข็งกร้าว คราวนี้ทำเอาทุกคนไปต่อไม่เป็นแล้วเหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยความมึนงง ทำผิดแล้วยังอวดเก่งเช่นนี้อีก? โอหังขนาดนี้เชียว? ก็คงจะมีแต่เจ้าฉินอวิ๋นฟานนี่แหละ!“แค่ยึดอู่โจวซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ มาได้ก็ทำให้รัชทายาทลำพองใจจนลืมตัวเช่นนี้เลยหรือ?”อู๋ต้าไห่เห็นฉินอวิ๋นฟานเหิมเกริมเช่นนี้จึงโต้กลับด้วยโทสะทันที “แม่ทัพใหญ่ทุกท่านของต้าเฉียนต่างสร้างผลงานการศึกให้ราชวงศ์ต้าเฉียนมากมาย ยังไม่เคยเห็นใจวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเช่นนี้มาก่อน รัชทายาทจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเหยียดยิ้มมุมปาก เหน็บแนมกลับทันที “แม่ทัพคนอื่น ๆ สร้างผลงานการศึกเพื่อต้าเฉียน ข้ายังพอเข้าใจได้ แต่ข้าขอถามหน่อย เกี่ยวอันใดกับเจ้าอู๋ต้าไห่ด้วย?”“ท่าน ท่านเถียงข้าง ๆ คู ๆ ข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องสร้างผลงานกับท่านอยู่ ท่านกลับไร้เหตุผลกัดไม่ปล่อย?”อู๋ต้าไห่ถูกคำพูดประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานตอกหน้าจนหน้าเขียวปัด แต่ในฐานะที่เขาเป็นรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย คือยอดฝีมือในการใช้ภาษาแก้ต่าง ชำนิชำน
ถูกฉินอวิ๋นฟานเอาใจเช่นนี้ สามดรุณีหน้าแดงระเรื่อด้วยความสุข ฉินอวิ๋นฟานประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงชาดของพวกนางสามพี่น้องแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะลุกจากเตียง......“ไม่มีระเบียบ ไม่มีระเบียบ!”“ก็นั่นนะสิ! ประชุมขุนนางเริ่มมาครึ่งชั่วยามแล้ว รัชทายาทกลับยังไม่ถึง? ไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตาเลย ช่างไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตา!”“สร้างผลงานเข้าหน่อยก็เมินระเบียบของราชสำนักแล้วหรือ? ก็ทำตามอำเภอใจได้แล้วหรือ? บังอาจยิ่งนัก!”......ในท้องพระโรง เหล่าขุนนางเริ่มเปิดฉากด่าทอต่าง ๆ นานาต่อพฤติกรรมมาสายของฉินอวิ๋นฟานด้วยไฟโกรธเต็มทรวงและถ้อยคำแข็งกร้าว เดิมพวกเขาก็ไม่มีภาพจำดีอะไรต่อฉินอวิ๋นฟานอยู่แล้ว กอปรกับการกระทำของฉินอวิ๋นฟานเมื่อวาน ชัดเจนว่ากำลังท้าทายบรรดาผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในเมื่อเช้ามาฉินอวิ๋นฟานก็เปิดช่องโหว่ เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ปล่อยไปเป็นธรรมดา ต่อให้การมาสายมิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ก็จะไม่ละเว้นฉินอวิ๋นฟานเด็ดขาดบนบัลลังก์มังกร ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วหันไปกล่าวกับเฉาเจิ้งฉุน “ส่งคนไปตามฟานเอ๋อร์แล้วหรือ?”“ทูลไท่ซั่งหวง ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฉาเจิ้งฉุนกระซิบ “แต่ดูเหมื
“ฮ่า ๆ ๆ...มา ชนแก้ว!”ภายใต้แสงขมุกขมัว ทั้งสี่จรดสุราหมดจอก ฉินอวิ๋นฟานที่หิวไส่กิ่วสวาปามราวกับพายุ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กวาดอาหารโอชาบนโต๊ะไปกว่าครึ่งเวลานี้มู่หรงจิ่น หลู่เซียงหลิงและเสี่ยวจวี๋ก็ดื่มจนแก้มแดงก่ำแล้ว งดงามอ้อนแอ้นจนอยากจะเด็ดมาดอมดม พวกนางกระดากใจยิ่งหนัก หลังจากอิ่มเอมกับสุราอาหารแล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านอีกต่อไป โอบสองดรุณีไปยังเตียงทันที“สุดที่รักของข้า ข้าคิดถึงพวกเจ้าจะตายอยู่แล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กระโจนใส่พวกนางโดยตรง สองดรุณีราวกับกระต่ายน้อยตื่นตกใจ ส่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ออกมาทีหนึ่งจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ด้านในของเตียง ยิ่งพวกนางเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งคึก“แหะ ๆ ร้องใช่ไหม คืนนี้จะให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย!”ฉินอวิ๋นฟานเลียริมฝีปาก ความปรารถนาปะทุขึ้นโดยสิ้นเชิง เบื้องล่างท้องน้อยเร่าร้อนยากจะทานทนนานแล้ว ‘แควก’ ทีหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มบนตัวฉีกขาด เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงทั่วร่าง กลิ่นอายบุรุษเข้มข้นทำให้ลมหายใจของสามดรุณีกระชั้น กระนั้นกลับมิอาจสะกด ฉินอวิ๋นฟานเสือตะครุบอีกหน คว้าเท้าเล็กของหลู่เซียงหลิงเอาไว
ฉินอวิ๋นฟานตบบ่าหวังอันสือเบา ๆ แล้วกล่าวคำพูดจากใจ “ขุนนางในอนาคตของต้าเฉียนจะกระจ่างใสได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”“รัชทายาทโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนขอรับ!”หวังอันสือตื้นตันจนน้ำตานองหน้า ถ้อยคำสวยงามใดก็มิอาจบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของเขา ในที่สุดก็มีเวทีแสดงปณิธานซึ่งมีอยู่เต็มอกของเขาแล้ว ในโลกอันขุ่นมัวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้แสดงฝีมือสักทีและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโชคดีคือ เขาได้พบกับป๋อเล่อ ผู้มีจุดมุ่งหมายและทิศทางปณิธานเดียวกับเขา มอบโอกาสพลิกชะตาให้กับเขาครั้งหนึ่งเมื่อได้รับคำตอบยืนยันของหวังอันสือ ฉินอวิ๋นฟานคลี่ยิ้มพึงพอใจ จึงออกไปจากห้องและตรงไปยังตำหนักรัชทายาท...“พี่อวิ๋นฟาน ท่านคงหิวแย่แล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งกลับมาถึงตำหนักที่พัก จิ่นเอ๋อร์ก็รีบเดินมาต้อนรับ ส่วนเสี่ยวจวี๋และเซียงหลิงต่างประกบอยู่ทางซ้ายและทางขวาจู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็รู้สึกว่าตำหนักที่พักต่างออกไปจากปกติ ปกติจะมีนางกำนัลรับใช้อยู่ในจวนอย่างน้อยสี่คน ทว่าวันนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ทั้งตำหนักมีเพียงผู้หญิงสามคนเท่านั้น คือจิ่นเอ๋อร์ เซียงหล
“รัชทายาท ท่านจะหารือเรื่องใหญ่กับข้าน้อยหรือขอรับ?!”เห็นท่าทางจริงใจของฉินอวิ๋นฟาน หวังอันสือร่างสะท้านเล็กน้อย ฉินอวิ๋นฟานคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินต้าเฉียนผู้สูงส่ง กลับมีเรื่องจะหารือกับเขา? มันมิควรเป็นคำสั่งหรือ?ฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทำให้หวังอันสือสงบใจไม่ได้อยู่นาน ท่าทางเข้าหาได้ง่ายของฉินอวิ๋นฟานกับรัชทายาทผู้แข็งกร้าวราวกับเทพสังหารสถิตร่างที่เขาเพิ่งพบเมื่อครู่ต่างกันโดยสิ้นเชิงฉินอวิ๋นฟานพูดเป็นการเป็นงาน “ถูกต้อง หากจะพูดกันจริง ๆ ก็คือข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า!”“มี มีเรื่องขอร้องข้าน้อย?”หวังอันสือสับสนมากกว่าเดิม เขาเป็นแค่ขุนนางระดับหก อาจารย์ต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าคนใดในเมืองหลวงที่ถูกบีบตายได้ง่าย ๆ น่ากลัวว่าจะมีอิทธิพลและฐานะเหนือเขา ฉินอวิ๋นฟานจะมีเรื่องขอร้องเขาได้อย่างไร?“หวังอันสือ ข้าได้ตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาคร่าว ๆ ทั้งหมดแล้ว เจ้าคือผู้มีความสามารถที่ข้าต้องการจริง”ฉินอวิ๋นฟานเข้าประเด็นทันที “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตอนนี้ต้าเฉียนเป็นยังไง ถึงภายนอกดูสงบ แต่ความจริงคือคลื่นใต้น้ำ บรรดาองค์ชายและขั้วอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังต่อสู้กันจน
หลู่หนีสีหน้าเคร่งขรึม แสดงท่าทีอีกครั้ง เขารู้ว่าฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเด็ดขาดฉับไว ในเมื่อฉินอวิ๋นฟานมอบงานนี้เขาก็ต้องเชื่อใจเขาหมดหัวใจอยู่แล้วอีกทั้งเรื่องนี้ยังสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อฉินอวิ๋นฟาน เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือทำงานนี้ให้สำเร็จ สิ่งของเงินทองฉินอวิ๋นฟานทุ่มทุนมาก“เวลากระชั้นชิด พรุ่งนี้พวกท่านก็ออกเดินทางไปเมืองจัวเถอะ เรื่องนี้ต้องทำที่เมืองจัว หลิวเป้ยจะให้ความช่วยเหลือมอบความสะดวกทั้งหมดกับพวกท่านเอง ต้องการอะไรก็บอกได้เต็มที่ พวกท่านแค่ทุ่มเทกายใจทำงานก็พอ”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวเสียงหนัก“เมีองจัว?”หลู่หนีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ก็ดี เมืองจัวเป็นคนของรัชทายาทเกือบทั้งหมด พวกเราแค่ทุ่มเทกายใจกับการผลิตก็พอ เช่นนี้จะลดอุปสรรคลงด้วย”......หลังจากกำชับทุกเรื่องเสร็จก็ดึกมาแล้ว ฉินอวิ๋นฟานลากร่างอันอ่อนล้ามายังที่รักษาตัวของพวกหวังอันสือ หลังจากทำความเข้าใจ ฉินอวิ๋นฟานพบว่าหวังอันสือคนนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหวังอันสือในสมัยซ่งเหนือบางส่วนดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงรู้สึกเห็นใจขึ้นมาเพราะเวลานี้เขากำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการคน หากหวังอันสือเป็นเหมือนกับหวังอันสือในประวัต
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านในตอนนี้ดี”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยท่าทางมั่นใจ “ความจริงไม่ว่าข้าจะอธิบายกับพวกท่านยังไงก็เข้าใจยากอยู่ดี เพราะนี่คือการปฏิรูปอุตสาหกรรมล้ำยุค ในอดีตทุกคนต่างเรียกมันว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก”หลู่หนีถามด้วยใบหน้างุนงง “ปฏิวัติอุตสาหกรรม? นั่นคือสิ่งใดหรือขอรับ?”“อื่ม! จะว่ายังไงดีล่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานลูบคางพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้พวกท่านฟังก็แล้วกัน ในสังคมศักดินาที่ทำการเกษตรเป็นหลัก ในตอนที่ชาวบ้านรดน้ำ ส่วนมากแล้วจะใช้กำลังคนเป็นสำคัญ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพต่ำ หนำซ้ำยังต้องใช้แรงงานเยอะมาก”“ทว่านับจากท่านหลู่ปันคิดค้นกังหันน้ำและระหัดวิดน้ำขึ้นมาก็เพิ่มประสิทธิภาพในการรดน้ำสูงขึ้น ทั้งยังประหยัดแรงงานไปเยอะ นี่ก็คือการพัฒนาทักษะในการเพาะปลูก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางเกษตรกรรม”“ดังนั้นเครื่องจักรนี้ของข้าซับซ้อนกว่าระหัดวิดน้ำมากกว่า แต่ปริมาณบรรจุขนส่งและแรงขับเคลื่อนของมันมีมากกว่ารถม้ามหาศาล ทำให้ประสิทธิภาพในการทำการค้าสูงขึ้น นี่ก็คือการปฏิวัติอย่างหนึ่งของการค้าและการเดินทาง ข้าเรียกมันว่าการปฏิวัติ