ไม่นึกเลย ลูกเขยกลับให้กำเนิดอู่เหลียงเย่ที่ดังพลุแตกขึ้นมาบนโลกใบนี้ ทำให้ภัตตาคารต้าเฉียนกลับขึ้นสู่ช่วงสูงสุดอีกครั้ง ทำให้เขายากจะเก็บซ่อนความยินดี“นี่นับเป็นอะไร การถอดรกเปลี่ยนกระดูกของภัตตาคารต้าเฉียนเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้น อีกห้าวัน ข้าจะมอบของขวัญชิ้นโตให้ท่าน ให้ภัตตาคารต้าเฉียนได้ทะยานฟ้าอีกหน”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มพลางพูดเรียบ“ของขวัญชิ้นโตอะไรหรือ? ถึงกับทำให้ภัตตาคารต้าเฉียนได้ทะยานฟ้าอีกหน?”ถ้าสมัยก่อนได้ยินฉินอวิ๋นฟานพูดแบบนี้ มู่หรงซื่อควานต้องพ่นลมออกจมูกดูแคลนเสียดสี วาจาไม่น่าฟังยิ่งมิอาจหลีกเลี่ยงแต่รัชทายาทในตอนนี้คือสมบัติในอุ้งมือของเขา คือผู้หนุนนำตระกูลมู่หรง ทำให้ภัตตาคารต้าเฉียนที่ใกล้จะล่มสลายได้ฟื้นคืนชีพอีกครั้ง ทุกคำพูดของเขา ทุกการตัดสินใจของเขา มู่หรงซื่อควานสนับสนุนอย่างปราศจากเงื่อนไข“ถึงเวลาท่านก็รู้เอง ที่ข้ามาเพราะยังมีธุระอื่น นับจากพรุ่งนี้ จำกัดการขายอู่เหลียงเย่ที่สามร้อยไหเหมือนเดิม”ฉินอวิ๋นฟานพูดจริงจัง“ยังจำกัดการขายหรือ?”มู่หรงซื่อควานถามด้วยความไม่เข้าใจ “พ่อลูกเขย ตอนนี้ขายอู่เหลียงเย่ดีอย่างนี้ ทำไมพวกเราไม่อาศัยโอกาสรุกต่อเล่า
“อะไรนะ? ยัง ยังทำแบบนี้ได้ด้วยรึ?”มู่หรงซื่อควานทึ่งกับการทำแบบนี้ของฉินอวิ๋นฟานสุดขีดทันที ทึ่งในแบบที่ทึ่งเพิ่มไม่ได้อีกแล้ว มุมปากสั่นหงึกหงัก ลูกตาแทบจะถลนออกมาแล้วบัดนี้อู่เหลียงเย่ขายดีเทน้ำเทท่า หนึ่งสุรายากจะขอ ถ้าเป็นชุดจะต้องเพิ่มยอดขายอาหารอย่างอื่นด้วยแน่ เกรงว่าตั้งแต่นาทีที่ภัตตาคารต้าเฉียนเปิดประตู ภัตตาคารทั้งหกแห่งจะต้องอยู่ในสภาพแน่นเอียดตลอดเวลายอดขายมิต้องท่วมท้นทันทีหรือ? รัชทายาทคืออัจฉริยะขั้นเทพ เรื่องแบบนี้ก็คิดออกมาได้? “ดำเนินการทันที อย่าลืมนะ ต้องทำตามที่ข้าบอกเท่านั้น อย่าได้เกิดข้อผิดพลาดใด ๆ เด็ดขาด ท่านต้องควบคุมด้วยตัวเอง”ฉินอวิ๋นฟานกำชับหนักหนา“พ่อลูกเขยคนดีของข้า เจ้าวางใจได้เลย เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความเป็นความตายของตระกูลมู่หรงเรา จะทำเป็นเล่นได้อย่างไร?”มู่หรงซื่อควานทุบอกรับประกัน เริ่มดำเนินการทันทีฉินอวิ๋นฟานมาถึงประตูทางเข้าของภัตตาคารต้าเฉียน ตรงหน้าป้ายประกาศเปิดทำการทุกวันแปดโมงเช้า มีกลุ่มคนต่อแถวยาวเป็นกิโลแล้วฉินอวิ๋นฟานมองห้าคนที่อยู่ด้านหน้าสุดครู่หนึ่ง เห็นเสื้อผ้าบนตัวเขามีคำว่า ‘วั่ง’ อยู่ ทั้งยังมีกลิ่นหอยโชยมา จ
“อาจ้าน หรือว่าท่านดูจุดประสงค์ของข้าไม่ออกหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานพูดเสียงธรรมดา“หือ? จุดประสงค์อะไร?”อู่จ้านงงเป็นไก่ตาแตก ไม่เข้าใจแล้วว่ามันอย่างไรกันฉินอวิ๋นฟานพูดอย่างจริงจัง “อันดับแรก พวกเราไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับหอวั่งเจียงเลย แต่จากการเสนอแนะของเสด็จปู่ หอวั่งเจียงคลุกคลีกับขุนนางใหญ่มากที่สุด และหมายถึงพวกเขามีช่องทางหาข้อมูลข่าวสารมาก แต่ตอนนี้พวกเราเหมือนแมลงวันไร้หัว มีข่าวยังไม่รู้ว่าจะลงมือจากตรงไหนและจะใช้อย่างไร เพราะพวกเรายังแข็งแกร่งไม่พอ”“อีกอย่าง ถ้าพวกเราไปผูกสัมพันธ์กับหอวั่งเจียงก่อน จะต้องถูกหอวั่งเจียงดูเบาแน่ ถึงตอนนั้นพวกเราจะไม่มีเบี้ยเจรจากับพวกเขา มีแต่ต้องลดฐานะตัวเอง ถึงเวลาท่านคิดว่าหอวั่งเจียงจะบอกข่าวเราง่าย ๆ หรือ?”“จุดประสงค์ที่แท้จริงของข้าคืออาศัยข้อได้เปรียบของเราข่มหอวั่งเจียง ให้พวกเขามาหาเราก่อน และต้องเป็นคนที่มีสิทธิ์ขาดในการพูดด้วย ไม่อย่างนั้นพวกเรายากจะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการ”ฉินอวิ๋นฟานพูดถึงตรงนี้ อู่จ้านพลันเข้าใจถ่องแท้ ฉินอวิ๋นฟานคือรัชทายาทของต้าเฉียน และมีความเป็นไปได้สูงที่จะขึ้นเป็นประมุขผู้สูงศักดิ์ลำดับต่อไปในอนาคตด้วย
ลากสังขารอันอ่อนล้ากลับถึงบ้านก็ถูกมู่หรงจิ่นปลอบโยนด้วยรูปแบบนี้ ฉินอวิ๋นฟานในตอนนี้ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือละเหี่ยใจดี นี่คือน้ำแกงตัวเดียวอันเดียวของเสืออันเป็นของบำรุงชั้นเลิศเชียวนะ!เห็นน้ำแกงตัวเดียวอันเดียวของเสือที่มู่หรงจิ่นยกมาตรงหน้า ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก กระทั่งสงสัยว่าเมื่อคืนตัวเองโชว์ลีลาได้ไม่ดีหรือเปล่า จึงถูกมู่หรงจิ่นเตือนด้วยวิธีการนี้“ไอ้หยา ทำไมท่านถึงเป็นคนอย่างนี้นะ? ข้าสู้เข้าครัวด้วยตัวเอง ตุ๋นค่อนวันจึงจะเสร็จ”นึกถึงภาพเร่าร้อนเมื่อวาน มู่หรงจิ่นอายจนทำตัวไม่ถูก ดวงหน้าหมดจดแดงซ่านไปถึงคอในพริบตา นึกถึงช่วงนี้ฉินอวิ๋นฟานลำบากอย่างนั้น จึงตุ๋นน้ำแกงบำรุงเพื่อเขาเป็นการเฉพาะ ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะนิสัยไม่ดีเช่นนี้ คิดออกนอกทางอยู่เรื่อย“ได้ ๆ ๆ ข้าดื่ม ข้าจะดื่มนะ!”ฉินอวิ๋นฟานทำหน้าเหยเก ยกชามขึ้นมาแล้วก็ดื่ม ทันทีที่เข้าปากก็นึกเสียใจเดี๋ยวนั้นความจำเพาะอย่างยิ่งของตัวเดียวอันเดียวก็คือกลิ่นสาบและกลิ่นคาวที่ฉุนกึก ถ้าไม่มีเครื่องเทศจำนวนมากเสริมยากกระเดือกลง เห็นชัดว่ามู่หรงจิ่นเข้าครัวเป็นครั้งแรก ไม่มีประสบการณ์อะไร กลิ่นสาบและกลิ่นคาวแทง
“ใช่ พี่หยวน ขนาดพวกเขาก็บอกฐานะแล้วนะ แต่ก็ยังถูกฉินอวิ๋นฟานไล่ไปต่อท้าย ข้ามักรู้สึกว่าเขาจงใจหาเรื่องพวกเรา”บ่าวรับใช้ผู้นั้นเล่าความอย่างไม่รับความเป็นธรรม“เอาละ ข้ารู้แล้ว เจ้าออกไปเถอะ”พี่หยวนหน้าไม่สบอารมณ์ หลังจากครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ไปที่ห้องของต้าซวงกับเสี่ยวซวง“พี่หยวน มีอะไรหรือ?”ต้าซวงเห็นพี่หยวนมาถึงห้องโมโหควันออกหู พวกนางพี่น้องจึงถามด้วยความห่วงใย“ข้าให้คนต่อแถวหน้าประตูภัตตาคารต้าเฉียนกลับถูกฉินอวิ๋นฟานไล่กลับไป ได้แต่ซื้ออู่เหลียงเย่ทั้งหมดของวันพรุ่งนี้ คิดจะเหมาอู่เหลียงเย่อีกห้าวันข้างหน้าคือเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย”พี่หยวนพูดแบบโกรธมาก“อะไรนะ? หรือว่า หรือว่าพวกเราจะถูกเล่นงานแล้ว?”เวลานี้ต้าซวงและเสี่ยวซวงตกใจอย่างหนัก พวกนางแค่ต่อแถวตามปกติเท่านั้น ทำไมจู่ ๆ ถึงถูกไล่กลับล่ะ? สามารถไต่เต้าอยู่ในหอนางคณิกาชั้นสูงวั่งเจียงถึงระดับนี้ ย่อมมีสติปัญญาล้ำเลิศ นางรู้สึกทันทีว่าถูกฉินอวิ๋นฟานเล่นงานแล้วพี่หยวนขมวดคิ้วมุ่นพูด “ข้ากลับไม่กลัวถูกเล่นงาน ข้าแค่ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ เขาถึงมุ่งเป้ามาที่หอวั่งเจียง พวกเราไม่เคยมีความเกี่ยวข้องกับฉินอวิ๋นฟานม
“ให้เขาเข้ามาเถอะ!”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งเดินออกมาจากห้องหนังสือก็เห็นชายร่างสูงใหญ่คนหนึ่งกำลังยื้อยุดฉุดกระชากกับองครักษ์ของตำหนักรัชทายาท ฉินอวิ๋นฟานพอใจกับการแสดงออกของพวกเขามาก สมกับที่เป็นยอดทหารที่บ่มเพาะออกมาจากค่ายทานหลางแม้จะเป็นองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังก็ยังถูกพวกเขาสกัดอย่างแข็งกร้าวอยู่นอกประตูเหมือนเดิม ในภาพจำของฉินอวิ๋นฟาน นี่น่าจะเป็นครั้งที่สองที่ฉินอวิ๋นคังถูกปฏิเสธให้อยู่ข้างนอก“น้องเจ็ด นี่เจ้าหมายความว่ายังไง? ข้ามาหาเจ้าสองครั้งแล้ว แต่เจ้าหลบหน้าไม่พบ ควรแล้วหรือ?”ในฐานะที่เป็นองค์ชายใหญ่แห่งราชวงศ์ต้าเฉียน ฐานะสูงส่งเพียงใด เพื่อสุราไหเดียวถึงกับยอมบากหน้ามาขอน้องชายคนนี้ ไม่นึกว่าจะถูกขวางอยู่นอกประตูหนแล้วหนเล่าฉินอวิ๋นคังที่ศักดิ์ศรีเสียหายอย่างหนักปะทุอารมณ์เดี๋ยวนั้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเจอตัวฉินอวิ๋นฟานให้ได้ วันนี้ต้องได้เหตุผล!“พี่ใหญ่ ข้าก็จนใจนะ ระเบียบก็คือระเบียบ ข้าจะอำนวยความสะดวกให้ท่านได้ยังไง?”ฉินอวิ๋นฟานส่ายหน้าพูด“หึ พูดเสียน่าฟัง เจ้าก็เป็นคนตั้งระเบียบเองไม่ใช่รึ?”องค์ชายใหญ่แค่นฮึเสียงหนึ่ง “อีกอย่าง พวกเราเป็นพี่น้องแท้ ๆ ข้าแค่อย
องค์ชายใหญ่จี๊ดกับคำพูดนี้ของฉินอวิ๋นฟาน กว่าจะได้เจอตัว ไม่คิดว่าจะเป็นอย่างนี้ ไม่ได้สุราแต่ได้อารมณ์โกรธมาเต็ม ๆ“เอาละ พี่ใหญ่ ไม่จำเป็นต้องโมโหจริง ๆ”ฉินอวิ๋นฟานรู้ว่าต่อไปยังต้องรีดเงินจากฉินอวิ๋นคัง จะบีบคั้นเขาไม่ได้ จึงป้อนคำหวานใส่ทันทีเขารีบพูด “เมื่อวานไท่เว่ยซื้อไปตั้งเก้าสิบแปดไหมิใช่หรือ? ท่านก็เอาจากเขาหน่อยสิ แค่นี้ก็แก้ปัญหาได้แล้ว อีกอย่าง ขายสามร้อยไหทุกวัน ไม่นานในตลาดจะมีเหล้ามากมาย”“หึ เจ้าไม่พูดยังดี พูดถึงไท่เว่ยจางเต้าหลินแล้วข้าก็โมโห เมื่อวานมาหาเจ้าไม่เจอ ข้าก็เลยไปที่จวนไท่เว่ย ผลกลับดีเลย เขาปิดประตูขอบคุณแขก ไม่เจอตัว ตอนนี้ข้าล่ะอยากรู้นัก พวกเจ้าเตี๊ยมกันมาก่อนแล้วใช่ไหม?”ฉินอวิ๋นคังพูดแบบควันออกหู“เอ๋...ไม่นะ”พอได้ยินว่าจางเต้าหลินปิดประตูขอบคุณแขก ฉินอวิ๋นฟานก็ทำหน้าประหลาด อดด่าในใจไม่ได้ จิ้งจอกเฒ่านี่ร้ายจริง ๆ ดูท่าคงมองแผนการของเขาออกแล้ว ก็เลยปฏิเสธคนที่มาขอเหล้าให้อยู่นอกประตู“พี่ใหญ่ ไม่งั้นข้าจะออกความคิดให้ท่านอีกเป็นอย่างไร”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยความลำบากใจ “ภัตตาคารต้าเฉียนมีทั้งหมดหกสาขา แต่ละสาขาจะขายอาหารชุดหนึ่งหมื่นชุด อ
“ใหญ่ นี่มันเป็นเรื่องน่ายินดีนะ!”พอองค์ชายใหญ่บอกว่าจะเชิญคนหมื่นคนกินมื้อใหญ่ ฉินอวิ๋นฟานก็อึ้งไปเลย คนทั่วไปไม่เด็ดขาดแบบนี้ สำหรับผู้ส่งส่งมือกุมอำนาจเหล่านั้น ถึงจะให้สุนัขก็จะไม่ให้คนยากไร้ให้เขาคิดอย่างไรก็คิดไม่ถึง ฉินอวิ๋นคังใจป้ำเช่นนี้ รับปากฉับไว เชิญคนหนึ่งหมื่นคนกินอาหารได้แบบตาไม่กะพริบ ต่อให้มีความต้องการส่วนตัวแต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะสามารถทำได้“ย่อมเป็นเช่นนั้น ฐานที่ข้าคือองค์ชายใหญ่ของราชวงศ์ต้าเฉียน จะเชิญคนยากคนจนมากินข้าวมื้อใหญ่หน่อยจะเป็นไรไป? นี่ไม่ใช่เรื่องที่ข้าควรทำอยู่แล้วรึ?”ยามนี้ อย่าให้พูดเลยว่าฉินอวิ๋นคังอารมณ์ดีแค่ไหน เดิมก็เพิ่มเติมเต็มความปรารถนาของปากท้องตัวเอง ไม่นึกว่าด้วยการดำเนินการของฉินอวิ๋นฟานจะกลายเป็นเรื่องเชิดชูเกียรติศัพท์ทั่วหล้า เรื่องดีแบบนี้เขาต้องทำอยู่แล้ว แถมยังต้องโฆษณาป่าวประกาศอย่างยิ่งใหญ่ด้วย“พี่ใหญ่ ในเมื่อพวกเราจะทำความดี จะทำวันเดียวก็ไม่ได้กระมัง? ไม่อย่างนั้นพี่รองต้องว่าว่าท่านทำเป็นท่าแน่ ถึงตอนนั้นเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?”ฉินอวิ๋นฟานเห็นองค์ชายใหญ่ตกหลุมพรางแล้วจึงรีบกระพือไฟอยู่ข้าง ๆพอองค์ชายใหญ่
“เด็กบางคนคือเด็ก เด็กบางคนเกิดมาก็คือปีศาจ ข้าฆ่าปีศาจมีอะไรผิด?”ฉินอวิ๋นฟานเอ่ยเสียงหนัก “ถ้าพี่รองไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ก็ตรวจสอบให้ละเอียดได้ หากข้าไม่มีจุดไหนที่ทำไม่ถูก ท่านก็ต้องทนเอาไว้ อย่างไรนี่ก็คือลักษณะการทำงานของข้าฉินอวิ๋นฟาน”“สำหรับทำไมถึงฆ่าคนเยอะอย่างนั้น ข้าได้แต่บอกท่านว่าพวกเขาล้วนสมควรตาย พร้อมกันนั้น ข้ากำลังเตือนทุกคน มีบางเรื่องทำได้ มีบ้างเรื่องทำไม่ได้ ถ้าใครกล้าล้ำเส้น ข้าฉินอวิ๋นฟานก็จะเอาชีวิตมันผู้นั้นเหมือนกัน!”“และถ้าจะให้ข้ามอบเหตุผลให้ได้ละก็ เช่นนั้นข้าได้แต่พูดว่าเพราะข้าคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินของต้าเฉียน มีกระบี่อาญาสิทธิ์อยู่ในมือ คือผู้ดำรงกฎหมายต้าเฉียน ข้ามีอำนาจและมีหน้าที่พิทักษ์บ้านเมืองของต้าเฉียน ชาวบ้านคือรากฐานของเรา มิใช่คนที่พวกท่านจะข่มเหงรังแกได้ตามอำเภอใจ!”ซี้ด...ฉินอวิ๋นฟานกล่าววาจาเผด็จการ ทำเอาทุกคนในที่นั้นต่างสูดลมเย็นเข้าปาก แม้ในใจพวกเขาจะมีความแค้นมากมายเพียงใด หากเวลานี้ได้แต่สะกดกลั้นเอาไว้เพราะฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงแต่มีอำนาจประหารอันเป็นอำนาจสูงสุด ยังยืนอยู่บนจุดสูงสุดของอำนาจราชวงศ์ต้าเฉียน ผู้ใดกล้าคั
“เจ้า...!”ฉินอวิ๋นฮุยมาถึงก็พูดแทงใจดำของเขา ทำให้ฉินอวิ๋นฮุยเลือดขึ้นหน้า กลับไร้กำลังโต้ตอบ นาทีนี้เขาแทบอยากสับฉินอวิ๋นฟานเป็นหมื่น ๆ ชิ้น“นี่คือท้องพระโรง คือสถานที่หารือเรื่องสำคัญของบ้านเมือง มิใช่สถานที่ให้พวกท่านมาอวดเก่ง แต่ละคนกัดข้าไม่ปล่อยกับแค่เรื่องที่ข้ามาสายครึ่งชั่วยาม? พวกท่านหมายความว่ายังไง?”ฉินอวิ๋นฟานกวาดสายตามอง ก่อนจะเอ่ยด้วยท่าทีแข็งกระด้าง “มีความสามารถก็ทำการทำงานให้มากหน่อย มิใช่ใช้เล่ห์กลอุบาย อวดเก่งแต่ขี้เกียจ ถ้าไม่มีความสามารถก็ลาออกไปเสีย ปลดเกษียณกลับบ้านเกิด อย่าครองส้วมแล้วไม่ขี้ คนที่อยากแทนที่ตำแหน่งพวกเจ้ามีถมเถไป!”เมื่อทุกคนเห็นดังนั้นก็พากันเบิกตาโต ทีแรกนึกว่าจะหาเรื่องฉินอวิ๋นฟาน ไม่นึกว่าเพิ่งเริ่มก็แพ้ย่อยยับแล้ว ในทางกลับกัน ยังถูกฉินอวิ๋นฟานเหยียดหยามอย่างหนักอีก ทำเอาทุกคนตัวชาไปทั้งคนหลังจากองค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังรู้เรื่องตระกูลเริ่น จนถึงตอนนี้ก็ยังผวาไม่หาย อกสั่นขวัญแขวนอย่างหนัก จากนั้นจึงเลือกเก็บตัวเงียบ ๆ ทันที ดังนั้นขณะฉินอวิ๋นฟานถูกทุกคนเปิดฉากสงครามน้ำลาย เขาจึงเลือกเงียบงัน“ดี ในเมื่อน้องเจ็ดพูดถึงขั้นนี้แล้ว เช่น
ฉินอวิ๋นฟานไม่เพียงหลีกเลี่ยงการหาเรื่องของอู๋ต้าไห่ มิหนำซ้ำยังเลือกเผชิญหน้าอย่างแข็งกร้าว คราวนี้ทำเอาทุกคนไปต่อไม่เป็นแล้วเหล่าขุนนางต่างมองหน้ากันด้วยความมึนงง ทำผิดแล้วยังอวดเก่งเช่นนี้อีก? โอหังขนาดนี้เชียว? ก็คงจะมีแต่เจ้าฉินอวิ๋นฟานนี่แหละ!“แค่ยึดอู่โจวซึ่งเป็นเมืองเล็ก ๆ มาได้ก็ทำให้รัชทายาทลำพองใจจนลืมตัวเช่นนี้เลยหรือ?”อู๋ต้าไห่เห็นฉินอวิ๋นฟานเหิมเกริมเช่นนี้จึงโต้กลับด้วยโทสะทันที “แม่ทัพใหญ่ทุกท่านของต้าเฉียนต่างสร้างผลงานการศึกให้ราชวงศ์ต้าเฉียนมากมาย ยังไม่เคยเห็นใจวางอำนาจบาตรใหญ่ ไม่เห็นใครอยู่ในสายตาเช่นนี้มาก่อน รัชทายาทจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ไปแล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเหยียดยิ้มมุมปาก เหน็บแนมกลับทันที “แม่ทัพคนอื่น ๆ สร้างผลงานการศึกเพื่อต้าเฉียน ข้ายังพอเข้าใจได้ แต่ข้าขอถามหน่อย เกี่ยวอันใดกับเจ้าอู๋ต้าไห่ด้วย?”“ท่าน ท่านเถียงข้าง ๆ คู ๆ ข้ากำลังกล่าวถึงเรื่องสร้างผลงานกับท่านอยู่ ท่านกลับไร้เหตุผลกัดไม่ปล่อย?”อู๋ต้าไห่ถูกคำพูดประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานตอกหน้าจนหน้าเขียวปัด แต่ในฐานะที่เขาเป็นรองเจ้ากรมพิธีการฝ่ายซ้าย คือยอดฝีมือในการใช้ภาษาแก้ต่าง ชำนิชำน
ถูกฉินอวิ๋นฟานเอาใจเช่นนี้ สามดรุณีหน้าแดงระเรื่อด้วยความสุข ฉินอวิ๋นฟานประทับจูบลงบนริมฝีปากแดงชาดของพวกนางสามพี่น้องแรง ๆ ทีหนึ่ง ก่อนจะลุกจากเตียง......“ไม่มีระเบียบ ไม่มีระเบียบ!”“ก็นั่นนะสิ! ประชุมขุนนางเริ่มมาครึ่งชั่วยามแล้ว รัชทายาทกลับยังไม่ถึง? ไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตาเลย ช่างไม่เห็นกฎระเบียบอยู่ในสายตา!”“สร้างผลงานเข้าหน่อยก็เมินระเบียบของราชสำนักแล้วหรือ? ก็ทำตามอำเภอใจได้แล้วหรือ? บังอาจยิ่งนัก!”......ในท้องพระโรง เหล่าขุนนางเริ่มเปิดฉากด่าทอต่าง ๆ นานาต่อพฤติกรรมมาสายของฉินอวิ๋นฟานด้วยไฟโกรธเต็มทรวงและถ้อยคำแข็งกร้าว เดิมพวกเขาก็ไม่มีภาพจำดีอะไรต่อฉินอวิ๋นฟานอยู่แล้ว กอปรกับการกระทำของฉินอวิ๋นฟานเมื่อวาน ชัดเจนว่ากำลังท้าทายบรรดาผู้มีอำนาจสูงศักดิ์ในเมื่อเช้ามาฉินอวิ๋นฟานก็เปิดช่องโหว่ เช่นนั้นพวกเขาจะไม่ปล่อยไปเป็นธรรมดา ต่อให้การมาสายมิใช่เรื่องใหญ่อันใด แต่ก็จะไม่ละเว้นฉินอวิ๋นฟานเด็ดขาดบนบัลลังก์มังกร ไท่ซั่งหวงขมวดคิ้วน้อย ๆ แล้วหันไปกล่าวกับเฉาเจิ้งฉุน “ส่งคนไปตามฟานเอ๋อร์แล้วหรือ?”“ทูลไท่ซั่งหวง ส่งไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เฉาเจิ้งฉุนกระซิบ “แต่ดูเหมื
“ฮ่า ๆ ๆ...มา ชนแก้ว!”ภายใต้แสงขมุกขมัว ทั้งสี่จรดสุราหมดจอก ฉินอวิ๋นฟานที่หิวไส่กิ่วสวาปามราวกับพายุ ไม่ถึงครึ่งชั่วยามก็กวาดอาหารโอชาบนโต๊ะไปกว่าครึ่งเวลานี้มู่หรงจิ่น หลู่เซียงหลิงและเสี่ยวจวี๋ก็ดื่มจนแก้มแดงก่ำแล้ว งดงามอ้อนแอ้นจนอยากจะเด็ดมาดอมดม พวกนางกระดากใจยิ่งหนัก หลังจากอิ่มเอมกับสุราอาหารแล้ว ฉินอวิ๋นฟานก็ไม่สะกดอารมณ์พลุ่งพล่านอีกต่อไป โอบสองดรุณีไปยังเตียงทันที“สุดที่รักของข้า ข้าคิดถึงพวกเจ้าจะตายอยู่แล้ว!”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มกะลิ้มกะเหลี่ย กระโจนใส่พวกนางโดยตรง สองดรุณีราวกับกระต่ายน้อยตื่นตกใจ ส่งเสียงร้อง “อ๊ะ” ออกมาทีหนึ่งจึงรีบมุดเข้าไปอยู่ด้านในของเตียง ยิ่งพวกนางเป็นเช่นนี้ ฉินอวิ๋นฟานก็ยิ่งคึก“แหะ ๆ ร้องใช่ไหม คืนนี้จะให้พวกเจ้าร้องไห้เสียงแหบเสียงแห้งไปเลย!”ฉินอวิ๋นฟานเลียริมฝีปาก ความปรารถนาปะทุขึ้นโดยสิ้นเชิง เบื้องล่างท้องน้อยเร่าร้อนยากจะทานทนนานแล้ว ‘แควก’ ทีหนึ่ง เครื่องนุ่งห่มบนตัวฉีกขาด เผยกล้ามเนื้อแข็งแรงทั่วร่าง กลิ่นอายบุรุษเข้มข้นทำให้ลมหายใจของสามดรุณีกระชั้น กระนั้นกลับมิอาจสะกด ฉินอวิ๋นฟานเสือตะครุบอีกหน คว้าเท้าเล็กของหลู่เซียงหลิงเอาไว
ฉินอวิ๋นฟานตบบ่าหวังอันสือเบา ๆ แล้วกล่าวคำพูดจากใจ “ขุนนางในอนาคตของต้าเฉียนจะกระจ่างใสได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว หวังว่าเจ้าจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง”“รัชทายาทโปรดวางใจ ข้าน้อยจะไม่ทำให้ท่านผิดหวังแน่นอนขอรับ!”หวังอันสือตื้นตันจนน้ำตานองหน้า ถ้อยคำสวยงามใดก็มิอาจบรรยายความรู้สึกในขณะนี้ของเขา ในที่สุดก็มีเวทีแสดงปณิธานซึ่งมีอยู่เต็มอกของเขาแล้ว ในโลกอันขุ่นมัวนี้ ในที่สุดเขาก็ได้แสดงฝีมือสักทีและสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกโชคดีคือ เขาได้พบกับป๋อเล่อ ผู้มีจุดมุ่งหมายและทิศทางปณิธานเดียวกับเขา มอบโอกาสพลิกชะตาให้กับเขาครั้งหนึ่งเมื่อได้รับคำตอบยืนยันของหวังอันสือ ฉินอวิ๋นฟานคลี่ยิ้มพึงพอใจ จึงออกไปจากห้องและตรงไปยังตำหนักรัชทายาท...“พี่อวิ๋นฟาน ท่านคงหิวแย่แล้วกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานเพิ่งกลับมาถึงตำหนักที่พัก จิ่นเอ๋อร์ก็รีบเดินมาต้อนรับ ส่วนเสี่ยวจวี๋และเซียงหลิงต่างประกบอยู่ทางซ้ายและทางขวาจู่ ๆ ฉินอวิ๋นฟานก็รู้สึกว่าตำหนักที่พักต่างออกไปจากปกติ ปกติจะมีนางกำนัลรับใช้อยู่ในจวนอย่างน้อยสี่คน ทว่าวันนี้กลับไม่มีแม้แต่คนเดียว ทั้งตำหนักมีเพียงผู้หญิงสามคนเท่านั้น คือจิ่นเอ๋อร์ เซียงหล
“รัชทายาท ท่านจะหารือเรื่องใหญ่กับข้าน้อยหรือขอรับ?!”เห็นท่าทางจริงใจของฉินอวิ๋นฟาน หวังอันสือร่างสะท้านเล็กน้อย ฉินอวิ๋นฟานคือรัชทายาทผู้ว่าราชการแผ่นดินต้าเฉียนผู้สูงส่ง กลับมีเรื่องจะหารือกับเขา? มันมิควรเป็นคำสั่งหรือ?ฉินอวิ๋นฟานเปลี่ยนไปราวกับคนละคน ทำให้หวังอันสือสงบใจไม่ได้อยู่นาน ท่าทางเข้าหาได้ง่ายของฉินอวิ๋นฟานกับรัชทายาทผู้แข็งกร้าวราวกับเทพสังหารสถิตร่างที่เขาเพิ่งพบเมื่อครู่ต่างกันโดยสิ้นเชิงฉินอวิ๋นฟานพูดเป็นการเป็นงาน “ถูกต้อง หากจะพูดกันจริง ๆ ก็คือข้ามีเรื่องจะขอร้องเจ้า!”“มี มีเรื่องขอร้องข้าน้อย?”หวังอันสือสับสนมากกว่าเดิม เขาเป็นแค่ขุนนางระดับหก อาจารย์ต่ำต้อยคนหนึ่ง ไม่ว่าคนใดในเมืองหลวงที่ถูกบีบตายได้ง่าย ๆ น่ากลัวว่าจะมีอิทธิพลและฐานะเหนือเขา ฉินอวิ๋นฟานจะมีเรื่องขอร้องเขาได้อย่างไร?“หวังอันสือ ข้าได้ตรวจสอบเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาคร่าว ๆ ทั้งหมดแล้ว เจ้าคือผู้มีความสามารถที่ข้าต้องการจริง”ฉินอวิ๋นฟานเข้าประเด็นทันที “เจ้าน่าจะรู้ดีว่าตอนนี้ต้าเฉียนเป็นยังไง ถึงภายนอกดูสงบ แต่ความจริงคือคลื่นใต้น้ำ บรรดาองค์ชายและขั้วอิทธิพลที่อยู่เบื้องหลังต่อสู้กันจน
หลู่หนีสีหน้าเคร่งขรึม แสดงท่าทีอีกครั้ง เขารู้ว่าฉินอวิ๋นฟานเป็นคนเด็ดขาดฉับไว ในเมื่อฉินอวิ๋นฟานมอบงานนี้เขาก็ต้องเชื่อใจเขาหมดหัวใจอยู่แล้วอีกทั้งเรื่องนี้ยังสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อฉินอวิ๋นฟาน เป้าหมายของเขาชัดเจนมาก นั่นก็คือทำงานนี้ให้สำเร็จ สิ่งของเงินทองฉินอวิ๋นฟานทุ่มทุนมาก“เวลากระชั้นชิด พรุ่งนี้พวกท่านก็ออกเดินทางไปเมืองจัวเถอะ เรื่องนี้ต้องทำที่เมืองจัว หลิวเป้ยจะให้ความช่วยเหลือมอบความสะดวกทั้งหมดกับพวกท่านเอง ต้องการอะไรก็บอกได้เต็มที่ พวกท่านแค่ทุ่มเทกายใจทำงานก็พอ”ฉินอวิ๋นฟานกล่าวเสียงหนัก“เมีองจัว?”หลู่หนีลังเลเล็กน้อยก่อนจะตอบ “ก็ดี เมืองจัวเป็นคนของรัชทายาทเกือบทั้งหมด พวกเราแค่ทุ่มเทกายใจกับการผลิตก็พอ เช่นนี้จะลดอุปสรรคลงด้วย”......หลังจากกำชับทุกเรื่องเสร็จก็ดึกมาแล้ว ฉินอวิ๋นฟานลากร่างอันอ่อนล้ามายังที่รักษาตัวของพวกหวังอันสือ หลังจากทำความเข้าใจ ฉินอวิ๋นฟานพบว่าหวังอันสือคนนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับหวังอันสือในสมัยซ่งเหนือบางส่วนดังนั้นฉินอวิ๋นฟานจึงรู้สึกเห็นใจขึ้นมาเพราะเวลานี้เขากำลังอยู่ในช่วงที่ต้องการคน หากหวังอันสือเป็นเหมือนกับหวังอันสือในประวัต
“ข้าเข้าใจความรู้สึกของพวกท่านในตอนนี้ดี”ฉินอวิ๋นฟานพูดด้วยท่าทางมั่นใจ “ความจริงไม่ว่าข้าจะอธิบายกับพวกท่านยังไงก็เข้าใจยากอยู่ดี เพราะนี่คือการปฏิรูปอุตสาหกรรมล้ำยุค ในอดีตทุกคนต่างเรียกมันว่าการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งแรก”หลู่หนีถามด้วยใบหน้างุนงง “ปฏิวัติอุตสาหกรรม? นั่นคือสิ่งใดหรือขอรับ?”“อื่ม! จะว่ายังไงดีล่ะ?”ฉินอวิ๋นฟานลูบคางพิจารณาครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย “ข้าจะยกตัวอย่างง่าย ๆ ให้พวกท่านฟังก็แล้วกัน ในสังคมศักดินาที่ทำการเกษตรเป็นหลัก ในตอนที่ชาวบ้านรดน้ำ ส่วนมากแล้วจะใช้กำลังคนเป็นสำคัญ ไม่เพียงแต่ประสิทธิภาพต่ำ หนำซ้ำยังต้องใช้แรงงานเยอะมาก”“ทว่านับจากท่านหลู่ปันคิดค้นกังหันน้ำและระหัดวิดน้ำขึ้นมาก็เพิ่มประสิทธิภาพในการรดน้ำสูงขึ้น ทั้งยังประหยัดแรงงานไปเยอะ นี่ก็คือการพัฒนาทักษะในการเพาะปลูก และสามารถเรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติทางเกษตรกรรม”“ดังนั้นเครื่องจักรนี้ของข้าซับซ้อนกว่าระหัดวิดน้ำมากกว่า แต่ปริมาณบรรจุขนส่งและแรงขับเคลื่อนของมันมีมากกว่ารถม้ามหาศาล ทำให้ประสิทธิภาพในการทำการค้าสูงขึ้น นี่ก็คือการปฏิวัติอย่างหนึ่งของการค้าและการเดินทาง ข้าเรียกมันว่าการปฏิวัติ