เหอเหวินเย่าสีหน้าดำทะมึน เดือดดาลถึงที่สุดจากการเสียหลานชาย ตระกูลเหอคือตระกูลเหนือชั้นของต้าเฉียน เคยต้องรับกับความคับแค้นใจเช่นนี้หรือ?เขาแค้นใจอย่างยิ่ง นี่คือการท้าทายตระกูลเหอ ยิ่งเป็นการท้าทายฝ่ายของพวกเขา“แล้วพวกเจ้ามีแผนรับมืออะไรดี ๆ บ้าง?”นายผู้เฒ่าเหอย่อมกระเดือกแค้นนี้ไม่ลงอยู่แล้ว อย่างไรก็เป็นหลานชายแท้ ๆ จะซุกซนอย่างไรก็สืบทอดสายเลือดจากพวกเขา พวกเขามีสิทธิ์อบรม แต่คนอื่นไม่!“เรื่องนี้ต้องวางแผนระยะยาว จะผลีผลามไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะเสียเปรียบ”เหอเหวินเย่าเอ่ยเสียงหนักฉินอวิ๋นฮุยหน้าบึ้งตลอดเวลา ไม่พูดไม่จา ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้เท่ากับเขาอีกแล้ว เขาคือตัวเอกในศึกชิงบัลลังก์ การกระทำของฉินอวิ๋นฟานคือการท้าทายและการข่มเขาหากต้องการขึ้นนั่งตำแหน่งสูงสุด เขาต้องเอาชนะฉินอวิ๋นฟานให้ได้ มิเช่นนั้นนี่จะเป็นฝันร้ายชั่วชีวิตของเขาตอนนี้เอง จู่ ๆ ลิ่งหูชงก็เอ่ยปาก “ข้ามีวิธีหนึ่ง บางทีอาจกำจัดฉินอวิ๋นฟานกับคนข้างตัวเขาสิ้นซากในคราวเดียวได้”พอพูดออกมา นายผู้เฒ่าเหอ เหอเหวินเย่า เหอปี้อวี้ องค์ชายรองล้วนมองมาทางลิ่งหูชงด้วยสีหน้าประหลาดใจ สำหรับ
“คนทั่วไปน่าจะแยกแยะหัวหนูกับคอเป็ดได้กระมัง?”พอองค์ชายรองได้ยินคำพูดนี้แล้วใบหน้าสับสนงงงวยไปหมด ในฐานะที่เป็นองค์ชายผู้อยู่สูง อยากเห็นหนูราวกับได้เห็นของล้ำค่าหายาก แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังแบ่งแยกความแตกต่างในลักษณะของสองสิ่งนั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ประสบเคราะห์ นั่นคือไม่มีความจำเป็นต้องแก้ต่างฉินอวิ๋นฟานกระมัง?“ถูกต้อง ที่ข้าต้องการก็คือผลลัพธ์อย่างนี้นี่แหละ ถ้าทุกคนแยกแยะไม่ได้ งั้นพวกเราก็ต้องทำอย่างนี้”ลิ่งหูชงพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “พอผู้ประสบเคราะห์ผ่านวิกฤตความตายไปได้ พวกเขาก็จะเริ่มสังเกตคุณภาพอาหาร ถ้าเจอว่าในอาหารมีหัวหนูจะต้องทำให้พวกเขาไม่พอใจแน่”“ถ้าพวกเรายืนกรานว่ามันคือคอเป็ด กลับดำเป็นขาวต่อหน้าทุกคน ท่านคิดว่าจะปลุกอารมณ์โกรธของพวกคนที่ตอนแรกไม่โกรธได้หรือไม่?”“จงใจชี้ลาเป็นม้า? จงใจกระพือไฟ ก็เพื่อกระตุ้นความโกรธผู้ประสบเคราะห์? ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ฉินอวิ๋นฟานจะดิ้นรนแค่ไหนก็คงควบคุมสถานการณ์อีกไม่ได้กระมัง?”เวลานี้องค์ชายรองกระจ่างใจสักที ยกนิ้วหัวแม่มือให้ลิ่งหูชง แผนนี้เด็ดนัก นี่ก็คือเห็นอยู่ชัด ๆ แต่พูดมั่วหรือ?ทันทีที่ทำให้ผู้ประสบภั
ตอนนี้เอง นายผู้เฒ่าเหอเอ่ยปากแล้ว ดวงตาประหนึ่งเหยี่ยวคู่นั้นของเขาคมกริบและหนักแน่นที่สุด เขาที่บัดนี้อายุอานามสูงถึงเจ็ดสิบปียังคงมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมเขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในต้าเฉียนห้าสิบกว่าปี จะบอกว่าเขาเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งก็ไม่เกินไปสักนิด ความสามารถในการวิเคราะห์ยิ่งดังไฟเผาไหม้สมบูรณ์เขาติดตามไท่ซั่งหวงห้าสิบกว่าปี ย่อมรู้แก่นแท้ของเขามากกว่า“อื่ม ข้าเข้าใจแล้ว!”องค์ชายรองพยักหน้าราวกับมีความคิด หลังจากทบทวนแผนการทั้งหมด เขาก็พูดอย่างจริงจัง “น้าสาม เรื่องนี้สำคัญมาก มิเช่นนั้นท่านก็จัดการให้ชาวยุทธภพในท้องที่ทำเถอะ”“อื่ม! ได้!”และแผนการร้ายทั้งหมดนี้ ฉินอวิ๋นฟานไม่รู้เลยสักนิดฉินอวิ๋นฟานตื่นขึ้นมาท่ามกลางความอ่อนล้าในตอนเช้าตรู่ ยามนี้มู่หรงจิ่นยังหลับสนิท เสี่ยวจวี๋กลับยกอาหารเช้าจำนวนหนึ่งมาแล้วจ้องเรือนร่างสมบูรณ์แบบของมู่หรงจิ่น ฉินอวิ๋นฟานฉายรอยยิ้มอิ่มเอมอย่างยิ่ง แม่สาวคนนี้จากที่ต่อต้านพยศในทีแรก มาถึงตอนหลังที่ค่อย ๆ ดื่มด่ำและรับมันอย่างช้า ๆ จนถึงการรุกและให้ความร่วมมือเมื่อวานในท้ายที่สุดน่าเสียดาย บนตัวของมู่หรงจิ่นมีบาดแผลมากเกินไป เสี
“อู่เหลียงเย่? ชื่อนี้พิเศษนัก มีความหมายว่าอย่างไรหรือ?”มู่หรงซื่อควานถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย“ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษหรอก เหล้าของพวกเราทำจากธัญพืช ก็เลยตั้งชื่อนี้”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มบาง ไม่ได้อธิบายมากนัก ที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน เขาชอบเหล้ายี่ห้อนี้มาก และนี่ก็คงเป็นตราหนึ่งที่เขาประทับไว้ในยุคนี้กับตัวเองที่เป็นคนสมัยใหม่กระมัง“ได้ งั้นเราจะเริ่มโฆษณาออกไปเดี๋ยวนี้!”ตามคำสั่งของมู่หรงซื่อควาน ไม่นานรถม้าหลายสิบคันก็ปรากฏอยู่บนท้องถนนเมืองหลวงต้าเฉียน บนรถม้ามีแถบผ้าแขวนอยู่เต็มไปหมด คนที่อยู่หน้ารถม้าตีฆ้องร้องป่าว คึกคักผิดปกติแค่ชั่วเดี๋ยวเดียวถนนทั้งสายก็คึกคักอย่างยิ่ง จากโบราณถึงปัจจุบัน ผู้คนต่างชอบดูความครื้นเครง ภาพครึกครื้นที่จู่ ๆ ก็มีการฆ้องร้องป่าวจึงดึงดูดสายตาของทุกคน“เอ๋ วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหรือ? ทำไมภัตตาคารต้าเฉียนถึงตีฆ้องโฉ่งฉ่าง จุดประทัดดังสนั่นคึกคักอย่างนี้”“พวกเจ้าดูสิ บนป้ายเขียนไว้ว่าอู่เหลียงเย่สุราอันดับหนึ่งของต้าเฉียน นี่มันอะไรกัน? โอ้อวดขนาดนี้เชียว? ใครก็รู้ว่านารีแดงของพวกเขาเป็นน้ำเหล้าอันดับสองของต้าเฉียนไปแล
ซุนฉี่เชาหยิบข้อตกลงออกมายื่นให้บิดาซุนหั่ววั่งเลยจังหวะที่ซุนหั่ววั่งเห็นเนื้อหาข้อตกลงทั้งหมด ตบหน้าขาแรง ๆ ฉาดหนึ่งแล้วกระโดดโหยงขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้นที่สุด “เชาเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นลูกชายประเสริฐของข้า ได้เรื่องแล้ว ข้าพยายามมาตั้งหลายปีก็ไม่ได้ภัตตาคารตรงนั้นสักที กลับจะได้มาด้วยข้อตกลงแผ่นหนึ่งของเจ้าไม่ต้องจ่ายเงินสักแดง?”ซุนหั่ววั่งยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไป กลับมาอ่านข้อตกลงอีกครั้ง พบว่ากระดาษขาว ตัวหนังสือดำ ลงชื่อ พิมพ์นิ้วมือ ปราศจากข้อผิดพลาดอย่าว่าแต่ยอดขายเจ็ดวันเลย ต่อให้ใช้ยอดขายหนึ่งวันของพวกเขาเทียบกับยอดขายสิบวันของภัตตาคารต้าเฉียน นี่มิใช่การค้าที่มีแต่ได้ไม่มีเสียแน่อย่างแช่แป้งหรือ?นี่ฉินอวิ๋นฟานคิดไม่ตกขนาดไหนถึงได้ทำข้อตกลงผิดไร้มโนธรรมฟ้าเช่นนี้? ตาแก่มู่หรงซื่อควานกลับไม่คัดค้าน? ไม่รู้จักประมาณตนแท้ ๆ“ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ท่านพ่อ นี่ข้าจัดการปัญหาใหญ่เทียมฟ้าให้ภัตตาคารเซิ่งหลงพวกเราเลยนะ”ร่างอ้วนตุ๊ต๊ะของซุนฉี่เชานอนไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ มองดูภาพคึกคักเบื้องล่าง ท่าทางเกษมสันต์ยิ้มย่อง“ยอดไปเลย ยอดมาก เชาเอ๋อร์ เจ้าทำผลงานใหญ่ให้ตระกูลซุนแล้ว
แขกเหรื่อในภัตตาคารต้าเฉียนเกิดเสียงฮือฮา ไม่นานก็ดึงดูดคนที่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่โดยรอบ คนมากมายล้อมมุงดูความคึกคักรอบภัตตาคารต้าเฉียน“เสี่ยวเอ้อร์ เหล้าดีเช่นนี้เอามาให้ข้าอีกหนึ่งไห และอีกเดี๋ยวเอากลับอีกหนึ่งไห”“เสี่ยวเอ้อร์ ปลาไหลผัดพริกนี่ไม่เลว เอามาให้ข้าอีกสามจาน ปลาไหลน้ำแดงนี่ก็เยี่ยม เอามาให้ข้าอีกสองจาน แล้วลวดห่อกลับบ้านให้ข้าอีกอย่างละห้าชุด ข้าจะเอากลับไปให้ลูกเมียกิน”“เสี่ยวเอ้อร์ อย่ามัวชักช้าสิ! ข้าก็เอาสองไหเหมือนกัน รีบเอามาเร็ว ๆ เหล้านี่จะรสดีเกินไปแล้ว”......แค่ชั่วเดี๋ยวเดียว บรรดาลูกค้าต่างคลั่งกันขึ้นมา เพียงเหล้าจอกเล็ก ๆ ลงท้อง สยบคนได้โดยตรง ความยั่วยวนของอาหารอันโอชะยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง คืออาหารสุดล้ำที่พวกเขาเคยกินมาในชาตินี้แน่นอนชั่วอึดใจเดียว ทุกคนเริ่มตะโกนแย่งกันสั่งทีแรกพวกเขานึกว่าเสี่ยวเอ้อร์จะตื่นเต้นจนตัวสั่นเพราะพวกเราสั่งกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่คิดว่าพวกเขาเรียกจนคอแทบแตกกลับไม่มีเสี่ยวเอ้อร์คนไหนในร้านสนใจพวกเขาเลย“แค่ก ๆ...”ผู้ดูแลอายุครึ่งร้อยต้น ๆ กระแอมกระไอสองที กวาดสายตามองทุกคนและเอ่ย “นายท่านทั้งหลาย ต้องขออภัยจริง ๆ ขอร
“นั่นนะสิ ถึงเหล้านี้จะอร่อยยังไงก็ไม่ตั้งราคาอย่างนี้กันกระมัง? เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ ไหละสองร้อยตำลึง อยู่นานได้เห็นโลกแท้ ๆ”“ไม่ต้องพูดมาก เรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้าออกมา ข้าอยากเห็นสิว่าเขามีหัวกี่หัวถึงกล้าขูดรีดโจ่งแจ้งอย่างนี้”......พอได้ยินราคาสูงฉี่อย่างนี้ ทุกคนพากันด่าทอพ่นน้ำลาย สุราคือสิ่งจำเป็นในชีวิตของพวกเขา หนึ่งไหสองสามตำลึงกลับไม่นับเป็นอะไร แต่ไหละสองสามร้อยตำลึงนี่แทบจะพลิกความรู้ความเข้าใจของพวกเขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ตั้งราคาเช่นนี้มิสู้ปล้นเสียเลยดีกว่า“เอ่อ...”ผู้ดูลองมองไปทางชั้นสองด้วยสีหน้าปั้นยาก อย่างไรเรื่องนี้เขาก็ตัดสินใจไม่ได้ จึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากด้านบนฉินอวิ๋นฟานเห็นดังนั้นรู้ว่าถึงตาเขาออกโรงแล้ว มิเช่นนั้นพวกขุนนางใหญ่มากบารมีพวกนี้ไม่หาเรื่องหน่อยคงไม่ยอมรามือ“ยังไง? เห็นว่าคนจะหาเรื่องหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานสองมือกอดอก เดินลงมาจากชั้นสองด้วยใบหน้าเย็นชา กวาดมองทุกคน เนื้อตัวบนล่างเต็มไปด้วยความเผด็จการ ท่าทางแลมองเบื้องล่างทำให้ทุกคนหยุดลงทันทีเห็นว่าคนที่มายังหนุ่มทั้งยังโอหัง จึงถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นใคร? เรื่องน
“อย่างไร? ไม่ต้อนรับข้ารึ?”จางเต้าหลินกล่าวอย่างไม่มีพิษไม่มีภัย นับจากดื่มสุราของฉินอวิ๋นฟานในคืนนั้นแล้ว เขาก็ลืมความรู้สึกเผ็ดร้อนกระตุ้นนั้นไม่ลง ทุกครั้งที่ดื่มสุราอื่นให้ความรู้สึกราวกับน้ำเปล่า ชืดสนิทสุราในสมัยโบราณแค่สิบกว่าดีกรี กระตุ้นต่อมรับรสน้อยมาก แต่อู่เหลียงเย่ที่ฉินอวิ๋นฟานหมักทำให้เขาได้นิยามของสุรารูปแบบใหม่หมดประเด็นสุดสำคัญคือ บุตรสาวชอบสุราชนิดนี้มาก ครั้นดื่มร่วมกับปลาไหลผัดพริกและปลาไหลน้ำแดง นั่นแทบจะสมบูรณ์แบบ เมื่อวานยังทะเลาะกับเขาด้วยเรื่องนี้ทั้งวันอีกแน่ะหนึ่งเพื่อความต้องการทางปากของตัวเอง สองก็เพื่อบุตรสาวสุดที่รักของเขา จากที่เขาสังเกตฉินอวิ๋นฟานในระยะนี้ เจ้านี่เปลี่ยนแปลงไปแบบสุดโต่ง ไหวพริบดี กระเหี้ยนกระหือรือ แม้แต่องค์ชายห้าก็ยังกล้าฆ่าตามสัญชาตญาณของเขา สองร้อยตำลึงต้องไม่ใช่ราคาสูงสุดของอีกฝ่ายแน่ เพื่อป้องกันว่าเจ้านี่จะไม่ทำให้ของขาดตลาดแล้วให้คนรอคอยตาละห้อยในตอนหลัง เขาจึงเลือกซื้อสิบไหในคราวเดียว นี่พอให้เขาดื่มได้สองเดือนแล้ว“ต้อนรับสิ จะไม่ต้อนรับใต้เท้าไท่เว่ยของต้าเฉียนได้อย่างไร!”ฉินอวิ๋นฟานฉีกยิ้ม ตาแก่นี่เป็นจิ้งจอกเฒ
ในที่สุดเหมิงฉาก็รับไม่ไหว ร้องตะโกนคำที่แทบจะเป็นความอัปยศนั้นการแข่งขันทางบู๊นี้ก็ปิดฉากลงท่ามกลางความตกตะลึงพรึงเพริดของทุกคน...เรื่องหักเหจากการคาดหมายของทุกคนเหลียงจ้านอิงและเหลียงเทียนจื้อต่างคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้จะล้วงปืนสั้นออกมาพลิกสถานการณ์ในการแข่งขันด้านบู๊นี้กระทั่งว่าเหลียงเทียนจื้อไม่มีโอกาสจะได้ออกโรงเลย...เช่นละครอย่างไรอย่างนั้น เนื่องจากเหมิงฉากลัวสุดขีดจึงยกมือยอมแพ้ดังนั้นเหลียงเทียนอี้จึงคว้าชัยชนะการแข่งขันรอบนี้ได้อย่างง่ายดายโดยไม่เปลืองแรงภาพมหัศจรรย์เกิดให้แบบไม่มีการเปลี่ยนแปลงลุ้นระทึกและไม่มีเลือดร้อนพลุ่งพล่านที่ใครคาดหวัง!ถึงขั้นว่าลวงตามากแต่ผลลัพธ์เป็นของจริงแท้แน่นอน เหลียงเทียนอี้ชนะแล้ว......“ดูท่าครั้งนี้ฟานเอ๋อร์จะช่วยข้าได้มากอีกแล้ว”เหลียงเทียนอี้กลับมาถึงด้านในก็คืนปืนสั้นให้ฉินอวิ๋นฟานและพรูลมหนัก ๆ“เหอะ ๆ เสด็จน้าชมเกินไปแล้ว ทุกอย่างขึ้นอยู่กับกลยุทธ์ของท่านทั้งหมด ไม่เกี่ยวกับข้าสักหน่อย”ฉินอวิ๋นฟานยักไหล่ มิได้กล่าวอะไรอีกถ้าจะบอกว่าเขาทำอะไรเพื่อเหลียงเทียนอี้ นั่นก็แค่บอกเขาว่าความจริงการแข่งขันนี้สามาร
การกระทำของเหลียงเทียนอี้ทำให้ทุกคนในนั้นตกตะลึงแม้แต่เหลียงจ้านอิงที่อยู่บนปะรำก็ยังหยุดการดื่มน้ำชาไม่ได้ มองไปด้วยสีหน้าประหลาดใจ“เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”เหลียงเทียนจื้อมองเหลียงเทียนอี้ที่ปราศจากเครื่องป้องกันใด ๆ ด้านข้าง ใบหน้าแปลกใจนี่คือการแข่งขันบู๊นะ คือสถานที่ตีรันฟันแทง ถ้าไม่ระวังอาจต้องคมศาสตราได้จริง ๆ ศีรษะย้ายที่อยู่ หากไม่ใช่เพราะมั่นใจกับฝีมือของตัวเองมาก กอปรกับวางแผนร่วมกับทางซยงหนูดีแล้วเขาคงต้องสวมชุดเกราะหนักมารับมือกับการแข่งขันด้านบู๊วันนี้เหมือนกันทว่าการกระทำเช่นนี้ของเหลียงเทียนอี้ต่างจากการรนหาที่ตายอย่างไร?ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกแปลก เหลียงเทียนจื้อหน้าบิดเบี้ยวเล็กน้อย...ทั้งที่เขาควรดีใจกับเวลานี้ ถ้าเหลียงเทียนอี้เกิดอุบัติเหตุในการแข่งขันรอบนี้ เช่นนั้นบัลลังก์ต้องเป็นของเขาแน่แล้วแต่ใจกับกระวนกระวาย อย่างไรก็ไม่เป็นสุข“หรือว่าเขาแอบวางแผนอะไร?”ทันใดนั้นเหมิงฉาเริ่มบุกโจมตีก่อนแล้วร่างสูงใหญ่นั้นหวดขวานใหญ่หนักร้อยชั่งพลางเข้าใกล้เหลียงเทียนอี้อย่างต่อเนื่องภายใต้แสงสุริยา คมมีดนั้นน่ากลัวเช่นนี้ ราวกับแค่ถากเถือเบา ๆ ก็เฉือนศีรษ
“ข้าเอง!”ทันใดนั้นเหลียงเทียนอี้ก็ก้าวออกมาช้า ๆโง่อย่างที่คิด...เหลียงเทียนจื้อยืนยิ้มเยาะอยู่ในใจข้างหลังเขารู้นิสัยของพี่ชายดี และรู้ว่าเหลียงเทียนอี้เป็นคนดื้อรั้นมากเมื่อเจอกับสถานการณ์เช่นนี้ก็มักจะดาหน้าออกไปทันทีแม้เผชิญหน้ากับพันขุนศึกหมื่นอาชาก็ยังปราศจากความกลัวเกรง พลีตนจนตัวตาย...แต่พฤติกรรมวู่วามเช่นนี้ กลัวแต่ต้องจบอย่างอนาถในท้ายที่สุด“ฮ่า ๆ ๆ รัชทายาทกล้าหาญดังคาด!” เหมิงฉาหัวเราะเสียงดัง “ปกติยังนึกว่าท่านเป็นแต่สะบัดพู่กันขีดเขียน วันนี้ข้าอยากลองดูสิว่าฝีมือดาบกระบี่ของท่านจะล้ำลึกหรือไม่?”เพิ่งกล่าวจบ เหมิงฉาก็กวัดแกว่งขวานใหญ่พลางเดินประชิดไปทางเหลียงเทียนอี้ทีละก้าวรูปร่างใหญ่นั้น ร่างกายแข็งแรงนั้น แค่ยืนอยู่ก็สร้างแรงกดดันที่มองไม่เห็นแล้วทำให้หลาย ๆ คนเห็นแล้วอดเกิดใจกลัวอย่างหนึ่งขึ้นมาไม่ได้“อุ๊ย ท่านพี่จะเอาชนะสัตว์ประหลาดตัวนี้ยังไง?”เหลียงจื่อฝูที่อยู่บนปะรำหน้าทุกข์ร้อน สองมือบีบผ้าเช็ดหน้าแน่น สีหน้าซีดไปเล็กน้อยนางจ้องเหลียงเทียนอี้กลางลานฝึกซ้อม“ท่านพี่ไม่มีความสามารถด้านนี้เท่าไร ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเหมิงฉา!”ผู้เป็นน้องสาว
เหลียงเทียนอี้ขมวดคิ้วแน่น ใบหน้าราบเรียบ มองอารมณ์ไม่ออกแต่ในใจเขารู้ดี การต่อสู้ครั้งนี้ได้เปิดฉากอย่างเป็นทางการตั้งแต่เหมิงฉาเริ่มพูดแล้วนี่คือการหยามหน้า คือการหยามเหยียดอย่างชัดเจนไม่เห็นเขาอยู่ในสายตาเลย“เป็นยังไง? องค์ชายสาม?”เหมิงฉาเมินเหลียงเทียนอี้ที่อยู่อีกทางหนึ่ง แล้วใช้สายตาท้าทายมองไปทางเหลียงเทียนจื้อ ก่อนจะเอ่ยเสียงเย็น “ได้ยินว่าฝีมือการใช้ดาบกระบี่ขององค์ชายสามค่อนข้างร้ายกาจ วันนี้ข้าขอท้าทายสักหน่อยเถิด”“มิเป็นไร” เหลียงเทียนจื้อฉีกยิ้ม ใบหน้าเปื้อนไปด้วยความกระหยิ่มใจจากนั้นก็ชักกระบี่ล้ำค่าคู่กายออกมาจากตรงเอวช้า ๆการต่อสู้ครั้งนี้ คือของเขาเท่านั้น!และเป็นเขาได้เท่านั้น!เขาต้องการให้ทุกคนรู้ว่าเขาเหลียงเทียนจื้อต่างหากที่เป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดคนนั้น คือคนที่สามารถเอาชนะซยงหนูได้อย่างแท้จริง!......“ดูท่าทุกอย่างจะดำเนินไปตามแผนนะ”เหลียงจ้านอิงดื่มน้ำชาสบายใจเฉิบอยู่บนปะรำมองผลสะท้อนกลับอย่างอบอุ่นของเหล่าผู้ชม จิตใจยิ่งฮึกเหิมตื่นเต้นไม่พูดไม่ได้เลย ถ้อยคำนั้นของเหมิงฉาทำให้เกิดผลดีเยี่ยม สามารถชักจูงอารมณ์ของทุกคนได้ในพริบตาเขาเช
ตกลงไว้แต่แรกว่าเป็นการแข่งขันรูปแบบปิด และไม่ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร นอกจากราชวงศ์จะมิมีผู้ใดล่วงรู้ทว่าตอนนี้กลับแข่งขันในลานกว้างต่อหน้าธารกำนัล?หากท่านพี่แพ้มิต้องเป็นที่หัวเราะไปทั่วหรือ?“นี่ก็คือผลลัพธ์ที่ทางเหลียงชินอ๋องต้องการกระมัง?”ฉินอวิ๋นฟานนั่งลงด้านข้าง ยิ้มพูดอย่างเฉยชา “ในฐานะที่เป็นละครฉายซ้ำของวันนี้ พวกเขาแค่ต้องการให้ทุกคนได้เห็นความประดักประเดิดของเสด็จน้าเท่านั้น”แต่แพ้จากการต่อสู้เช่นนั้นผลลัพธ์ต้องเทข้างแน่โอรสสวรรค์ของต้าเหลียงที่กล่าวขานกลับแพ้ให้กับคนป่าเถื่อน ทั้งความสามารถยังมิสู้องค์ชายสามเหลียงเทียนจื้อขอเพียงมีการพูดประเภทนี้ต่อไป ไม่นานอัตราการสนับสนุนเหลียงเทียนจื้อก็จะพุ่งสูงลูกไม้พรรค์นี้ช่างโหดเหี้ยมนัก“น่ารังเกียจจริง ๆ...” คิ้วงามเหลียงจื่อฝูย่นยู่เล็กน้อย อดกระตุกมุมปากไม่ได้ “ไม่เคยคิดเลยว่าพวกเขาจะใช้วิธีการต่ำช้าเช่นนี้”“เมื่อวานท่านพี่ชนะการแข่งขันด้านบุ๋นกับซยงหนูในท้องพระโรง พวกเขาไม่เห็นจะพูดกันเลย เลวทรามจริง ๆ!”ฉินอวิ๋นฟานหัวเราะอย่างไม่ออกความเห็นเขากลับไม่ใส่ใจว่าเมื่อวานจะชนะหรือแพ้ วันนี้ต่างหากที่เป็นส่วนสำค
สำหรับเหลียงเทียนอี้ การแข่งขันในวันนี้ค่อนข้างน่าตกใจแต่ยังดีที่สุดท้ายเขาสามารถคลี่คลายได้อย่างน่าอัศจรรย์ ทำให้พวกซยงหนูหน้าบึ้งตึง โจมตีจนพวกเขารับมือไม่ทันดูท่าปกติว่างเว้นจากการงานอ่านหนังสือให้มากจะมีประโยชน์...หลังประชุมเช้า เหลียงเทียนอี้ก็อดรนทนไม่ไหวบอกข่าวดีกับฉินอวิ๋นฟาน อยากแบ่งปันความสุขและความเปรมปรีดิ์ของตนแต่พอได้ยินฉินอวิ๋นฟานตอบกลับ เขาจึงตระหนักว่าเรื่องราวไม่ได้เรียบง่ายธรรมดาอย่างที่เขาคิดอย่างนั้น“การแข่งขันทางบู๊ในวันพรุ่งนี้จึงจะเป็นส่วนสำคัญอย่างแท้จริง”คำพูดราบเรียบประโยคหนึ่งของฉินอวิ๋นฟานทำให้ความยินดีปรีดาของเหลียงเทียนอี้ในแต่เดิมสูญสิ้น สีหน้าอึมครึมมากขึ้นเรื่อย ๆ“ข้าย่อมรู้ดี...แต่ปกติ คนที่จะชนะในการแข่งขันทางบู๊คงจะเป็นน้องสาม”เกี่ยวกับจุดนี้แทบไม่มีอะไรให้ลุ้นเพราะเหลียงเทียนจื้อร่ำเรียนกับเหลียงจ้านอิงแต่เล็ก อีกทั้งยังเคยเข้าสนามรบฟาดฟันกับศัตรู ด้านประสบการณ์การรบ จึงมีความคล่องมากกว่าเป็นธรรมดาเช่นนี้ หากคิดจะชิงคะแนนหนึ่งมาจากมือของเหลียงเทียนจื้อ คาดว่าต้องยากเป็นพิเศษเมื่อเห็นเหลียงเทียนอี้มีท่าทางปราศจากใจฮึดสู้ ฉินอวิ
“พันทุบหมื่นเจาะจึงได้แผ่นดิน ไฟโหมเผาไหม้เป็นอาจิณ ร่างแหลกกายเหลวมิหวั่น คงไว้ซึ่งความบริสุทธิ์ในโลกา”ฝุ่นหินหนึ่งบททำให้หลิ่วเหวินเซี่ยมั่นใจมากขึ้นไม่น้อยครั้งนี้เขาไม่ออมมืออีก ทั้งยังท่องออกมาจนจบ ไม่เปิดโอกาสใด ๆ ให้กับเหลียงเทียนอี้เช่นเดียวกัน เขาทำนอกเหนือแผนเดิม ไม่คิดสนใจความรู้สึกของเหลียงเทียนจื้ออีก“นี่ นี่มันกลอนอะไร?”เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ด้านหลังเหงื่อตก ในหัวถึงขั้นว่าไม่มีความทรงจำอะไรเกี่ยวกับกลอนบทนี้แน่นอน ด้วยความทึ่มทื่อของเขาจะต่อกลอนได้อย่างไร ได้แต่เกาหลังศีรษะยิก ๆทว่าเหลียงเทียนอี้ยังใจเย็นเหมือนเดิม เพียงครู่เดียวก็ตอบ“หวงคะนึงความทุกข์เข็ญในการสอบ บัดนี้ไฟสงครามสงบผ่านพ้นสี่ปี”“บ้างเมืองไหวเอนดังกิ่งหลิว ใครเล่ามิใช่ผิวน้ำฝนซัดสาด”“หวงข่งทานปราชัยพรั่นพรึงถึงวันนี้ หลิงติงหยางอ้างว้างถอนหายใจ”“นับแต่โบราณใครบ้างมิดับสูญ เหลือใจรักชาติในพงศาวดาร”ครั้นกล่าวออกมาก็ได้รีบเสียงปรบมือดังสนั่นขุนนางบุ๋นบู๊ที่ชมละครฉากเด็ดในแต่เดิม ยามนี้ยอมสยบกับความสามารถทางวรรณกรรมของเหลียงเทียนอี้แล้วไม่ว่าจะเป็นกลอนในสมัยใด เหลียงเทียนอี้ก็เหมือน
ชั่วขณะ ท้องพระโรงเงียบกริบ สายตาของทุกคนรวมศูนย์อยู่กับตัวของเหลียงเทียนอี้แทบทั้งหมดในดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจและความยินดีหลังจากหลิ่วเหวินเซี่ยร่ายกลอนท่อนแรกออกมา เหลียงเทียนอี้กลับสามารถตอบสนองทันควันพร้อมต่อท่อนหลังความเร็วเช่นนี้เรียกว่าเร็วยิ่ง!“อวิ๋นเฉ่าสาทรฤดูมีเขียวแห่งวสันต์ของกวีราชวงศ์ซ่ง คือยอดบทกวีโดยแท้!”เหลียงเทียนอี้พยักหน้าอย่างสง่างาม ใบหน้าประดับรอยยิ้มมั่นใจงานนี้ทำให้เหลียงเทียนจื้อที่อยู่ข้างล่างหน้าตึงฉับพลันเหลียงจ้านอิงที่ยืนอยู่ข้าง ๆ ยิ่งหนักกว่า สายตาที่มองมาราวกับมีไฟพุ่งออกมาได้“บ้าเอ๊ย...ถูกชิงตัดหน้าไปก่อน!”เหลียงเทียนจื้อกัดฟันกรอด ในใจกรุ่นโกรธไม่หยุดทั้งที่เขาทำการบ้านมาล่วงหน้า ไม่ว่าหลิ่วเหวินเซี่ยจะท่องกลอนบทใดเขาก็เตรียมเอาไว้หมดแล้วแต่ในสถานการณ์เช่นนี้ เขากลับเร็วสู้เหลียงเทียนอี้ไม่ได้!และไม่รู้ว่าตัวเองโง่เขลาหรือเหลียงเทียนอี้เก่งจริงกันแน่!“รัชทายาททรงภูมิแท้ ข้าน้อยเลื่อมใส!”หลิ่วเหวินเซี่ยพยักหน้าด้วยสีหน้าคงเดิมทว่าในใจกลับไม่พอใจเล็กน้อยแล้วคิดไม่ถึงว่าเหลียงเทียนอี้ผู้นี้จะมีฝีมือ เขาจงใจเลือกบทกวี
การกระทำเช่นนี้คือการแสดงความยโสหยิ่งผยองของซยงหนูอย่างมิต้องสงสัย“เหมิงฉา คารวะรัชทายาท”“หลิ่วเหวินเซี่ย คารวะรัชทายาท”คนอื่น ๆ ก็ทักทายตามด้วยเหมือนกัน เมื่อนั้นเหลียงเทียนอี้จึงรู้ฐานะของพวกเขาดูแล้วหนึ่งคนในนั้นก็คือบุตรชายของเหมิงเก๋อเอ่อร์ หรือก็คือคนที่มาท้าทายเขาในครั้งนี้อย่างที่เหลียงจ้านอิงบอก การมาครั้งนี้ของเหมิงเก๋อเอ่อร์ก็เพื่อหยั่งเชิงเขาโดยอ้างเหตุผลเยี่ยมเยือนฮ่องเต้ต้าเหลียง ดังนั้นเรื่องที่เริ่มสนทนาในท้องพระโรงจึงเกี่ยวกับสุขภาพของฮ่องเต้ต้าเหลียงแทบจะทั้งหมดทว่าทุกคนในที่นั้นต่างรู้ดี จุดประสงค์ของผู้นิยมสุรามิได้อยู่ที่สุรานี่อย่างไร ครั้นเปลี่ยนเรื่อง เหมิงเก๋อเอ่อร์ก็กล่าวถึงการแข่งขันเลย“ได้ยินว่ารัชทายาทและองค์ชายสามเก่งทั้งบุ๋นแล้วบู๊มานาน คืออัจฉริยะของต้าเหลียง การมาเยือนต้าเหลียงครั้งนี้ นอกจากจะเยี่ยมฮ่องเต้ต้าเหลียงสหายเก่าท่านนี้ ก็อยากให้บุตรชายได้ประมือกับรัชทายาทและองค์ชายสักหน่อย”เหมิงเก๋อเอ่อร์สีหน้าขึงขัง ในที่สุดก็เข้าประเด็นชั่วขณะ ทุกคนในท้องพระโรงหัวใจจะหลุดออกมาอยู่แล้ว ต่างสังเกตสีหน้าเหลียงเทียนอี้อย่างแนบเนียนทว่าเ