ดึกดื่นเที่ยงคืน องค์ชายใหญ่ฉินอวิ๋นคังรีบร้อนไฟรนไปถึงจวนตระกูลฮั่ว“คังเอ๋อร์ ดึกอย่างนี้แล้ว เจ้ามีเรื่องเร่งด่วนอะไรหรือ?”ฮั่วเจิ้นหลงเห็นลูกเขยมาถึงบ้านแบบรีบร้อนกลางดึกเช่นนี้ ทำให้เขาจำต้องระแวดระวังขึ้นมา กลัวว่าจะเกิดเรื่องใหญ่อะไร“ท่านพ่อตา เกิดเรื่องแล้ว เกิดเรื่องใหญ่แล้ว!”องค์ชายใหญ่กระหืดกระหอบพูด “เมื่อกี้ น้องห้าเอาตัวชายาของน้องเจ็ดไปที่ห้องลับในคุกหลวง หมายจะทำมิดีมิร้าย กลับถูกน้องเจ็ดจับได้ ท่านก็เคยเห็นอารมณ์ของน้องเจ็ด พอโมโหขึ้นมาเขาก็ฆ่าน้องห้าไปแล้วจริง ๆ!”“อะไรนะ?”“รัชทายาทฆ่าองค์ชายห้าจริงรึ?”ฮั่วเจิ้นหลงเด้งพรวดขึ้นมาจากเก้าอี้ ในดวงตาเต็มไปด้วยความสะพรึง ถ้าองค์ชายองค์อื่นถูกสังหาร ฮั่วเจิ้นหลงกลับไม่ใส่ใจ เพราะช่วงชิงบัลลังก์ก็คือหนทางแห่งการเข่นฆ่าสายเลือดเดียวกันอยู่แล้ว แต่องค์ชายห้าไม่เหมือนกัน เขาไม่เพียงเป็นองค์ชาย ยิ่งเป็นคนของตระกูลเหอ ฆ่าเขาเท่ากับประกาศสงครามกับองค์ชายรองและตระกูลเหอ ซึ่งจะเป็นศึกที่ไม่ตายไม่เลิกราถึงจะเป็นตระกูลฮั่วของเขาก็ไม่กล้าเอาชีวิตองค์ชายห้าง่าย ๆ“จริงแท้แน่นอน เสด็จปู่ก็เสด็จไปที่นั่นด้วย แต่ไม่ได้ลงโท
เหอเหวินเย่าสีหน้าดำทะมึน เดือดดาลถึงที่สุดจากการเสียหลานชาย ตระกูลเหอคือตระกูลเหนือชั้นของต้าเฉียน เคยต้องรับกับความคับแค้นใจเช่นนี้หรือ?เขาแค้นใจอย่างยิ่ง นี่คือการท้าทายตระกูลเหอ ยิ่งเป็นการท้าทายฝ่ายของพวกเขา“แล้วพวกเจ้ามีแผนรับมืออะไรดี ๆ บ้าง?”นายผู้เฒ่าเหอย่อมกระเดือกแค้นนี้ไม่ลงอยู่แล้ว อย่างไรก็เป็นหลานชายแท้ ๆ จะซุกซนอย่างไรก็สืบทอดสายเลือดจากพวกเขา พวกเขามีสิทธิ์อบรม แต่คนอื่นไม่!“เรื่องนี้ต้องวางแผนระยะยาว จะผลีผลามไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นพวกเราจะเสียเปรียบ”เหอเหวินเย่าเอ่ยเสียงหนักฉินอวิ๋นฮุยหน้าบึ้งตลอดเวลา ไม่พูดไม่จา ไม่มีใครเข้าใจสถานการณ์ในเวลานี้เท่ากับเขาอีกแล้ว เขาคือตัวเอกในศึกชิงบัลลังก์ การกระทำของฉินอวิ๋นฟานคือการท้าทายและการข่มเขาหากต้องการขึ้นนั่งตำแหน่งสูงสุด เขาต้องเอาชนะฉินอวิ๋นฟานให้ได้ มิเช่นนั้นนี่จะเป็นฝันร้ายชั่วชีวิตของเขาตอนนี้เอง จู่ ๆ ลิ่งหูชงก็เอ่ยปาก “ข้ามีวิธีหนึ่ง บางทีอาจกำจัดฉินอวิ๋นฟานกับคนข้างตัวเขาสิ้นซากในคราวเดียวได้”พอพูดออกมา นายผู้เฒ่าเหอ เหอเหวินเย่า เหอปี้อวี้ องค์ชายรองล้วนมองมาทางลิ่งหูชงด้วยสีหน้าประหลาดใจ สำหรับ
“คนทั่วไปน่าจะแยกแยะหัวหนูกับคอเป็ดได้กระมัง?”พอองค์ชายรองได้ยินคำพูดนี้แล้วใบหน้าสับสนงงงวยไปหมด ในฐานะที่เป็นองค์ชายผู้อยู่สูง อยากเห็นหนูราวกับได้เห็นของล้ำค่าหายาก แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ เขาก็ยังแบ่งแยกความแตกต่างในลักษณะของสองสิ่งนั้นได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงผู้ประสบเคราะห์ นั่นคือไม่มีความจำเป็นต้องแก้ต่างฉินอวิ๋นฟานกระมัง?“ถูกต้อง ที่ข้าต้องการก็คือผลลัพธ์อย่างนี้นี่แหละ ถ้าทุกคนแยกแยะไม่ได้ งั้นพวกเราก็ต้องทำอย่างนี้”ลิ่งหูชงพูดอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “พอผู้ประสบเคราะห์ผ่านวิกฤตความตายไปได้ พวกเขาก็จะเริ่มสังเกตคุณภาพอาหาร ถ้าเจอว่าในอาหารมีหัวหนูจะต้องทำให้พวกเขาไม่พอใจแน่”“ถ้าพวกเรายืนกรานว่ามันคือคอเป็ด กลับดำเป็นขาวต่อหน้าทุกคน ท่านคิดว่าจะปลุกอารมณ์โกรธของพวกคนที่ตอนแรกไม่โกรธได้หรือไม่?”“จงใจชี้ลาเป็นม้า? จงใจกระพือไฟ ก็เพื่อกระตุ้นความโกรธผู้ประสบเคราะห์? ถ้าเป็นแบบนี้ ต่อให้ฉินอวิ๋นฟานจะดิ้นรนแค่ไหนก็คงควบคุมสถานการณ์อีกไม่ได้กระมัง?”เวลานี้องค์ชายรองกระจ่างใจสักที ยกนิ้วหัวแม่มือให้ลิ่งหูชง แผนนี้เด็ดนัก นี่ก็คือเห็นอยู่ชัด ๆ แต่พูดมั่วหรือ?ทันทีที่ทำให้ผู้ประสบภั
ตอนนี้เอง นายผู้เฒ่าเหอเอ่ยปากแล้ว ดวงตาประหนึ่งเหยี่ยวคู่นั้นของเขาคมกริบและหนักแน่นที่สุด เขาที่บัดนี้อายุอานามสูงถึงเจ็ดสิบปียังคงมีกำลังวังชาเต็มเปี่ยมเขาล้มลุกคลุกคลานอยู่ในต้าเฉียนห้าสิบกว่าปี จะบอกว่าเขาเป็นจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ตัวหนึ่งก็ไม่เกินไปสักนิด ความสามารถในการวิเคราะห์ยิ่งดังไฟเผาไหม้สมบูรณ์เขาติดตามไท่ซั่งหวงห้าสิบกว่าปี ย่อมรู้แก่นแท้ของเขามากกว่า“อื่ม ข้าเข้าใจแล้ว!”องค์ชายรองพยักหน้าราวกับมีความคิด หลังจากทบทวนแผนการทั้งหมด เขาก็พูดอย่างจริงจัง “น้าสาม เรื่องนี้สำคัญมาก มิเช่นนั้นท่านก็จัดการให้ชาวยุทธภพในท้องที่ทำเถอะ”“อื่ม! ได้!”และแผนการร้ายทั้งหมดนี้ ฉินอวิ๋นฟานไม่รู้เลยสักนิดฉินอวิ๋นฟานตื่นขึ้นมาท่ามกลางความอ่อนล้าในตอนเช้าตรู่ ยามนี้มู่หรงจิ่นยังหลับสนิท เสี่ยวจวี๋กลับยกอาหารเช้าจำนวนหนึ่งมาแล้วจ้องเรือนร่างสมบูรณ์แบบของมู่หรงจิ่น ฉินอวิ๋นฟานฉายรอยยิ้มอิ่มเอมอย่างยิ่ง แม่สาวคนนี้จากที่ต่อต้านพยศในทีแรก มาถึงตอนหลังที่ค่อย ๆ ดื่มด่ำและรับมันอย่างช้า ๆ จนถึงการรุกและให้ความร่วมมือเมื่อวานในท้ายที่สุดน่าเสียดาย บนตัวของมู่หรงจิ่นมีบาดแผลมากเกินไป เสี
“อู่เหลียงเย่? ชื่อนี้พิเศษนัก มีความหมายว่าอย่างไรหรือ?”มู่หรงซื่อควานถามด้วยความสงสัยเล็กน้อย“ไม่ได้มีความหมายอะไรพิเศษหรอก เหล้าของพวกเราทำจากธัญพืช ก็เลยตั้งชื่อนี้”ฉินอวิ๋นฟานยิ้มบาง ไม่ได้อธิบายมากนัก ที่ตั้งชื่อนี้ก็เพราะตอนที่อยู่ในยุคปัจจุบัน เขาชอบเหล้ายี่ห้อนี้มาก และนี่ก็คงเป็นตราหนึ่งที่เขาประทับไว้ในยุคนี้กับตัวเองที่เป็นคนสมัยใหม่กระมัง“ได้ งั้นเราจะเริ่มโฆษณาออกไปเดี๋ยวนี้!”ตามคำสั่งของมู่หรงซื่อควาน ไม่นานรถม้าหลายสิบคันก็ปรากฏอยู่บนท้องถนนเมืองหลวงต้าเฉียน บนรถม้ามีแถบผ้าแขวนอยู่เต็มไปหมด คนที่อยู่หน้ารถม้าตีฆ้องร้องป่าว คึกคักผิดปกติแค่ชั่วเดี๋ยวเดียวถนนทั้งสายก็คึกคักอย่างยิ่ง จากโบราณถึงปัจจุบัน ผู้คนต่างชอบดูความครื้นเครง ภาพครึกครื้นที่จู่ ๆ ก็มีการฆ้องร้องป่าวจึงดึงดูดสายตาของทุกคน“เอ๋ วันนี้เป็นวันพิเศษอะไรหรือ? ทำไมภัตตาคารต้าเฉียนถึงตีฆ้องโฉ่งฉ่าง จุดประทัดดังสนั่นคึกคักอย่างนี้”“พวกเจ้าดูสิ บนป้ายเขียนไว้ว่าอู่เหลียงเย่สุราอันดับหนึ่งของต้าเฉียน นี่มันอะไรกัน? โอ้อวดขนาดนี้เชียว? ใครก็รู้ว่านารีแดงของพวกเขาเป็นน้ำเหล้าอันดับสองของต้าเฉียนไปแล
ซุนฉี่เชาหยิบข้อตกลงออกมายื่นให้บิดาซุนหั่ววั่งเลยจังหวะที่ซุนหั่ววั่งเห็นเนื้อหาข้อตกลงทั้งหมด ตบหน้าขาแรง ๆ ฉาดหนึ่งแล้วกระโดดโหยงขึ้นมา พูดด้วยความตื่นเต้นที่สุด “เชาเอ๋อร์ เจ้าช่างเป็นลูกชายประเสริฐของข้า ได้เรื่องแล้ว ข้าพยายามมาตั้งหลายปีก็ไม่ได้ภัตตาคารตรงนั้นสักที กลับจะได้มาด้วยข้อตกลงแผ่นหนึ่งของเจ้าไม่ต้องจ่ายเงินสักแดง?”ซุนหั่ววั่งยังนึกว่าตัวเองตาฝาดไป กลับมาอ่านข้อตกลงอีกครั้ง พบว่ากระดาษขาว ตัวหนังสือดำ ลงชื่อ พิมพ์นิ้วมือ ปราศจากข้อผิดพลาดอย่าว่าแต่ยอดขายเจ็ดวันเลย ต่อให้ใช้ยอดขายหนึ่งวันของพวกเขาเทียบกับยอดขายสิบวันของภัตตาคารต้าเฉียน นี่มิใช่การค้าที่มีแต่ได้ไม่มีเสียแน่อย่างแช่แป้งหรือ?นี่ฉินอวิ๋นฟานคิดไม่ตกขนาดไหนถึงได้ทำข้อตกลงผิดไร้มโนธรรมฟ้าเช่นนี้? ตาแก่มู่หรงซื่อควานกลับไม่คัดค้าน? ไม่รู้จักประมาณตนแท้ ๆ“ข้าพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ ท่านพ่อ นี่ข้าจัดการปัญหาใหญ่เทียมฟ้าให้ภัตตาคารเซิ่งหลงพวกเราเลยนะ”ร่างอ้วนตุ๊ต๊ะของซุนฉี่เชานอนไขว่ห้างอยู่บนเก้าอี้ มองดูภาพคึกคักเบื้องล่าง ท่าทางเกษมสันต์ยิ้มย่อง“ยอดไปเลย ยอดมาก เชาเอ๋อร์ เจ้าทำผลงานใหญ่ให้ตระกูลซุนแล้ว
แขกเหรื่อในภัตตาคารต้าเฉียนเกิดเสียงฮือฮา ไม่นานก็ดึงดูดคนที่กำลังดูเรื่องสนุกอยู่โดยรอบ คนมากมายล้อมมุงดูความคึกคักรอบภัตตาคารต้าเฉียน“เสี่ยวเอ้อร์ เหล้าดีเช่นนี้เอามาให้ข้าอีกหนึ่งไห และอีกเดี๋ยวเอากลับอีกหนึ่งไห”“เสี่ยวเอ้อร์ ปลาไหลผัดพริกนี่ไม่เลว เอามาให้ข้าอีกสามจาน ปลาไหลน้ำแดงนี่ก็เยี่ยม เอามาให้ข้าอีกสองจาน แล้วลวดห่อกลับบ้านให้ข้าอีกอย่างละห้าชุด ข้าจะเอากลับไปให้ลูกเมียกิน”“เสี่ยวเอ้อร์ อย่ามัวชักช้าสิ! ข้าก็เอาสองไหเหมือนกัน รีบเอามาเร็ว ๆ เหล้านี่จะรสดีเกินไปแล้ว”......แค่ชั่วเดี๋ยวเดียว บรรดาลูกค้าต่างคลั่งกันขึ้นมา เพียงเหล้าจอกเล็ก ๆ ลงท้อง สยบคนได้โดยตรง ความยั่วยวนของอาหารอันโอชะยิ่งไม่ต้องกล่าวถึง คืออาหารสุดล้ำที่พวกเขาเคยกินมาในชาตินี้แน่นอนชั่วอึดใจเดียว ทุกคนเริ่มตะโกนแย่งกันสั่งทีแรกพวกเขานึกว่าเสี่ยวเอ้อร์จะตื่นเต้นจนตัวสั่นเพราะพวกเราสั่งกันอย่างบ้าคลั่ง ไม่คิดว่าพวกเขาเรียกจนคอแทบแตกกลับไม่มีเสี่ยวเอ้อร์คนไหนในร้านสนใจพวกเขาเลย“แค่ก ๆ...”ผู้ดูแลอายุครึ่งร้อยต้น ๆ กระแอมกระไอสองที กวาดสายตามองทุกคนและเอ่ย “นายท่านทั้งหลาย ต้องขออภัยจริง ๆ ขอร
“นั่นนะสิ ถึงเหล้านี้จะอร่อยยังไงก็ไม่ตั้งราคาอย่างนี้กันกระมัง? เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกนี่แหละ ไหละสองร้อยตำลึง อยู่นานได้เห็นโลกแท้ ๆ”“ไม่ต้องพูดมาก เรียกเถ้าแก่ของพวกเจ้าออกมา ข้าอยากเห็นสิว่าเขามีหัวกี่หัวถึงกล้าขูดรีดโจ่งแจ้งอย่างนี้”......พอได้ยินราคาสูงฉี่อย่างนี้ ทุกคนพากันด่าทอพ่นน้ำลาย สุราคือสิ่งจำเป็นในชีวิตของพวกเขา หนึ่งไหสองสามตำลึงกลับไม่นับเป็นอะไร แต่ไหละสองสามร้อยตำลึงนี่แทบจะพลิกความรู้ความเข้าใจของพวกเขาแบบหน้ามือเป็นหลังมือ ตั้งราคาเช่นนี้มิสู้ปล้นเสียเลยดีกว่า“เอ่อ...”ผู้ดูลองมองไปทางชั้นสองด้วยสีหน้าปั้นยาก อย่างไรเรื่องนี้เขาก็ตัดสินใจไม่ได้ จึงได้แต่ขอความช่วยเหลือจากด้านบนฉินอวิ๋นฟานเห็นดังนั้นรู้ว่าถึงตาเขาออกโรงแล้ว มิเช่นนั้นพวกขุนนางใหญ่มากบารมีพวกนี้ไม่หาเรื่องหน่อยคงไม่ยอมรามือ“ยังไง? เห็นว่าคนจะหาเรื่องหรือ?”ฉินอวิ๋นฟานสองมือกอดอก เดินลงมาจากชั้นสองด้วยใบหน้าเย็นชา กวาดมองทุกคน เนื้อตัวบนล่างเต็มไปด้วยความเผด็จการ ท่าทางแลมองเบื้องล่างทำให้ทุกคนหยุดลงทันทีเห็นว่าคนที่มายังหนุ่มทั้งยังโอหัง จึงถามอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นใคร? เรื่องน