เขาอิ๋นซานนี้ปรากฏตรงหน้าหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้าของหลี่เฉินเผยรอยยิ้มโล่งอกพลางเอ่ยว่า “ในที่สุดก็เอาเหรียญเงินเหล่านี้กลับมาได้อย่างปลอดภัย!”“เกิดภัยพิบัติติดต่อกันนานหลายปี เงินส่วนนี้สามารถบรรเทาส่วนติดขัดของราชวังได้ชั่วคราวแล้ว” ซูเจิ้นถิงกล่าว“หาคนไปส่งข่าวให้กรมครัวเรือน สั่งให้กรมครัวเรือนส่งคนมาจัดแจงเงินเหล่านี้เข้าคลัง และต้องขนเงินทั้งหมดเข้าพระคลังภายในวันนี้”หลังจากหลี่เฉินสั่งการเสร็จสรรพ ก็มีคนเริ่มยุ่งขึ้นมาส่วนหลี่เฉิน หลังจากที่เขาจัดการเรื่องภายในค่ายเป่ยต้าแล้ว ก็เดินทางกลับตำหนักบูรพาหลี่เฉินเพิ่งก้าวเท้าออกจากพื้นที่ค่ายเป่ยต้า หน่วยสอดแนมของกองกำลังแต่ละฝ่ายก็รีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในค่ายเป่ยต้าให้กับหัวหน้าแต่ละฝ่ายของตนทันทีจ้าวเจี้ยนเยี่ยที่เป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์อวี่หลินได้รับข่าวเป็นคนแรกๆจ้าวเจี้ยนเยี่ยที่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ประดุจเสาเหล็กลุกตัวขึ้นพรวดจากกระโจมของตน เบิกตากว้างกล่าวว่า “หลิ่วปินเฉินตายแล้ว!?”หน่วยสอดแนมที่มารายงานรีบตอบ “ข้าน้อยเห็นเองกับตา มิบังอาจพูดปด องค์รัชทายาทปลิดชีวิตหลิ่วปินเฉินในดาบเดียว บัดนี้ร่างศพย
จ้าวชิงหลานที่กำลังพักกลางวันอยู่ในพระตำหนักได้ยินว่าหลี่เฉินมาเข้าเฝ้า ก็ลนลานในบัดดลหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่จะต้องเจอหน้ากับหลี่เฉิน ก็ไม่มีสักครั้งที่ไม่ถูกเขารังแก จ้าวชิงหลานกลัวแล้วหลังจากครุ่นคิดแล้ว จ้าวชิงหลานจึงได้สั่งการให้ขันทีในตำหนักคนหนึ่งว่า “เจ้าไปทูลองค์รัชทายาทว่าข้าเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ ให้เขาไม่ต้องเข้าเฝ้า กลับไปที่ตำหนักบูรพาเถอะ”ขันทีผู้นั้นลำบากใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรรัชทายาทก็อยู่ข้างนอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนออกไปปฏิเสธรัชทายาทเช่นนี้แล้วจะต้องเจอกับอะไรทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฮองเฮาจึงทำได้เพียงตอบตกลงเมื่อมาถึงข้างนอก หลี่เฉินมองขันทีที่กำลังถ่ายทอดคำพูดของฮองเฮาอย่างตั้งใจตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นยกเท้าขึ้นเตะเขาไปทีหนึ่ง“ข้ามาเข้าเฝ้าฮองเฮา นางจะไม่มาพบข้าได้อย่างไร สุนัขรับใช้อย่างเจ้าบังอาจมาขัดขวางนั้นหรือ? ไสหัวไป!”หลังจากเตะขันทีแล้ว หลี่เฉินก็เดินเข้าไปในตำหนักเฟิ่งสี่โดยตรง ไม่แม้แต่จะเห็นแก่กฎระเบียบของตำหนักเลยจ้าวชิงหลานมองดูรัชทายาทที่เข้ามาบุ่มบ่ามพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่อยากพบเจ้า เ
“ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ฮองเฮายังไม่คุ้นชินอีกหรือ?”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานทั้งโกรธทั้งอายนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามือที่เดิมแนบติดอยู่ที่ส่วนโค้งมนของนางนั้นยิ่งอยู่ยิ่งเหิมเกริมจ้าวชิงหลานจับแขนของหลี่เฉินเอาไว้ จากนั้นความตั้งใจแรกของจ้าวชิงหลานคือสะบัดฝ่ามือที่กำลังเล่นตุกติกนี้ออกไปแต่ทว่าขณะที่ใช้แรงต่อต้านนั้น จ้าวชิงหลานพบว่าไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือพลัง ก็ไม่สามารถสู้หลี่เฉินที่หนุ่มและแข็งแกร่งได้เลย“อ๊าก!”จ้าวชิงหลานกรีดร้อง หงายหลังล้มลงไปโดยควบคุมไม่อยู่หลี่เฉินเห็นดังนั้น ก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวคอดของจ้าวชิงหลานไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าศีรษะของจ้าวชิงหลานกลับพุ่งไปที่มุมโต๊ะ หลี่เฉินจึงกอดจ้าวชิงหลานไว้แล้วกลิ้งไปที่พื้นโดยไม่คิดมากทั้งสองกอดเข้าด้วยกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหลายตลบจ้าวชิงหลานเพียงแค่รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน ร่างกายของนางถูกหลี่เฉินกอดเอาไว้ อ่อนนุ่ม และไม่บาดเจ็บอะไรทว่าจ้าวชิงหลานกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าว เพราะริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นถูกหลี่เฉินฉวยโอกาสจูบเข้าแล้ว!สำหรับสตรีแล้วนั้น การจูบเป็นเรื่องที่มีความหมายมากจ้าวชิงห
ประโยคคลุมเครือเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานรู้สึกเขินอายมาก“ราชโองการ ข้าจะเขียนให้ แต่เรื่องวันนี้ ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก”ในที่สุดจ้าวชิงหลานก็คืนท่าทีเป็นฮองเฮาแห่งมาตุภูมิของตน แววตาเฉียมคมของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาจ้องหลี่เฉินอยู่ พลางกล่าวว่า “ความอดทนของข้าก็มีจำกัดเหมือนกัน เจ้าทดสอบความอดทนของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าทำตัวเหลวไหลแน่”“ข้าทำตัวเหลวไหลอย่างไรอีก?”หลี่เฉินพลางเอ่ยพลางเข้าใกล้จ้าวชิงหลาน จนกระทั่งปลายจมูกของทั้งสองชนกัน ลมหายใจผสมรวมกัน เขามองดวงตางดงามคู่นั้นของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “เช่นนี้น่ะหรือ?”จ้าวชิงหลานหายใจถี่ขึ้นนางคิดไม่ตกเลยว่าเหตุใดหลี่เฉินถึงได้กล้าเพียงนี้ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของเขา หากแพร่งพรายออกไปต้องเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในใต้หล้าแน่ ไม่ว่าเขาจะสูงส่งมากเพียงใด ก็ไม่เว้นเช่นกันทว่าอาจเป็นเพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลี่เฉินหรือจ้าวชิงหลานเอง ต่างก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นเล็กน้อยที่พูดออกมาไม่ได้ความตื่นเต้นนี้ จ้าวชิงหลานไม่มีทางยอมรับแน่นอน ทว่าการพัฒนาการของเรื่องนั้นกลับเป็นเครื่องยืนยันทุกอย่างจ้าวชิงหลานรู้ตั
เมื่อเห็นสวีฉังชิงที่โกรธจนแทบกระทืบเท้า หลี่เฉินจึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรก็พูดดีๆ ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? ยังมีท่าทีเป็นขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนักอยู่หรือไม่?”สวีฉังชิงยังคงโกรธ เขากล่าวว่า “องค์รัชทายาท คนพวกนี้ไร้ยางอายจริงๆ”“ไม่กี่วันก่อน ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมของพระองค์ ทำให้พระคลังมีเงินเพิ่มขึ้นไม่น้อย ถึงแม้จะนำเงินยี่สิบล้านตำลึงเข้าบัญชีได้ ทว่าภายใต้สถานการณ์อันน่าอับอายของทั้งจักรวรรดิ นั่นต้องใช้เงินทุกอย่าง ดังนั้นจึงกล่าวได้เพียงว่าได้ช่วยบรรเทาความขัดข้องของราชสำนักเท่านั้น”“ขุนนางในราชสำนักพวกนั้น ปลัดแต่ละกรม รวมถึงแต่ละเมืองต่างก็ได้ข่าวเรื่องนี้ และคิดหาวิธีขอเงินให้ได้”“ยกตัวอย่างกรมโยธาธิการนั่น รายงานมาว่าจำเป็นต้องสร้างเขื่อนเก็บน้ำจำนวนสามแห่ง เพราะว่าพระคลังไม่มีเงินมาโดยตลอด จึงต้องยื้อเวลาต่อไป บัดนี้แค่อ้าปากก็จะเอาหกล้านตำลึง”“กรมโยธาธิการช่างเถอะ เพราะอย่างไรก็ทำเพื่อป้องกันภัยพิบัติ อีกอย่างยังเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทและสำนักราชเลขาร่วมกันตัดสินพระทัยด้วย ทว่าแม้แต่กรมพิธีการก็ออกมาบอกว่าภายใต้ภัยพิบัตินี้ ราษฎรแต่ละพื้นที่ต่างก็อ้อนวอน
เสียงตะคอกของหลี่เฉิน ทำให้สีวั่นหลี่ตกใจสะดุ้งสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเขียวช้ำ อยากจะต่อต้านคำประชดประชัน ทว่าเมื่อเห็นว่าหลี่เฉินโกรธจัด ท่าทีเคร่งขรึมพลันรู้สึกว่ารัชทายาทอายุน้อยนี้ ไม่ใช่คนอ่อนแอที่สามารถเล่นงานได้ง่ายเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแม้จะเป็นจ้าวเสวียนจี ก็ต้องสร้างสมดุลทางการเมืองและการประนีประนอมกับเขามิหนำซ้ำ นับตั้งแต่ที่รัชทายาทสำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็มีเลือดขุนนางติดมือไม่น้อยเมื่อนึกถึงตรงนี้ สีวั่นหลี่พลันประสานมือ แล้วกัดฟันกล่าว “กระหม่อมมิบังอาจ”“มิบังอาจ!? ข้าว่าเจ้าน่ะบังอาจเสียไม่มี!”หลี่เฉินหัวเราะแห้ง แล้วกล่าว “ในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ หลิ่วปินเฉิงรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์อวี่หลินเป็นคนใต้บังคับบัญชาของเจ้า ได้ปล้นเงินสี่ล้านตำลึงไปจากราชสำนัก เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คนบงการหลักกลับเป็นหลิ่วปินเฉิง ทว่าเจ้าเป็นถึงเสนาบดีบัญชาการกรมหนึ่ง ข้าจะตั้งข้อกล่าวหาว่าเจ้าบกพร่องในหน้าที่ และถอดตำแหน่งเจ้าซะ เจ้าจะว่าอย่างไร!?”สีวั่นหลี่หรี่ตาลง ถึงจะรู้ว่ารัชทายาทคิดจะชักดาบกับเขา จึงรีบแก้ตัวว่า “เรื่องนี้กระหม่อมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย หล
“ใต้เท้าสี ไปกับบ่าวเถอะ”ซานเป่าเดินมาข้างกายสีวั่นหลี่ แล้วปริปากพูดอย่างนิ่งขรึมสีวั่นหลี่ไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่ตะโกนต่อหลี่เฉินว่า “องค์รัชทายาทไม่สนความจริงความเท็จ ไม่ถามความเป็นมาก่อนก็ปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่ง กระหม่อมมีความผิดอันใดกัน? กระทำตามพระทัยเช่นนี้ ขุนนางทั้งราชสำนักไม่เห็นด้วยเป็นแน่! กระหม่อมอย่างมากก็แค่ตาย ทว่าองค์รัชทายาทจะต้องสูญเสียใจของราษฎร!”หลี่เฉินกลับไม่แยแสต่อคำพูดของสีวั่นหลี่เลย เพียงแค่ย้ำเตือนซานเป่าว่า “ยังไม่รีบไปอีก?”ซานเป่าเห็นหลี่เฉินกริ้วแล้ว กลัวว่าจะพลอยลำบากไปด้วยจึงรีบดึงตัวสีวั่นหลี่ออกไปทันทีซานเป่ารูปร่างเตี้ย แต่สีวั่นหลี่เป็นชายร่างกำยำแข็งแกร่ง ทว่าเขากลับไม่มีแรงขัดขืนต่อซานเป่าเลย และถูกลากตัวออกไปราวกับนกตัวน้อย“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม!!!”เสียงตะโกนของสีวั่นหลี่ค่อยๆ ไกลออกไป หลี่เฉินแค่นเสียงเย็นชา ในใจกลับเริ่มคิดถึงเรื่องในอนาคตที่สีวั่นหลี่ต้องโชคร้ายเช่นนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่เพราะเขาตกเป็นเครื่องมือของจ้าวเสวียนจี แต่เป็นเพราะเขาเป็นเสนาบดีของกรมยุทธนาการตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่หลี่เฉินวางแผนไว้แต่แรกแล้วสีวั่นหลี่ไ
น้ำเสียงของซานเป่าชะงักเล็กน้อยราวกับมีเรื่องกังวลใจ ทว่าสุดท้ายเขาก็กัดฟันกล่าวต่อไปว่า “เหตุการณ์ภัยพิบัติที่แท้จริงร้ายแรงกว่าที่พระองค์ทรงรู้กว่าร้อยเท่าพ่ะย่ะค่ะ”“ยกตัวอย่างมณฑลซีซานที่ประสบอุทกภัยหนักที่สุด ในพื้นที่นั้นประสบความลำบากจากเหตุการณ์แม่น้ำเหลืองล้นตลิ่ง ไม่มีแม่น้ำสายไหนไม่ล้น ทุ่งนาที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีก”“มณฑลเหอหนานที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ดีไปกว่าเท่าไรนัก น้ำท่วมล้นมากกว่าพันลี้ จำนวนผู้คนหิวโหยมีมากกว่าห้าหกแสนคน ผู้ประสบภัยต้องอยู่รอดเพียงลมหายใจสุดท้าย หรือไม่ก็นุ่งขาวห่มขาวเป็นสาวกของเจ้าแม่กวนอิมเพื่อบรรเทาความหิวโหย หรือไม่ก็ขึ้นเขาขุดรากเหง้า เปลือกไม้กินเป็นอาหาร เพียงแค่ถูกผู้ประสบภัยผ่านไป เขาทั้งลูกนั้นก็จะถูกกินจะเกลี้ยง มีคนพบเห็นเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ประสบภัยเดินผ่าน ภูเขาเตี้ยลงหนึ่งจั้ง ความหมายคือผู้ประสบภัยที่หิวโหยเหล่านั้น สามารถกินภูเขาให้หมดเกลี้ยงทั้งลูกได้ หากไม่มีรากเหง้า ไม่มีเปลือกไม้ ก็จะขุดดินกินเป็นอาหาร…”แม้แต่ขันทีซานเป่าซึ่งไม่มีความเป็นชายและเห็นแก่ตัวมาก ใบหน้าของเขาก็ยังมีท่าทีไม่อดทน เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่