จ้าวชิงหลานที่กำลังพักกลางวันอยู่ในพระตำหนักได้ยินว่าหลี่เฉินมาเข้าเฝ้า ก็ลนลานในบัดดลหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่จะต้องเจอหน้ากับหลี่เฉิน ก็ไม่มีสักครั้งที่ไม่ถูกเขารังแก จ้าวชิงหลานกลัวแล้วหลังจากครุ่นคิดแล้ว จ้าวชิงหลานจึงได้สั่งการให้ขันทีในตำหนักคนหนึ่งว่า “เจ้าไปทูลองค์รัชทายาทว่าข้าเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ ให้เขาไม่ต้องเข้าเฝ้า กลับไปที่ตำหนักบูรพาเถอะ”ขันทีผู้นั้นลำบากใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรรัชทายาทก็อยู่ข้างนอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนออกไปปฏิเสธรัชทายาทเช่นนี้แล้วจะต้องเจอกับอะไรทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฮองเฮาจึงทำได้เพียงตอบตกลงเมื่อมาถึงข้างนอก หลี่เฉินมองขันทีที่กำลังถ่ายทอดคำพูดของฮองเฮาอย่างตั้งใจตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นยกเท้าขึ้นเตะเขาไปทีหนึ่ง“ข้ามาเข้าเฝ้าฮองเฮา นางจะไม่มาพบข้าได้อย่างไร สุนัขรับใช้อย่างเจ้าบังอาจมาขัดขวางนั้นหรือ? ไสหัวไป!”หลังจากเตะขันทีแล้ว หลี่เฉินก็เดินเข้าไปในตำหนักเฟิ่งสี่โดยตรง ไม่แม้แต่จะเห็นแก่กฎระเบียบของตำหนักเลยจ้าวชิงหลานมองดูรัชทายาทที่เข้ามาบุ่มบ่ามพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่อยากพบเจ้า เ
“ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ฮองเฮายังไม่คุ้นชินอีกหรือ?”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานทั้งโกรธทั้งอายนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามือที่เดิมแนบติดอยู่ที่ส่วนโค้งมนของนางนั้นยิ่งอยู่ยิ่งเหิมเกริมจ้าวชิงหลานจับแขนของหลี่เฉินเอาไว้ จากนั้นความตั้งใจแรกของจ้าวชิงหลานคือสะบัดฝ่ามือที่กำลังเล่นตุกติกนี้ออกไปแต่ทว่าขณะที่ใช้แรงต่อต้านนั้น จ้าวชิงหลานพบว่าไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือพลัง ก็ไม่สามารถสู้หลี่เฉินที่หนุ่มและแข็งแกร่งได้เลย“อ๊าก!”จ้าวชิงหลานกรีดร้อง หงายหลังล้มลงไปโดยควบคุมไม่อยู่หลี่เฉินเห็นดังนั้น ก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวคอดของจ้าวชิงหลานไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าศีรษะของจ้าวชิงหลานกลับพุ่งไปที่มุมโต๊ะ หลี่เฉินจึงกอดจ้าวชิงหลานไว้แล้วกลิ้งไปที่พื้นโดยไม่คิดมากทั้งสองกอดเข้าด้วยกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหลายตลบจ้าวชิงหลานเพียงแค่รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน ร่างกายของนางถูกหลี่เฉินกอดเอาไว้ อ่อนนุ่ม และไม่บาดเจ็บอะไรทว่าจ้าวชิงหลานกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าว เพราะริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นถูกหลี่เฉินฉวยโอกาสจูบเข้าแล้ว!สำหรับสตรีแล้วนั้น การจูบเป็นเรื่องที่มีความหมายมากจ้าวชิงห
ประโยคคลุมเครือเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานรู้สึกเขินอายมาก“ราชโองการ ข้าจะเขียนให้ แต่เรื่องวันนี้ ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก”ในที่สุดจ้าวชิงหลานก็คืนท่าทีเป็นฮองเฮาแห่งมาตุภูมิของตน แววตาเฉียมคมของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาจ้องหลี่เฉินอยู่ พลางกล่าวว่า “ความอดทนของข้าก็มีจำกัดเหมือนกัน เจ้าทดสอบความอดทนของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าทำตัวเหลวไหลแน่”“ข้าทำตัวเหลวไหลอย่างไรอีก?”หลี่เฉินพลางเอ่ยพลางเข้าใกล้จ้าวชิงหลาน จนกระทั่งปลายจมูกของทั้งสองชนกัน ลมหายใจผสมรวมกัน เขามองดวงตางดงามคู่นั้นของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “เช่นนี้น่ะหรือ?”จ้าวชิงหลานหายใจถี่ขึ้นนางคิดไม่ตกเลยว่าเหตุใดหลี่เฉินถึงได้กล้าเพียงนี้ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของเขา หากแพร่งพรายออกไปต้องเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในใต้หล้าแน่ ไม่ว่าเขาจะสูงส่งมากเพียงใด ก็ไม่เว้นเช่นกันทว่าอาจเป็นเพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลี่เฉินหรือจ้าวชิงหลานเอง ต่างก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นเล็กน้อยที่พูดออกมาไม่ได้ความตื่นเต้นนี้ จ้าวชิงหลานไม่มีทางยอมรับแน่นอน ทว่าการพัฒนาการของเรื่องนั้นกลับเป็นเครื่องยืนยันทุกอย่างจ้าวชิงหลานรู้ตั
เมื่อเห็นสวีฉังชิงที่โกรธจนแทบกระทืบเท้า หลี่เฉินจึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรก็พูดดีๆ ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? ยังมีท่าทีเป็นขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนักอยู่หรือไม่?”สวีฉังชิงยังคงโกรธ เขากล่าวว่า “องค์รัชทายาท คนพวกนี้ไร้ยางอายจริงๆ”“ไม่กี่วันก่อน ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมของพระองค์ ทำให้พระคลังมีเงินเพิ่มขึ้นไม่น้อย ถึงแม้จะนำเงินยี่สิบล้านตำลึงเข้าบัญชีได้ ทว่าภายใต้สถานการณ์อันน่าอับอายของทั้งจักรวรรดิ นั่นต้องใช้เงินทุกอย่าง ดังนั้นจึงกล่าวได้เพียงว่าได้ช่วยบรรเทาความขัดข้องของราชสำนักเท่านั้น”“ขุนนางในราชสำนักพวกนั้น ปลัดแต่ละกรม รวมถึงแต่ละเมืองต่างก็ได้ข่าวเรื่องนี้ และคิดหาวิธีขอเงินให้ได้”“ยกตัวอย่างกรมโยธาธิการนั่น รายงานมาว่าจำเป็นต้องสร้างเขื่อนเก็บน้ำจำนวนสามแห่ง เพราะว่าพระคลังไม่มีเงินมาโดยตลอด จึงต้องยื้อเวลาต่อไป บัดนี้แค่อ้าปากก็จะเอาหกล้านตำลึง”“กรมโยธาธิการช่างเถอะ เพราะอย่างไรก็ทำเพื่อป้องกันภัยพิบัติ อีกอย่างยังเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทและสำนักราชเลขาร่วมกันตัดสินพระทัยด้วย ทว่าแม้แต่กรมพิธีการก็ออกมาบอกว่าภายใต้ภัยพิบัตินี้ ราษฎรแต่ละพื้นที่ต่างก็อ้อนวอน
เสียงตะคอกของหลี่เฉิน ทำให้สีวั่นหลี่ตกใจสะดุ้งสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเขียวช้ำ อยากจะต่อต้านคำประชดประชัน ทว่าเมื่อเห็นว่าหลี่เฉินโกรธจัด ท่าทีเคร่งขรึมพลันรู้สึกว่ารัชทายาทอายุน้อยนี้ ไม่ใช่คนอ่อนแอที่สามารถเล่นงานได้ง่ายเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแม้จะเป็นจ้าวเสวียนจี ก็ต้องสร้างสมดุลทางการเมืองและการประนีประนอมกับเขามิหนำซ้ำ นับตั้งแต่ที่รัชทายาทสำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็มีเลือดขุนนางติดมือไม่น้อยเมื่อนึกถึงตรงนี้ สีวั่นหลี่พลันประสานมือ แล้วกัดฟันกล่าว “กระหม่อมมิบังอาจ”“มิบังอาจ!? ข้าว่าเจ้าน่ะบังอาจเสียไม่มี!”หลี่เฉินหัวเราะแห้ง แล้วกล่าว “ในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ หลิ่วปินเฉิงรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์อวี่หลินเป็นคนใต้บังคับบัญชาของเจ้า ได้ปล้นเงินสี่ล้านตำลึงไปจากราชสำนัก เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คนบงการหลักกลับเป็นหลิ่วปินเฉิง ทว่าเจ้าเป็นถึงเสนาบดีบัญชาการกรมหนึ่ง ข้าจะตั้งข้อกล่าวหาว่าเจ้าบกพร่องในหน้าที่ และถอดตำแหน่งเจ้าซะ เจ้าจะว่าอย่างไร!?”สีวั่นหลี่หรี่ตาลง ถึงจะรู้ว่ารัชทายาทคิดจะชักดาบกับเขา จึงรีบแก้ตัวว่า “เรื่องนี้กระหม่อมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย หล
“ใต้เท้าสี ไปกับบ่าวเถอะ”ซานเป่าเดินมาข้างกายสีวั่นหลี่ แล้วปริปากพูดอย่างนิ่งขรึมสีวั่นหลี่ไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่ตะโกนต่อหลี่เฉินว่า “องค์รัชทายาทไม่สนความจริงความเท็จ ไม่ถามความเป็นมาก่อนก็ปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่ง กระหม่อมมีความผิดอันใดกัน? กระทำตามพระทัยเช่นนี้ ขุนนางทั้งราชสำนักไม่เห็นด้วยเป็นแน่! กระหม่อมอย่างมากก็แค่ตาย ทว่าองค์รัชทายาทจะต้องสูญเสียใจของราษฎร!”หลี่เฉินกลับไม่แยแสต่อคำพูดของสีวั่นหลี่เลย เพียงแค่ย้ำเตือนซานเป่าว่า “ยังไม่รีบไปอีก?”ซานเป่าเห็นหลี่เฉินกริ้วแล้ว กลัวว่าจะพลอยลำบากไปด้วยจึงรีบดึงตัวสีวั่นหลี่ออกไปทันทีซานเป่ารูปร่างเตี้ย แต่สีวั่นหลี่เป็นชายร่างกำยำแข็งแกร่ง ทว่าเขากลับไม่มีแรงขัดขืนต่อซานเป่าเลย และถูกลากตัวออกไปราวกับนกตัวน้อย“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม!!!”เสียงตะโกนของสีวั่นหลี่ค่อยๆ ไกลออกไป หลี่เฉินแค่นเสียงเย็นชา ในใจกลับเริ่มคิดถึงเรื่องในอนาคตที่สีวั่นหลี่ต้องโชคร้ายเช่นนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่เพราะเขาตกเป็นเครื่องมือของจ้าวเสวียนจี แต่เป็นเพราะเขาเป็นเสนาบดีของกรมยุทธนาการตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่หลี่เฉินวางแผนไว้แต่แรกแล้วสีวั่นหลี่ไ
น้ำเสียงของซานเป่าชะงักเล็กน้อยราวกับมีเรื่องกังวลใจ ทว่าสุดท้ายเขาก็กัดฟันกล่าวต่อไปว่า “เหตุการณ์ภัยพิบัติที่แท้จริงร้ายแรงกว่าที่พระองค์ทรงรู้กว่าร้อยเท่าพ่ะย่ะค่ะ”“ยกตัวอย่างมณฑลซีซานที่ประสบอุทกภัยหนักที่สุด ในพื้นที่นั้นประสบความลำบากจากเหตุการณ์แม่น้ำเหลืองล้นตลิ่ง ไม่มีแม่น้ำสายไหนไม่ล้น ทุ่งนาที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีก”“มณฑลเหอหนานที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ดีไปกว่าเท่าไรนัก น้ำท่วมล้นมากกว่าพันลี้ จำนวนผู้คนหิวโหยมีมากกว่าห้าหกแสนคน ผู้ประสบภัยต้องอยู่รอดเพียงลมหายใจสุดท้าย หรือไม่ก็นุ่งขาวห่มขาวเป็นสาวกของเจ้าแม่กวนอิมเพื่อบรรเทาความหิวโหย หรือไม่ก็ขึ้นเขาขุดรากเหง้า เปลือกไม้กินเป็นอาหาร เพียงแค่ถูกผู้ประสบภัยผ่านไป เขาทั้งลูกนั้นก็จะถูกกินจะเกลี้ยง มีคนพบเห็นเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ประสบภัยเดินผ่าน ภูเขาเตี้ยลงหนึ่งจั้ง ความหมายคือผู้ประสบภัยที่หิวโหยเหล่านั้น สามารถกินภูเขาให้หมดเกลี้ยงทั้งลูกได้ หากไม่มีรากเหง้า ไม่มีเปลือกไม้ ก็จะขุดดินกินเป็นอาหาร…”แม้แต่ขันทีซานเป่าซึ่งไม่มีความเป็นชายและเห็นแก่ตัวมาก ใบหน้าของเขาก็ยังมีท่าทีไม่อดทน เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ซูเจิ้นถิงที่ทั้งเส้นผมและหัวไหล่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวก็มาถึง“กระหม่อมซูเจิ้นถิง ขอคารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของหลี่เฉินดีขึ้นไม่น้อย เขากล่าว “แม่ทัพซูเป็นกษัติรย์แต่กำเนิดของราชวงศ์ ไม่ต้องคารวะข้าหรอก”ซูเจิ้นถิงกล่าวอย่างจริงจัง “กษัตริย์และขุนนางต่างกัน ความเคารพนับถือก็มีลำดับ สำหรับตระกูลซูแล้ว กษัติรย์แต่กำเนิดนั้นพระราชวงศ์เมตตาพระราชทานให้ แต่รุ่นหลังของตระกูลซูเป็นทหารทั้งใจ ในเมื่อเป็นทหาร เมื่อเห็นเจ้านายย่อมต้องทำความเคารพ”“ขุนนางทั่วทั้งราชสำนัก หากมีสักสิบในสิบสองคนเป็นเหมือนอย่างแม่ทัพซู ข้าก็คงไม่ต้องพะวงแล้ว”หลี่เฉินถอนหายใจเบาๆ แล้วมองซูเจิ้นถิง “แม่ทัพซู พรุ่งนี้ข้าอยากไปว่าราชกิจเช้า”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ซูเจิ้นถิงตกใจเขารีบห้าม “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”“แม้ว่าองค์รัชทายาททรงสำเร็จราชกิจแทนพระองค์แล้ว ตามหลักแล้วสามารถเข้าว่าราชกิจเช้าได้ ทว่าตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงประชวร ราชสำนักก็ไม่ได้เปิดว่าราชกิจเช้ามานับปีกว่าแล้ว ราชกิจทุกอย่างล้วนมีสำนักราชเลขาเป็นผู้จัดการ และอำนาจนี้ก็เป็นของจ้าวเสวียนจีทั้งหมด”“จู่ๆ พระองค์ทรงว่ารา
หลี่เฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคิดถึงหนิงอ๋อง?”ซานเป่ายิ้มพลางกล่าวว่า “องค์ชายทรงเฉลียวฉลาด ปัญหาเช่นนี้จะมีหรือที่พระองค์จะมองไม่ออก? เกรงว่าในวันที่มีการหารือในราชสำนัก พระองค์คงวางแผนการในแต่ละก้าวไว้อย่างชัดเจนแล้ว เย่ลู่เสินเสวียนจะเก่งกาจเพียงใด มีอะไรที่ฟ้าประทานมาในวันเกิดของเขาก็ตาม แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าองค์ชาย กลับไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลเลย”“ประจบสอพลอ”หลี่เฉินหัวเราะดุเบาๆ ก่อนกล่าวต่อ “คนที่ไม่ฉลาดจะพูดอะไรก็พูดตามใจ ไม่ดูสถานการณ์หรือคู่สนทนา สุดท้ายคำพูดเหล่านั้นก็นำภัยมาสู่ตนเอง”“คนที่ฉลาดจะรู้จักอ่านสถานการณ์ มองออกแต่ไม่พูดออกมา เพื่อปกป้องตัวเองไว้ก่อน”“แต่คนที่ฉลาดกว่านั้น จะรู้ว่าควรพูดอะไรเมื่อใด บางครั้งพูดในสิ่งที่ดูเหมือนไม่ควรพูด แต่กลับได้ผลดีอย่างไม่น่าเชื่อ เหอคุนเป็นเพียงขุนนางระดับล่าง แต่กล้าพูดถึงการใช้ประโยชน์จากหนิงอ๋อง หากเรื่องนี้แพร่ออกไป คงไม่มีอ๋องแห่งแคว้นใดปล่อยให้เขามีชีวิตรอดได้”ซานเป่าเอ่ยด้วยเสียงเบา “หน้าที่ของคนเป็นข้ารับใช้ ย่อมต้องช่วยรับมือกับคมดาบและศรลอบแทนนายของตน”หลี่เฉินไ
“ในใต้หล้านี้ อ๋องแห่งแคว้นที่มีมากมาย แต่ในบรรดานั้น ผู้ที่ทรงอำนาจที่สุดหาใช่ใครอื่นไม่ หนึ่งคือเหวินอ๋องแห่งเจียงหนาน ผู้ที่ร่ำรวยมหาศาล ครอบครองดินแดนอันอุดมสมบูรณ์ และอีกหนึ่งคือหนิงอ๋อง ซึ่งครอบครองดินแดนกันฉ่าน อันใกล้ด่านเย่ว์หยา มีทัพเสินอู่เว่ยเต็มกำลังสองหมื่นหกพันนายประจำการ”“ทัพเสินอู่เว่ยนี้ เป็นผลงานที่จักรพรรดิองค์ก่อนทุ่มเทพระทัยสร้างขึ้นมา ราชสำนักเองก็ลงทุนไปมหาศาล กล่าวได้ว่าเป็นทัพรบพิเศษที่แข็งแกร่งที่สุดในรอบห้าสิบปีของแคว้นต้าฉิน”“เมื่อครั้งจักรพรรดิทรงใช้สิทธิ์ควบคุมทัพเสินอู่เว่ยเป็นข้อแลกเปลี่ยน ให้หนิงอ๋องไปยังดินแดนกันฉ่านที่แร้นแค้น ในเวลานั้นผู้คนต่างสงสัยว่าเหตุใดพระองค์ถึงยอมปล่อยกองกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดออกไป แต่บัดนี้เมื่อมองย้อนกลับไป เห็นได้ชัดว่า ฟ้าดินลิขิตไว้แล้ว แม้หนิงอ๋องจะมีอำนาจ แต่ในสถานการณ์ปัจจุบัน เขากลับกลายเป็นกำลังสำคัญที่ราชสำนักต้องพึ่งพา และเขาเองก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงที่จะต้องทุ่มเททุกสิ่งเพื่อต่อสู้กับกองทัพแคว้นเหลียว”หลี่เฉินพยักหน้า กล่าวต่อว่า “ข้าจำเรื่องนั้นได้อยู่บ้าง หนิงอ๋องนั้นกล้าหาญ เมื่อถึงวัยก็ถูกจักรพรรดิองค์ก่อ
"ด่านเย่ว์หยาของพวกเจ้า มีสักกี่คนที่ไว้วางใจได้บ้าง?"หลี่เฉินทบทวนคำพูดนี้ซ้ำไปมา ก่อนหัวเราะเย็นคำพูดนี้ หากออกมาจากปากคนอื่น เขาอาจไม่ใส่ใจแต่เมื่อเซียวเทียนหนาน ซึ่งเป็นขุนนางระดับสูงของแคว้นเหลียวกล่าวออกมาโดยตรง นั่นหมายความว่าด่านเย่ว์หยามีปัญหายิ่งใหญ่อย่างไม่ต้องสงสัยเขาก้มมองเหอคุนที่คุกเข่าอยู่บนพื้นพระที่นั่งซีเจิ้ง ก่อนเอ่ยว่า "ดี เจ้าทำงานได้ดีมาก เซียวเทียนหนานยังมีประโยชน์ ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาตัดสะพาน"สายลับที่มีประสิทธิภาพเพียงคนเดียว สามารถสร้างความได้เปรียบมากกว่ากองทัพนับพันดูตัวอย่างจากจ้าวเสวียนจีเพียงจ้าวเสวียนจีคนเดียวก็ทำให้โชคชะตาของจักรวรรดิต้าฉินถดถอยไปไม่ต่ำกว่าห้าสิบปีแม้เซียวเทียนหนานจะไม่สามารถเทียบชั้นกับจ้าวเสวียนจีได้ในแง่ของอิทธิพลหรือฝีมือในแคว้นเหลียว แต่โอกาสในการวางสายลับเช่นนี้ถือว่าหาได้ยากอย่างยิ่งดังนั้น บุคคลนี้ต้องเก็บไว้ เพื่อใช้ล่อปลาตัวใหญ่เหอคุนยิ้มด้วยความยินดี เมื่อได้ยินคำชมจากหลี่เฉิน ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงประจบ "ทุกสิ่งล้วนเกิดจากพระปรีชาสามารถขององค์ชาย…""คำประจบสอพลอเช่นนี้ ข้าไม่อยากฟัง"หลี่เฉินโบกมือ กล่าว
"หรือก็คือ ตอนนี้ข้าไม่มีประโยชน์ต่อพวกเจ้าอีกแล้วสินะ"เซียวเทียนหนานจ้องเหอคุนเขม็ง สังเกตทุกอิริยาบถบนใบหน้าของอีกฝ่าย พร้อมกล่าวต่อ "ถ้าจะฆ่าหรือลงโทษก็เอาเถอะ ข้าขัดขืนไม่ได้อยู่แล้ว"เหอคุนจ้องเซียวเทียนหนานนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่งจริงอยู่ หากพิจารณาถึงคุณค่า ตอนนี้เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการกำจัดเซียวเทียนหนานแต่หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ ใบหน้าของเหอคุนก็กลับมาพร้อมรอยยิ้มอบอุ่นตามเดิม"สหายเซียว ทำไมถึงพูดเช่นนั้นเล่า? สหายเซียวช่างใจกว้างนัก บอกข้อมูลสำคัญมากมายให้ผู้แซ่เหอทราบ ผู้แซ่เหอจะเป็นคนไร้สัจจะได้อย่างไร? หรือว่าในสายตาของสหายเซียว ผู้แซ่เหอช่างต่ำช้าและไร้ยางอายถึงเพียงนี้?"เซียวเทียนหนานชะงัก ก่อนถามด้วยความประหลาดใจ "เจ้าไม่ฆ่าข้า?""ผู้แซ่เหอชอบผูกมิตร"ทันทีที่ได้ยินคำพูดนี้ เซียวเทียนหนานแทบอยากจะอาเจียนเขาสาบานว่า สองประโยคที่เขาไม่อยากได้ยินที่สุดในชีวิตคือ หนึ่งคือ ภรรยาเจ้าคลอดลูกสาวให้ตน และสองคือ ใครก็ตามที่บอกว่าชอบผูกมิตรนับจากนี้ ถ้าเขาได้ยินอีก เขาจะซัดอีกฝ่ายไม่ยั้ง"ในเมื่อเป็นสหายกัน ผู้แซ่เหอจะฆ่าสหายของตัวเองได้อย่างไร?"เหอคุนกล
เมื่อคำพูดของเหอคุนสิ้นสุดลง เซียวเทียนหนานก็รีบลากเขาไปยังตรอกข้างๆเหอคุนรู้สึกงุนงงไปชั่วขณะเขาเกือบคิดว่าเซียวเทียนหนานคงจะทนแรงกดดันไม่ไหวและต้องการปะทะกับเขาแต่เรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ เขาไม่รู้อะไรเลยเหอคุนรู้ดีว่างานสำคัญที่สุดของเขาคือการล้วงข้อมูลจากขุนนางแคว้นเหลียว ดังนั้นเขาแทบไม่ได้กลับไปที่ตำหนักบูรพา แต่เลือกดักรออยู่หน้าจุดพักแรมกลัวว่าจะพลาดโอกาสสำคัญเสียงวุ่นวายที่เกิดขึ้นในจุดพักแรมก่อนหน้านี้ เหอคุนก็พอจะทราบเขาคิดจะกลับไปรายงานตำหนักบูรพา แต่เมื่อเห็นองครักษ์เสื้อแพรจำนวนมากตั้งกำแพงป้องกันไว้รอบพื้นที่ เขาก็ไม่ได้เร่งรีบในเมื่อทุกคนรู้กันดีว่าหน่วยบูรพาเป็นเสมือนสุนัขรับใช้ขององค์รัชทายาท เขาจึงแน่ใจว่าไม่องค์รัชทายาทก็หน่วยบูรพาย่อมรู้เรื่องนี้อยู่แล้ว หรือไม่ก็อาจเป็นฝีมือขององค์รัชทายาทเองเซียวเทียนหนานมองเหอคุนด้วยแววตาแข็งกร้าว ก่อนกัดฟันกล่าวว่า "พวกเจ้าร้ายกาจนัก!""พวกข้าต้องใช้เวลาในการเก็บข้อมูล แต่พวกเจ้ากลับฆ่าสือเซวียนเหว่ยเพื่อส่งคำเตือนถึงข้าใช่หรือไม่!?"หัวใจของเหอคุนกระตุกวูบสือเซวียนเหว่ยตายแล้วอย่างนั้นหรือ?ต้องเพิ่ง
เย่ลู่เสินเสวียนมองเซียวเทียนหนานด้วยสีหน้าเรียบเฉยเขาไม่ได้สงสัยในตัวเซียวเทียนหนาน แต่รู้สึกว่าชายผู้นี้ดูเหมือนจะหวาดกลัวจนเสียสติ และพูดจาไร้สาระไม่หยุด"แจ้งเขาทำไม? ข้ายังต้องขออนุญาตเขาด้วยหรือ...""จำเป็นต้องแจ้งเขาจริงๆ!"แต่ทันทีที่พูดไปได้ครึ่งประโยค เย่ลู่เสินเสวียนก็คิดได้เพราะที่นี่คือดินแดนของต้าฉิน การเดินทางจากเมืองหลวงไปยังด่านเย่ว์หยาต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบถึงสิบห้าวัน เส้นทางที่ยาวนานเช่นนี้ มีโอกาสเกิดเหตุไม่คาดฝันได้ตลอดเวลาที่สำคัญที่สุดคือ เวลาสิบถึงสิบห้าวันนี้ อาจเพียงพอให้หลี่เฉินเสียใจหากหลี่เฉิน ผู้ที่กล้าเสี่ยงทุกอย่างตัดสินใจบ้าระห่ำขึ้นมา และพยายามกักตัวเขาไว้ในต้าฉิน ทุกอย่างจะพังทลายในดินแดนต้าฉิน ผู้เดียวที่สามารถต่อกรกับหลี่เฉินได้อย่างเท่าเทียม ก็คือผู้อาวุโสจ้าวดังนั้น หากได้รับการสนับสนุนจากจ้าวเสวียนจี การเดินทางครั้งนี้จะราบรื่นขึ้นมากเมื่อคิดได้เช่นนี้ เย่ลู่เสินเสวียนมองเซียวเทียนหนานด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปชายไร้ค่านี่ แม้จะเป็นคนของหว่านเหยียนไจ๋เต้า แต่ในช่วงเวลาวิกฤต ก็ยังมีประโยชน์อยู่บ้างอย่างน้อยคำแนะนำนี้ก็ไม่ได้เสียเ
"แคว้นเหลียวไม่เคยถูกหยามเกียรติขนาดนี้ ข้าเองก็เช่นกัน!"เย่ลู่เสินเสวียนกล่าวอย่างเดือดดาล "ความแค้นนี้ต้องชำระ! แต่ไม่ใช่ตอนนี้!"ก่อนเดินทางมาจักรวรรดิต้าฉิน เย่ลู่เสินเสวียนได้ศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหลี่เฉินจากหลายแหล่งเขารู้ว่าจุดเด่นที่สุดของหลี่เฉิน คือการที่เขาไม่เคยทำตามกฎเกณฑ์ทั่วไปราวกับว่ามุมมองและวิธีการแก้ปัญหาของหลี่เฉิน แตกต่างจากคนธรรมดาโดยสิ้นเชิงคนเช่นนี้ถือว่าน่ากลัวอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อเขายืนอยู่ในตำแหน่งสูงสุดที่สามารถควบคุมจักรวรรดิอันยิ่งใหญ่ได้ ก็ยิ่งทำให้รับมือได้ยากแม้เย่ลู่เสินเสวียนจะประเมินหลี่เฉินไว้สูงแล้ว แต่จนถึงตอนนี้ การกระทำของหลี่เฉินยังคงเกินกว่าที่เขาคาดคิดคนผู้นี้ช่างกล้าเกินไป เขาทำได้ทุกอย่างจริงๆเมื่อความคิดนี้แวบขึ้นในหัว เย่ลู่เสินเสวียนก็รู้ทันทีว่า เขาไม่อยากอยู่ในเมืองหลวงอีกต่อไปในมุมมองของเขา หากจะล้างแค้นหรือตอบโต้ ต้องรอให้เขาออกจากจักรวรรดิต้าฉิน ผ่านด่านเย่ว์หยา และกลับถึงแคว้นเหลียวเสียก่อน เมื่อถึงแคว้นเหลียว เขาจึงจะสามารถเหยียบต้าฉินและหลี่เฉินไว้ใต้เท้าได้อย่างแท้จริงแต่การปะทะกับหลี่เฉินในเมืองหลวงเป็นเรื่องที่ไร
ในโลกนี้ ยังมีสตรีที่ทำให้ข้าหลงใหลได้ถึงเพียงนี้ด้วยสถานะของเย่ลู่เสินเสวียน เขาสามารถเรียกหญิงใดที่เขาหมายตาให้มาอยู่ต่อหน้า และไล่กลับไปตามใจได้โดยเฉพาะในแคว้นเหลียว ซึ่งมีวัฒนธรรมที่เปรียบสตรีดุจเสื้อผ้าที่สามารถเปลี่ยนใหม่ได้ตามใจชอบแม้แต่ภรรยาของขุนนาง ก็สามารถเรียกให้มาร่วมเตียงด้วยได้ขุนนางเหล่านั้นไม่สามารถปฏิเสธ และยังต้องถือว่าเป็นเกียรตินี่คือกฎของทุ่งหญ้าซึ่งอาศัยหลักการปลาใหญ่กินปลาเล็ก ผู้แข็งแกร่งย่อมครอบครองทุกสิ่งในแคว้นเหลียว เรื่องผู้หญิงยิ่งเป็นเช่นนั้นแต่เย่ลู่เสินเสวียนรู้ดีว่า สตรีที่เขาได้เห็นเมื่อครู่ ไม่ใช่ใครที่เขาจะได้มาครอบครองง่ายๆและเพราะเหตุนี้เอง นางจึงมีคุณค่าที่ทำให้เขาใฝ่ฝัน"องค์รัชทายาท"ชายกลางคนเดินกลับมายืนต่อหน้าเย่ลู่เสินเสวียน พร้อมยกมือขึ้นคำนับ น้ำเสียงหนักแน่นบาดแผลบริเวณฝ่ามือของเขาแม้ดูน่าสยดสยอง แต่เขากลับไม่แสดงอาการเจ็บปวดใดๆจากท่าทีที่แสดงออก ชัดเจนว่าเขาแตกต่างจากคนอื่นๆ ไม่ได้แสดงความยำเกรงเย่ลู่เสินเสวียนมากนักเย่ลู่เสินเสวียนเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ "เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น?""นักฆ่าหญิงผู้นั้น ฆ่าอ๋อง
แม้เย่ลู่เสินเสวียนจะมีการปกป้อง แต่ขุนนางคนอื่นๆ กลับไม่ได้โชคดีเช่นนั้นมีบางคนถูกแรงระเบิดซัดกระเด็นไปโดยตรง คนหนึ่งศีรษะกระแทกเสา เลือดพุ่งออกจากจมูกและปาก ก่อนร่างจะกระตุกสองครั้งแล้วนิ่งไปอีกสองคนถูกแรงระเบิดเหวี่ยงออกไปนอกหน้าต่าง ร่วงลงบนซากปรักหักพัง ไม่มีเสียงตอบสนองอีกเลยเย่ลู่เสินเสวียนเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงสิ่งแรกที่เขาคิดคือ หลี่เฉินต้องการฆ่าปิดปากเขาบ้าไปแล้วหรือ!? เขากล้าทำได้อย่างไร!?"ความตกใจและความโกรธที่ท่วมท้นทำให้ใบหน้าของเย่ลู่เสินเสวียนบิดเบี้ยว"เกิดอะไรขึ้นกันแน่!?"เย่ลู่เสินเสวียนตะโกนด้วยเสียงต่ำ แม้ฝุ่นควันจะเกาะเต็มตัว แต่เขาไม่สนใจ"องค์รัชทายาท มียอดฝีมือบุกเข้ามา"ชายชราผู้ค้อมตัวเอ่ยคนคนนี้เป็นคนเดียวกับที่ปกป้องเย่ลู่กู่จ้านฉีในวันนั้นมุมปากของเย่ลู่เสินเสวียนกระตุก สายตาเต็มไปด้วยความเย็นชาเขาคิดไม่ออกว่าทำไมไม่ว่ามองจากมุมไหน หลี่เฉินไม่ควรจะลงมือกับเขาในเวลานี้นี่เป็นเหตุผลที่เขากล้าปรากฏตัวในเมืองหลวง และแม้กระทั่งยั่วยุหลี่เฉินด้วยเย่ลู่เสินเสวียนไม่ใช่คนโง่ หากไม่มีความมั่นใจ เขาย่อมไม่เสี่ยงชีวิตเช่นนี้เว้นแ