จ้าวชิงหลานที่กำลังพักกลางวันอยู่ในพระตำหนักได้ยินว่าหลี่เฉินมาเข้าเฝ้า ก็ลนลานในบัดดลหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่จะต้องเจอหน้ากับหลี่เฉิน ก็ไม่มีสักครั้งที่ไม่ถูกเขารังแก จ้าวชิงหลานกลัวแล้วหลังจากครุ่นคิดแล้ว จ้าวชิงหลานจึงได้สั่งการให้ขันทีในตำหนักคนหนึ่งว่า “เจ้าไปทูลองค์รัชทายาทว่าข้าเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ ให้เขาไม่ต้องเข้าเฝ้า กลับไปที่ตำหนักบูรพาเถอะ”ขันทีผู้นั้นลำบากใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรรัชทายาทก็อยู่ข้างนอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนออกไปปฏิเสธรัชทายาทเช่นนี้แล้วจะต้องเจอกับอะไรทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฮองเฮาจึงทำได้เพียงตอบตกลงเมื่อมาถึงข้างนอก หลี่เฉินมองขันทีที่กำลังถ่ายทอดคำพูดของฮองเฮาอย่างตั้งใจตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นยกเท้าขึ้นเตะเขาไปทีหนึ่ง“ข้ามาเข้าเฝ้าฮองเฮา นางจะไม่มาพบข้าได้อย่างไร สุนัขรับใช้อย่างเจ้าบังอาจมาขัดขวางนั้นหรือ? ไสหัวไป!”หลังจากเตะขันทีแล้ว หลี่เฉินก็เดินเข้าไปในตำหนักเฟิ่งสี่โดยตรง ไม่แม้แต่จะเห็นแก่กฎระเบียบของตำหนักเลยจ้าวชิงหลานมองดูรัชทายาทที่เข้ามาบุ่มบ่ามพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่อยากพบเจ้า เ
“ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ฮองเฮายังไม่คุ้นชินอีกหรือ?”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานทั้งโกรธทั้งอายนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามือที่เดิมแนบติดอยู่ที่ส่วนโค้งมนของนางนั้นยิ่งอยู่ยิ่งเหิมเกริมจ้าวชิงหลานจับแขนของหลี่เฉินเอาไว้ จากนั้นความตั้งใจแรกของจ้าวชิงหลานคือสะบัดฝ่ามือที่กำลังเล่นตุกติกนี้ออกไปแต่ทว่าขณะที่ใช้แรงต่อต้านนั้น จ้าวชิงหลานพบว่าไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือพลัง ก็ไม่สามารถสู้หลี่เฉินที่หนุ่มและแข็งแกร่งได้เลย“อ๊าก!”จ้าวชิงหลานกรีดร้อง หงายหลังล้มลงไปโดยควบคุมไม่อยู่หลี่เฉินเห็นดังนั้น ก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวคอดของจ้าวชิงหลานไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าศีรษะของจ้าวชิงหลานกลับพุ่งไปที่มุมโต๊ะ หลี่เฉินจึงกอดจ้าวชิงหลานไว้แล้วกลิ้งไปที่พื้นโดยไม่คิดมากทั้งสองกอดเข้าด้วยกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหลายตลบจ้าวชิงหลานเพียงแค่รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน ร่างกายของนางถูกหลี่เฉินกอดเอาไว้ อ่อนนุ่ม และไม่บาดเจ็บอะไรทว่าจ้าวชิงหลานกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าว เพราะริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นถูกหลี่เฉินฉวยโอกาสจูบเข้าแล้ว!สำหรับสตรีแล้วนั้น การจูบเป็นเรื่องที่มีความหมายมากจ้าวชิงห
ประโยคคลุมเครือเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานรู้สึกเขินอายมาก“ราชโองการ ข้าจะเขียนให้ แต่เรื่องวันนี้ ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก”ในที่สุดจ้าวชิงหลานก็คืนท่าทีเป็นฮองเฮาแห่งมาตุภูมิของตน แววตาเฉียมคมของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาจ้องหลี่เฉินอยู่ พลางกล่าวว่า “ความอดทนของข้าก็มีจำกัดเหมือนกัน เจ้าทดสอบความอดทนของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าทำตัวเหลวไหลแน่”“ข้าทำตัวเหลวไหลอย่างไรอีก?”หลี่เฉินพลางเอ่ยพลางเข้าใกล้จ้าวชิงหลาน จนกระทั่งปลายจมูกของทั้งสองชนกัน ลมหายใจผสมรวมกัน เขามองดวงตางดงามคู่นั้นของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “เช่นนี้น่ะหรือ?”จ้าวชิงหลานหายใจถี่ขึ้นนางคิดไม่ตกเลยว่าเหตุใดหลี่เฉินถึงได้กล้าเพียงนี้ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของเขา หากแพร่งพรายออกไปต้องเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในใต้หล้าแน่ ไม่ว่าเขาจะสูงส่งมากเพียงใด ก็ไม่เว้นเช่นกันทว่าอาจเป็นเพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลี่เฉินหรือจ้าวชิงหลานเอง ต่างก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นเล็กน้อยที่พูดออกมาไม่ได้ความตื่นเต้นนี้ จ้าวชิงหลานไม่มีทางยอมรับแน่นอน ทว่าการพัฒนาการของเรื่องนั้นกลับเป็นเครื่องยืนยันทุกอย่างจ้าวชิงหลานรู้ตั
เมื่อเห็นสวีฉังชิงที่โกรธจนแทบกระทืบเท้า หลี่เฉินจึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรก็พูดดีๆ ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? ยังมีท่าทีเป็นขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนักอยู่หรือไม่?”สวีฉังชิงยังคงโกรธ เขากล่าวว่า “องค์รัชทายาท คนพวกนี้ไร้ยางอายจริงๆ”“ไม่กี่วันก่อน ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมของพระองค์ ทำให้พระคลังมีเงินเพิ่มขึ้นไม่น้อย ถึงแม้จะนำเงินยี่สิบล้านตำลึงเข้าบัญชีได้ ทว่าภายใต้สถานการณ์อันน่าอับอายของทั้งจักรวรรดิ นั่นต้องใช้เงินทุกอย่าง ดังนั้นจึงกล่าวได้เพียงว่าได้ช่วยบรรเทาความขัดข้องของราชสำนักเท่านั้น”“ขุนนางในราชสำนักพวกนั้น ปลัดแต่ละกรม รวมถึงแต่ละเมืองต่างก็ได้ข่าวเรื่องนี้ และคิดหาวิธีขอเงินให้ได้”“ยกตัวอย่างกรมโยธาธิการนั่น รายงานมาว่าจำเป็นต้องสร้างเขื่อนเก็บน้ำจำนวนสามแห่ง เพราะว่าพระคลังไม่มีเงินมาโดยตลอด จึงต้องยื้อเวลาต่อไป บัดนี้แค่อ้าปากก็จะเอาหกล้านตำลึง”“กรมโยธาธิการช่างเถอะ เพราะอย่างไรก็ทำเพื่อป้องกันภัยพิบัติ อีกอย่างยังเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทและสำนักราชเลขาร่วมกันตัดสินพระทัยด้วย ทว่าแม้แต่กรมพิธีการก็ออกมาบอกว่าภายใต้ภัยพิบัตินี้ ราษฎรแต่ละพื้นที่ต่างก็อ้อนวอน
เสียงตะคอกของหลี่เฉิน ทำให้สีวั่นหลี่ตกใจสะดุ้งสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเขียวช้ำ อยากจะต่อต้านคำประชดประชัน ทว่าเมื่อเห็นว่าหลี่เฉินโกรธจัด ท่าทีเคร่งขรึมพลันรู้สึกว่ารัชทายาทอายุน้อยนี้ ไม่ใช่คนอ่อนแอที่สามารถเล่นงานได้ง่ายเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแม้จะเป็นจ้าวเสวียนจี ก็ต้องสร้างสมดุลทางการเมืองและการประนีประนอมกับเขามิหนำซ้ำ นับตั้งแต่ที่รัชทายาทสำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็มีเลือดขุนนางติดมือไม่น้อยเมื่อนึกถึงตรงนี้ สีวั่นหลี่พลันประสานมือ แล้วกัดฟันกล่าว “กระหม่อมมิบังอาจ”“มิบังอาจ!? ข้าว่าเจ้าน่ะบังอาจเสียไม่มี!”หลี่เฉินหัวเราะแห้ง แล้วกล่าว “ในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ หลิ่วปินเฉิงรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์อวี่หลินเป็นคนใต้บังคับบัญชาของเจ้า ได้ปล้นเงินสี่ล้านตำลึงไปจากราชสำนัก เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คนบงการหลักกลับเป็นหลิ่วปินเฉิง ทว่าเจ้าเป็นถึงเสนาบดีบัญชาการกรมหนึ่ง ข้าจะตั้งข้อกล่าวหาว่าเจ้าบกพร่องในหน้าที่ และถอดตำแหน่งเจ้าซะ เจ้าจะว่าอย่างไร!?”สีวั่นหลี่หรี่ตาลง ถึงจะรู้ว่ารัชทายาทคิดจะชักดาบกับเขา จึงรีบแก้ตัวว่า “เรื่องนี้กระหม่อมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย หล
“ใต้เท้าสี ไปกับบ่าวเถอะ”ซานเป่าเดินมาข้างกายสีวั่นหลี่ แล้วปริปากพูดอย่างนิ่งขรึมสีวั่นหลี่ไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่ตะโกนต่อหลี่เฉินว่า “องค์รัชทายาทไม่สนความจริงความเท็จ ไม่ถามความเป็นมาก่อนก็ปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่ง กระหม่อมมีความผิดอันใดกัน? กระทำตามพระทัยเช่นนี้ ขุนนางทั้งราชสำนักไม่เห็นด้วยเป็นแน่! กระหม่อมอย่างมากก็แค่ตาย ทว่าองค์รัชทายาทจะต้องสูญเสียใจของราษฎร!”หลี่เฉินกลับไม่แยแสต่อคำพูดของสีวั่นหลี่เลย เพียงแค่ย้ำเตือนซานเป่าว่า “ยังไม่รีบไปอีก?”ซานเป่าเห็นหลี่เฉินกริ้วแล้ว กลัวว่าจะพลอยลำบากไปด้วยจึงรีบดึงตัวสีวั่นหลี่ออกไปทันทีซานเป่ารูปร่างเตี้ย แต่สีวั่นหลี่เป็นชายร่างกำยำแข็งแกร่ง ทว่าเขากลับไม่มีแรงขัดขืนต่อซานเป่าเลย และถูกลากตัวออกไปราวกับนกตัวน้อย“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม!!!”เสียงตะโกนของสีวั่นหลี่ค่อยๆ ไกลออกไป หลี่เฉินแค่นเสียงเย็นชา ในใจกลับเริ่มคิดถึงเรื่องในอนาคตที่สีวั่นหลี่ต้องโชคร้ายเช่นนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่เพราะเขาตกเป็นเครื่องมือของจ้าวเสวียนจี แต่เป็นเพราะเขาเป็นเสนาบดีของกรมยุทธนาการตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่หลี่เฉินวางแผนไว้แต่แรกแล้วสีวั่นหลี่ไ
น้ำเสียงของซานเป่าชะงักเล็กน้อยราวกับมีเรื่องกังวลใจ ทว่าสุดท้ายเขาก็กัดฟันกล่าวต่อไปว่า “เหตุการณ์ภัยพิบัติที่แท้จริงร้ายแรงกว่าที่พระองค์ทรงรู้กว่าร้อยเท่าพ่ะย่ะค่ะ”“ยกตัวอย่างมณฑลซีซานที่ประสบอุทกภัยหนักที่สุด ในพื้นที่นั้นประสบความลำบากจากเหตุการณ์แม่น้ำเหลืองล้นตลิ่ง ไม่มีแม่น้ำสายไหนไม่ล้น ทุ่งนาที่เคยอุดมสมบูรณ์ก็ไม่สามารถมองเห็นได้อีก”“มณฑลเหอหนานที่อยู่ข้างๆ ก็ไม่ดีไปกว่าเท่าไรนัก น้ำท่วมล้นมากกว่าพันลี้ จำนวนผู้คนหิวโหยมีมากกว่าห้าหกแสนคน ผู้ประสบภัยต้องอยู่รอดเพียงลมหายใจสุดท้าย หรือไม่ก็นุ่งขาวห่มขาวเป็นสาวกของเจ้าแม่กวนอิมเพื่อบรรเทาความหิวโหย หรือไม่ก็ขึ้นเขาขุดรากเหง้า เปลือกไม้กินเป็นอาหาร เพียงแค่ถูกผู้ประสบภัยผ่านไป เขาทั้งลูกนั้นก็จะถูกกินจะเกลี้ยง มีคนพบเห็นเคยกล่าวไว้ว่า ผู้ประสบภัยเดินผ่าน ภูเขาเตี้ยลงหนึ่งจั้ง ความหมายคือผู้ประสบภัยที่หิวโหยเหล่านั้น สามารถกินภูเขาให้หมดเกลี้ยงทั้งลูกได้ หากไม่มีรากเหง้า ไม่มีเปลือกไม้ ก็จะขุดดินกินเป็นอาหาร…”แม้แต่ขันทีซานเป่าซึ่งไม่มีความเป็นชายและเห็นแก่ตัวมาก ใบหน้าของเขาก็ยังมีท่าทีไม่อดทน เขาพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่
หลังจากผ่านไปครึ่งชั่วยาม ซูเจิ้นถิงที่ทั้งเส้นผมและหัวไหล่ปกคลุมไปด้วยหิมะขาวก็มาถึง“กระหม่อมซูเจิ้นถิง ขอคารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”สีหน้าของหลี่เฉินดีขึ้นไม่น้อย เขากล่าว “แม่ทัพซูเป็นกษัติรย์แต่กำเนิดของราชวงศ์ ไม่ต้องคารวะข้าหรอก”ซูเจิ้นถิงกล่าวอย่างจริงจัง “กษัตริย์และขุนนางต่างกัน ความเคารพนับถือก็มีลำดับ สำหรับตระกูลซูแล้ว กษัติรย์แต่กำเนิดนั้นพระราชวงศ์เมตตาพระราชทานให้ แต่รุ่นหลังของตระกูลซูเป็นทหารทั้งใจ ในเมื่อเป็นทหาร เมื่อเห็นเจ้านายย่อมต้องทำความเคารพ”“ขุนนางทั่วทั้งราชสำนัก หากมีสักสิบในสิบสองคนเป็นเหมือนอย่างแม่ทัพซู ข้าก็คงไม่ต้องพะวงแล้ว”หลี่เฉินถอนหายใจเบาๆ แล้วมองซูเจิ้นถิง “แม่ทัพซู พรุ่งนี้ข้าอยากไปว่าราชกิจเช้า”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ซูเจิ้นถิงตกใจเขารีบห้าม “ไม่ได้พ่ะย่ะค่ะ!”“แม้ว่าองค์รัชทายาททรงสำเร็จราชกิจแทนพระองค์แล้ว ตามหลักแล้วสามารถเข้าว่าราชกิจเช้าได้ ทว่าตั้งแต่ที่ฝ่าบาททรงประชวร ราชสำนักก็ไม่ได้เปิดว่าราชกิจเช้ามานับปีกว่าแล้ว ราชกิจทุกอย่างล้วนมีสำนักราชเลขาเป็นผู้จัดการ และอำนาจนี้ก็เป็นของจ้าวเสวียนจีทั้งหมด”“จู่ๆ พระองค์ทรงว่ารา
“นี่มันเรื่องอะไร?”ซูจิ่นพ่ากดดันต่อทันที “หากเจ้ามีเหตุผล ก็กล่าวมาเถิด ให้คนทั้งใต้หล้าได้ยินให้ชัดว่า องค์รัชทายาทนั้น ‘โง่งม’ อย่างไร?”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้ เสียงของซูจิ่นพ่าพลันเย็นเยียบลง “หากเจ้าพูดออกมาไม่ได้ เช่นนั้นก็คือการใส่ร้าย ใส่ร้ายองค์รัชทายาทผู้ครองแผ่นดิน ถือเป็นอาชญากรรม ต้องประหาร!”คำว่า “ต้องประหาร” สิ้นสุดลงในวินาทีใด อำนาจและบารมีอันยิ่งใหญ่ก็ปกคลุมรอบทิศจนขุนนางผู้นั้นถึงกับทรุดตัวนั่งตูมลงกลางพื้นซึ่งชุ่มไปด้วยน้ำฝนเขาถึงกับหวาดกลัวจนหมดสติเมื่อร่างล้มลง มือทั้งสองย่อมต้องยันพื้นไว้โดยสัญชาตญาณ ทว่าเมื่อฝ่ามือเขายื่นออกไป กลับสัมผัสกับพื้นของทางเสด็จในพระราชวัง หน้าพระที่นั่งไท่เหอ มีทางเดินอยู่สามสายสายหนึ่งคือ “ทางสามัญ” สำหรับขุนนางเดินใช้สายหนึ่งคือ “ทางอ๋อง” สำหรับเจ้านาย ราชนิกูลและเชื้อพระวงศ์และอีกสายคือ “ทางจักรพรรดิ” หรือเรียกว่า “ทางเสด็จ” เป็นทางที่มีเพียงฮ่องเต้และองค์รัชทายาทเท่านั้นที่สามารถเดินผ่านได้ตามกฎหมาย แบ่งทางเดินแต่ละสายตามสถานะผู้เดินอย่างเคร่งครัด หากผู้ต่ำศักดิ์ละเมิด ย่อมถือว่าเป็นการล่วงละเมิดเบื้องสูง มีโทษฐานก
เสียงฟ้าผ่าดังสนั่นโดยไร้สัญญาณเตือน ทำให้ทุกคนในที่นั้นแลเห็นใบหน้าของหลี่เฉินอย่างชัดเจน ภายใต้สายฝนที่เทกระหน่ำและหลี่เฉินเองก็สามารถมองเห็นสีหน้าของเหล่าขุนนางได้ถนัดตาในสีหน้าพวกเหล่าขุนนาง บ้างจริงจัง บ้างเงียบงัน บ้างหวาดหวั่น ทว่ามากที่สุด...คือความเย็นชาไร้ซึ่งอารมณ์พวกเขาราวกับแน่ใจว่า คืนนี้องค์รัชทายาทจะต้องถูกบีบให้สละตำแหน่งอย่างแน่นอนเสียงตะโกนขอให้องค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์ดังระงม ประหนึ่งคลื่นมหึมาที่ถาโถมกดทับอยู่บนร่างของหลี่เฉินซูจิ่นพ่าหันไปมองด้านข้างของหลี่เฉิน ใบหน้าของเขาเรียบเฉยไร้อารมณ์ แต่ด้วยความใกล้ชิด นางรู้ดีว่าร่างกายของบุรุษข้างกายกำลังสั่นไหวเล็กน้อยนั่นมิใช่ความหวาดกลัว แต่เป็นความโกรธในห้วงเวลานี้ ซูจิ่นพ่ารู้สึกเลือดลมพลุ่งพล่านจุกแน่นอยู่ในลำคอ ไม่อาจกลืนกลับไปได้อีกนางจำต้องกล่าวบางสิ่งออกมา“หยาบช้า!”เสียงตำหนิของซูจิ่นพ่าดังใสชัดเจน ในค่ำคืนอันเปียกชื้นอึมครึมนั้น เสียงของนางมิได้ละมุนดังเช่นทุกครั้ง ทว่าหนักแน่นเด็ดเดี่ยวอย่างน่าครั่นคร้ามดั่งเสียงขานแรกของนกฟีนิกซ์วัยเยาว์ แม้ยังไม่เติบโตเต็มที่ แต่ก็เผยแววสง่างามของสตรีผ
สายฝนเทกระหน่ำ ในห้วงฟ้าดินนั้น นอกจากเสียงเม็ดฝนกระทบพื้นอันอึกทึกแล้ว กลับไม่มีเสียงใดเล็ดลอดออกมาอีกเลยทันใดนั้น เสียงขานราชาศัพท์กังวานลั่นไปทั่วสะพานจินสุ่ย“ฮองเฮาเสด็จ!”“องค์รัชทายาทเสด็จ!”“พระชายาองค์รัชทายาทเสด็จ!”เสียงขานรับเสด็จทั้งสามดังขึ้นติดกัน ทำให้เหล่าขุนนางหลายสิบคนเริ่มเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่าจางปี้อู่ซึ่งยืนอยู่แถวหน้าสุดกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็นว่า “สงบปากสงบคำ”เพียงคำเดียว ทุกคนก็เงียบลงทันทีในเวลาไม่นาน ร่างสองร่างก็ปรากฏตัวเคียงข้างกันที่หน้าสะพานจินสุ่ยชุดแต่งงานสีแดงฉาน ภายใต้ม่านฝนและรัตติกาล กลับยิ่งสะดุดตาพร้อมกับการปรากฏตัวของพวกเขา คือเสียงฝีเท้าของเหล่าองครักษ์ที่เรียงรายอย่างเป็นระเบียบองครักษ์อวี่หลินเดินเข้าสู่ลานพิธีพวกเขากระจายตัวรายล้อมกำแพงแดงโดยรอบลานสะพานจินสุ่ย จนล้อมพื้นที่โดยรอบไว้ทั้งหมดเหล่าขุนนางเพียงแต่ยืนมองนิ่งๆ ไม่มีใครขัดขืน ไม่มีผู้ใดกล่าวคำหนึ่งคำราวกับรู้ดีว่า...ทหารเหล่านี้ ไร้ความหมายซานเป่าอยากจะกางร่มให้หลี่เฉินกับซูจิ่นพ่า ทว่าหลี่เฉินโบกมือ แล้วหยิบร่มไปกางเหนือศีรษะของซูจิ่นพ่า ส่วนตนกลับปล่อยให้ร่า
“ข้าเข้าใจแล้ว…เข้าใจหมดทุกอย่างแล้ว”หลี่อิ๋นหู่ระเบิดเสียงหัวเราะลั่น“ไม่แปลกใจเลย ไม่ว่าอย่างไร ข้าทำสิ่งใด เจ้าก็ล่วงรู้หมด ที่แท้เป็นเช่นนี้! เป็นเช่นนี้เอง!”หลี่เฉินมองหลี่อิ๋นหู่ที่หัวเราะจนหอบหายใจแทบไม่ทัน สีหน้าไร้อารมณ์เขาหันหลัง เดินตรงเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ซานเป่ากลับไม่ได้หันตาม แต่เดินตรงไปทางหลี่อิ๋นหู่ด้านหลังหลี่เฉิน เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ยังไม่จางหาย เขาหัวเราะพลางตะโกนลั่น “หลี่เฉิน เจ้าอย่าได้ลำพองใจ เจ้ารู้หรือไม่ว่าจ้าวเสวียนจีร้ายกาจเพียงใด! เจ้ารู้หรือไม่ว่าแผ่นดินนี้มีคนอีกมากมายที่ปรารถนาให้เจ้าตาย! ข้าเป็นแค่หุ่นเชิดก็จริง แต่ข้าก็เป็นเพียงจุดเริ่มต้น!”“หากเจ้าฆ่าข้า คนพวกนั้นจะไม่อาจอยู่นิ่งได้ อาณาจักรที่เจ้าครอง จะไม่มีวันมั่นคงแน่นอน!”ฝีเท้าหลี่เฉินไม่หยุด ยังคงเดินไปข้างหน้า คำพูดของหลี่อิ๋นหู่ไม่มีผลใดๆ กับเขาเลยในเวลาเดียวกัน เสียงตวาดกร้าวของโจวสิงเจี่ยก็ดังขึ้น“เจ้าจะทำอะไร!”ไม่มีผู้ใดตอบต่อมาคือเสียงฟึ่บ! ของคลื่นลมที่ระเบิดออก ตามด้วยเสียงกรีดร้องอันน่าสยดสยองของโจวสิงเจี่ยถัดจากนั้น เสียงหัวเราะของหลี่อิ๋นหู่ก็เงียบห
หลี่อิ๋นหู่รู้ดีว่าหลี่เฉินจะต้องฆ่าตนทว่าเมื่อความตายมาปรากฏอยู่ตรงหน้าอย่างแท้จริง เขากลับหวาดกลัวขึ้นมาม่านตาหดแน่น ลำคอหลี่อิ๋นหู่แห้งผากจนลิ้นแทบขยับไม่ไหว“จ้าวเสวียนจีบางทีอาจกำลังรอให้เจ้าฆ่าข้าก็เป็นได้!” หลี่อิ๋นหู่พลันเอ่ยขึ้นมา“ไม่ผิด”หลี่เฉินยืนยันคำพูดของหลี่อิ๋นหู่อีกครั้ง“ความผิดของเจ้า คือเข่นฆ่าพี่น้องร่วมสายเลือด หากข้าฆ่าเจ้า เช่นนั้นข้าก็จะมีความผิดเดียวกับเจ้าอย่างเต็มประตู”“จ้าวเสวียนจีจะใช้ข้อหานี้ ประกาศไปทั่วแคว้น ทำให้ข้าเสื่อมเสียชื่อเสียง”หลี่อิ๋นหู่ราวกับคว้าได้หนึ่งในเส้นเชือกแห่งความหวัง จึงรีบกล่าวด้วยความร้อนรนว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าก็ยิ่งห้ามหลงกลเขา!”“ข้าไม่กลัว”หลี่เฉินยิ้มอย่างอ่อนโยน “หลุมที่เจ้าก้าวลงไปแล้วต้องตาย ข้าเดินผ่านไป กลับสามารถถมให้ราบได้”สีหน้าหลี่อิ๋นหู่ชะงักนิ่งเขารู้สึกได้ว่าเส้นเชือกแห่งความหวังนั้น ค่อยๆ เลือนหายไป“อย่าฆ่าข้า!”หลี่อิ๋นหู่พลันทรุดตัวคุกเข่าลง สองเข่าติดพื้น ค่อยๆ คลานเข้าไปหาเขาหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร ไม่แม้แต่จะหลบหลีกปล่อยให้อีกฝ่ายคลานเข้ามาใกล้ พอเขาเอื้อมมือจะกอดขาหลี่เฉิน หลี่เฉินจึ
การระเบิดของระเบิดเทพต้าฉินทั้งสี่ระลอก ทำให้ผู้คนล้มตายไปหลายพันคน ทำลายขวัญกำลังใจของทัพกบฏจนราบคาบ ยังผลให้หลี่อิ๋นหู่ตื่นจากความฝันอันแสนหวานควันดินปืนยังลอยฟุ้งอยู่ทั่ว เปลวเพลิงที่ระเบิดทิ้งไว้ยังคงลุกไหม้ ธงรบที่ขาดวิ่นไหวระริกในสายลมยามโพล้เพล้ เสียงเปลวไฟแตกดังเปรี๊ยะๆ กับเสียงคร่ำครวญของบาดเจ็บที่ยังไม่สิ้นลมหายใจ ดังอยู่ไม่ขาดสายหลี่เฉินออกคำสั่ง ให้ทหารที่ยังมีแรงเหลือออกไปกวาดล้างสนามรบ“ฝ่าบาท พวกกบฏที่ยังรอดชีวิตอยู่ จะทรงให้ประหารหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ซานเป่าใช้ความเคยชินในฐานะจางกงแห่งตงฉ่าง เห็นว่าศัตรูก็ต้องฆ่าให้สิ้นซาก จึงเอ่ยถาม“หากผู้ใดพอมีหวังรอดชีวิต ก็ให้รักษาไว้”หลี่เฉินปรายตามองซานเป่า เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พวกเขาเลือกจุดยืนทางการเมืองไม่ได้ เรื่องนั้นเป็นของผู้ใหญ่ข้างบน ทหารเหล่านี้ ก็แค่สู้เพื่อค่าจ้างหนึ่งมื้อเท่านั้น ตั้งแต่ตำแหน่งแม่ทัพร้อยคนขึ้นไป ฆ่าให้หมด”การตัดสินใจที่ใหญ่ปล่อยเล็กเช่นนี้ แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์และความใจกว้างของผู้เป็นกษัตริย์ซานเป่าค้อมกายรับคำ “ฝ่าบาททรงเปี่ยมด้วยเมตตา บ่าวขอรับพระโอวาทไว้”เมื่อซานเป่านำรับสั่งไ
มนุษย์ ย่อมหวาดกลัวต่อภัยอันไม่อาจหยั่งรู้ได้นี่คือสันดานดิบของมนุษย์ เป็นสัญชาตญาณที่เปลี่ยนแปลงมิได้ก่อนหน้านี้ เว้นแต่บุคคลส่วนน้อยอย่างหลี่เฉิน ก็แทบไม่มีผู้ใดเคยเห็นระเบิดเทพต้าฉินมาก่อนเลยเพราะฉะนั้น เมื่อมันแสดงโฉมหน้าดุร้ายในฐานะอาวุธสงครามออกมาเป็นครั้งแรกต่อหน้าฝูงชน ทุกผู้คน รวมทั้งทหารองครักษ์ที่เหลืออยู่เพียงไม่กี่ร้อยนาย ต่างก็พากันตื่นตะลึงจนตาแตกเสียงระเบิดที่ดังกึกก้อง อานุภาพของมันรุนแรงจนชวนให้ผู้คนคิดว่าหรือจะเป็นเทพพิโรธที่ฟ้าดินบันดาลลงมาแม้แต่หลี่เฉินเอง ก็เพิ่งเคยเห็นผลของระเบิดเทพต้าฉินในสนามรบจริงเป็นครั้งแรกเช่นกันเขารู้สึกพึงใจอย่างยิ่งต่ออานุภาพของระเบิดเทพต้าฉิน ทว่าในใจกลับเจ็บราวกับมีเลือดซึมออกมาเหตุใดน่ะหรือ ก็เพราะทุกเสียงระเบิดนั้น ล้วนแปลเป็นเงินทั้งสิ้นตามต้นทุนในปัจจุบัน ระเบิดระเบิดเทพต้าฉินหนึ่งลูกมีค่าใช้จ่ายราวสองร้อยตำลึงเงินแท้จริงแล้ว ปืนใหญ่หนึ่งนัดเท่ากับทองคำหมื่นตำลึงยิ่งไปกว่านั้น คนที่สามารถสร้างมันได้ ในต้าฉินเวลานี้ก็มีเพียงซ่งอิงซิงคนเดียวเท่านั้น แม้เขาจะพยายามฝึกฝนผู้อื่นอยู่ แต่ของสิ่งนี้กลับต้องใช้พรสวรรค์ อ
มือปืนทั้งสามแถวพอยิงพร้อมกันเสร็จสิ้นรอบหนึ่ง ก็รีบควานเอาสิ่งของกลมดำสนิทสิ่งหนึ่งออกมาจากถุงผ้าที่คล้องอยู่ข้างกายเจ้าสิ่งนั้นดูแล้วไร้ค่าเสียยิ่งกว่าท่อนไม้ในมือของพวกเขา เป็นของที่ต่อให้ถูกโยนทิ้งไว้ข้างทางก็ไม่มีผู้ใดเหลียวแลแต่เมื่อมีตัวอย่างของท่อนไม้ที่กลับกลายเป็นปืนปรากฏอยู่ก่อนหน้าแล้ว ก็ไม่มีผู้ใดกล้าดูแคลนของสิ่งนี้“นั่นคือสิ่งใดกัน?”หลี่อิ๋นหู่ขมวดคิ้วแน่น ความรู้สึกไม่สู้ดีถาโถมเข้ามาในใจทันทีก่อนหน้านี้ที่เห็นปืนดินปืน แม้จะทำให้เขาตื่นตระหนกอยู่บ้าง แต่ยังไม่ถึงขั้นเสียขวัญก่อนอื่น ปืนดินปืนนั้นมิใช่ของแปลกใหม่เสียทีเดียว จักรวรรดิต้าฉินในอดีตก็เคยคิดค้นของเช่นนี้ขึ้นมาแล้ว เพียงแต่ทุกคนต่างรู้ว่ามันเล็งได้ไม่แม่น แถมยังต้องเสียเวลายัดดินปืนใส่เข้าไป จึงมิได้ถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายหรือพัฒนาอย่างจริงจัง ผู้คนล้วนเห็นว่าอย่างไรก็ยังสู้ฝึกมือธนูที่มีกำลังแขนมากหน่อยไม่ได้และการที่หลี่เฉินนำปืนดินปืนกลับมาพัฒนาใหม่นั้นก็หาใช่ความลับไม่ ขุนนางมากมายต่างตำหนิเจ้าชายรัชทายาทว่าเอาแต่เล่นจนเสียงาน ริหลงใหลในกลไกแปลกประหลาดซึ่งถือเป็นศาสตร์นอกลู่นอกทางหลี่อิ๋นห
“ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ เราคงรักษาแนวไว้ไม่อยู่แล้ว” ซานเป่ามองสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ไม่สู้พวกเรากลับเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ แล้วค่อยหาทางใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “ให้คนที่เหลือถอยกลับมาเถิด” “แต่ว่า…” หลี่เฉินเหลือบตามองซานเป่าหนึ่งแวบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดกันที่เจ้ากลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนข้า?” ซานเป่าหน้าตึงไปทันใด รีบก้มตัวยอมรับคำสั่งโดยไม่กล้าเถียงแม้แต่น้อย การรบในสนามยังคงดุเดือดโลหิต เมื่อความแตกต่างด้านจำนวนเพิ่มขึ้นตามอัตราผู้บาดเจ็บและล้มตาย เมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงขีดสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ขณะนั้นเอง คำสั่งถอยทัพก็ส่งต่อไปยังทุกหน่วย เหล่าทหารต่างรีบหดแนวรับอย่างเป็นระเบียบแม้เป็นการถอย แต่พวกเขายังคงปักหลักรักษาหน้าที่ ไม่มีผู้ใดหลบหนี ไม่แม้แต่จะแตกกระเจิง ทหารรักษาการณ์ที่เคยมีอยู่หลายพันนาย บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อย ทั้งยังล้วนแต่มีบาดแผลติดตัว ดวงตาหลี่เฉินเปล่งประกาย เขาหันไปกล่าวกับซานเป่าข้างกายว่า “ศึกนี้ จงจดชื่อของเหล่าทหารที่เข้าร่วมไว้ทั้งห