“องค์รัชทายาทตรัสถูกต้องแล้ว”คำพูดเหล่านี้ กลับเป็นซูเจิ้นถิงที่เป็นคนพูดเขาเหลือบมองลูกชายที่ยังคงเบิกตาโพลงด้วยความสับสน ถอนหายใจเบาๆ เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนอายุไล่เลี่ยกันแท้ๆ เหตุใดถึงแตกต่างกันมากขนาดนี้“ถ้าเป็นในยามปกติ เจ้าสามารถดึงมาเป็นพวก ทำให้แตกแยก และค่อยๆ เข้ายึดค่ายเป่ยต้าได้ เจ้าได้รับการสนับสนุนจากองค์รัชทายาท สิ่งที่ต้องสิ้นเปลืองก็มีแค่เวลาเท่านั้น”“แต่ในช่วงเวลาพิเศษเช่นนี้ หากต้องการควบคุมค่ายเป่ยต้าในเวลาที่สั้นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ก็ทำได้เพียงรีบตัดปัญหาวุ่นวายทิ้งอย่างเด็ดขาด พวกเขาสิบเอ็ดคนนั้นย่อมกอดกันกลมอยู่แล้ว ประกอบกับหลิ่วปินเฉิงที่เพิ่งตาย พวกเขาจะต่อต้านเจ้าอย่างแน่นอน เจ้าทำได้เพียงเลียนแบบวิธีการของรัชทายาทที่ตัดหัวหลิ่วปินเฉิงด้วยโทสะ ทำให้ทุกคนหวาดกลัวด้วยการฆ่า”คำอธิบายของซูเจิ้นถิง ทำให้หลี่เฉินคิดจากใจว่าขิงแก่ยังเผ็ดหลี่เฉินพูดกับซูผิงเป่ยว่า “จะมีความเสี่ยงสูงเกินไปก็ใช่ แต่อย่าลืม เจ้าเป็นหลานชายของเทพสงคราม มีบิดาของเจ้าหนุนหลัง มีข้าคอยสนับสนุน ไม่ต้องกลัวสิ่งใด”“แต่การฆ่าก็ต้องใส่ใจรายละเอียดด้วย ต้องฆ่าด้วยวิธีใดถึงจะปลอด
เขาอิ๋นซานนี้ปรากฏตรงหน้าหลี่เฉิน ทำให้ใบหน้าของหลี่เฉินเผยรอยยิ้มโล่งอกพลางเอ่ยว่า “ในที่สุดก็เอาเหรียญเงินเหล่านี้กลับมาได้อย่างปลอดภัย!”“เกิดภัยพิบัติติดต่อกันนานหลายปี เงินส่วนนี้สามารถบรรเทาส่วนติดขัดของราชวังได้ชั่วคราวแล้ว” ซูเจิ้นถิงกล่าว“หาคนไปส่งข่าวให้กรมครัวเรือน สั่งให้กรมครัวเรือนส่งคนมาจัดแจงเงินเหล่านี้เข้าคลัง และต้องขนเงินทั้งหมดเข้าพระคลังภายในวันนี้”หลังจากหลี่เฉินสั่งการเสร็จสรรพ ก็มีคนเริ่มยุ่งขึ้นมาส่วนหลี่เฉิน หลังจากที่เขาจัดการเรื่องภายในค่ายเป่ยต้าแล้ว ก็เดินทางกลับตำหนักบูรพาหลี่เฉินเพิ่งก้าวเท้าออกจากพื้นที่ค่ายเป่ยต้า หน่วยสอดแนมของกองกำลังแต่ละฝ่ายก็รีบรายงานสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายในค่ายเป่ยต้าให้กับหัวหน้าแต่ละฝ่ายของตนทันทีจ้าวเจี้ยนเยี่ยที่เป็นผู้บัญชาการของหน่วยองครักษ์อวี่หลินได้รับข่าวเป็นคนแรกๆจ้าวเจี้ยนเยี่ยที่ร่างกายกำยำสูงใหญ่ประดุจเสาเหล็กลุกตัวขึ้นพรวดจากกระโจมของตน เบิกตากว้างกล่าวว่า “หลิ่วปินเฉินตายแล้ว!?”หน่วยสอดแนมที่มารายงานรีบตอบ “ข้าน้อยเห็นเองกับตา มิบังอาจพูดปด องค์รัชทายาทปลิดชีวิตหลิ่วปินเฉินในดาบเดียว บัดนี้ร่างศพย
จ้าวชิงหลานที่กำลังพักกลางวันอยู่ในพระตำหนักได้ยินว่าหลี่เฉินมาเข้าเฝ้า ก็ลนลานในบัดดลหลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่จะต้องเจอหน้ากับหลี่เฉิน ก็ไม่มีสักครั้งที่ไม่ถูกเขารังแก จ้าวชิงหลานกลัวแล้วหลังจากครุ่นคิดแล้ว จ้าวชิงหลานจึงได้สั่งการให้ขันทีในตำหนักคนหนึ่งว่า “เจ้าไปทูลองค์รัชทายาทว่าข้าเหนื่อยแล้ว กำลังพักผ่อนอยู่ ให้เขาไม่ต้องเข้าเฝ้า กลับไปที่ตำหนักบูรพาเถอะ”ขันทีผู้นั้นลำบากใจเล็กน้อย เพราะอย่างไรรัชทายาทก็อยู่ข้างนอก เขาเองก็ไม่รู้ว่าตนออกไปปฏิเสธรัชทายาทเช่นนี้แล้วจะต้องเจอกับอะไรทว่าเขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของฮองเฮาจึงทำได้เพียงตอบตกลงเมื่อมาถึงข้างนอก หลี่เฉินมองขันทีที่กำลังถ่ายทอดคำพูดของฮองเฮาอย่างตั้งใจตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จากนั้นยกเท้าขึ้นเตะเขาไปทีหนึ่ง“ข้ามาเข้าเฝ้าฮองเฮา นางจะไม่มาพบข้าได้อย่างไร สุนัขรับใช้อย่างเจ้าบังอาจมาขัดขวางนั้นหรือ? ไสหัวไป!”หลังจากเตะขันทีแล้ว หลี่เฉินก็เดินเข้าไปในตำหนักเฟิ่งสี่โดยตรง ไม่แม้แต่จะเห็นแก่กฎระเบียบของตำหนักเลยจ้าวชิงหลานมองดูรัชทายาทที่เข้ามาบุ่มบ่ามพลันเอ่ยด้วยน้ำเสียงกรุ่นโกรธ “ข้าบอกแล้วว่าข้าไม่อยากพบเจ้า เ
“ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย ฮองเฮายังไม่คุ้นชินอีกหรือ?”คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานทั้งโกรธทั้งอายนางสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่ามือที่เดิมแนบติดอยู่ที่ส่วนโค้งมนของนางนั้นยิ่งอยู่ยิ่งเหิมเกริมจ้าวชิงหลานจับแขนของหลี่เฉินเอาไว้ จากนั้นความตั้งใจแรกของจ้าวชิงหลานคือสะบัดฝ่ามือที่กำลังเล่นตุกติกนี้ออกไปแต่ทว่าขณะที่ใช้แรงต่อต้านนั้น จ้าวชิงหลานพบว่าไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหรือพลัง ก็ไม่สามารถสู้หลี่เฉินที่หนุ่มและแข็งแกร่งได้เลย“อ๊าก!”จ้าวชิงหลานกรีดร้อง หงายหลังล้มลงไปโดยควบคุมไม่อยู่หลี่เฉินเห็นดังนั้น ก็ยื่นมือออกไปคว้าเอวคอดของจ้าวชิงหลานไว้อย่างรวดเร็ว ทว่าศีรษะของจ้าวชิงหลานกลับพุ่งไปที่มุมโต๊ะ หลี่เฉินจึงกอดจ้าวชิงหลานไว้แล้วกลิ้งไปที่พื้นโดยไม่คิดมากทั้งสองกอดเข้าด้วยกันกลิ้งไปมาอยู่บนพื้นหลายตลบจ้าวชิงหลานเพียงแค่รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน ร่างกายของนางถูกหลี่เฉินกอดเอาไว้ อ่อนนุ่ม และไม่บาดเจ็บอะไรทว่าจ้าวชิงหลานกลับรู้สึกว่าใบหน้าของตนร้อนผ่าว เพราะริมฝีปากแดงระเรื่อนั่นถูกหลี่เฉินฉวยโอกาสจูบเข้าแล้ว!สำหรับสตรีแล้วนั้น การจูบเป็นเรื่องที่มีความหมายมากจ้าวชิงห
ประโยคคลุมเครือเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานรู้สึกเขินอายมาก“ราชโองการ ข้าจะเขียนให้ แต่เรื่องวันนี้ ต่อไปห้ามทำเช่นนี้อีก”ในที่สุดจ้าวชิงหลานก็คืนท่าทีเป็นฮองเฮาแห่งมาตุภูมิของตน แววตาเฉียมคมของนางเต็มไปด้วยความเย็นชาจ้องหลี่เฉินอยู่ พลางกล่าวว่า “ความอดทนของข้าก็มีจำกัดเหมือนกัน เจ้าทดสอบความอดทนของข้าซ้ำแล้วซ้ำเล่า ข้าไม่มีทางยอมให้เจ้าทำตัวเหลวไหลแน่”“ข้าทำตัวเหลวไหลอย่างไรอีก?”หลี่เฉินพลางเอ่ยพลางเข้าใกล้จ้าวชิงหลาน จนกระทั่งปลายจมูกของทั้งสองชนกัน ลมหายใจผสมรวมกัน เขามองดวงตางดงามคู่นั้นของจ้าวชิงหลานแล้วเอ่ยหยอกล้อว่า “เช่นนี้น่ะหรือ?”จ้าวชิงหลานหายใจถี่ขึ้นนางคิดไม่ตกเลยว่าเหตุใดหลี่เฉินถึงได้กล้าเพียงนี้ทุกการกระทำ ทุกคำพูดของเขา หากแพร่งพรายออกไปต้องเป็นเรื่องอื้อฉาวที่สุดในใต้หล้าแน่ ไม่ว่าเขาจะสูงส่งมากเพียงใด ก็ไม่เว้นเช่นกันทว่าอาจเป็นเพราะเช่นนั้น ไม่ว่าจะเป็นหลี่เฉินหรือจ้าวชิงหลานเอง ต่างก็รู้สึกถึงความตื่นเต้นเล็กน้อยที่พูดออกมาไม่ได้ความตื่นเต้นนี้ จ้าวชิงหลานไม่มีทางยอมรับแน่นอน ทว่าการพัฒนาการของเรื่องนั้นกลับเป็นเครื่องยืนยันทุกอย่างจ้าวชิงหลานรู้ตั
เมื่อเห็นสวีฉังชิงที่โกรธจนแทบกระทืบเท้า หลี่เฉินจึงขมวดคิ้วกล่าวว่า “มีเรื่องอะไรก็พูดดีๆ ทำเช่นนี้เหมาะสมหรือไม่? ยังมีท่าทีเป็นขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนักอยู่หรือไม่?”สวีฉังชิงยังคงโกรธ เขากล่าวว่า “องค์รัชทายาท คนพวกนี้ไร้ยางอายจริงๆ”“ไม่กี่วันก่อน ด้วยฝีมืออันยอดเยี่ยมของพระองค์ ทำให้พระคลังมีเงินเพิ่มขึ้นไม่น้อย ถึงแม้จะนำเงินยี่สิบล้านตำลึงเข้าบัญชีได้ ทว่าภายใต้สถานการณ์อันน่าอับอายของทั้งจักรวรรดิ นั่นต้องใช้เงินทุกอย่าง ดังนั้นจึงกล่าวได้เพียงว่าได้ช่วยบรรเทาความขัดข้องของราชสำนักเท่านั้น”“ขุนนางในราชสำนักพวกนั้น ปลัดแต่ละกรม รวมถึงแต่ละเมืองต่างก็ได้ข่าวเรื่องนี้ และคิดหาวิธีขอเงินให้ได้”“ยกตัวอย่างกรมโยธาธิการนั่น รายงานมาว่าจำเป็นต้องสร้างเขื่อนเก็บน้ำจำนวนสามแห่ง เพราะว่าพระคลังไม่มีเงินมาโดยตลอด จึงต้องยื้อเวลาต่อไป บัดนี้แค่อ้าปากก็จะเอาหกล้านตำลึง”“กรมโยธาธิการช่างเถอะ เพราะอย่างไรก็ทำเพื่อป้องกันภัยพิบัติ อีกอย่างยังเป็นสิ่งที่ฝ่าบาทและสำนักราชเลขาร่วมกันตัดสินพระทัยด้วย ทว่าแม้แต่กรมพิธีการก็ออกมาบอกว่าภายใต้ภัยพิบัตินี้ ราษฎรแต่ละพื้นที่ต่างก็อ้อนวอน
เสียงตะคอกของหลี่เฉิน ทำให้สีวั่นหลี่ตกใจสะดุ้งสีหน้าของเขาพลันเปลี่ยนเป็นเขียวช้ำ อยากจะต่อต้านคำประชดประชัน ทว่าเมื่อเห็นว่าหลี่เฉินโกรธจัด ท่าทีเคร่งขรึมพลันรู้สึกว่ารัชทายาทอายุน้อยนี้ ไม่ใช่คนอ่อนแอที่สามารถเล่นงานได้ง่ายเหมือนแต่ก่อนอีกต่อไปแม้จะเป็นจ้าวเสวียนจี ก็ต้องสร้างสมดุลทางการเมืองและการประนีประนอมกับเขามิหนำซ้ำ นับตั้งแต่ที่รัชทายาทสำเร็จราชการแทนพระองค์ ก็มีเลือดขุนนางติดมือไม่น้อยเมื่อนึกถึงตรงนี้ สีวั่นหลี่พลันประสานมือ แล้วกัดฟันกล่าว “กระหม่อมมิบังอาจ”“มิบังอาจ!? ข้าว่าเจ้าน่ะบังอาจเสียไม่มี!”หลี่เฉินหัวเราะแห้ง แล้วกล่าว “ในฐานะที่เป็นเสนาบดีกรมยุทธนาการ หลิ่วปินเฉิงรองผู้บัญชาการหน่วยองครักษ์อวี่หลินเป็นคนใต้บังคับบัญชาของเจ้า ได้ปล้นเงินสี่ล้านตำลึงไปจากราชสำนัก เรื่องใหญ่โตเพียงนี้ คนบงการหลักกลับเป็นหลิ่วปินเฉิง ทว่าเจ้าเป็นถึงเสนาบดีบัญชาการกรมหนึ่ง ข้าจะตั้งข้อกล่าวหาว่าเจ้าบกพร่องในหน้าที่ และถอดตำแหน่งเจ้าซะ เจ้าจะว่าอย่างไร!?”สีวั่นหลี่หรี่ตาลง ถึงจะรู้ว่ารัชทายาทคิดจะชักดาบกับเขา จึงรีบแก้ตัวว่า “เรื่องนี้กระหม่อมไม่รู้เรื่องเลยแม้แต่น้อย หล
“ใต้เท้าสี ไปกับบ่าวเถอะ”ซานเป่าเดินมาข้างกายสีวั่นหลี่ แล้วปริปากพูดอย่างนิ่งขรึมสีวั่นหลี่ไม่ได้สนใจเขา เพียงแค่ตะโกนต่อหลี่เฉินว่า “องค์รัชทายาทไม่สนความจริงความเท็จ ไม่ถามความเป็นมาก่อนก็ปลดกระหม่อมออกจากตำแหน่ง กระหม่อมมีความผิดอันใดกัน? กระทำตามพระทัยเช่นนี้ ขุนนางทั้งราชสำนักไม่เห็นด้วยเป็นแน่! กระหม่อมอย่างมากก็แค่ตาย ทว่าองค์รัชทายาทจะต้องสูญเสียใจของราษฎร!”หลี่เฉินกลับไม่แยแสต่อคำพูดของสีวั่นหลี่เลย เพียงแค่ย้ำเตือนซานเป่าว่า “ยังไม่รีบไปอีก?”ซานเป่าเห็นหลี่เฉินกริ้วแล้ว กลัวว่าจะพลอยลำบากไปด้วยจึงรีบดึงตัวสีวั่นหลี่ออกไปทันทีซานเป่ารูปร่างเตี้ย แต่สีวั่นหลี่เป็นชายร่างกำยำแข็งแกร่ง ทว่าเขากลับไม่มีแรงขัดขืนต่อซานเป่าเลย และถูกลากตัวออกไปราวกับนกตัวน้อย“ข้าไม่ยอม! ข้าไม่ยอม!!!”เสียงตะโกนของสีวั่นหลี่ค่อยๆ ไกลออกไป หลี่เฉินแค่นเสียงเย็นชา ในใจกลับเริ่มคิดถึงเรื่องในอนาคตที่สีวั่นหลี่ต้องโชคร้ายเช่นนี้ สิ่งสำคัญไม่ใช่เพราะเขาตกเป็นเครื่องมือของจ้าวเสวียนจี แต่เป็นเพราะเขาเป็นเสนาบดีของกรมยุทธนาการตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งที่หลี่เฉินวางแผนไว้แต่แรกแล้วสีวั่นหลี่ไ
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี