จ้าวเสวียนจีฟังคำพูดของฟู่อวี้จือ ก็พยักหน้าช้าๆ อย่างเห็นด้วยฟู่อวี้จือคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพูดว่า “เมื่อมองจากจุดยืนของเรา แม้ว่าถานไถจิ้งจือจะรับราชการ สำหรับพวกเราแล้วแม้จะเป็นเรื่องที่ทันตั้งตัว แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายไปเสียทีเดียว อย่างน้อยก็มีสิ่งที่เราสามารถทำให้ยุ่งยากได้”ฟู่อวี้จือยิ่งคิดก็ยิ่งหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “ตอนนี้ตำหนักบูรพามีทรัพยากรทางการเมืองจำนวนเท่าใดกัน? อันที่จริงมีไม่มาก ครึ่งหนึ่งจากกรมครัวเรือน ครึ่งหนึ่งจากกรมโยธาธิการ แม้จะบวกกรมยุติธรรมไปด้วย แต่คนอื่นๆ ยังไม่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขา แต่ปัญหาคือเขามีนายพลสองคน คนหนึ่งมาจากตระกูลซู และอีกคนคือถานไถจิ้งจือ คนหนึ่งเป็นตัวแทนของกองทัพ ส่วนอีกคนเป็นตัวแทนของนักวิชาการ”“การมีอำนาจทั้งบุ๋นและบู๊ย่อมเป็นสิ่งที่ดีอย่างแน่นอน แต่ทรัพยากรมีมากพอจะแจกจ่ายหรือไม่?”“เมื่อการกระจายไม่เท่ากัน จะเกิดการเผชิญหน้ากันระหว่างซูเจิ้นถิงและถานไถจิ้งจือโดยที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย”“เมื่อมองดูองค์รัชทายาทของเรา เขาก็เชี่ยวชาญด้านการทหารเช่นกัน ดูได้จากการบังคับส่งกองทัพไปยังเสียนเฉา เราจะเห็นได้ว่าเขาชอบบู๊มากกว่า ดังน
จางปี้อู่ไม่ได้พูดอะไร และมองไปที่หวังเถิงฮ่วนกับจ้าวเสวียนจีในกลุ่มเล็กๆ นี้ การตัดสินใจใดๆ ก็ตามจำเป็นต้องได้รับการพยักหน้าจากจ้าวเสวียนจีในท้ายที่สุดมันเป็นเช่นนี้มาโดยตลอด และในวันนี้ก็ไม่มีข้อยกเว้นคิ้วของจ้าวเสวียนจีขมวดลึก และยากที่จะบอกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ฟู่อวี้จือกล่าวเสียงเบาว่า “ท่านราชเลขา ความเมตตากรุณาของสตรีน่ะ มีแต่จะทำให้เรื่องมันแย่ลง”จ้าวเสวียนจีมองฟู่อวี้จือแวบหนึ่ง เขายืนขึ้นแล้วพูดว่า “ทำตามความคิดของพี่ฟู่เถอะ”คนที่เหลืออีกสามคนมองหน้ากัน ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “รับคำสั่งท่านราชเลขา”……ขณะเดียวกัน ณ ที่ประทับของรัฐทายาทเหวินอ๋อง รัฐทายาทเขียนจดหมายฉบับหนึ่งแล้วมอบให้กับคนข้างกาย พลางกล่าวว่า “จดหมายฉบับนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เจ้าควรเก็บไว้ใกล้ตัวและส่งไปให้ท่านพ่อข้าทันที จากนั้นก็นำคำสั่งของท่านพ่อกลับมา จำไว้ว่า คนอยู่ศรัทธาอยู่ คนตาย แต่ศรัทธาของเจ้าจะไม่สูญสิ้น”ชายคนนั้นรับจดหมายอย่างเคร่งขรึม และซ่อนมันไว้ในกระเป๋าด้านใน โค้งคำนับรัฐทายาทเหวินอ๋อง แล้วหันหลังเดินจากไปที่จวนจ้าวอ๋อง หลี่อิ๋นหู่ก็ได้รับข่าวเช่นกันปฏิกิริยาแรกของเขาคือไม่เชื่
“ไม่ได้!”หลี่อิ๋นหู่เกือบจะกระโดด เขาปฏิเสธโดยไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ“ฆ่าฮองเฮาเหรอ? ความคิดเช่นนี้ก็ยังคิดออกมาได้ สมองของสำนักบัวขาวอย่างพวกเจ้าคิดอะไรอยู่? ทำไมไม่ไปลอบสังหารเสด็จพ่อข้าเสียเลยล่ะ?”หลังจากที่หลี่อิ๋นหู่พูดจบ เขาก็ตระหนักว่าตัวเองทำผิดพลาดสีหน้าของเขาดูเขียวเทา และไม่พูดอะไรอีกแต่สตรีศักดิ์สิทธิ์ไม่สนใจสิ่งที่เขาคิดและพูดอย่างเย็นชา “การลอบสังหารจักรพรรดินั้นเสี่ยงเกินไป และไม่เป็นประโยชน์ต่อสำนักในปัจจุบัน จักรพรรดิที่หมดสตินั้นมีประโยชน์มากกว่าจักรพรรดิที่สิ้นพระชนม์ ตราบใดที่เขายังมีลมหายใจ สถานการณ์ก็จะยังคงเสถียรภาพ และป้องกันไม่ให้พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นเขาไม่สามารถตายได้ อย่างน้อยก็ตอนนี้”หลี่อิ๋นหู่ยิ้มเยาะและพูดว่า “พูดได้ดี ราวกับว่าชีวิตของเสด็จพ่อข้าอยู่ในมือของพวกเจ้า แค่การลอบสังหารองค์รัชทายาทก็ยังล้มเหลว เจ้าไปเอาความมั่นใจมาจากไหนว่าจะสามารถชี้แนะใต้หล้าได้?”ประโยคนี้แลกกับการจ้องมองที่เย็นชาของสตรีศักดิ์สิทธิ์สายตาที่ไร้ความรู้สึก จ้องมองหลี่อิ๋นหู่ด้วยสายตาที่ไม่ต่างอะไรกับการมองก้อนหินริมทางหลี่อิ๋นหู่ตัวแข็งทื่อ สีหน้าของเขายิ่งด
หลี่อิ๋นหู่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติร้ายแรงกับสมองของสตรีศักดิ์สิทธิ์แผนการนี้ชุ่ยมาก จนเห็นว่าตัวเขาเองเป็นคนโง่อัตราความสำเร็จในการฆ่านี้สูงจริงๆ และอาจกล่าวได้ว่าแทบจะสมบูรณ์แบบ แต่ปัญหาอยู่ที่ผลที่ตามมาเขาร่วมมือกับสำนักบัวขาวในการทำเช่นนี้ เพราะตั้งใจที่จะทำให้สำนักราชเลขาและตำหนักบูรพากัดกันเหมือนสุนัข ส่วนตัวเองก็หวังจะจับปลาในน้ำขุ่น หากจัดการได้ดี คนที่หัวเราะเป็นคนสุดท้ายก็คือเขา อย่างน้อยสถานการณ์ก็จะไม่เลวร้ายไปกว่าตอนนี้แต่ทันทีที่สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวแผนการออกมา ก็เห็นได้ชัดว่าตัวเองถูกปฏิบัติแบบเบี้ยที่ใช้แล้วทิ้งถ้าหลี่อิ๋นหู่เห็นด้วยก็แปลกแล้ว“เจ้ายืมสถานะของข้าเข้าไปในวัง ลอบปลงพระชนม์ฮองเฮาแล้วหนีไป ถึงตอนนั้นจะให้ข้าหนีไปที่ไหน? แผนนี้จะไม่มีวันได้ผล”“ข้าจะซัดท่านหนึ่งฝ่ามือ”เมื่อเผชิญกับความสงสัยและการปฏิเสธของหลี่อิ๋นหู่ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ดูเหมือนจะเตรียมพร้อมสำหรับเรื่องนี้แล้วนางพูดอย่างใจเย็นว่า “ตราบใดที่จ้าวอ๋องก็เกือบตายไปด้วย ก็จะไม่มีใครสงสัยว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับจ้าวอ๋อง แม้กระทั่งคิดว่าจ้าวอ๋องก็เป็นผู้บริสุทธิ์เช่นกัน”ในที่สุดห
หลังจากฟังคำอธิบายของหลี่อิ๋นหู่แล้ว สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่รั้นอีกต่อไปไม่ว่าต้องการพยายามเร็วแค่ไหน ก็ไม่สามารถทำมันต่อหน้าผู้คนมากมายในวังหลังได้ จุดนี้ สตรีศักดิ์สิทธิ์ยังสามารถควบคุมความเหมาะสมได้“เช่นนั้นวันมะรืน ข้าจะมาหาจ้าวอ๋องอีกครั้ง หวังว่าจ้าวอ๋องจะเตรียมพร้อมในตอนนั้น”พูดจบ สตรีศักดิ์สิทธิ์ก็หันหลังจะเดินจากไป“สตรีศักดิ์สิทธิ์หยุดก่อน!”หลี่อิ๋นหู่เรียกสตรีศักดิ์สิทธิ์“จ้าวอ๋องยังมีธุระอื่นหรือไม่?”สตรีศักดิ์สิทธิ์ถาม“ข้าอยากจะรู้ว่า แผนการนี้เป็นสตรีศักดิ์สิทธิ์หรือว่าสำนักของเจ้าเป็นคนคิดขึ้นมา?” หลี่อิ๋นหู่ถามสตรีศักดิ์สิทธิ์ตอบอย่างใจเย็น “ทั้งสอง”“การลอบสังหารครั้งล่าสุดล้มเหลว และสำนักก็สูญเสียปรมาจารย์ไปหลายคน เมื่อเผชิญหน้ากับการตอบโต้ของหน่วยบูรพา สำนักของเราก็ได้รับความสูญเสียอย่างหนัก ดังนั้นทางสำนักจึงตัดสินใจใช้มาตรการตอบโต้อย่างรุนแรง และการลอบสังหารองค์รัชทายาทโดยตรงเป็นครั้งที่สอง ก็เป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ว่าแผนการนี้ มีอัตราความสำเร็จสูงและสามารถทำให้ตำหนักบูรพาจมสู่ทะลไฟได้”“เพื่อทำความดีลบล้างความผิด ข้าจึงคิดแผนนี้ขึ้นมา และดำเนินการ
“ทูลฝ่าบาท วันนี้กระหม่อมได้คัดแยกม้วนเอกสารของกรมยุติธรรมในรอบสิบปีที่ผ่านมา พบว่าแม้กรมยุติธรรมจะมีปัญหามากมาย แต่การทำงานและหน้าที่พื้นฐานยังคงมีอยู่ ถึงแม้ว่าจะมีช่องโหว่มากมายในคดี แต่สถานการณ์ไม่ได้ร้ายแรงจนเกินไป กระหม่อมจึงมาขอคำแนะนำจากฝ่าบาท โปรดอนุญาตให้กระหม่อมดำเนินการคัดเลือกการพลิกคดีด้วยพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อโจวผิงอันได้รับอนุญาตให้เข้าไปในพระที่นั่งสีเจิ้ง ประโยคแรกที่เขาพูดทำให้หลี่เฉินเงยหน้าขึ้น เลื่อนสายตาจากสาส์นกราบทูลไปที่โจวผิงอัน“ไม่มีปัญหา ไม่เข้าวัด ข้ากำลังพูดถึงเจ้าโจวผิงอัน”หลี่เฉินกล่าวยิ้มๆ “พลิกคดีก็พลิกคดี แต่การคัดเลือกการพลิกคดีมันหมายความว่าอย่างไร?”โจวผิงอันตอบอย่างใจเย็นว่า “บางคดีสามารถพลิกคดีได้ บางคดีจะพลิกก็ได้ และบางคดีก็พลิกคดีไม่ได้ และสิ่งที่กระหม่อมต้องการพลิกคดีก็คือประเภทที่สี่ คดีที่จำเป็นต้องพลิก”“คดีที่พลิกได้ส่วนใหญ่เกี่ยวข้องกับขุนนางที่มีอำนาจหรือถูกโอนย้ายหรือเกษียณไปแล้ว เมื่อคนเหล่านี้เข้ารับตำแหน่งก็เล่นพรรคเล่นพวก ฝ่าฝืนกฎหมาย บรรเทาความผิดหรือเพิ่มความผิดเพื่อความสัมพันธ์ส่วนตัว แม้กระทั่งคดีฆาตกรรม แม้จะไม่ได้ใหญ่โตนัก
ในวันที่สอง วันลาหยุดก็สิ้นสุดแล้ว หน่วยงานราชการต่างๆ และร้านค้าทั่วประเทศกลับมาทำงานตามปกติในวันนี้ และเริ่มทำงานตามขั้นตอนที่กำหนดพ่อค้ามาแต่เช้า เพราะพ่อค้าไม่มีแนวคิดเรื่องการพักผ่อน หากพวกเขาทำเงินได้ ก็สามารถทำธุรกิจได้แม้แต่ในวันส่งท้ายปีเก่าแต่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ไม่เพียงแต่เสมียนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงเจ้าหน้าที่ทหารในศาลด้วย ห้ามใช้วันหยุดปีใหม่เป็นข้ออ้างในการไม่ทำงาน ใครฝ่าฝืนสามารถฟ้องเจ้าหน้าที่ได้ในวันนี้หลี่เฉินสวมเครื่องแบบทางการขององค์รัชทายาท แขวนหยกที่ข้างเอว และเริ่มเปิดประชุมราชการเช้าในเช้าวันแรกของปีขาลในตอนเช้าของวันนี้ สายตานับไม่ถ้วนกำลังจ้องมองไปที่พระที่นั่งไท่เหอปีที่ผ่านมามีเรื่องเกิดขึ้นมากมายเกินไป แต่เรื่องเหล่านั้นก็ได้ข้อสรุปไปแล้ว และปีใหม่นี้คือการเริ่มจังหวะใหม่ ซึ่งทุกคนต่างก็คาดหวังว่าการประชุมราชการเช้านี้จะมีคำตอบในอีกแง่หนึ่งก็คือวัดทิศทางลมหลังจากทำตามขั้นตอนมารยาทครบถ้วนแล้ว หลี่เฉินก็ยืนอยู่ข้างเก้าอี้มังกร มองไปที่ขุนนางบุ๋นบู๊ด้านล่าง จากนั้นก็กล่าวเปิดงาน“วันนี้เป็นประชุมราชการเช้าครั้งแรกของปีขาล ขุนนางทุกท่าน วันส
ในระบบของจักรวรรดิต้าฉิน นับตั้งแต่ที่ไท่จูยกเลิกระบบอัครมหาเสนาบดี อำนาจของจักรพรรดิก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่สิ่งที่ตามมาก็คือกิจของรัฐที่ยุ่งวุ่นวายอย่างมาก หากไม่มีอัครมหาเสนาบดี กิจของรัฐทั้งหมดก็ค้างอยู่บนบ่าของจักรพรรดิ และไม่ใช่จักรพรรดิทุกพระองค์ที่จะขยันขันแข็งเหมือนไท่จู หลังจากยึดครองประเทศได้ก็พักผ่อนเพียงสามหรือสี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น และเวลาที่เหลือก็ถูกใช้ไปกับการจัดการกิจของรัฐจักรพรรดิก็เป็นมนุษย์เช่นกันและต้องการการพักผ่อน เป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิจะจัดการเรื่องหนักๆ ของรัฐบาลเพียงลำพังดังนั้นจึงมีสำนักราชเลขาขึ้นมา ในสำนักราชเลขาจะมีมหาอำมาตย์ทั้งหมด 5 คน ราชเลขาหนึ่งคนและผู้ช่วยรองอีกสี่คน แต่ไม่มีกฎตายตัวว่าท่านราชเลขาจะเป็นผู้ช่วยหลักเท่านั้น มันขึ้นอยู่กับทักษะของแต่ละคนและความชอบของจักรพรรดิโดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีบารมีสูงสุดก็จะเป็นราชเลขาดังนั้นในรัชกาลนี้ จ้าวเสวียนจีที่เป็นราชเลขามาหลายปี จึงควบคุมอำนาจของสำนักราชเลขามาโดยตลอด แม้กระทั่งเคยแข่งกับอำนาจของจักรพรรดิด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่เฉินเชิญถานไถจิ้งจือออกมาแล้ว ปั