ในระบบของจักรวรรดิต้าฉิน นับตั้งแต่ที่ไท่จูยกเลิกระบบอัครมหาเสนาบดี อำนาจของจักรพรรดิก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน แต่สิ่งที่ตามมาก็คือกิจของรัฐที่ยุ่งวุ่นวายอย่างมาก หากไม่มีอัครมหาเสนาบดี กิจของรัฐทั้งหมดก็ค้างอยู่บนบ่าของจักรพรรดิ และไม่ใช่จักรพรรดิทุกพระองค์ที่จะขยันขันแข็งเหมือนไท่จู หลังจากยึดครองประเทศได้ก็พักผ่อนเพียงสามหรือสี่ชั่วโมงต่อวันเท่านั้น และเวลาที่เหลือก็ถูกใช้ไปกับการจัดการกิจของรัฐจักรพรรดิก็เป็นมนุษย์เช่นกันและต้องการการพักผ่อน เป็นไปไม่ได้ที่จักรพรรดิจะจัดการเรื่องหนักๆ ของรัฐบาลเพียงลำพังดังนั้นจึงมีสำนักราชเลขาขึ้นมา ในสำนักราชเลขาจะมีมหาอำมาตย์ทั้งหมด 5 คน ราชเลขาหนึ่งคนและผู้ช่วยรองอีกสี่คน แต่ไม่มีกฎตายตัวว่าท่านราชเลขาจะเป็นผู้ช่วยหลักเท่านั้น มันขึ้นอยู่กับทักษะของแต่ละคนและความชอบของจักรพรรดิโดยทั่วไปแล้วผู้ที่มีบารมีสูงสุดก็จะเป็นราชเลขาดังนั้นในรัชกาลนี้ จ้าวเสวียนจีที่เป็นราชเลขามาหลายปี จึงควบคุมอำนาจของสำนักราชเลขามาโดยตลอด แม้กระทั่งเคยแข่งกับอำนาจของจักรพรรดิด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม เมื่อหลี่เฉินเชิญถานไถจิ้งจือออกมาแล้ว ปั
และตอนนี้เอง หลี่เฉินเหลือบมองผู้คนด้านล่างแล้วพูดว่า “นอกจากนี้ ข้าอยากจะสร้างสถาบันการศึกษาในเขตชานเมืองทางตะวันตกของเมืองหลวง”“จุดประสงค์ของสถาบันการศึกษาแห่งนี้คือ จัดหาสถานที่สำหรับพักอาศัย ศึกษาเล่าเรียนและใช้ชีวิตให้กับนักศึกษาจากทั่วทุกมุมโลก โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย”“เราจะรับสมัครนักศึกษาชุดแรกจำนวน 1,000 คน ไม่มีกฎเกณฑ์ในการรับเข้าเรียน นักเรียนทุกคนมีอายุเกิน 13 ปี และอ่านออกเขียนได้” “นอกจากนี้ยังมีที่ว่างอีก 500 ที่ โดยมีเงื่อนไขว่าจะต้องเป็นช่างฝีมือที่ยอดเยี่ยม ทุกคนที่มีทักษะฝีมือล้วนยินดีต้อนรับ” เมื่อเทียบกับข่าวที่ถานไถจิ้งจือเข้ารับราชการ เรื่องนี้ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อยแต่บางคนยังคงได้กลิ่นบางอย่างผิดปกติในราชสำนักนั้นทุกประโยคและทุกคำพูดจะต้องได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบ หากพลาดรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ความหมายที่ได้รับอาจจะแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทันใดนั้น ขุนนางที่สังเกตเห็นสิ่งผิดปกติก็กล่าวออกมาว่า “ฝ่าบาท ตามที่พระองค์ทรงตรัส สถาบันแห่งนี้ก่อตั้งโดยราชสำนักซึ่งจะรับนักเรียนทั้งหมด 1,500 คน เช่นนั้นแล้วย่อมต้องการพื้นที่ไม่น้อย มิหนำซ้ำค่าใช้จ่ายทั
คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ซูเจิ้นถิงตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่งซูเจิ้นถิงเป็นคนซื่อสัตย์มาทั้งชีวิต และครั้งเดียวที่เขาเปิดประตูหลังก็คือ ตอนที่เขาทนไม่ได้ที่ญาติห่างๆ อย่างเจิ้งเป่าหรงคุกเข่าขอร้องทั้งคืน จึงเขียนจดหมายแนะนำให้เจิ้งเป่าหรงนำไปซื้อตำแหน่งขุนนางด้วยเหตุนี้ ซูเจิ้นถิงจึงไม่เข้าใจความหมายเบื้องหลังเสียงหัวเราะขององค์รัชทายาทจริงๆเมื่อเห็นว่าซูเจิ้นถิงไม่เข้าใจความนัยของตัวเอง หลี่เฉินจึงยกมือโอบไหล่ของเขา ทำให้ฝ่ายหลังรู้สึกประหลาดใจ หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า “ประชาชนทั่วไปแต่งงานก็ได้รับของขวัญอวยพร ข้าอภิเษกสมรสทั้งที และยังอภิเษกสมรสกับบุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ซู ทายาทของเทพสงคราม นี่คือพระชายาองค์รัชทายาทแห่งตำหนักบูรพา!”“บรรดาขุนนางฝ่ายพลเรือนและฝ่ายทหารของราชวงศ์ หากพวกเขาไม่มอบของขวัญอวยพรที่ล้ำค่าให้กับข้า พวกเขาไม่กลัวว่าข้าจะไม่รังแกพวกเขาหรือ?”ซูเจิ้นถิงเบิกตากว้าง มองหลี่เฉินด้วยความไม่อยากจะเชื่อ เขาไม่คิดเลยว่า องค์รัชทายาทจะมุ่งเป้าไปที่ขุนนางพลเรือนและทหาร และ...และดูเหมือนว่าจะไม่มีใครสามารถรอดพ้นจากมีดเล่มนี้ได้ซูเจิ้นถิงผู้ไม่เคยคาดหวังว่าหลี่เฉินจะใ
แม้จะรู้ว่าตัวเองถูกหลี่เฉินวางกับดักใส่ แต่ซูเจิ้นถิงไม่เพียงไม่รู้สึกแย่ ในทางกลับกันเขารู้สึกยินดีมากกว่าหลี่เฉินเสียอีก ตอนนี้ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองเท่านั้น แต่ความรุ่งโรจน์ของตระกูลซูทั้งหมดต่างเดิมพันไว้ที่ตำหนักบูรพา ยิ่งหลี่เฉินมีอำนาจและเจ้าเล่ห์มากเท่าไหร่ ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าการลงทุนของเขาถูกต้องมากขึ้นเท่านั้นเพียงเสี้ยววินาที ความคิดมากมายได้พรั่งพรูอยู่ในหัวของซูเจิ้นถิงไม่หยุด หลังจากอยู่ตำหนักบูรพาได้ระยะหนึ่ง เขาก็ขอตัวลา เพื่อคิดหาวิธีช่วยหลี่เฉินโกงเงินคน ทันทีที่ซูเจิ้นถิงจากไป หลี่เฉินก็มีเวลาว่างเล็กน้อยเขาเรียกไห่ตงชิงมา และลูบเหยี่ยวซึ่งบาดเจ็บจากการช่วยชีวิตเขาเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาวั่นเจียวเจียวผู้มีพระคุณอีกคนแล้วพูดว่า “อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือยัง?”วั่นเจียวเจียวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท หายดีแล้วเพคะ”“ครั้งนี้เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ พูดมา เจ้าต้องการรางวัลอะไร?”หลี่เฉินเหลือบมองวั่นเจียวเจียวแล้วพูดว่า “อย่าปฏิเสธอย่างสุภาพ เจ้าก็รู้ ข้าขี้เหนียวที่จะให้โอกาสผู้คน หากเจ้าสุภาพ ข้าจะไม่ให้รางวัลเจ้าจริงๆ”วั่นเจียวเจียวหน้าแดง และกระซิบเสียงเบาว่
เจิ้งเป่าหรงไม่เคยคาดหวังว่า องค์รัชทายาทจะเสด็จออกจากตำหนักเพื่อมาต้อนรับด้วยตัวเองแต่แล้วเจิ้งเป่าหรงก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าจะคิดจากมุมไหน ตัวเองก็ดูเหมือนจะไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น ดังนั้น องค์รัชทายาทคงจะมีพระประสงค์อื่น“ลุกขึ้นเถอะ” หลี่เฉินให้เจิ้งเป่าหรงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้ามาถึงเร็วมาก”เจิ้งเป่าหรงรีบตอบกลับทันทีว่า “กระหม่อมไม่กล้าชักช้า หลังจากกลับไปอธิบายและจัดข้าวของนิดหน่อย ก็ตรงมาที่เมืองหลวงก่อน ส่วนครอบครัวและญาติๆ จะตามมาทีหลัง”“อืม ไม่เลว อย่างน้อยทัศนคติก็ถูกต้อง” หลี่เฉินพยักหน้าและพูดว่า “ไปกันเถอะ ตามข้าออกไปสักรอบ”จิตใจของเจิ้งเป่าหรงเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทจะพาเขาไปที่ไหนแต่ในเมื่อหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร และเขาก็ไม่กล้าถาม จึงทำได้เพียงหุบปากให้สนิทแล้วเดินตามหลังหลี่เฉินอย่างระมัดระวังหลี่เฉินขึ้นรถม้า ส่วนเจิ้งเป่าหรงนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งรถม้าคันเดียวกับเขา ดังนั้นจึงมีการเตรียมรถม้าอีกคันให้กับเขาครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าก็หยุดที่ทางเข้าลานล่าสัตว์ราชวงศ์ หลี่เฉินลงจากรถ และเรียกเจิ้งเป่าหรงให้ติดตามตัวเองมา ในขณะที
ไม่ว่าหลี่เคอโส่วจะจงใจแสดงให้หลี่เฉินเห็น หรือว่าหลี่เคอโส่วเฝ้านาทดลองมันเทศทั้งวันทั้งคืนจริงๆ แต่ขอเพียงการทดลองปลูกมันเทศประสบความสำเร็จ หลี่เฉินก็จะพอใจกับการแสดงของหลี่เคอโส่ว “ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี”หลี่เฉินพาหลี่เคอโส่วที่ระวังตัวเกินเหตุ และเจิ้งเป่าหรงซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยแต่รู้สึกอย่างคลุมเครือว่ามีเรื่องสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น เข้าไปในเรือนกระจกที่เรียบง่าย ด้านใน มีชาวนาหลายสิบคนกำลังดูแลมันเทศอย่างระมัดระวังเมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่เปราะบางและน่าสงสารในตอนปลูกครั้งแรก ตอนนี้เรือนกระจกก็เขียวชอุ่ม บนพื้นเต็มไปด้วยใบมันเทศสีเขียวหลี่เฉินดีใจมากเมื่อเห็นสิ่งนี้ไม่ผิดแน่ สิ่งนี้เหมือนกับมันเทศที่เขาเคยเห็นในทุ่งนาที่ชนบทเมื่อชาติก่อนทุกประการ“ฝ่าบาท มันเทศเหล่านี้สุกแล้ว”หลี่เคอโส่วกล่าวอย่างตื่นเต้น “หลังจากที่พวกเราวัดแล้ว มันเทศเหล่านี้ออกผลอย่างต่ำ 4-5 ผล มากสุดก็ 8-9 ผล หรือมากกว่าสิบผล แต่ละลูกก็ใหญ่เท่ากับกำปั้นของผู้ใหญ่ ผลผลิตนี้ช่างน่าทึ่งมากฝ่าบาท!” หลี่เฉินรู้สึกยินดีมากขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขานั่งยองๆ และดึงมันเทศออกจากหลุมโดยตรง
แม้แต่หลี่เฉินยังตกตะลึงเล็กน้อยกับฉากนี้เมื่อเห็นความประหลาดใจในสายตาของผู้คนโดยรอบ เจิ้งเป่าหรงจึงรู้สึกตัวว่าได้สูญเสียกริยาไปแล้วใบหน้าที่มันเยิ้มเต็มไปด้วยความเขินอาย เขารีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยแก่กระหม่อมด้วย กระหม่อมตื่นเต้นมาก จนทำตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าฝ่าบาท” “ไม่เป็นไร”แน่นอนว่าหลี่เฉินไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เขาพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าแตกต่างจากขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงพวกนั้น ตรงที่เจ้าไม่กินอาหารบนโลกมนุษย์[footnoteRef:1] เจ้าทำงานคลุกคลีกับคนรากหญ้า ยิ่งใกล้ชิดกับประชาชนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากจะเป็นขุนนางได้” [1: กินอาหารบนโลกมนุษย์ อุปมาถึง การแสวงหาชื่อเสียง โชคลาภ ความมั่งคั่งทางวัตถุของผู้คน] “เจ้าก็เห็นผลผลิตของพืชชนิดนี้แล้ว พูดตรงๆ หากส่งเสริมสำเร็จ เจ้าก็จะมีชื่อเสียงนานนับพันปี แต่ปัญหาคือเจ้าต้องหาทางทำให้ประชาชนในเขตอำนาจของเจ้ายอมรับ ”หลี่เฉินเห็นเจิ้งเป่าหรงครุ่นคิดก็กล่าวว่า “แผ่นดินใหญ่แตกต่างจากพื้นที่ชายฝั่ง แต่ความหลงใหลในที่ดินและการเกษตรของประชาชนล้วนเหมือนกัน ตลอดหลายร้อยหลายพันปีมานี้ ไม่มีใครเคยลองให้พวกเขาปลูกมั
“อย่างที่บอกไป ข้าไม่ตระหนี่ในการให้อำนาจแก่คนเบื้องล่าง ไม่ว่าจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่เจ้าก็ต้องมีอำนาจมากตามไปด้วย ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เพราะกฎนี้ข้าเป็นผู้กำหนดเอง ในเมื่อข้าพยักหน้า ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้”หลี่เฉินมองไปที่เจิ้งเป่าหรง และพูดเสียงเรียบว่า “ในเมื่อข้าให้สิ่งที่เจ้าต้องการไปแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าก็ต้องทำให้ได้”ก่อนที่เจิ้งเป่าหรงจะพูดอะไรบางอย่างที่แสดงถึงความภักดี หลี่เฉินก็หันไปหาหลี่เคอโส่วและพูดว่า “ต่อจากนี้ไป ลานล่าสัตว์จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับผู้ว่าการเมืองหลวง เพื่อดำเนินการส่งเสริมมันเทศเบื้องต้น พวกเจ้าควรจะรวบรวมข้อควรระวังในการดูแลมันเทศให้เร็วที่สุด ทำเป็นคู่มือเพาะปลูกที่ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย”“เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง ภารกิจของพวกเจ้าจึงไม่เบาเลย” หลี่เคอโส่วกล่าวด้วยความเคารพทันที “กระหม่อมจะปฏิบัติตามพระราชดำรัสสั่งของฝ่าบาท”หลี่เฉินพยักหน้าและพูดอย่างพอใจว่า “พวกเจ้าทุกคนทำงานหนักในช่วงนี้ และตอนนี้ก็มีผลงานแล้ว สมควรได้รับรางวัล”“เดิมทีเจ้าม
หวงจี๋เทียนจากไปด้วยความพึงพอใจ หลังจากนั้น หลี่เฉินก็สะสางภาระงานของวันนี้จนเสร็จเรียบร้อย แต่กลับไม่ได้ไปพักผ่อนเหมือนเช่นเคยวั่นเจียวเจียวเดินเข้ามารินน้ำชาให้หลี่เฉิน พลางกล่าวเสียงเบา "องค์ชาย ควรจะพักผ่อนแล้วเพคะ"หลี่เฉินที่กำลังก้มหน้าดูตำราอยู่ ตอบกลับไปโดยไม่เงยหน้า "วันนี้ต้องอยู่ดึกหน่อย ข้ารอคนคนหนึ่ง""รอคน? องค์ชายต้องการพบท่านใด ให้เขามาพบก็สิ้นเรื่อง ไฉนต้องเป็นองค์ชายที่ต้องรอ?" วั่นเจียวเจียวกล่าวด้วยความไม่พอใจหลี่เฉินหัวเราะเบา "คนผู้นี้ ข้าเองก็ไม่รู้ว่าเขาจะมาเมื่อใด แต่ที่แน่ๆ เขาต้องมา และเมื่อมาถึง เขาจะต้องนำข่าวคราวของหลี่อิ๋นหู่มาให้ข้าอย่างแน่นอน"วั่นเจียวเจียวกระพริบตา ไม่เข้าใจนักแต่ก็ไม่ได้ถามต่อหลี่เฉินกวาดตามองไปรอบๆ พระที่นั่งสีเจิ้ง ก่อนจะเอ่ยถาม "ช่วงนี้ไม่เห็นกงฮุยอวี่เลย หายไปไหน?"วั่นเจียวเจียวเบ้ปาก "องค์ชายเองยังไม่รู้ บ่าวจะรู้ได้อย่างไรเพคะ? ช่วงนี้นางทำตัวลึกลับเหลือเกิน ไม่เห็นหน้าเลยสักวัน บางทีอาจจะหนีไปแล้วก็ได้"หลี่เฉินวางตำรา ก่อนจะใช้หนังสือตีลงบนศีรษะของวั่นเจียวเจียวเบาๆ แล้วกล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ "เลิกเล่นแง่ได้แล้ว
หลี่เฉินเชี่ยวชาญในเรื่องการใช้ช่องว่างของข้อมูล เพื่อสร้างผลประโยชน์ที่สุดหวงจี๋เทียนไม่มีทางรู้ถึงสถานการณ์ที่พลิกผันภายในต้าฉินในขณะนี้ และยิ่งไม่รู้ว่าหลี่เฉินได้ดำเนินการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่รอให้วันพรุ่งนี้ประกาศพระราชโองการ เพื่อลบล้างตำแหน่งและอำนาจทั้งหมดของหลี่อิ๋นหู่ พร้อมกับขับไล่ออกจากทำเนียบราชวงศ์ดังนั้น บุญคุณตามน้ำนี้ หลี่เฉินจึงยินดีมอบให้โดยไม่ลังเลถึงแม้ว่าภายหลังหวงจี๋เทียนจะรู้ความจริง แต่มันก็สายไปเสียแล้วหวงจี๋เทียนตกตะลึงทันทีไฟไหม้จุดพักแรม ลอบสังหารองค์ชายต่างแคว้น ไม่ว่าอยู่ที่ใดก็ถือเป็นเรื่องใหญ่โต แต่ก็ไม่น่าถึงขั้นทำให้ท่านอ๋องของแคว้นตนเองถูกปลดจากทุกตำแหน่ง หากลองคิดในมุมของตนเอง หากวันใดวันหนึ่งเขาถูกริบตำแหน่งและลดเป็นสามัญชน นั่นอาจจะเป็นความทุกข์ทรมานยิ่งกว่าความตายเสียอีกสิ่งที่ทำให้หวงจี๋เทียนประหลาดใจกว่านั้นก็คือ ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วเกินไป ตนเองเพิ่งถูกเพลิงไหม้เล่นงานไปไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม ฝ่ายตำหนักบูรพากลับสามารถจับตัวคนร้ายได้ แถมยังมีมาตรการจัดการออกมาเสร็จสรรพแล้วเรื่องนี้ทำให้หวงจี๋เทียนอดคิดไม่ได้ว่า หรือว่
"องค์รัชทายาทต้าฉิน ครั้งนี้โปรดให้ข้าได้รับคำอธิบายที่สมเหตุสมผลด้วย!"หวงจี๋เทียนก้าวเข้ามาด้วยท่าทีเกรี้ยวกราด น้ำเสียงเต็มไปด้วยความไม่พอใจแต่เพียงแค่คำพูดของเขาสิ้นสุดลง ก็มีถ้วยชาลอยหวืดลงมาตกกระทบพื้นข้างเท้าของเขาดังเพล้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างกะทันหันทำให้หวงจี๋เทียนสะดุ้งโหยงเขาเงยหน้ามองหลี่เฉินด้วยความตกตะลึง พลางคิดว่า หรือว่าหลี่เฉินจะโกรธจนขาดสติแล้วฆ่าตนเสียที่นี่?ทั้งที่ตนเองเป็นฝ่ายถูกกระทำแท้ๆหวงจี๋เทียนรู้สึกอัดอั้นเพียงเห็นใบหน้าของหลี่เฉินที่มืดครึ้ม ราวกับกำลังระงับโทสะอย่างเต็มที่ เขาฝืนยิ้มออกมาเล็กน้อยก่อนกล่าว "อาเกอสิบสามอย่าเข้าใจผิด ข้าโกรธที่มีคนกล้าหาญชาญชัยถึงขั้นวางเพลิงที่จุดพักแรม ตั้งใจจะลอบสังหารอาเกอสิบสาม แล้วโยนความผิดมาให้ข้า""เรื่องนี้ ข้าได้สืบหาข้อมูลแล้ว และพบว่ามีเงื่อนงำบางอย่าง ตอนนี้จับตัวผู้ต้องสงสัยได้แล้ว เพียงแต่ทำให้อาเกอสิบสามต้องตกใจ ข้ารู้สึกผิดจริงๆ"ความโกรธที่อัดแน่นอยู่ในใจของหวงจี๋เทียนพลันถูกความประหลาดใจแทนที่ เขาเอ่ยถาม "เหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน องค์ชายรู้ตัวคนร้ายแล้วหรือ?"หลี่เฉินถอนหายใจ ก่อนเผ
คำพูดถูกส่งออกไป ความหมายชัดเจนแจ่มแจ้งหลี่ชางหลานรู้สึกว่าลมหายใจของตนเริ่มร้อนระอุจักรวรรดิต้าฉินมีกฎเกณฑ์ควบคุมเชื้อพระวงศ์อย่างเข้มงวด ฮ่องเต้แต่ละพระองค์ล้วนยึดมั่นในแนวคิดของปฐมจักรพรรดิอย่างเคร่งครัด นั่นคือ ราชสำนักสามารถมอบเงินทองให้เชื้อพระวงศ์ได้ใช้ชีวิตสุขสบาย มีเกียรติและศักดิ์ศรี แต่ไม่อาจมีอำนาจทางการเมืองตลอดสามร้อยกว่าปีของราชวงศ์ต้าฉิน เชื้อพระวงศ์สามารถเข้ารับราชการได้ แต่ตำแหน่งจะไม่เกินระดับสี่ นี่เป็นกฎเหล็ก ส่วนตำแหน่งทางทหาร อย่าได้หวัง แม้แต่จะสมัครเข้ารับราชการก็ยังเป็นไปไม่ได้“เชื้อสายราชวงศ์หลี่ทั้งปวง จะต้องยกย่องพระราชอำนาจเป็นสูงสุด สมควรได้รับความมั่งคั่งรุ่งเรือง แต่สิทธิ์ทางการเมืองต้องชัดเจน ฮ่องเต้มิอาจลำเอียงเพราะสายสัมพันธ์ส่วนตัวจนทำให้บ้านเมืองปั่นป่วน”ประโยคที่ปฐมจักรพรรดิทรงทิ้งไว้ ได้ตัดโอกาสของเชื้อพระวงศ์หลี่ในการก้าวเข้าสู่ราชสำนัก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องแทรกแซงการปกครองเลยด้วยซ้ำ และเพราะเหตุนี้เอง การที่หลี่เฉินเสนอที่นั่งในราชวิทยาลัย จึงถือเป็นโอกาสอันล้ำค่าสำหรับหลี่ชางหลาน รวมถึงเชื้อพระวงศ์อื่นๆ ที่อาจได้รับส่วนแบ่งจากโอก
หลี่เฉินต้องการถอดถอนอำนาจและตำแหน่งทั้งหมดของหลี่อิ๋นหู่ จำเป็นต้องผ่านสำนักคุมประพฤติเว้นแต่ว่าเขาจะเป็นฮ่องเต้ที่สามารถใช้อำนาจแห่งราชบัลลังก์บังคับบัญชาได้โดยตรง มิฉะนั้น ต่อให้เป็นองค์รัชทายาทผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ก็ยังต้องคำนึงถึงท่าทีของสำนักคุมประพฤติเรื่องของสำนักคุมประพฤติจะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากง่ายตรงที่หากหาคนที่มีอำนาจตัดสินใจถูกต้อง และมอบผลประโยชน์ที่อีกฝ่ายต้องการ เรื่องนี้ก็สามารถจัดการได้ทันที ยากตรงที่หากสำนักคุมประพฤติยืนกรานขัดขวาง หลี่เฉินก็แทบไม่มีหนทางจัดการกับพวกผู้เฒ่าที่สูงศักดิ์แต่หัวโบราณเหล่านั้น โชคดีที่ครั้งนี้หลี่เฉินเลือกถูกคน หลี่ชางหลานคือกุญแจสำคัญ และผลประโยชน์ที่เสนอให้ก็เป็นสิ่งที่อีกฝ่ายปฏิเสธไม่ได้ดังนั้นโอกาสที่จะได้รับการจัดการเรื่องนี้จึงสูงมากในช่วงเย็นของวัน สำนักคุมประพฤติส่งข่าวมาว่าพวกเขายอมรับบทลงโทษทั้งหมดที่ตำหนักบูรพากำหนดแก่หลี่อิ๋นหู่"องค์ชาย ได้ยินว่าครั้งนี้จงเหรินลิ่งต้องจ่ายไม่น้อย สำนักคุมประพฤติยังมีผู้อาวุโสบางคนที่เห็นว่าการกระทำขององค์ชายเป็นการทำร้ายสายเลือดเดียวกัน เกรงว่าฝ่าบาทอาจไม่พอพระทัย"
หลี่เฉินไม่ได้ยืนยันเรียกเขาว่าเสด็จปู่ใหญ่ และก็ไม่ได้เรียกตำแหน่งของเขา แต่เลือกใช้คำว่าผู้อาวุโสหลี่เมื่อปัญหาเรื่องสรรพนามถูกแก้ไขอย่างลงตัว หลี่ชางหลานจึงรับถ้วยชาด้วยสองมือ แล้วยกขึ้นจิบเบาๆหลังจากวางถ้วยชาลง เขากล่าวว่า “ชาดีจริงๆ”หลี่เฉินยิ้มพลางกล่าว “หากผู้อาวุโสหลี่ชอบ ข้าจะให้คนเตรียมไว้ให้ท่านนำกลับไป”หลี่ชางหลานโบกมือ “สุภาพชนไม่แย่งของรักของผู้อื่น ชาดีที่องค์ชายสะสมไว้ ข้าไม่ควรนำไป”“ก็ไม่ได้มีค่าอะไรมาก ก่อนหน้านี้ตอนข้าพระราชทานตำแหน่งท่านอ๋องให้หลี่อิ๋นหู่ เขามอบชานี้มาเป็นของขวัญขอบคุณ”เพียงประโยคเดียว ทำให้มือของหลี่ชางหลานที่กำลังจะยกถ้วยชาขึ้นดื่มค้างอยู่กลางอากาศเมืองหลวงไม่มีความลับ โดยเฉพาะเหตุการณ์วันนี้ที่หลี่อิ๋นหู่ขึ้นไปเดินบนภูเขาจิ่งซานเพื่อขอพร แต่กลับเป็นต้นเหตุทำให้ราษฎรหลายพันคนต้องเสียชีวิตเรื่องนี้ทำให้ทั้งเมืองหลวงปั่นป่วนไปหมดแม้ว่าหลี่ชางหลานจะถูกเรียกตัวมาอย่างเร่งรีบ แต่เขาก็รับรู้ว่าความสัมพันธ์ระหว่างองค์รัชทายาทและจ้าวอ๋องได้ขาดสะบั้นลงโดยสิ้นเชิงบัดนี้เมื่อได้ยินชื่อของหลี่อิ๋นหู่จากปากของหลี่เฉิน เขารู้สึกเหมือนมีดเห
"เมื่อครั้งกระหม่อมกวาดล้างหมู่บ้านเหมียว ก็เป็นเพียงฐานที่มั่นหลักของตระกูลโจวเท่านั้น ตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีหญิงสาวจากตระกูลโจวแต่งงานออกไปมากมายจนยากจะนับได้ บุตรหลานของพวกนางหลายคนต่างก็มีอำนาจในมือ หากโจวสิงเจี่ยเปล่งวาจาเรียกหา พวกมันสามารถรวมกำลังคนจำนวนมากได้ในเวลาอันสั้น อย่างน้อยก็สามารถฟื้นฟูหมู่บ้านตระกูลโจวขึ้นมาใหม่ได้อย่างแน่นอน"ซานเป่าอธิบายอย่างละเอียด แต่สีหน้าของหลี่เฉินกลับไร้ความรู้สึกผ่านไปครู่หนึ่ง หลี่เฉินกล่าวว่า "ปัญหาของเหมียวเจียงเป็นเรื่องใหญ่ ไม่อาจลงมือโดยพลการได้ในตอนนี้ แต่โจวสิงเจี่ยและหลี่อิ๋นหู่ร่วมมือกันสังหารราษฎรไปนับพัน รวมถึงหลี่อิ๋นหู่ยังฆ่าองค์ชายเก้า เรื่องเหล่านี้ไม่มีทางปล่อยผ่านไปได้"น้ำเสียงของหลี่เฉินเรียบเฉย "ถ่ายทอดคำสั่งลงไป ประกาศจับตัวหลี่อิ๋นหู่และโจวสิงเจี่ย หน่วยบูรพาต้องไล่ล่าพวกมันอย่างเต็มกำลัง ผู้ใดพบร่องรอยและรายงานเข้ามาจะได้รับรางวัลใหญ่"ซานเป่าได้ยินดังนั้นก็เอ่ยถาม "แต่ว่าตำแหน่งของจ้าวอ๋อง"การที่ราชสำนักประกาศจับท่านอ๋อง เป็นเรื่องใหญ่ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนและถือเป็นเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์หลี่เฉินกล่าวเรี
ซานเป่ากัดฟันแน่น จำต้องล้มเลิกการไล่ตามหลี่อิ๋นหู่และโจวสิงเจี่ยเขากวาดตามองไปรอบๆ พบว่าฝูงแมลงที่หนาแน่นจนมองแทบไม่เห็นพื้นกำลังเริ่มถอยกลับ ทิ้งไว้เพียงซากศพจำนวนมากนับพันในคลื่นแมลงครั้งนี้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่โชคดีหรือมีฝีมือพอจะรอดพ้นจากหายนะได้ ส่วนที่เหลือซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ รวมถึงต้าหลี่ซื่อชิง หวังฟู่ย่ง ต่างก็กลายเป็นวิญญาณใต้ฝูงแมลงไปทั้งหมดเมื่อฝูงแมลงสลายไป สิ่งที่เผยออกมาก็คือซากศพที่กระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น ซากศพเหล่านี้ไม่มีเลือดไหลออกมา แต่เนื้อหนังทั้งหมดถูกแมลงกัดแทะจนขาดวิ่นแทบไม่เหลือชิ้นดีที่โชคร้ายที่สุดคงเป็นหวังฟู่ย่ง ศพของเขาตอนนี้เหลือเพียงโครงกระดูกเท่านั้น แม้แต่เศษเนื้อขนาดฝ่ามือก็ไม่เหลือกลิ่นคาวเลือดและกลิ่นเหม็นของแมลงลอยคลุ้งไปทั่วอากาศ ผสานกับภาพของซากศพที่เกลื่อนกลาดอยู่รอบตัว เป็นภาพที่สร้างแรงกระแทกให้จิตใจอย่างรุนแรง ใบหน้าของซานเป่าดำทะมึนจนแทบจะบีบหยดน้ำออกมาได้เขารู้ดีว่าตัวเองกำลังเผชิญกับปัญหาใหญ่แล้ว…พระที่นั่งสีเจิ้งหลี่เฉินมองดูซากศพของแมลงสีดำที่วางอยู่ตรงหน้า กับซานเป่าที่คุกเข่าอยู่บนพื้นมานานกว่าครึ่งชั่วยาม ใบห
ผู้ที่ซุ่มโจมตีมีความชำนาญอย่างยิ่ง ขณะที่เขาจู่โจมออกมาอย่างกะทันหัน ซานเป่าทำได้เพียงบิดร่างหลบเลี่ยงจุดสำคัญ แต่ก็ยังไม่อาจหนีจากฝ่ามือที่พุ่งเข้ากระแทกไหล่ของเขาเสียงกระแทกหนักหน่วงดังขึ้น ท่ามกลางเสียงอุทานของซานเป่า ร่างทั้งสองแยกออกจากกัน ซานเป่าถูกกระแทกจนลอยกระเด็นไปไกลกว่าสิบก้าว เมื่อตกลงสู่พื้นยังต้องถอยหลังอีกสามก้าว แต่ละก้าวหนักแน่นราวขุนเขาถล่ม พื้นดินที่เหยียบย่ำแตกร้าวสะเทือนทันทีที่ซานเป่าตั้งหลักได้ ฝูงแมลงสีดำรอบตัวก็คล้ายได้รับคำสั่ง พวกมันพุ่งโจมตีเข้าใส่เขาอย่างบ้าคลั่งซานเป่าครางเสียงต่ำ พลังภายในพลุ่งพล่านออกจากร่าง ส่งแรงสั่นสะเทือนกระจายออกไป แมลงที่ไต่ขึ้นบนตัวเขาถูกสังหารจนหมดสิ้น ร่วงหล่นลงบนพื้นแต่ก่อนที่เขาจะทันได้หายใจ โลหิตของแมลงที่ถูกฆ่าล่อให้แมลงจำนวนมากยิ่งกว่าถาโถมเข้ามาอีกครั้ง ซานเป่ารู้ว่าสถานการณ์นี้ไม่อาจปล่อยให้ยืดเยื้อ เขากลืนลมหายใจลงคอ พลังลมปราณรวมศูนย์ในปาก ก่อนจะเปล่งเสียงร้องกึกก้องเสียงคำรามแหลมสูงดั่งระเบิดเสียง สร้างคลื่นพลังที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คลื่นพลังกระจายออกไปทุกทิศทาง แมลงทุกตัวที่อยู่ในรัศมีของคลื่นพลังสั่นสะ