แม้แต่หลี่เฉินยังตกตะลึงเล็กน้อยกับฉากนี้เมื่อเห็นความประหลาดใจในสายตาของผู้คนโดยรอบ เจิ้งเป่าหรงจึงรู้สึกตัวว่าได้สูญเสียกริยาไปแล้วใบหน้าที่มันเยิ้มเต็มไปด้วยความเขินอาย เขารีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยแก่กระหม่อมด้วย กระหม่อมตื่นเต้นมาก จนทำตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าฝ่าบาท” “ไม่เป็นไร”แน่นอนว่าหลี่เฉินไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เขาพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าแตกต่างจากขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงพวกนั้น ตรงที่เจ้าไม่กินอาหารบนโลกมนุษย์[footnoteRef:1] เจ้าทำงานคลุกคลีกับคนรากหญ้า ยิ่งใกล้ชิดกับประชาชนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากจะเป็นขุนนางได้” [1: กินอาหารบนโลกมนุษย์ อุปมาถึง การแสวงหาชื่อเสียง โชคลาภ ความมั่งคั่งทางวัตถุของผู้คน] “เจ้าก็เห็นผลผลิตของพืชชนิดนี้แล้ว พูดตรงๆ หากส่งเสริมสำเร็จ เจ้าก็จะมีชื่อเสียงนานนับพันปี แต่ปัญหาคือเจ้าต้องหาทางทำให้ประชาชนในเขตอำนาจของเจ้ายอมรับ ”หลี่เฉินเห็นเจิ้งเป่าหรงครุ่นคิดก็กล่าวว่า “แผ่นดินใหญ่แตกต่างจากพื้นที่ชายฝั่ง แต่ความหลงใหลในที่ดินและการเกษตรของประชาชนล้วนเหมือนกัน ตลอดหลายร้อยหลายพันปีมานี้ ไม่มีใครเคยลองให้พวกเขาปลูกมั
“อย่างที่บอกไป ข้าไม่ตระหนี่ในการให้อำนาจแก่คนเบื้องล่าง ไม่ว่าจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่เจ้าก็ต้องมีอำนาจมากตามไปด้วย ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เพราะกฎนี้ข้าเป็นผู้กำหนดเอง ในเมื่อข้าพยักหน้า ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้”หลี่เฉินมองไปที่เจิ้งเป่าหรง และพูดเสียงเรียบว่า “ในเมื่อข้าให้สิ่งที่เจ้าต้องการไปแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าก็ต้องทำให้ได้”ก่อนที่เจิ้งเป่าหรงจะพูดอะไรบางอย่างที่แสดงถึงความภักดี หลี่เฉินก็หันไปหาหลี่เคอโส่วและพูดว่า “ต่อจากนี้ไป ลานล่าสัตว์จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับผู้ว่าการเมืองหลวง เพื่อดำเนินการส่งเสริมมันเทศเบื้องต้น พวกเจ้าควรจะรวบรวมข้อควรระวังในการดูแลมันเทศให้เร็วที่สุด ทำเป็นคู่มือเพาะปลูกที่ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย”“เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง ภารกิจของพวกเจ้าจึงไม่เบาเลย” หลี่เคอโส่วกล่าวด้วยความเคารพทันที “กระหม่อมจะปฏิบัติตามพระราชดำรัสสั่งของฝ่าบาท”หลี่เฉินพยักหน้าและพูดอย่างพอใจว่า “พวกเจ้าทุกคนทำงานหนักในช่วงนี้ และตอนนี้ก็มีผลงานแล้ว สมควรได้รับรางวัล”“เดิมทีเจ้าม
“รายงานท่านจอมพล เราได้ทำการตรวจนับสนามรบเสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้กองทัพของพวกเรามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3,600 คน บาดเจ็บสาหัสกว่า 700 คน และมีผู้เสียชีวิตในการรบ 4,200 คน ส่วนฝ่ายศัตรูถูกสังหารรวมกว่า 10,000 คน จำนวนธัญพืชและสัมภาระที่ยึดได้ สามารถใช้เลี้ยงกองทัพพวกเราได้หกวัน”หลังจากฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ซูผิงเป่ยก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจเวลานี้เขานั่งอยู่ในกระโจมหลัก ขนาบด้วยแม่ทัพใต้บัญชาการทั้งซ้ายขวา ทุกคนต่างค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้“หนึ่งแลกสาม แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ดีเท่ากับตอนที่จักรวรรดิอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แต่ผลการรบในตอนนี้ก็นับว่าไม่แย่” รองแม่ทัพคนสนิทที่ติดตามซูผิงเป่ยจากเมืองหลวงมาได้เปิดปากกล่าว“ในช่วงเวลานั้น? ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น แค่กองทัพของพวกเรามาถึง พวกตงอิ๋งก็คงโยนหมวกถอดเกราะยอมแพ้ไปนานแล้ว” ซูผิงเป่ยถอนหายใจและกล่าวว่า “ตอนนี้กองทัพของเราได้เข้าสู่เสียนเฉาและต่อสู้มาหลายวันแล้ว ถึงแม้ว่าจะกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียไปในเสียนเฉาได้เป็นจำนวนมาก แต่เมืองหลวงของเสียนเฉายังอยู่ภายใต้การควบคุมของตงอิ๋ง”“เมื่อเช้าเชื้อพระวงศ์เสียนเฉามาที่นี่อีกครั้ง
แผนการรบของซูผิงเป่ยไม่ได้เหนือชั้นอะไรนัก แต่การกรีฑาทัพทำสงคราม ขอเพียงสามารถเอาชนะได้ก็พอแล้ว ในบางครั้ง ชัยชนะก็มาจากแผนการเลิศล้ำเสียที่ไหนอย่างไรก็ตาม แม้แผนการรบนี้ดูเสถียรภาพมาก แต่ก็ยังเผยข้อบกพร่องใหญ่อยู่ ทันใดนั้นรองแม่ทัพก็สังเกตเห็นจุดนี้ เขากล่าวว่า “จอมพลซู ข้าน้อยคิดว่านี่ไม่เหมาะสม”“ถ้าแยกทหารม้าเบาและทหารราบชั้นยอด 10,000 นายออกไป กำลังรบที่เหลือของกองทัพจะอ่อนแอกว่ากองทัพตงอิ๋งอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น จอมพลซูยังเป็นผู้นำทัพบุกโจมตีด้วยตัวเอง ถ้าหากแผนการนี้ถูกตงอิ๋งมองขาดล่วงหน้า พวกเขาอาจจะมารวมตัวกันและบุกโจมตีทัพหลักของพวกเรา หากเป็นเช่นนั้นจะอันตรายมาก ท่านจอมพลโปรดใคร่ครวญอีกครั้งเถิด”ซูผิงเป่ยโบกมือแล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “การกรีฑาทัพทำสงครามจะไม่มีความเสี่ยงได้อย่างไรกัน? คนที่มาในสนามรบไม่ใช่คนที่แสวงหาความสงบสุข หากต้องการความสงบและความมั่นคง ก็กลับบ้านไปนอนกอดภรรยาจะดีกว่า ใยต้องมาที่สนามรบเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ?”“ข้าตัดสินใจแล้ว หากแผนการรบครั้งนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ความเสี่ยงที่เจ้าพูดถึงก็จะไม่มี ทุกท่านไม่ต้องพูดอีกแล้ว”“ยิ่งไปกว่านั้น
“แม่ทัพใหญ่ซูห่วงใยลูกดุจไข่มุกบนฝ่ามือ”หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้[footnoteRef:1] ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปรารถนาอันแรงกล้าของบิดาอย่างท่านเลย” [1: เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้ หมายถึง เมื่ออยู่ในสนามรบ อำนาจของแม่ทัพอยู่เหนือกษัตริย์ ] “นับตั้งแต่ซูผิงเป่ยเข้าสู่เสียนเฉา เขาก็ผ่านศึกสงครามน้อยใหญ่มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งล้วนประสบความสำเร็จ”“แม้ว่าตงอิ๋งจะอ่อนแอ แต่การที่สามารถเอาชนะติดต่อกันได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ซูผิงเป่ยมีความสามารถมากกว่าที่เราคิด ในเมื่อเขาเต็มใจที่จะเสี่ยง เราก็อาจปล่อยให้เขาลองได้เช่นกัน”เมื่อดูแผนการรบ หลี่เฉินก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คิดจะสู้ชี้ขาด มีทั้งความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยว การปล่อยให้เขาลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”“สิ่งที่ราชสำนักขาดไปในตอนนี้ไม่ใช่แม่ทัพ แต่เป็นแม่ทัพอายุน้อย มุ่งมั่น และกล้าได้กล้าเสียอย่างซูผิงเป่ย” เมื่อเห็นหลี่เฉินพูดเช่นนั้น ซูเจิ้นถิงก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงกำลังขมวดคิ้ว หลี่เฉินก็กล่าวด้ว
คำพูดของหลี่เฉินเหมือนเป็นการหยอกล้อ มากกว่าจะไปคารวะจ้าวชิงหลานจริงๆจ้าวชิงหลานเข้าใจได้ทันที ดวงตาหางหงส์ของนางเต็มไปด้วยความชั่วร้าย ในขณะจะระเบิดอารมณ์ออกมานั้น หลี่เฉินกลับหัวเราะเบาๆ และเดินไปที่แท่นบรรทมซึ่งองค์จักรพรรดิกำลังบรรทมอยู่ โดยไม่เปิดโอกาสให้จ้าวชิงหลานได้ระบายโทสะ จ้าวชิงหลานเต็มไปด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ไม่สามารถแสดงอาการออกมาได้ ซึ่งทำให้นางยิ่งหงุดหงิดมากขึ้น ตอนนี้เอง หลี่เฉินได้มาถึงด้านหน้าของแท่นบรรทมแล้ว องค์จักรพรรดิบนแท่นบรรทมก็ไม่ต่างจากเมื่อก่อน ยกเว้นว่าเขาผอมลงเล็กน้อย ตอนนี้เขาก็ดูไม่ต่างจากผู้ประสบภัยข้างทางที่หลี่เฉินเคยเห็นถึงแม้ว่าเขาจะไม่มีความรักระหว่างพ่อลูกกับพ่อราคาถูกคนนี้ แต่ตอนนี้ หลี่เฉินเป็นคนที่อยากให้จักรพรรดิตายน้อยที่สุด ดังนั้นเขาจึงขมวดคิ้วทันทีและพูดว่า “เหตุใดเสด็จพ่อถึงผอมลงเช่นนี้? พวกเจ้าปรนนิบัติรับใช้เสด็จพ่ออย่างไร?”เมื่ออำนาจของตำหนักบูรพาขยายตัว พลังของหลี่เฉินก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้นแค่ประโยคสั้นๆ ก็ทำให้นางกำนัลและหมอหลวงซึ่งรับผิดชอบในการปรนนิบัติรับใช้องค์จักรพรรดิหวาดกลัวจนต้องคุกเข่าลง“ฝ่าบาทโ
“เสด็จแม่ ลูกคารวะเสด็จพ่อเสร็จแล้ว ตอนนี้ให้ลูกไปส่งเสด็จแม่กลับตำหนักดีหรือไม่?”หลี่เฉินหันกลับมาพูดกับจ้าวชิงหลานเมื่อคนอื่นได้ยินเช่นนี้ พวกเขาแค่รู้สึกว่าองค์รัชทายาททรงกตัญญู แต่จ้าวชิงหลานรู้ว่าในท้องของหลี่เฉินเต็มไปด้วยเจตนาที่ไม่ดี และไม่น่าไว้ใจเลยสักนิดเมื่อเห็นผู้คนรอบข้างยกย่องหลี่เฉิน จ้าวชิงหลานก็รู้สึกแค้นใจจนแทบคลั่งใบหน้าสวยพลันเย็นชาราวกับมีชั้นน้ำแข็งบางๆ เกาะอยู่ จ้าวชิงหลานกล่าวเสียงเย็นชาว่า “ไม่จำเป็น องค์รัชทายาทมีราชกิจมากมายที่ต้องจัดการ เช่นนั้นก็รีบไปจัดการเถอะ” พูดจบ จ้าวชิงหลานก็หมุนตัวเดินออกไป หลี่เฉินก้าวตามทันและพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในฐานะบุตรชาย ส่งเสด็จแม่กลับพระตำหนักแล้วค่อยไปสะสางราชกิจก็ได้พ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นหลี่เฉินตอแยไม่เลิก จ้าวชิงหลานก็ยิ่งโมโห ขณะที่กำลังจะเปิดปากพูด กลับได้ยินหลี่เฉินกล่าวว่า “ข้าได้ยินมาว่ากั๋วจิ้วเหยีย ได้เข้าร่วมสมาคมที่เรียกว่าสมาคมเหวินหยวนเมื่อไม่กี่วันก่อน หลังจากการสืบสวนของหน่วยบูรพาก็พบว่า สมาคมนี้จัดกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมตลอดทั้งวัน สมาคมาดังกล่าวไม่คิดจะรับใช้ประเทศ แต่กลับหารือเรื่องกิจของรัฐได้ทุ
จ้าวชิงหลานรู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองถูกหลี่เฉินปั่นหัว การถูกบดขยี้สติปัญญาเช่นนี้ ทำให้จ้าวชิงหลานโกรธเป็นพิเศษ “ก็เจรจากันได้”หลี่เฉินดูเหมือนจะไม่กลัวถูกน้ำเดือดลวก เขากางมือแล้วพูดว่า “สมาคมเหวินหยวนจะถูกลงดาบอย่างแน่นอน แต่เมื่อไหร่ เคลื่อนไหวอย่างไร แล้วจะจัดการกับผู้นำสมาคมอย่างจ้าวไท่ไหลเช่นไรนั้น ตอนนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจ”“หากฮองเฮาทรงมีความคิดดีๆ ก็สามารถพูดให้ข้าฟังได้”จ้าวชิงหลานอ่านสีหน้าของหลี่เฉินออก จึงกล่าวหัวเราะเยาะไปว่า “พูดให้ฟัง? ถ้ามันสอดคล้องกับความปรารถนาของเจ้า เจ้าก็จะรับฟัง แต่ถ้าหากไม่สอดคล้องกับความปรารถนาของเจ้า เจ้าก็จะบอกว่าวังหลังไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับการเมือง ใช่หรือไม่?” หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ “เสด็จแม่ทรงพระปรีชา”“หลี่เฉิน!”จ้าวชิงหลานไม่สามารถระงับความโกรธที่พลุ่งพล่านได้อีกต่อไป นางกัดฟันแล้วพูดว่า “ข้าอยากจะดูสิว่า เจ้าจะหยิ่งผยองไปได้อีกนานแค่ไหน เจ้าทั้งสวนกระแสทั้งหุนพลันแล่นเช่นนี้ ไม่เห็นข้าอยู่ในสายตา ยิ่งไม่เห็นหัวเหล่าขุนนางอยู่ในสายตา เจ้าอย่าลืมไปว่า ทุกอย่างย่อมต้องถึงเวลาชำระสะสาง”“ชำระสะสาง”หลี่เฉินกล่า
ถ้าเป็นไปได้ ตอนนี้สวีฉังชิงอยากชักดาบออกมาฆ่าหลานชายของตัวเองทันที จากนั้นก็ฆ่าตัวตายต่อหน้าองค์รัชทายาทแม้ว่าชีวิตของเขาและหลานชายจะต้องจบลง แต่ตระกูลสวียังอาจมีโอกาสรอดพ้นจากการถูกทำลายล้างคำพูดประโยคแรกของสวีจวินโหลวหมายความว่าอย่างไร!?เข้าใจง่ายมากนั่นก็คือ มนุษย์ล้วนต้องตาย และแคว้นย่อมมีวันล่มสลาย เหมือนกับการเปลี่ยนแปลงของกลางวันกลางคืน และการผลัดเปลี่ยนฤดูกาล ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้!คำพูดนี้ ไม่ว่ากษัตริย์พระองค์ใดได้ยิน ย่อมถือเป็นการดูหมิ่นอย่างร้ายแรงไม่ใช่แค่ตัดหัวแต่ถึงขั้นล้างโคตรตระกูล!หากเจอกษัตริย์ที่มีอารมณ์ร้อน อาจถึงขั้นสังหารเก้าชั่วโคตรโดยไม่มีใครกล้าเรียกร้องความเป็นธรรมนี่มันการดูหมิ่นที่ร้ายแรงที่สุด!แม้เข่าของสวีฉังชิงจะอ่อนจนแทบทรุดลงไปกับพื้น แต่เขาก็พยายามอดทนไม่คุกเข่าต่อหน้าองค์รัชทายาทเขาแอบเหลือบมองสีหน้าของหลี่เฉิน แต่กลับเห็นว่าองค์รัชทายาทไม่ได้แสดงความโกรธใดๆ แถมยังมีท่าทีสนุกสนาน หยิบลิ้นจี่ที่นางกำนัลยื่นให้เข้าปากด้วยความผ่อนคลายในมุมมองของหลี่เฉิน ประโยคเปิดเรื่องนี้แม้จะดูเหมือนเป็นการดูหมิ่
เวลาสอบทั้งหมดกำหนดไว้หนึ่งชั่วยาม หรือราวๆ สองชั่วโมงในหน่วยเวลาสมัยใหม่แต่โจทย์ที่ยากลำบากขนาดนี้ กลับมีคนส่งกระดาษคำตอบตั้งแต่ยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามคนแรกที่ส่งกระดาษคำตอบ ย่อมดึงดูดความสนใจจากทุกคนในทันทีองครักษ์รีบรับกระดาษคำตอบของเขา นำส่งให้เสนาบดีกรมขุนนาง หูพี่ ก่อนที่หูพี่จะหมุนตัวและนำเสนอด้วยความเคารพต่อหลี่เฉินหลี่เฉินหยุดการเขียนนิยายของตน ช้อนตามองนักศึกษาร่างเล็กหน้าตาเรียบๆ คนหนึ่งที่ยืนเก็บของเตรียมตัวออกจากสนามสอบ ก่อนจะรับกระดาษคำตอบมาเมื่อเห็นตัวอักษรบนกระดาษคำตอบเป็นครั้งแรก หลี่เฉินเอ่ยชมออกมาเบาๆ ว่า "ลายมือช่างงดงามยิ่งนัก"ไม่ว่าจะเป็นการสอบจอหงวนในยุคโบราณหรือการสอบระดับชาติในยุคปัจจุบัน การที่มีคะแนนจากความเรียบร้อยของกระดาษคำตอบย่อมมีส่วนสำคัญ และลายมือที่สวยงามย่อมทำให้ผู้ตรวจรู้สึกชื่นชมเพราะอย่างน้อยก็ไม่เหนื่อยเวลาอ่านในยุคโบราณยิ่งเป็นเช่นนั้นนักศึกษาจะใช้เวลาเป็นสิบๆ ปีฝึกฝนลายมือ ถ้าหากพวกเขาไม่มีลายมือที่สวยงาม ก็ย่อมไม่มีทางก้าวมาถึงการสอบจอหงวนรอบสุดท้าย"นักศึกษาจากแคว้นเจียงเจ๋อ ฟู่หมิ่นชิง ตอบคำถามในหัวข้อ 'ปรัชญาแห่งชาติ' ต่อเบ
มีขุนนางที่กล้ากล่าวความจริงและตักเตือนอย่างตรงไปตรงมา สามารถช่วยกษัตริย์มองเห็นปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งในตัวเองและนโยบายและยังมีขุนนางที่มีความสามารถเฉพาะด้านสูงมาก งานในส่วนที่เกี่ยวข้อง เมื่อมอบหมายให้พวกเขาแล้วแทบไม่ต้องกังวลนอกจากนี้ ยังมีขุนนางประเภทที่สามารถช่วยกษัตริย์จัดการเรื่องที่กษัตริย์ไม่สะดวกจะลงมือเอง แม้ว่าคนเหล่านี้อาจมีความสามารถระดับปานกลาง หรือแม้แต่มีข้อเสียหลายประการ พวกเขาก็ยังนับเป็นคนสำคัญ เช่น เหอคุนจักรวรรดิที่กว้างใหญ่เกินไป ย่อมต้องการผู้คนที่หลากหลายมาช่วยหลี่เฉินบริหารจัดการ ไม่เช่นนั้น ต่อให้เขาเป็นเทพเซียนก็คงไม่สามารถขับเคลื่อนจักรวรรดิได้ด้วยตัวเองสำหรับสถานการณ์ที่ต้าฉินกำลังเผชิญ หลี่เฉินต้องการคนที่มีสายตากว้างไกลและความสามารถเชิงกลยุทธ์ระดับสูงบุคคลประเภทนี้ โจวผิงอันถือว่าเป็นตัวอย่างหนึ่ง แต่คนอื่นๆ อย่างสวีฉังชิงและกวนจือเหวยเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านเท่านั้นคนเหล่านี้ หากใช้อย่างเหมาะสม จะกลายเป็นอาวุธสำคัญ แต่หากใช้ผิดวิธีก็อาจกลายเป็นหายนะ ดูได้จากตัวอย่างของจ้าวเสวียนจีแม้ว่าหลี่เฉินอยากให้จ้าวเสวียนจีตายไปเสียเดี๋ยวนี้ แต่เข
"เมื่อข้าอ่านโจทย์การสอบจบแล้ว นักศึกษาทุกคนจึงจะเริ่มเขียนคำตอบได้ เวลาที่กำหนดคือหนึ่งชั่วยาม เมื่อครบเวลา ทุกคนต้องหยุดเขียนและส่งกระดาษคำตอบ อนุญาตให้ส่งก่อนเวลาได้ แต่ห้ามส่งช้ากว่าเวลาที่กำหนด""ต่อไป ข้าจะอ่านโจทย์การสอบ"เมื่อคำกล่าวของหูพี่จบลง ไม่เพียงแต่นักศึกษาทุกคนจะเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ แม้แต่ขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมดก็ยังรู้สึกอยากรู้อยากเห็นในอดีต การสอบจอหงวนรอบสุดท้าย โจทย์จะถูกจัดเตรียมโดยสำนักราชเลขา ซึ่งมักเสนอโจทย์หลายชุดให้ฮ่องเต้เลือกหนึ่งชุดเป็นโจทย์สอบแต่ปีนี้ไม่เหมือนปีก่อนสำหรับการสอบครั้งนี้ โจทย์ทั้งหมดถูกตัดสินโดยองค์รัชทายาท โดยไม่มีการเกี่ยวข้องจากสำนักราชเลขาเลยดังนั้น แม้แต่ขุนนางในราชสำนักหรือสำนักราชเลขาก็ยังไม่รู้ว่าโจทย์จะเป็นเช่นไรกระทั่งหูพี่เองก็ไม่ทราบเนื้อหาโจทย์จนกระทั่งซานเป่ามอบซองปิดผนึกให้แก่เขาหลังจากเปิดซองออก หูพี่ก็กลายเป็นบุคคลที่สองรองจากหลี่เฉินที่รู้เนื้อหาโจทย์เมื่อเห็นเนื้อหาโจทย์ เขาก็ชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นมองไปที่กลุ่มนักศึกษาด้วยสีหน้าประหลาดใจปนความเห็นใจเขาเข้าใจทันทีว่าทำไมองค์รัชทายาทจึงเลือกให้เขาเ
"พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นยอดคนที่ถูกคัดเลือกจากนับร้อยในพัน หากมองทั่วแผ่นดินที่มีประชากรนับสิบล้าน พวกเจ้าย่อมเป็นหนึ่งในแสน!"คำกล่าวของหลี่เฉินทำให้เลือดลมของเหล่านักศึกษาเดือดพล่านทุกคนล้วนตระหนักดีว่าหนทางที่ผ่านมานั้นไม่ง่ายเลย บางคนถึงกับต้องขายสมบัติทั้งครอบครัวเพื่อให้สามารถเดินทางมาถึงจุดนี้หากการสอบจอหงวนล้มเหลว พวกเขาส่วนใหญ่อาจต้องจบชีวิตไปพร้อมกับความยากจนและไร้หนทางดังนั้น แม้ว่าการสอบจอหงวนจะไม่ใช่สมรภูมิที่มีคมดาบ แต่ความโหดร้ายของมันก็แทบไม่แตกต่างจากสนามรบเมื่อย้อนระลึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา นักศึกษาทั้งหมดล้วนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกส่วนเหล่าขุนนางที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกันเพราะในอดีต พวกเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนเดินมาบนเส้นทางการสอบจอหงวนเช่นเดียวกันแต่โชคชะตาของพวกเขาดีกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างมาก เพราะในวันนี้ พวกเขาสามารถยืนอยู่หน้าพระที่นั่งไท่เหอ และเข้าร่วมราชสำนักได้เมื่อมองย้อนกลับไป ผู้คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันในรุ่นเดียวกันนั้น บัดนี้เหลืออยู่ข้างกายน้อยมาก"การสอบจอหงวนเป็นเส้นทางที่ราชสำนักใช้ในการคัดเลือกบุคคลที่มีค
เสียงเขาสัตว์อันแสนเศร้าสร้อยดังก้องไปทั่วบริเวณเหล่านักศึกษาค่อยๆ เดินเข้าสู่พื้นที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่จากสำนักฮั่นหลิน พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในลำดับอย่างเหมาะสมและมายืนประจำตำแหน่งในจัตุรัสสะพานจินสุ่ยในเวลานั้น ราชสำนักช่วงเช้าทั้งหมดได้ถูกย้ายออกจากพระที่นั่งไท่เหอ มาจัดขึ้นภายนอกแทน หลี่เฉินนั่งอยู่ที่ประตูใหญ่ของพระที่นั่งบริเวณนี้เองคือสถานที่ที่เขาเคยใช้ปืนจ่อยิงฮาเล่ย์ต้าลี่จนเสียชีวิตในวันนั้นเมื่อทุกคนประจำตำแหน่งแล้ว จ้าวเสวียนจีและถานไถจิ้งจือในฐานะผู้นำฝ่ายบุ๋น ซูเจิ้นถิงในฐานะผู้นำฝ่ายบู๊ ทั้งสามคนโค้งคำนับพร้อมเปล่งเสียงดังว่า"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"เมื่อฮ่องเต้ไม่อยู่ องค์รัชทายาทในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ย่อมเป็นผู้แทนของฮ่องเต้ในสถานการณ์อันเป็นทางการเช่นนี้หลังจากนั้น บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมด รวมถึงนักศึกษาที่เข้าสอบจอหงวนต่างก็กล่าวถวายบังคมไม่มีผู้ใดกล้าละเลย"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"ที่จัตุรัสสะพานจินส
กงฮุยอวี่ที่แสดงท่าทางออกมานั้น หลี่เฉินมองเห็นทุกสิ่งในสายตา แต่เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงให้กระจ่าง ในใจนั้นกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัด ทว่ากลับไม่คิดสนใจนางต่อไปกงฮุยอวี่มองหลี่เฉินที่หันหลังกลับไปจัดการงานราชการในทันที ดวงตาที่เย็นเยียบของนางปรากฏความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาส่วนวั่นเจียวเจียวนั้น... นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้นางมีความสุขมากกว่านี้อีกแล้วในการรับมือกับสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีเช่นกงฮุยอวี่ การเร่งร้อนย่อมไม่เป็นผลดีไม่เช่นนั้น ความพยายามทั้งหมดอาจสิ้นเปลืองจนกลายเป็นแรงเกินไป ทำให้ทุกอย่างย้อนกลับและต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างน่าอึดอัดหลี่เฉินในตอนนี้ได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าว สำเร็จในการก่อกวนจิตใจของกงฮุยอวี่ ดังนั้นต่อไปจึงควรปล่อยให้อารมณ์คลี่คลายไปก่อน ทิ้งให้นางได้ครุ่นคิด จะได้ไม่เร่งร้อนเกินไปในมุมมองของหลี่เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกงฮุยอวี่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักล่าและเหยื่อนักล่าต้องการจับเหยื่อ แต่เหยื่อกลับระแวดระวังสูงมาก หากผิดพลาดเพียงนิด ไม่เพียงแค่เหยื่อจะหนีไป แต่อาจจะหันกลับมาเล่นงานนักล่าเ
แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความคิดของหลี่เฉินที่จะเอาชนะใจของกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นในชีวิตของผู้ชาย ย่อมต้องการผู้หญิงหลากหลายแบบอ่อนโยนและมีเสน่ห์อย่างจ้าวหรุ่ย เด็ดเดี่ยวและมั่นคงอย่างซูจิ่นพ่า และดื้อรั้นไม่ยอมคนอย่างกงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงหน้า"นิยายเล่มนั้น สนุกไหม?" หลี่เฉินถามเหมือนไม่มีอะไรจะพูดกงฮุยอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ก็ดี"หลี่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะบอกให้วั่นเจียวเจียวไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งมา แล้วส่งให้กงฮุยอวี่ "ลองดูนี่สิ"กงฮุยอวี่มองสมุดที่เห็นได้ชัดว่าเป็นงานเขียนด้วยมือ แล้วมองหน้าหลี่เฉิน แต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับ"ข้าเขียนเอง"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องตกใจวั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตาโตนางรู้ดีว่าหลี่เฉินยุ่งแค่ไหน งานราชกิจในพระที่นั่งสีเจิ้งแทบจะทำให้เขาไม่มีเวลาหายใจ แล้วเขายังมีเวลามาเขียนนิยายได้ด้วยหรือ?และยิ่งไปกว่านั้น … องค์รัชทายาทยังเขียนนิยายเป็น!วั่นเจียวเจียวมองหลี่เฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม รู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่ดูเหมือนจะไร้ที่ติ ตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ข้อบกพร่องอย่างแท้จริงรูปงาม สถานะสูงส่ง มีความ
ซูผิงเป่ยยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดากล่าว และเพียงเปิดปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ซูเจิ้นถิงก็ยกมือขึ้นห้ามและกล่าวว่า "เรื่องพวกนี้ เจ้าเดินตามข้ากับองค์ชายไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจเอง ตอนนี้เจ้าคิดไม่ออก ต่อให้ข้าอธิบายมากเท่าใด เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี""การเมืองนั้นแตกต่างจากการรบ มันต้องใช้ความเข้าใจลึกซึ้ง และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างช้าๆ""ในตอนนี้ สิ่งที่เจ้าควรทำคือ ฟังให้มาก ดูให้มาก พูดให้น้อย และถามให้น้อยเข้าไว้""เอาล่ะ ในช่วงนี้ หากเจ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ก็อย่ากลับบ้าน จงไปอยู่ในค่ายทหาร เข้าไปใกล้ชิดกับเหล่าทหารให้มากขึ้น การเมืองถึงที่สุดแล้วก็ต้องพึ่งกำลังทหาร""รู้ไหมว่าทำไมองค์ชายถึงฝากคนหนึ่งพันนายที่เจ้าพามาไว้กับหน่วยบูรพา? นั่นเพราะเพื่อเป็นแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน เจ้าต้องรับรองได้ว่า ในยามจำเป็น คนหนึ่งพันนายนี้ต้องยอมตายเพื่อองค์ชายโดยไม่ลังเล"ซูผิงเป่ยกลืนคำถามทั้งหมดกลับไป และรับคำอย่างนอบน้อม…เมื่อหลี่เฉินกลับถึง พระที่นั่งสีเจิ้ง วั่นเจียวเจียวกำลังสั่งการให้เหล่าขันทีนำก้อนน้ำแข็งมาวางทั่วทั้งท้องพระโรงในยุคโบราณ การผลิตน้