แม้จะรู้ว่าตัวเองถูกหลี่เฉินวางกับดักใส่ แต่ซูเจิ้นถิงไม่เพียงไม่รู้สึกแย่ ในทางกลับกันเขารู้สึกยินดีมากกว่าหลี่เฉินเสียอีก ตอนนี้ไม่เพียงแต่ตัวเขาเองเท่านั้น แต่ความรุ่งโรจน์ของตระกูลซูทั้งหมดต่างเดิมพันไว้ที่ตำหนักบูรพา ยิ่งหลี่เฉินมีอำนาจและเจ้าเล่ห์มากเท่าไหร่ ยิ่งพิสูจน์ได้ว่าการลงทุนของเขาถูกต้องมากขึ้นเท่านั้นเพียงเสี้ยววินาที ความคิดมากมายได้พรั่งพรูอยู่ในหัวของซูเจิ้นถิงไม่หยุด หลังจากอยู่ตำหนักบูรพาได้ระยะหนึ่ง เขาก็ขอตัวลา เพื่อคิดหาวิธีช่วยหลี่เฉินโกงเงินคน ทันทีที่ซูเจิ้นถิงจากไป หลี่เฉินก็มีเวลาว่างเล็กน้อยเขาเรียกไห่ตงชิงมา และลูบเหยี่ยวซึ่งบาดเจ็บจากการช่วยชีวิตเขาเบาๆ จากนั้นก็หันไปหาวั่นเจียวเจียวผู้มีพระคุณอีกคนแล้วพูดว่า “อาการบาดเจ็บหายดีแล้วหรือยัง?”วั่นเจียวเจียวกล่าวยิ้มๆ ว่า “ทูลฝ่าบาท หายดีแล้วเพคะ”“ครั้งนี้เจ้าช่วยชีวิตข้าเอาไว้ พูดมา เจ้าต้องการรางวัลอะไร?”หลี่เฉินเหลือบมองวั่นเจียวเจียวแล้วพูดว่า “อย่าปฏิเสธอย่างสุภาพ เจ้าก็รู้ ข้าขี้เหนียวที่จะให้โอกาสผู้คน หากเจ้าสุภาพ ข้าจะไม่ให้รางวัลเจ้าจริงๆ”วั่นเจียวเจียวหน้าแดง และกระซิบเสียงเบาว่
เจิ้งเป่าหรงไม่เคยคาดหวังว่า องค์รัชทายาทจะเสด็จออกจากตำหนักเพื่อมาต้อนรับด้วยตัวเองแต่แล้วเจิ้งเป่าหรงก็ตระหนักได้ว่าไม่ว่าจะคิดจากมุมไหน ตัวเองก็ดูเหมือนจะไม่มีคุณสมบัติเช่นนั้น ดังนั้น องค์รัชทายาทคงจะมีพระประสงค์อื่น“ลุกขึ้นเถอะ” หลี่เฉินให้เจิ้งเป่าหรงลุกขึ้นแล้วพูดว่า “เจ้ามาถึงเร็วมาก”เจิ้งเป่าหรงรีบตอบกลับทันทีว่า “กระหม่อมไม่กล้าชักช้า หลังจากกลับไปอธิบายและจัดข้าวของนิดหน่อย ก็ตรงมาที่เมืองหลวงก่อน ส่วนครอบครัวและญาติๆ จะตามมาทีหลัง”“อืม ไม่เลว อย่างน้อยทัศนคติก็ถูกต้อง” หลี่เฉินพยักหน้าและพูดว่า “ไปกันเถอะ ตามข้าออกไปสักรอบ”จิตใจของเจิ้งเป่าหรงเต็มไปด้วยความสงสัย ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทจะพาเขาไปที่ไหนแต่ในเมื่อหลี่เฉินไม่ได้พูดอะไร และเขาก็ไม่กล้าถาม จึงทำได้เพียงหุบปากให้สนิทแล้วเดินตามหลังหลี่เฉินอย่างระมัดระวังหลี่เฉินขึ้นรถม้า ส่วนเจิ้งเป่าหรงนั้นไม่มีคุณสมบัติที่จะนั่งรถม้าคันเดียวกับเขา ดังนั้นจึงมีการเตรียมรถม้าอีกคันให้กับเขาครึ่งชั่วยามต่อมา รถม้าก็หยุดที่ทางเข้าลานล่าสัตว์ราชวงศ์ หลี่เฉินลงจากรถ และเรียกเจิ้งเป่าหรงให้ติดตามตัวเองมา ในขณะที
ไม่ว่าหลี่เคอโส่วจะจงใจแสดงให้หลี่เฉินเห็น หรือว่าหลี่เคอโส่วเฝ้านาทดลองมันเทศทั้งวันทั้งคืนจริงๆ แต่ขอเพียงการทดลองปลูกมันเทศประสบความสำเร็จ หลี่เฉินก็จะพอใจกับการแสดงของหลี่เคอโส่ว “ลุกขึ้นเถอะ ไม่ต้องมากพิธี”หลี่เฉินพาหลี่เคอโส่วที่ระวังตัวเกินเหตุ และเจิ้งเป่าหรงซึ่งยังคงเต็มไปด้วยความสงสัยแต่รู้สึกอย่างคลุมเครือว่ามีเรื่องสำคัญกำลังจะเกิดขึ้น เข้าไปในเรือนกระจกที่เรียบง่าย ด้านใน มีชาวนาหลายสิบคนกำลังดูแลมันเทศอย่างระมัดระวังเมื่อเทียบกับรูปลักษณ์ที่เปราะบางและน่าสงสารในตอนปลูกครั้งแรก ตอนนี้เรือนกระจกก็เขียวชอุ่ม บนพื้นเต็มไปด้วยใบมันเทศสีเขียวหลี่เฉินดีใจมากเมื่อเห็นสิ่งนี้ไม่ผิดแน่ สิ่งนี้เหมือนกับมันเทศที่เขาเคยเห็นในทุ่งนาที่ชนบทเมื่อชาติก่อนทุกประการ“ฝ่าบาท มันเทศเหล่านี้สุกแล้ว”หลี่เคอโส่วกล่าวอย่างตื่นเต้น “หลังจากที่พวกเราวัดแล้ว มันเทศเหล่านี้ออกผลอย่างต่ำ 4-5 ผล มากสุดก็ 8-9 ผล หรือมากกว่าสิบผล แต่ละลูกก็ใหญ่เท่ากับกำปั้นของผู้ใหญ่ ผลผลิตนี้ช่างน่าทึ่งมากฝ่าบาท!” หลี่เฉินรู้สึกยินดีมากขึ้นเมื่อได้ยินสิ่งนี้ เขานั่งยองๆ และดึงมันเทศออกจากหลุมโดยตรง
แม้แต่หลี่เฉินยังตกตะลึงเล็กน้อยกับฉากนี้เมื่อเห็นความประหลาดใจในสายตาของผู้คนโดยรอบ เจิ้งเป่าหรงจึงรู้สึกตัวว่าได้สูญเสียกริยาไปแล้วใบหน้าที่มันเยิ้มเต็มไปด้วยความเขินอาย เขารีบคุกเข่าลงแล้วพูดว่า “ฝ่าบาท โปรดประทานอภัยแก่กระหม่อมด้วย กระหม่อมตื่นเต้นมาก จนทำตัวไม่เหมาะสมต่อหน้าฝ่าบาท” “ไม่เป็นไร”แน่นอนว่าหลี่เฉินไม่สนใจเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เขาพูดอย่างจริงจังว่า “เจ้าแตกต่างจากขุนนางระดับสูงในเมืองหลวงพวกนั้น ตรงที่เจ้าไม่กินอาหารบนโลกมนุษย์[footnoteRef:1] เจ้าทำงานคลุกคลีกับคนรากหญ้า ยิ่งใกล้ชิดกับประชาชนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากจะเป็นขุนนางได้” [1: กินอาหารบนโลกมนุษย์ อุปมาถึง การแสวงหาชื่อเสียง โชคลาภ ความมั่งคั่งทางวัตถุของผู้คน] “เจ้าก็เห็นผลผลิตของพืชชนิดนี้แล้ว พูดตรงๆ หากส่งเสริมสำเร็จ เจ้าก็จะมีชื่อเสียงนานนับพันปี แต่ปัญหาคือเจ้าต้องหาทางทำให้ประชาชนในเขตอำนาจของเจ้ายอมรับ ”หลี่เฉินเห็นเจิ้งเป่าหรงครุ่นคิดก็กล่าวว่า “แผ่นดินใหญ่แตกต่างจากพื้นที่ชายฝั่ง แต่ความหลงใหลในที่ดินและการเกษตรของประชาชนล้วนเหมือนกัน ตลอดหลายร้อยหลายพันปีมานี้ ไม่มีใครเคยลองให้พวกเขาปลูกมั
“อย่างที่บอกไป ข้าไม่ตระหนี่ในการให้อำนาจแก่คนเบื้องล่าง ไม่ว่าจะมีความสามารถมากแค่ไหน แต่เจ้าก็ต้องมีอำนาจมากตามไปด้วย ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเป็นไปตามกฎเกณฑ์หรือไม่ เพราะกฎนี้ข้าเป็นผู้กำหนดเอง ในเมื่อข้าพยักหน้า ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้”หลี่เฉินมองไปที่เจิ้งเป่าหรง และพูดเสียงเรียบว่า “ในเมื่อข้าให้สิ่งที่เจ้าต้องการไปแล้ว เช่นนั้นสิ่งที่ข้าต้องการ เจ้าก็ต้องทำให้ได้”ก่อนที่เจิ้งเป่าหรงจะพูดอะไรบางอย่างที่แสดงถึงความภักดี หลี่เฉินก็หันไปหาหลี่เคอโส่วและพูดว่า “ต่อจากนี้ไป ลานล่าสัตว์จะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่กับผู้ว่าการเมืองหลวง เพื่อดำเนินการส่งเสริมมันเทศเบื้องต้น พวกเจ้าควรจะรวบรวมข้อควรระวังในการดูแลมันเทศให้เร็วที่สุด ทำเป็นคู่มือเพาะปลูกที่ประชาชนทั่วไปสามารถอ่านเข้าใจได้ง่าย”“เหลือเวลาอีกไม่กี่วันก่อนการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิจะมาถึง ภารกิจของพวกเจ้าจึงไม่เบาเลย” หลี่เคอโส่วกล่าวด้วยความเคารพทันที “กระหม่อมจะปฏิบัติตามพระราชดำรัสสั่งของฝ่าบาท”หลี่เฉินพยักหน้าและพูดอย่างพอใจว่า “พวกเจ้าทุกคนทำงานหนักในช่วงนี้ และตอนนี้ก็มีผลงานแล้ว สมควรได้รับรางวัล”“เดิมทีเจ้าม
“รายงานท่านจอมพล เราได้ทำการตรวจนับสนามรบเสร็จเรียบร้อยแล้ว คราวนี้กองทัพของพวกเรามีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3,600 คน บาดเจ็บสาหัสกว่า 700 คน และมีผู้เสียชีวิตในการรบ 4,200 คน ส่วนฝ่ายศัตรูถูกสังหารรวมกว่า 10,000 คน จำนวนธัญพืชและสัมภาระที่ยึดได้ สามารถใช้เลี้ยงกองทัพพวกเราได้หกวัน”หลังจากฟังรายงานของผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ซูผิงเป่ยก็พยักหน้าอย่างพึงพอใจเวลานี้เขานั่งอยู่ในกระโจมหลัก ขนาบด้วยแม่ทัพใต้บัญชาการทั้งซ้ายขวา ทุกคนต่างค่อนข้างพอใจกับผลลัพธ์นี้“หนึ่งแลกสาม แม้ว่าผลลัพธ์จะไม่ดีเท่ากับตอนที่จักรวรรดิอยู่ในช่วงรุ่งโรจน์ แต่ผลการรบในตอนนี้ก็นับว่าไม่แย่” รองแม่ทัพคนสนิทที่ติดตามซูผิงเป่ยจากเมืองหลวงมาได้เปิดปากกล่าว“ในช่วงเวลานั้น? ถ้าย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น แค่กองทัพของพวกเรามาถึง พวกตงอิ๋งก็คงโยนหมวกถอดเกราะยอมแพ้ไปนานแล้ว” ซูผิงเป่ยถอนหายใจและกล่าวว่า “ตอนนี้กองทัพของเราได้เข้าสู่เสียนเฉาและต่อสู้มาหลายวันแล้ว ถึงแม้ว่าจะกอบกู้ดินแดนที่สูญเสียไปในเสียนเฉาได้เป็นจำนวนมาก แต่เมืองหลวงของเสียนเฉายังอยู่ภายใต้การควบคุมของตงอิ๋ง”“เมื่อเช้าเชื้อพระวงศ์เสียนเฉามาที่นี่อีกครั้ง
แผนการรบของซูผิงเป่ยไม่ได้เหนือชั้นอะไรนัก แต่การกรีฑาทัพทำสงคราม ขอเพียงสามารถเอาชนะได้ก็พอแล้ว ในบางครั้ง ชัยชนะก็มาจากแผนการเลิศล้ำเสียที่ไหนอย่างไรก็ตาม แม้แผนการรบนี้ดูเสถียรภาพมาก แต่ก็ยังเผยข้อบกพร่องใหญ่อยู่ ทันใดนั้นรองแม่ทัพก็สังเกตเห็นจุดนี้ เขากล่าวว่า “จอมพลซู ข้าน้อยคิดว่านี่ไม่เหมาะสม”“ถ้าแยกทหารม้าเบาและทหารราบชั้นยอด 10,000 นายออกไป กำลังรบที่เหลือของกองทัพจะอ่อนแอกว่ากองทัพตงอิ๋งอย่างมาก ยิ่งไปกว่านั้น จอมพลซูยังเป็นผู้นำทัพบุกโจมตีด้วยตัวเอง ถ้าหากแผนการนี้ถูกตงอิ๋งมองขาดล่วงหน้า พวกเขาอาจจะมารวมตัวกันและบุกโจมตีทัพหลักของพวกเรา หากเป็นเช่นนั้นจะอันตรายมาก ท่านจอมพลโปรดใคร่ครวญอีกครั้งเถิด”ซูผิงเป่ยโบกมือแล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “การกรีฑาทัพทำสงครามจะไม่มีความเสี่ยงได้อย่างไรกัน? คนที่มาในสนามรบไม่ใช่คนที่แสวงหาความสงบสุข หากต้องการความสงบและความมั่นคง ก็กลับบ้านไปนอนกอดภรรยาจะดีกว่า ใยต้องมาที่สนามรบเพื่อแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภ?”“ข้าตัดสินใจแล้ว หากแผนการรบครั้งนี้ไม่มีข้อผิดพลาดใดๆ ความเสี่ยงที่เจ้าพูดถึงก็จะไม่มี ทุกท่านไม่ต้องพูดอีกแล้ว”“ยิ่งไปกว่านั้น
“แม่ทัพใหญ่ซูห่วงใยลูกดุจไข่มุกบนฝ่ามือ”หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้ม “เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้[footnoteRef:1] ยิ่งไม่ต้องพูดถึงปรารถนาอันแรงกล้าของบิดาอย่างท่านเลย” [1: เมื่อแม่ทัพอยู่ข้างนอก พระบัญชาของกษัตริย์ก็สามารถละเว้นได้ หมายถึง เมื่ออยู่ในสนามรบ อำนาจของแม่ทัพอยู่เหนือกษัตริย์ ] “นับตั้งแต่ซูผิงเป่ยเข้าสู่เสียนเฉา เขาก็ผ่านศึกสงครามน้อยใหญ่มาแล้วหลายครั้ง และทุกครั้งล้วนประสบความสำเร็จ”“แม้ว่าตงอิ๋งจะอ่อนแอ แต่การที่สามารถเอาชนะติดต่อกันได้ ก็พิสูจน์ให้เห็นว่า ซูผิงเป่ยมีความสามารถมากกว่าที่เราคิด ในเมื่อเขาเต็มใจที่จะเสี่ยง เราก็อาจปล่อยให้เขาลองได้เช่นกัน”เมื่อดูแผนการรบ หลี่เฉินก็หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คิดจะสู้ชี้ขาด มีทั้งความกล้าหาญและความเด็ดเดี่ยว การปล่อยให้เขาลองดูก็ไม่เสียหายอะไร”“สิ่งที่ราชสำนักขาดไปในตอนนี้ไม่ใช่แม่ทัพ แต่เป็นแม่ทัพอายุน้อย มุ่งมั่น และกล้าได้กล้าเสียอย่างซูผิงเป่ย” เมื่อเห็นหลี่เฉินพูดเช่นนั้น ซูเจิ้นถิงก็ไม่มีทางเลือกนอกจากพูดว่า “เข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เมื่อเห็นซูเจิ้นถิงกำลังขมวดคิ้ว หลี่เฉินก็กล่าวด้ว