Share

บทที่ 3

Author: ไห่ตงชิง
เสียงร้องแผ่วเบานี้กระตุ้นความตื่นตัวของเฉินจื้อที่อยู่ข้างนอกทันที

“ฮองเฮาทรงเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ?”

จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินที่มองนางด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ นางแอบกัดฟันด้วยความเกลียดชัง และนำความไม่พอใจทั้งหมดไประบายใส่เฉินจื้อ

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องถามมาก”

เมื่อเฉินจื้อถูกตำหนิ เขาก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากยิ่งขึ้น

เมื่อไม่มีที่ระบายความโกรธ เขาจึงหันกลับมาด่าขันทีที่กำลังขับรถม้า “ขับรถม้าให้ดีๆ หน่อย หากทำให้ฮองเฮาตกใจอีกครั้ง ข้าจะแล่เนื้อเจ้าซะ!”

ภายในเกี้ยวหงส์ ตู้นั้นสั่นเล็กน้อย ราวกับกรงสัตว์ก็ไม่ปาน ทำให้จ้าวชิงหลานนึกอยากจะหนีก็หนีไม่ได้

จ้าวชิงหลานนั่งบนต้นขาของหลี่เฉิน ราวกับนั่งอยู่บนเข็มก็ไม่ปาน

นางคิดจะลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ทำตามความตั้งใจ หลี่เฉินก็จะดึงนางกลับมา และบังคับให้นั่งลงอย่างแน่วแน่

“เจ้า เจ้าไม่กลัวข้าจะสังหารเจ้ารึ!?”

เมื่อมองไปที่ปากแดงฟันขาวนั่น จ้าวชิงหลานก็แอบกัดฟันแน่น หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “ฮองเฮายอมแพ้หรือไม่?”

ในขณะที่พูดก็ฉวยโอกาสที่จ้าวชิงหลานไม่ทันสังเกต ใช้มือใหญ่ของเขาคลำไปตามระหว่างเอวและหน้าท้อง

ท้องน้อยที่แบนราบ เต่งตึง และเรียบเนียน ให้ความสัมผัสที่อย่างยอดเยี่ยมและไม่มีใครเทียบได้แก่หลี่เฉิน

จ้าวชิงหลานตกตะลึงจนตาค้าง

นางไม่คิดว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญชาญชัยได้ขนาดนี้

ไม่เพียงแต่จะดึงนางมากอด แต่ยังวางมือบนผิวที่เป็นที่ส่วนตัวที่สุดของผู้หญิงอีกด้วย

นางรีบกดมือใหญ่ของหลี่เฉินให้หยุดลูบผ่านเสื้อผ้าตามสัญชาตญาณ จ้าวชิงหลานพูดด้วยความโมโหว่า “หยุดมือ!”

หลี่เฉินกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของจ้าวชิงหลาน “ข้าไม่ขยับ เจ้าก็อย่าขยับ ดีไหม?”

จ้าวชิงหลานนั่งบนตักหลี่เฉินด้วยความโมโหปนอับอาย

นางเข้าใจความหมายของหลี่เฉิน เขาต้องการให้นางนั่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา และในทางกลับกัน ฝ่ามือของเจ้าสารเลวนี่ก็จะหยุดเคลื่อนไหวไปเอง

เมื่อเห็นจ้าวชิงหลานไม่รับปาก มือของหลี่เฉินก็เริ่มซนอีกครั้ง

จ้าวชิงหลานตกใจกลัว นางรีบจับมือนั่นและพูดอย่างขมขื่นว่า “ข้ารับปากเจ้า!”

หลี่เฉินยิ้มอย่างมีชัย กอดจ้าวชิงหลานแล้วพูดว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก”

จ้าวชิงหลานรู้สึกอับอายและโมโหแทบตาย นางหันหน้าหนีไปเพราะไม่อยากเห็นหน้าหลี่เฉิน

เกี้ยวหงส์สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ได้มาถึงด้านนอกพระราชวังสุทธาสวรรค์แล้ว

เมื่อเกี้ยวหงส์จอดสนิท เฉินจื้อก็รีบกำหมัดรายงาน “ฮองเฮา มาถึงพระราชวังสุทธาสวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ม่านประตูเกี้ยวหงส์ถูกยกขึ้น แต่ผู้ที่ออกมาเป็นคนแรกกลับเป็นหลี่เฉิน

สายตาของเฉินจื้อพลันเย็นเยียบ เขารีบคลายหมัดลงแล้วลุกขึ้นยืนทันที

“ลุกขึ้นยืนทำไม? รีบคลานลงกับพื้นให้ข้าเหยียบลงจากเกี้ยวหงส์สิ” หลี่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา

เฉินจื้อชะงัก จากนั้นก็โกรธจัดขึ้นมา

เขากัดฟันตอบกลับไปว่า “กระหม่อมมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ ไม่สะดวก!”

หลี่เฉินพูดยิ้มเยาะ “หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ? หน้าที่ของเจ้าคือเชื่อฟังคำสั่งของเสด็จพ่อกับข้า ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีกหรือ? ถ้าหากข้าไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อช้า ข้าจะสั่งประหารเจ้าทันที”

เฉินจื้อกัดฟัดเสียงดังกรอด ถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ตอนนี้หลี่เฉินคงตายเป็นพันๆ ครั้งแล้ว

เฉินจื้อก้าวเข้ามาที่เกี้ยวหงส์ทีละก้าว แล้วค่อยๆ ค้อมตัวลง ยังไม่ทันจะตั้งตัวดี เท้าของหลี่เฉินก็เหยียบที่หลังเขาข้างหนึ่ง

เฉินจื้อสะอึก ร่างกายของเขาทรุดลง ก่อนจะนอนพังพาบ

เขาก้มศีรษะลง เพื่อป้องกันไม่ให้หลี่เฉินมองเห็นดวงตาที่แสดงถึงความเกลียดชังของเขา เฉินจื้อจิกนิ้วลงกับกระเบื้อง เล็บของเขาขูดไปกับพื้น แม้แต่ความเจ็บปวด ก็ไม่อาจบรรเทาความโกรธแค้นในใจของเขาได้

หลังลงจากเกี้ยว หลี่เฉินก็ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังวังสุทธาสวรรค์

ด้านนอกพระราชวัง เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊และพระสนมในวังหลัง ต่างกำลังคุกเข่าอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทุกคนต่างสวดภาวนาให้กับฮ่องเต้

“องค์รัชทายาทเสด็จมาถึงแล้ว!”

เสียงประกาศดังขึ้น ทำให้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊พากันหันกลับมา เพื่อคุกเข่าให้หลี่เฉินและขานพร้อมๆ กันว่า “องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”

ด้านหน้าพระราชวังสุทธาสวรรค์ เป็นเวลาดึกดื่น แสงจันทร์ดูสลัวๆ

กลุ่มคนที่เป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดแห่งต้าฉิน และเป็นในศูนย์กลางทางการเมืองของจักรวรรดิล้วนคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ฉากดังกล่าว และเสียงแซ่ซ้องพันปีกวาดเข้าหูของเขาราวกับคลื่นยักษ์ ทำให้อกของหลี่เฉินพองโตด้วยความภาคภูมิใจ

เป็นองค์รัชทายาทได้รับการแซ่ซ้องพันปีก็ว่าน่าตื่นเต้นแล้ว หากวันหนึ่งเขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ ประชาชนทั้งใต้หล้าจะแซ่ซ้องเขาว่าหมื่นปี นั่นจะเป็นฉากที่งดงามเพียงใด?

หลี่เฉินระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน แสดงสีหน้าสงบ และเดินไปที่ประตูพระราชวังสุทธาสวรรค์ ยกมือขึ้นแล้วผลักประตูให้เปิด เพื่อเข้าไปในพระราชวัง

เขา กำลังจะพบกับเสด็จพ่อของเขา ซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดของจักรวรรดิต้าฉิน ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวังวนทางการเมืองที่มากเล่ห์และอันตรายที่สุดในจักรวรรดิ

ในวังสุทธาสวรรค์ แสงไฟสว่างไสว ขุนนางขั้นที่หนึ่งทุกคนในเมืองหลวงต่างก็มารวมตัวกัน เช่นเดียวกับสมาชิกของราชวงศ์

หากคนที่คุกเข่าอยู่ข้างนอกคือเสาหลักของจักรวรรดิต้าฉิน งั้นคนเหล่านี้ ก็เป็นกระดูกสันหลังที่สนับสนุนอาณาเขตหลายหมื่นลี้ของจักรวรรดิต้าฉิน

หลี่เฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ

จ้าวเสวียนจีราชเลขาธิการ นี่เป็นผู้นำคนทรยศที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน เขามีส่วนร่วมในฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎรมานานหลายทศวรรษ เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าหยั่งรากลึกได้อีกต่อไป แต่เกือบจะเป็นใช้มือเดียวปิดฟ้าได้

ด้านหลังจ้าวเสวียนจี คือสี่ในห้าของนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่เหลือในสำนักราชเลขาธิการ นอกจากนี้ยังมีขุนนางจากหกกรมได้แก่ กรมขุนนาง กรมครัวเรือน กรมพิธีการ กรมยุทธนาการ กรมยุติธรรม และกรมโยธาธิการ ซึ่งเป็นหัวหน้าบริหารสูงสุด

อีกด้านหนึ่งเป็นนางสนมในวังหลัง องค์ชายสี่ องค์ชายหก องค์ชายแปด องค์ชายเก้า และองค์ชายอีกสี่พระองค์กับองค์หญิงคนอื่นๆ ตามมาด้วยพระบรมวงศานุวงศ์

ในพระราชวังสุทธาสวรรค์อันกว้างใหญ่ ผู้คนจำนวนมากกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น นอกจากแพทย์หลวงที่ยุ่งอยู่ ก็ยังมีสาวใช้ในวังที่กำลังทำงาน ทั้งด้านในและด้านนอกห้องโถงใหญ่ มีกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรซึ่งสวมเครื่องแบบขนห่านป่าปีกคู่ คอยปกป้องอยู่ด้านข้างเหมือนท่อนไม้

ในพระราชวังทั้งหมด ยกเว้นองค์รักษ์ส่วนพระองค์อวี่หลินที่กำลังลาดตระเวน ใครก็ตามที่ถือดาบจะถูกฆ่าอย่างไร้เมตตา ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวสำหรับกฎนี้ก็คือ องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานบูรพา ซึ่งเป็นเพชฌฆาตในพระราชฐานชั้นใน ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดจากฮ่องเต้

ด้านหลังหลี่เฉิน คือฮองเฮาจ้าวชิงหลานที่เดินตามเข้ามาติดๆ

เมื่อทั้งสองเดินเข้ามา ข้าราชบริพาร นางสนม องค์ชายและองค์หญิงต่างพากันโค้งคำนับทันที

“กระหม่อม หม่อมฉัน ลูก คารวะฮองเฮาและองค์รัชทายาท”

ดวงตาของหลี่เฉินคมราวกับกริช เขาเม้มริมฝีปากแน่น และเดินไปทางแท่นบรรทมมังกรโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“องค์รัชทายาทโปรดช้าก่อน!”

มีร่างหนึ่งขวางทางหน้าหลี่เฉิน

“ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังหมดสติ ไม่อาจพบใครได้ โปรดอย่ารบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาท”

หลี่เฉินหรี่ตา เขามองชายชราที่อายุครึ่งร้อยตรงหน้าแล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“กระหม่อมเฉินไหวจื้อ นักวิชาการศาลาเหวินหยวน”

เฉินไหวจื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ราวกับไม่เห็นองค์รัชทายาทอยู่ในสายตา

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทั่วทั้งราชสำนัก ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทคนปัจจุบันบุ๋นไม่เอาบู๊ไม่มี นับเป็นคนไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ตอนนี้ถ้าขวางได้ก็จะขวาง ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่มีใครลงโทษเขา แต่เขายังจะได้รับคำชมจากราชเลขาธิการที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดขององค์รัชทายาท

หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชา ยกเท้าขึ้นมาเตะที่ท้องน้อยของเฉินไหวจื้อ

เฉินไหวจื้ออายุตั้งครึ่งร้อยแล้ว เขาจะทนลูกเตะของหลี่เฉินไหวได้เยี่ยงไร เขากระอักเลือดออกมาในทันที

หลังจากลูกเตะนี้ เฉินไหวจื้อก็กรีดร้องออกมา พร้อมกระเด็นตกลงพื้น

“บัดนี้เสด็จพ่อของข้าตกอยู่ภาวะวิกฤติ ในฐานะโอรส ข้าจะไม่กังวลได้เยี่ยงไร ทำไมตาแก่อย่างเจ้าถึงมาขวางทางข้า เจตนาของเจ้าคืออะไร? เชื่อหรือไม่ ต่อให้ข้าสังหารเจ้าที่นี่ ก็ไม่มีใครกล้าผายลม?”

หลี่เฉินตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ทำเอาวังสุทธาสวรรค์พลันเงียบกริบ

ทุกคนมององค์รัชทายาทที่เมื่อก่อนไร้ประโยชน์ด้วยความหวาดกลัว ราวกับเห็นคนแปลกหน้า

ไม่มีใครจินตนาการได้ว่า องค์รัชทายาทจะกล้าเตะขุนนางใหญ่ในที่สาธารณะ

เฉินไหวจื้ออ่านหนังสือปราชญ์มาทั้งชีวิต เขาจะทนความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้อย่างไร เขานอนอยู่บนพื้น และชี้ไปที่หลี่เฉิน พลางตะโกนว่า “ท่านเป็นเพียงองค์รัชทายาท แต่ปฏิบัติต่อขุนนางในราชสำนักอย่างโหดร้าย คนไร้คุณธรรมเช่นนี้จะสืบทอดราชบัลลังก์ได้เยี่ยงไร? กระหม่อมยอมตายเพื่อกราบทูลฝ่าบาท ให้ปลดท่านออกจากตำแหน่งรัชทายาท!”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา จิตสังหารของหลี่เฉินก็ยิ่งเดือดพล่าน

เขามองเฉินไหวจื้อ และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตาเฒ่า เจ้ารอก่อนเถอะ มาดูกันว่า เจ้าจะตายหรือว่าข้าจะโดนปลด!”

พูดจบ เขาก็เดินไปยังแท่นบรรทมมังกร

เหล่าแพทย์หลวงที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบรรทมมังกรก็ถอยออกมา

หลี่เฉินคุกเข่าลงกับพื้น มองดูฮ่องเต้ที่หน้าซีดราวกับกระดาษ ดุจเปลวเทียนที่ใกล้จะมอดดับบนแท่นบรรทมมังกร ทันใดนั้นเขาก็เข้าสู่การละคร

ดวงตาแดงก่ำ คัดจมูก หลี่เฉินกุมมืออันเย็นเฉียบของฮ่องเต้พลางกล่าวเสียงสะอื้น “เสด็จพ่อ ลูกอยู่นี่แล้ว”

บนแท่นบรรทมมังกร เปลือกตาของฮ่องเต้สั่นไหว ก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้น

เมื่อดวงตาที่ขุ่นมัวเห็นว่าเป็นหลี่เฉิน จึงเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบแห้งและกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้ามาแล้ว...”

“ข้า...ป่วยหนักเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน”

ละครเรื่องนี้มาถึงจุดไคลแม็กซ์แล้ว เวลานี้ หลี่เฉินไม่รู้ว่าเขาได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมหรือไม่ แต่เขารู้สึกตรอมตรม และกล่าวเสียงเบาว่า “เสด็จพ่อพลามัยแข็งแรง อีกเดี๋ยวก็หายจากอาการเจ็บป่วยได้ ท่านคือมังกรที่แท้จริง ด้วยพรจากสวรรค์ ท่านจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”

มุมปากกระตุกเล็กน้อย ราวกับว่าต้องการจะยิ้ม ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรงว่า “ร่างกายของข้า...ข้ารู้ดี ตอนนี้ แค่จะหายใจก็ยังทำไม่ไหวแล้ว...แต่เมื่อครู่ เจ้าทำได้ดีมาก”

“การบริหารแผ่นดินเป็นเรื่องยาก เจ้า จะจัดการได้หรือไม่?”

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 4

    หัวใจของหลี่เฉินหนักอึ้ง เขารู้ว่า ฮ่องเต้กำลังทดสอบตัวเองผลงานของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ค่อยดีนัก จนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่วินาทีสุดท้ายของฮ่องเต้ พระองค์ก็ยังไม่กล้าที่จะมอบภาระของประเทศไว้บนบ่าของเขาตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า การกระทำของเขานั้นจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขาในท้ายที่สุด“ความยากในการบริหารแผ่นดิน เกิดจากปัญหาภายในและภายนอก”หลี่เฉินผสมผสานความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิม เข้ากับความรู้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการขึ้นและลงของราชวงศ์ที่เขาอ่านก่อนทะลุมิติมา จากนั้นก็กล่าวว่า “ปัญหาจากภายนอก มาจากพวกคนเถื่อน เฉวี่ยนหรง หนู่เจิน ซยงหนู นอกจากนี้ยังมีพิษร้ายที่เหลือรอดจากอดีตราชวงศ์หยวน ซึ่งต้องการทำลายต้าฉินของพวกเรา”“ปัญหาจากภายใน มาจากการแบ่งแยกของอ๋องศักดินา ซึ่งก็คือพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องหรือโหว พวกเขามีอำนาจเก็บภาษีในดินแดนศักดินา และมีอำนาจทางการทหาร มันเป็นเพียงสถานที่นอกกฎหมาย เป็นเขตปกครองตนเอง นับว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆ ”“ยังมีเจ้าหน้าที่ทุจริตออกอาละวาดในท้องถิ่น พวกขุนนางใหญ่จัดตั้งกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาต่อสู้เพื่ออำนาจและ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 5

    หลี่เฉินยิ้มอย่างมีความสุขไม่มีใครในใต้หล้านี้ไม่กลัวอำนาจและวิธีการสังหารของหน่วยบูรพา มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะไม่กลัว เพราะอำนาจของพวกเขามาจากฮ่องเต้ และพวกเขา ก็ยังเป็นสุนัขรับใช้ที่ภักดีที่สุดในเงื้อมมือของฮ่องเต้อีกด้วยในฐานะกวางกงของหน่วยบูรพาที่เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างต้องการสังหาร เขาคงเป็นคนแรกที่เต็มใจเข้ามาพึ่งพาตัวเองกองกำลังนี้จะช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน“ดีมาก”หลี่เฉินโยนดาบในมือไปตรงหน้าขันทีซานเป่าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อเคยมอบดาบให้กับเจ้า แต่ตอนนี้ดาบเล่มนั้นขึ้นสนิมไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ ข้าจะให้ดาบเล่มนี้แก่เจ้า เจ้าต้องการมันไหม?”ขันทีซานเป่าคุกเข่าอย่างนอบน้อม แล้วหยิบดาบบนพื้นขึ้นมา จับมันไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “เมื่อฝ่าบาทมอบราชโองการให้แก่บ่าว ทรงเคยตรัสว่า ต่อไปนี้ บ่าวจะเป็นดาบในมือของพระองค์”เมื่อมองดูประตูวังสุทธาสวรรค์ที่ปิดอยู่ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้บนแท่นนอนที่ยืนหยัดหายใจอยู่ จะได้เตรียมการเอาไว้แล้ว“ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย องค์ชายเก้าเป็นบุตรคนสุดท้อง เมื่อหลายปีก่อน ฮองเฮาทรงขอเสด็จพ่อรับเลี้ยงดูองค์ชายเก้า และเชิญหัวหน้าสภาขุนนางมาสั่งสอนเป็นการส่วน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 6

    “อย่าอะไร?”จ้าวหรุ่ยในอ้อมแขนดูเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสนจ้าวหรุ่ยไม่รู้ว่า ยิ่งนางกลัวและอยากจะหนีมากเท่าไร เสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติซึ่งแฝงอยู่ในกระดูกของนางก็ยิ่งจะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งดึงดูดหลี่เฉินมากขึ้นหลี่เฉินจับเอวที่ไม่มีกระดูกของจ้าวหรุ่ย แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ข้างหูนาง “อย่าอะไร อย่าไม่ทำอะไรสักอย่าง หรือว่าอย่าหยุดกันแน่?”จ้าวหรุ่ยทั้งอับอายทั้งโมโหคำตอบทั้งสองข้อที่หลี่เฉินกล่าวออกมานั้น ไม่มีข้อไหนที่นางอยากจะพูดนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่หลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ นางไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวมากนัก เพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังคำพูดของนางได้แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะกลายเป็นปีศาจ และเรียกร้องอย่างตะกละตะกลามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม“ฝ่าบาท โปรดปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างทะนุถนอม” จ้าวหรุ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้นหลี่เฉินหยอกล้อจ้าวหรุ่ย ผิวพรรณของนางขาวเหมือนเครื่องเคลือบ นอกจากนี้ยังแดงก่ำเห

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 7

    บทสนทนาระหว่างองครักษ์เสื้อแพรและหลี่เฉินที่ด้านนอกนั้นสามารถได้ยินอย่างชัดเจน“ตายแล้ว...เฉินจื้อตายแล้ว”จ้าวหรุ่ยค่อยๆ หลับตาลง แม้ว่าเตียงจะยังอุ่นอยู่ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเย็นนางกับเฉินจื้อ แม้จะเป็นเพียงรักข้างเดียวของเฉินจื้อ แต่ก็ยังนับว่าเป็นคนคุ้นเคยของจ้าวหรุ่ย แต่คนเช่นนั้น ถูกทุบตีจนตายอยู่นอกตำหนักจ้าวหรุ่ยกระทั่งรู้สึกว่า เมื่อคืนนี้ หลี่เฉินจงใจฆ่าเฉินจื้อที่ลานกว้างหน้าประตูตำหนัก และทำเรื่องเช่นนั้นกับนางในห้องนางรู้สึกว่าหลี่เฉินในตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่ยังน่ากลัวอีกด้วย“ไม่ได้การล่ะ ข้าจะต้องหาโอกาสทูลขอความช่วยเหลือจากฮองเฮา เพื่อจัดการองค์รัชทายาท...” จ้าวหรุ่ยกำผ้าห่มแน่น พลางพึมพำกับตัวเององครักษ์เสื้อแพรสองนายเพิ่งจะไป ขันทีซานเป่าก็มาเยือนเขานำรายงานลับมา และมอบให้หลี่เฉินด้วยความเคารพ“องค์รัชทายาท ของที่พระองต์ต้องการอยู่นี่แล้ว”หลี่เฉินหยิบมันขึ้นมาดู แน่นอนว่าเป็นบันทึกชีวิตประจำวันขององค์ชายเก้าตั้งแต่เมื่อคืนนี้ รวมถึงเวลาและสถานที่ที่เขาไป สิ่งที่เขาพูด ทุกอย่างมีรายละเอียดมาก จนองค์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 8

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้หลี่เสวียนหน้าซีดเขารีบตอบไปตามจิตใต้สำนึกว่า “ข้า ข้าไม่ได้กบฏ เสด็จแม่และท่านอาจารย์ตกลงจะให้ข้าดูพวกนั้น พวกเขาบอกว่าข้าควรเรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า...”ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เว่ยเสียนที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ ก็แทบกระอักเลือดออกมาองค์ชายเก้าเหตุใดจึงไร้ความคิดเช่นนี้ คำพูดเช่นนั้นกล่าวออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร“เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า?”หลี่เฉินจับจุดอ่อนของหลี่เสวียนได้ น้ำเสียงของเขาสูงขึ้นสองส่วน “เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้าเพื่ออะไร? หรือว่าเจ้าอยากให้เสด็จทรงสวรรคต จากนั้นก็เอาตำแหน่งของข้าไป?”ในที่สุดหลี่เสวียนก็รู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไปเขาหน้าซีด คุกเข่าลงเสียงดังตุบ รีบอธิบายด้วยความตื่นกลัวว่า “พี่รอง ข้า ข้าไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น...”เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของหลี่เสวียนจึงถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ และวิ่งตรงไปที่วังฮองเฮา“จะมีความหมายเช่นนั้นหรือไม่ ข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง”หลี่เฉินพูดจบ เขาก็หันไปสั่งขันทีซานเป่าว่า “หูหนวกเหรอ? หรือจะให้ข้าลงมือเอง?”ขันทีซานเป่าได้ยินก็รีบลุกขึ้นยืน สั่งองครักษ์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 9

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานตัวแข็งทื่อหลี่เฉินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนทั้งสองสามารถสัมผัสลมหายใจของกันและกันได้อย่างชัดเจนจ้าวชิงหลานกำลังดิ้นรนอยู่ในใจ นางรู้สึกว่าไม่สามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้แต่หลี่เฉินดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวอะไรเลย และยังคงเขยับเข้ามาต่อภายในห้องโถงเงียบสงบอย่างน่าประหลาด มีเพียงเสียงเสื้อผ้าที่เสียดสีกันซึ่งเกิดจากการทะเลาะกันระหว่างทั้งสองร่าง และมีเสียงหอบหายใจเป็นครั้งคราวความรู้สึกของการเป็นหัวขโมยนั้น ทำให้หลี่เฉินรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินถูกเขากระตุ้นให้โกรธและอับอาย หลี่เฉินก็รู้สึกเหมือนมีไฟลุกอยู่ในใจ“นี่คือพระราชวังหงส์สราญ ที่ประทับของฮองเฮา เจ้า เจ้าไม่กลัวตายจริงหรือ?” จ้าวชิงหลานพูดอย่างร้อนใจ พลางข่มขู่เสียงเบา“กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัวตาย ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่กลัวตาย”หลี่เฉินลุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนผลักจ้าวชิงหลานลงบนเบาะขนาดใหญ่ด้วยท่าทางก้าวร้าว และมองลงมาที่เสด็จแม่ของเขา ​​ผู้หญิงที่หายใจถี่อยู่ใต้ร่างเขาจ้าวชิงหลานทั้งตกใจทั้งกลัว“ดังนั้น พวกเราต้องเบาๆ เสียงหน่อยนะ”คำพูดของหลี่เ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 10

    ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึงเมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”ปึงหลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจเขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบทด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 11

    หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระต

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1045

    “ฝ่าบาท พะย่ะค่ะ เราคงรักษาแนวไว้ไม่อยู่แล้ว” ซานเป่ามองสถานการณ์ที่เลวร้ายลงเรื่อยๆ จึงกล่าวกับหลี่เฉินว่า “ไม่สู้พวกเรากลับเข้าไปในศาลบูรพกษัตริย์ แล้วค่อยหาทางใหม่ดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?” “ไม่เป็นไร”หลี่เฉินโบกมือเบาๆ เอ่ยว่า “ให้คนที่เหลือถอยกลับมาเถิด” “แต่ว่า…” หลี่เฉินเหลือบตามองซานเป่าหนึ่งแวบ ก่อนเอ่ยเสียงเรียบ “เมื่อใดกันที่เจ้ากลายเป็นผู้ตัดสินใจแทนข้า?” ซานเป่าหน้าตึงไปทันใด รีบก้มตัวยอมรับคำสั่งโดยไม่กล้าเถียงแม้แต่น้อย การรบในสนามยังคงดุเดือดโลหิต เมื่อความแตกต่างด้านจำนวนเพิ่มขึ้นตามอัตราผู้บาดเจ็บและล้มตาย เมื่อกำลังของทั้งสองฝ่ายใกล้ถึงขีดสุด สถานการณ์ก็เปลี่ยนเป็นการสังหารฝ่ายเดียว ขณะนั้นเอง คำสั่งถอยทัพก็ส่งต่อไปยังทุกหน่วย เหล่าทหารต่างรีบหดแนวรับอย่างเป็นระเบียบแม้เป็นการถอย แต่พวกเขายังคงปักหลักรักษาหน้าที่ ไม่มีผู้ใดหลบหนี ไม่แม้แต่จะแตกกระเจิง ทหารรักษาการณ์ที่เคยมีอยู่หลายพันนาย บัดนี้เหลือเพียงไม่กี่ร้อย ทั้งยังล้วนแต่มีบาดแผลติดตัว ดวงตาหลี่เฉินเปล่งประกาย เขาหันไปกล่าวกับซานเป่าข้างกายว่า “ศึกนี้ จงจดชื่อของเหล่าทหารที่เข้าร่วมไว้ทั้งห

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1044

    “แอ๊ว!” เสียงเหยี่ยวกรีดร้องแหลมสูงสะท้านฟ้า ดึงดูดสายตาของผู้คนมากมายในสนามรบ หลี่อิ๋นหู่เงยหน้าขึ้นในทันที เห็นนกเหยี่ยวรูปลักษณ์สง่างามพุ่งโฉบลงมาจากท้องฟ้าที่หม่นมัว ความเร็วของมันรวดเร็วยิ่งนัก เมื่อเห็นเจ้าเหยี่ยวฮ่ายตงชิงตัวนี้ หนังศีรษะของหลี่อิ๋นหู่ก็แทบจะชาเขานึกขึ้นได้ทันทีว่า เมื่อครั้งอดีต องค์หญิงแห่งแคว้นเซียนเคยพระราชทานของขวัญแก่หลี่เฉินสามสิ่ง เจ้าเหยี่ยวฮ่ายตงชิงตัวนี้ก็คือหนึ่งในนั้น“จบสิ้นแล้ว!” หัวใจของหลี่อิ๋นหู่เย็นวาบครึ่งหนึ่งในบัดดล ไม่ว่าเขาจะฝึกเลี้ยงงูเขียวตัวน้อยให้ฉลาดและดุร้ายเพียงใด ก็ไม่อาจฝืนกฎแห่งธรรมชาติได้แมวล่าหนู เหยี่ยวกินงู เป็นกฎของสวรรค์และปฐพียิ่งไปกว่านั้น เจ้าเหยี่ยวตัวนี้คือราชันในหมู่ไห่ตงชิง พลังฝีมือไม่ได้ด้อยกว่างูเขียวน้อยงูเขียวน้อยก็มิใช่สัตว์ธรรมดา เมื่อมันพบว่าศัตรูตามธรรมชาติมาเยือน ก็ตัวแข็งชะงักไปชั่วขณะ แล้วปฏิกิริยาแรกที่เกิดขึ้นคือหนีมันพยายามหาช่องว่างเพื่อมุดหลบ ทว่าบริเวณหน้าประตูศาลบูรพกษัตริย์ พื้นทั้งหมดปูด้วยหินอ่อนอย่างดี ใช้วัสดุชั้นเลิศ ไม่ยอมให้มีแม้เพียงรอยร้าว อย่าว่าแต่งูเลย ห

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1043

    ขณะเปลวไฟลุกโชนทั่วหล้า จ้าวเสวียนจีที่อยู่ในจวนจ้าว ก็ได้รับข่าวในทันที เขาเงยหน้ามองไปทางศาลบูรพกษัตริย์ ราวกับสามารถมองเห็นไอร้อนจากปลายฟ้าที่กำลังพวยพุ่งขึ้น“ท้องพระคลังเป็นอย่างไรบ้าง?” จ้าวเสวียนจีไม่ได้สนใจชีวิตของหลี่อิ๋นหู่หรือทหารกบฏนับหมื่น บางทีในใจของเขา คงรู้อยู่แล้วถึงจุดจบของคนเหล่านั้นเมื่อเทียบกันแล้ว สิ่งที่เขาใส่ใจยิ่งกว่าคือของที่ตนใกล้จะได้ครอบครองเช่นทองคำและเงินขาวในท้องพระคลัง มากพอจะทำให้ใครต่อใครตาลุกวาว“ไม่ราบรื่นนัก” คนสนิทกล่าวเสียงหนักแน่นว่า “แผนการของตำหนักบูรพายังคงเป็นเช่นที่พวกเราคาดไว้ก่อนหน้านี้ มิได้เทกำลังทั้งหมดปกป้องเพียงศาลบูรพกษัตริย์ แต่กลับกระจายกำลังไปยังจุดสำคัญทั่วเมือง ในท้องพระคลัง พวกเขาจัดกำลังทหารชั้นยอดกว่า 3,000 นาย อีกทั้งซูผิงเป่ยก็ได้นำกำลังไปเสริมด้วย ดังนั้นความคืบหน้าจึงไม่เป็นดังหวัง” “กระจายกำลังป้องกันแน่นหนา ไม่มีช่องโหว่” จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ หันไปมองฟู่อวี้จือที่ยืนเงียบข้างๆ แล้วกล่าวว่า “พี่ฟู่ วิธีการเช่นนี้ ท่านคุ้นเคยหรือไม่?” ฟู่อวี้จือตอบเรียบๆ ว่า “ลายมือของซูเจิ้นถิง” กล่าวจบ ฟู

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1042

    ตั้งแต่คลื่นแมลงปรากฏตัว จากนั้นถูกไฟใหญ่เผาวอดวาย แล้วจึงถึงคราที่กงฮุยอวี่เข้าร่วมฆ่าล้าง ทั้งกระบวนความ แม้เล่าจะดูซับซ้อน ทว่าแท้จริงกลับเกิดขึ้นเพียงชั่วพริบตาเดียว ความบ้าคลั่งและความตะลึงงันบนใบหน้าหลี่อิ๋นหู่ยังมิทันจางหาย เหล่าผู้เชี่ยวชาญพิษอาคมหลายสิบคนก็ถูกกงฮุยอวี่สังหารสิ้นดั่งเชือดหมู ยืนอยู่ท่ามกลางกองศพที่ระเกะระกะเต็มพื้น กงฮุยอวี่หันกายกลับมา กระบี่คมสามฉื่อในมือหยดเลือดลงเป็นสาย เมื่อรวมกับอาภรณ์ขาวบริสุทธิ์ทั้งร่าง นางผู้นี้ ช่างคู่ควรกับคำว่าไร้เทียมทานในใต้หล้ากงฮุยอวี่เผชิญหน้ากองทัพกบฏ ดวงตาหลุบต่ำ มองไปยังเปลวเพลิงที่ยังลุกไหม้อย่างรุนแรง จากนั้นนางสะบัดแขนเสื้อยาวในฉับพลัน พลังภายในพุ่งทะลัก กระแสแรงกล้าพวยพุ่งขึ้น กงฮุยอวี่แม้มิใช่คู่มือของซานเป่า แต่ด้วยพลังระดับกึ่งเซียนเหยียบแผ่นดิน นางเดินกร่างได้ทั่วหล้าเมื่อนางลงมืออย่างสุดกำลัง มิได้ยั้งมือแม้สักนิด ยิ่งไม่เสียดายพลังภายในเลย ใต้แขนเสื้อขาวดุจหิมะ ลมกรรโชกแรงบังเกิดโดยไร้เหตุอันควร ศพที่อยู่ใกล้รอบกายนางถูกลมพัดจนปลิวกระเด็น แม้แต่ของที่อยู่ห่างออกไป อาวุธ เกราะ ข้าวของบนพื้นก็

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1041

    ฝ่ายตำหนักบูรพา แต่เดิมก็เสียเปรียบด้านจำนวนอย่างสิ้นเชิง พอซูผิงเป่ยเคลื่อนทัพออกไป สถานการณ์ก็พลันตกอยู่ในภาวะที่ย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิม หากไม่ใช่เพราะทหารกลุ่มนี้เป็นยอดฝีมือในหมู่ยอดฝีมือ เกรงว่าแต่แรกก็ถล่มทลายไปแล้ว ทว่าแม้จะเป็นเช่นนั้น วงล้อมป้องกันที่พวกเขาจัดตั้งขึ้นก็ยังคงหดแคบลงเรื่อยๆ หลี่เฉินที่ยืนอยู่หน้าเขตประตูศาลบูรพกษัตริย์ ถึงกับสามารถมองเห็นแนวรบที่กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือดเคลื่อนเข้ามาใกล้ตนเองได้อย่างชัดเจน ในขณะที่ซูผิงเป่ยเพิ่งจะออกไป คนชุดดำหลายสิบคนก็ปรากฏตัวขึ้นที่ชายขอบสนามรบทันที ในขณะเดียวกัน ซานเป่าที่เฝ้าอยู่ข้างกายหลี่เฉินก็กล่าวขึ้นว่า “ฝ่าบาท เป็นคนของหมู่บ้านเหมียวลงมือแล้ว” “ดี” หลี่เฉินพยักหน้า ดวงตาเย็นชา ราวกับไม่รู้สึกประหลาดใจแม้แต่น้อย หลังจากที่เขารู้เบื้องหลังของหลี่อิ๋นหู่กับโจวสิงเจี่ย หากยังไม่เตรียมรับมือกับพิษหนอนกู่ ก็สมควรตายแล้ว คนชุดดำหลายสิบคนปรากฏตัวขึ้นโดยไม่มีการลังเลแม้แต่น้อย เริ่มปล่อยพิษหนอนกู่ในทันที เหมือนกับบนเขาจิ่ง แมลงพิษสีดำแน่นขนัดพวยพุ่งออกมาจากทุกทิศทาง แมลงพิษสีดำเหล่านี้ดุจคลื่นทะเลห

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1040

    ซูผิงเป่ยขอร้องด้วยเหตุผลอันสมควรยิ่ง ในฐานะที่หลี่เฉินเป็นศูนย์รวม หากพระองค์ยังคงอยู่ในสนามรบเช่นนี้ ไม่เพียงไม่อาจช่วยสถานการณ์ใดๆ ได้ ยังจะต้องแบ่งกำลังคุ้มกัน จนทำให้ฝ่ายตนซึ่งเสียเปรียบอยู่แล้วตกที่นั่งลำบากยิ่งขึ้น ทว่า หลี่เฉินกลับส่ายหน้าช้าๆ ปฏิเสธคำเสนอของซูผิงเป่ย “ข้าเข้าไปไม่ได้” เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูผิงเป่ยก็ตระหนกทันที แต่ยังไม่ทันกล่าวสิ่งใด หลี่เฉินก็พูดต่อ “หลี่อิ๋นหู่ยังไม่หมดใจคิดจะล้มข้า ข้าอยู่ที่ใด เขาย่อมจ้องจะโจมตีที่นั่น และภายในตำหนักบรรพกษัตริย์ ยังมีฮองเฮา และพระชายาองค์รัชทายาท” คำกล่าวนั้นทำให้ซูผิงเป่ยดั่งถูกสายฟ้าฟาด พระองค์ทำเช่นนี้ ก็เพื่อปกป้องฮองเฮากับพระชายาองค์รัชทายาทที่อยู่ในตำหนักบรรพกษัตริย์นั่นเอง แต่ในแนวรบเบื้องหน้า ด้วยจำนวนพลที่ต่างกันมาก ทหารใต้บังคับบัญชาของซูผิงเป่ยบาดเจ็บล้มตายมหาศาล ความได้เปรียบในสนามรบเริ่มเทไปทางฝ่ายกบฏ ซูผิงเป่ยมองเห็นสถานการณ์ กัดฟันกล่าวว่า “แต่ฝ่าบาท กระหม่อมและทหารที่มีอยู่ไม่อาจต้านทานได้นานนัก ขอพระองค์อนุญาตให้กระหม่อมไปเรียกกำลังเสริม!” “เรียกกำลัง? เจ้าจะไปเรียกจากที่ใด?”

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1039

    ก้มศีรษะลงมิได้คำสั้นๆ เพียงสี่คำ กลับเปี่ยมด้วยบารมีอันกร้าวกร่างและแข็งขืน ราวจะทะลักล้นออกมาทั้งหมดหลี่อิ๋นหู่เป็นคนแรกที่สัมผัสได้ถึงความแกร่งกล้าท้าฟ้าท้าดินจากหลี่เฉินผู้นี้เขากัดฟันแน่น ก่อนจะหัวเราะบ้าคลั่ง “ดี! ดี! ดี!”“เป็นเจ้าเองที่ดื้อด้านไม่รู้จักตาย เช่นนั้นข้า...ก็จะสนองให้เจ้าเอง!”กล่าวจบ หลี่อิ๋นหู่ชูมือขึ้นสูงทันใดนั้น พวกพลธนูด้านหลังของเขาก็ยกธนูขึ้นพร้อมกัน ดึงสายจนตึงซูผิงเป่ยซึ่งกำลังเลือดลมสูบฉีดเห็นดังนั้นจึงคำรามขึ้นว่า “คุ้มกันองค์รัชทายาท!”ทันทีที่สิ้นเสียง กลุ่มทหารนับร้อยพุ่งเข้ามาล้อมหลี่เฉินไว้ตรงกลางแถวหน้าหมอบ แถวกลางก้ม แถวหลังยืนตรง ทหารทุกนายยกโล่ในมือขึ้นกำแพงโล่อันใหญ่โตที่สามารถปกป้องหลี่เฉินทั้งร่างได้ ถูกตั้งขึ้นในพริบตาหลี่อิ๋นหู่จ้องมองไปยังหลี่เฉินผ่านช่องว่างระหว่างฝูงชนสายตาทั้งสองปะทะกันกลางอากาศ ในนัยน์ตาหลี่อิ๋นหู่เต็มไปด้วยความบ้าคลั่งและอำมหิต“ปล่อยธนู!”เมื่อคำสั่งนั้นถูกเปล่งออกมา ก็มีแต่เสียง ปึง! ปึง! ปึง! ของสายธนูถูกดึงจนสุดแล้วปล่อยออกลูกธนูนับร้อยนับพันกลายเป็นฝนศร พุ่งข้ามหัวพวกตน โค้งเป็นวิถีพุ่ง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1038

    “หลี่เฉิน!” หลี่อิ๋นหู่รู้สึกว่าตนถูกหลี่เฉินผู้นั้นเหยียดหยามด้วยความสุขุมเยือกเย็นเช่นนั้น ถึงกับโกรธเกรี้ยวขึ้นมาโดยพลัน เขาชี้ไปที่หลี่เฉินจากบนหลังม้าขาว ตะโกนด่าทอด้วยความโมโหว่า “สถานการณ์ถึงขั้นนี้แล้ว เจ้าจะทำตัวเสแสร้งไปเพื่ออะไรอีก?” “เจ้ากับข้าล้วนเป็นสายเลือดเชื้อพระวงศ์เช่นเดียวกัน ข้าก็มิใช่คนไร้เมตตา หากเจ้ายอมสละตำแหน่งราชบัลลังก์แต่โดยดี ข้ายินดีสาบานต่อหน้าฟ้าดิน ว่าจะไว้ชีวิตเจ้า ให้เจ้าได้เสวยสุขชั่วชีวิต แต่หากเจ้ายังดื้อรั้นดันทุรัง...” “หากข้ายังดื้อรั้นดันทุรังเล่า แล้วจะเป็นอย่างไร?” หลี่เฉินถามเสียงเรียบ เมื่อเทียบกับอารมณ์เดือดดาลของหลี่อิ๋นหู่ น้ำเสียงของหลี่เฉินกลับสงบนิ่งดั่งสายน้ำ ราวกับว่าเขาไม่เคยเห็นหลี่อิ๋นหู่อยู่ในสายตาตั้งแต่แรก และก็เพราะความนิ่งเฉยไม่ไหวติงเช่นนี้ ยิ่งทำให้หลี่อิ๋นหู่แค้นแน่นในอก ยังไม่ทันให้หลี่อิ๋นหู่ตอบโต้ หลี่เฉินก็กล่าวขึ้นอีกว่า “วันนี้เจ้ามาที่นี่เพื่อสิ่งใด?” หลี่อิ๋นหู่ชะงักงันไปครู่หนึ่ง เขารู้สึกว่าคำถามนี้ไร้สาระสิ้นดี แต่คำพูดถัดมาของหลี่เฉินกลับทำให้สีหน้าของเขาแข็งค้าง “วันนี้เจ้ามา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 1037

    “ขอองค์รัชทายาทสละราชบัลลังก์!” หน้าประตูศาลบูรพกษัตริย์เนื่องด้วยประตูยังคงปิดแน่นอยู่นาน กองทัพกบฏยิ่งส่งเสียงเกรียวกราวไม่หยุดหลี่อิ๋นหู่ยืนอยู่หน้าทัพ จ้องประตูตำหนักที่ยังไม่เปิด ใบหน้ายิ้มเย้ยเริ่มบิดเบี้ยวอย่างเหี้ยมเกรียม เขายกมือขึ้น กองทัพกบฏนับหมื่นเบื้องหลังพลันหยุดส่งเสียง แล้วเสียงของหลี่อิ๋นหู่ก็ดังขึ้น “องค์รัชทายาท ข้ารู้ว่าท่านฟังอยู่ แม้จะแสร้งทำเป็นหูหนวกตาบอดก็ไร้ประโยชน์!” “วันนั้นท่านตำหนิข้าที่พระที่นั่งสีเจิ้ง ท่านองอาจยิ่งนัก!” “ท่านตราข้าผิด ณ พระที่นั่งไท่เหอ ท่านสูงส่งเหนือหัวผู้ใด!” “แต่วันนี้ ท่านก็มีวันนี้! หดหัวอยู่ในศาลบูรพกษัตริย์ ทำไม ท่านคิดว่าซ่อนตัวอยู่ แล้วจะหลีกหนีสิ่งเหล่านี้ได้หรือ?” “ท่านหนีไม่พ้นหรอก!” “วันนี้ คือวันชำระบัญชีระหว่างเราสอง!” หน้าศาลบูรพกษัตริย์ ซูผิงเป่ยนำกองทัพมาถึงแทบจะต่อท้ายหลี่อิ๋นหู่ทันที ขณะจัดเตรียมการวางกำลัง ซูผิงเป่ยก็ได้ยินทุกถ้อยคำของหลี่อิ๋นหู่อย่างชัดเจน “บัดซบ!” ลูกชายแม่ทัพผู้เปี่ยมฝีมือโทสะระเบิด หยิบธนูขึ้นคิดจะยิงหลี่อิ๋นหู่ทันที ทว่าถูกรองแม่ทัพคว้าตัวไว้แน่น “ท

Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status