แชร์

บทที่ 3

ผู้เขียน: ไห่ตงชิง
เสียงร้องแผ่วเบานี้กระตุ้นความตื่นตัวของเฉินจื้อที่อยู่ข้างนอกทันที

“ฮองเฮาทรงเกิดอะไรขึ้นพ่ะย่ะค่ะ?”

จ้าวชิงหลานมองหลี่เฉินที่มองนางด้วยรอยยิ้มที่มั่นใจ นางแอบกัดฟันด้วยความเกลียดชัง และนำความไม่พอใจทั้งหมดไประบายใส่เฉินจื้อ

“ไม่ใช่เรื่องของเจ้า ไม่ต้องถามมาก”

เมื่อเฉินจื้อถูกตำหนิ เขาก็ยิ่งรู้สึกอับอายมากยิ่งขึ้น

เมื่อไม่มีที่ระบายความโกรธ เขาจึงหันกลับมาด่าขันทีที่กำลังขับรถม้า “ขับรถม้าให้ดีๆ หน่อย หากทำให้ฮองเฮาตกใจอีกครั้ง ข้าจะแล่เนื้อเจ้าซะ!”

ภายในเกี้ยวหงส์ ตู้นั้นสั่นเล็กน้อย ราวกับกรงสัตว์ก็ไม่ปาน ทำให้จ้าวชิงหลานนึกอยากจะหนีก็หนีไม่ได้

จ้าวชิงหลานนั่งบนต้นขาของหลี่เฉิน ราวกับนั่งอยู่บนเข็มก็ไม่ปาน

นางคิดจะลุกขึ้น แต่ทุกครั้งที่ทำตามความตั้งใจ หลี่เฉินก็จะดึงนางกลับมา และบังคับให้นั่งลงอย่างแน่วแน่

“เจ้า เจ้าไม่กลัวข้าจะสังหารเจ้ารึ!?”

เมื่อมองไปที่ปากแดงฟันขาวนั่น จ้าวชิงหลานก็แอบกัดฟันแน่น หลี่เฉินพูดด้วยรอยยิ้มที่ชั่วร้ายว่า “ฮองเฮายอมแพ้หรือไม่?”

ในขณะที่พูดก็ฉวยโอกาสที่จ้าวชิงหลานไม่ทันสังเกต ใช้มือใหญ่ของเขาคลำไปตามระหว่างเอวและหน้าท้อง

ท้องน้อยที่แบนราบ เต่งตึง และเรียบเนียน ให้ความสัมผัสที่อย่างยอดเยี่ยมและไม่มีใครเทียบได้แก่หลี่เฉิน

จ้าวชิงหลานตกตะลึงจนตาค้าง

นางไม่คิดว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญชาญชัยได้ขนาดนี้

ไม่เพียงแต่จะดึงนางมากอด แต่ยังวางมือบนผิวที่เป็นที่ส่วนตัวที่สุดของผู้หญิงอีกด้วย

นางรีบกดมือใหญ่ของหลี่เฉินให้หยุดลูบผ่านเสื้อผ้าตามสัญชาตญาณ จ้าวชิงหลานพูดด้วยความโมโหว่า “หยุดมือ!”

หลี่เฉินกระซิบเบาๆ ที่ข้างหูของจ้าวชิงหลาน “ข้าไม่ขยับ เจ้าก็อย่าขยับ ดีไหม?”

จ้าวชิงหลานนั่งบนตักหลี่เฉินด้วยความโมโหปนอับอาย

นางเข้าใจความหมายของหลี่เฉิน เขาต้องการให้นางนั่งอยู่ในอ้อมกอดของเขา และในทางกลับกัน ฝ่ามือของเจ้าสารเลวนี่ก็จะหยุดเคลื่อนไหวไปเอง

เมื่อเห็นจ้าวชิงหลานไม่รับปาก มือของหลี่เฉินก็เริ่มซนอีกครั้ง

จ้าวชิงหลานตกใจกลัว นางรีบจับมือนั่นและพูดอย่างขมขื่นว่า “ข้ารับปากเจ้า!”

หลี่เฉินยิ้มอย่างมีชัย กอดจ้าวชิงหลานแล้วพูดว่า “นั่นเป็นสิ่งที่ดีมาก”

จ้าวชิงหลานรู้สึกอับอายและโมโหแทบตาย นางหันหน้าหนีไปเพราะไม่อยากเห็นหน้าหลี่เฉิน

เกี้ยวหงส์สั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง ตอนนี้ได้มาถึงด้านนอกพระราชวังสุทธาสวรรค์แล้ว

เมื่อเกี้ยวหงส์จอดสนิท เฉินจื้อก็รีบกำหมัดรายงาน “ฮองเฮา มาถึงพระราชวังสุทธาสวรรค์แล้วพ่ะย่ะค่ะ”

ม่านประตูเกี้ยวหงส์ถูกยกขึ้น แต่ผู้ที่ออกมาเป็นคนแรกกลับเป็นหลี่เฉิน

สายตาของเฉินจื้อพลันเย็นเยียบ เขารีบคลายหมัดลงแล้วลุกขึ้นยืนทันที

“ลุกขึ้นยืนทำไม? รีบคลานลงกับพื้นให้ข้าเหยียบลงจากเกี้ยวหงส์สิ” หลี่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา

เฉินจื้อชะงัก จากนั้นก็โกรธจัดขึ้นมา

เขากัดฟันตอบกลับไปว่า “กระหม่อมมีหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ ไม่ ไม่สะดวก!”

หลี่เฉินพูดยิ้มเยาะ “หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบ? หน้าที่ของเจ้าคือเชื่อฟังคำสั่งของเสด็จพ่อกับข้า ยังไม่รีบคุกเข่าลงอีกหรือ? ถ้าหากข้าไปเข้าเฝ้าเสด็จพ่อช้า ข้าจะสั่งประหารเจ้าทันที”

เฉินจื้อกัดฟัดเสียงดังกรอด ถ้าหากสายตาสามารถฆ่าคนได้ ตอนนี้หลี่เฉินคงตายเป็นพันๆ ครั้งแล้ว

เฉินจื้อก้าวเข้ามาที่เกี้ยวหงส์ทีละก้าว แล้วค่อยๆ ค้อมตัวลง ยังไม่ทันจะตั้งตัวดี เท้าของหลี่เฉินก็เหยียบที่หลังเขาข้างหนึ่ง

เฉินจื้อสะอึก ร่างกายของเขาทรุดลง ก่อนจะนอนพังพาบ

เขาก้มศีรษะลง เพื่อป้องกันไม่ให้หลี่เฉินมองเห็นดวงตาที่แสดงถึงความเกลียดชังของเขา เฉินจื้อจิกนิ้วลงกับกระเบื้อง เล็บของเขาขูดไปกับพื้น แม้แต่ความเจ็บปวด ก็ไม่อาจบรรเทาความโกรธแค้นในใจของเขาได้

หลังลงจากเกี้ยว หลี่เฉินก็ก้าวเท้ายาวๆ ไปยังวังสุทธาสวรรค์

ด้านนอกพระราชวัง เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊และพระสนมในวังหลัง ต่างกำลังคุกเข่าอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง ทุกคนต่างสวดภาวนาให้กับฮ่องเต้

“องค์รัชทายาทเสด็จมาถึงแล้ว!”

เสียงประกาศดังขึ้น ทำให้เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊พากันหันกลับมา เพื่อคุกเข่าให้หลี่เฉินและขานพร้อมๆ กันว่า “องค์รัชทายาททรงพระเจริญพันปี พันๆ ปี”

ด้านหน้าพระราชวังสุทธาสวรรค์ เป็นเวลาดึกดื่น แสงจันทร์ดูสลัวๆ

กลุ่มคนที่เป็นตัวแทนของอำนาจสูงสุดแห่งต้าฉิน และเป็นในศูนย์กลางทางการเมืองของจักรวรรดิล้วนคุกเข่าลงตรงหน้าเขา ฉากดังกล่าว และเสียงแซ่ซ้องพันปีกวาดเข้าหูของเขาราวกับคลื่นยักษ์ ทำให้อกของหลี่เฉินพองโตด้วยความภาคภูมิใจ

เป็นองค์รัชทายาทได้รับการแซ่ซ้องพันปีก็ว่าน่าตื่นเต้นแล้ว หากวันหนึ่งเขาขึ้นไปสู่จุดสูงสุดได้ ประชาชนทั้งใต้หล้าจะแซ่ซ้องเขาว่าหมื่นปี นั่นจะเป็นฉากที่งดงามเพียงใด?

หลี่เฉินระงับอารมณ์ที่ปั่นป่วนอยู่ภายใน แสดงสีหน้าสงบ และเดินไปที่ประตูพระราชวังสุทธาสวรรค์ ยกมือขึ้นแล้วผลักประตูให้เปิด เพื่อเข้าไปในพระราชวัง

เขา กำลังจะพบกับเสด็จพ่อของเขา ซึ่งเป็นผู้ปกครองสูงสุดของจักรวรรดิต้าฉิน ฮ่องเต้ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของวังวนทางการเมืองที่มากเล่ห์และอันตรายที่สุดในจักรวรรดิ

ในวังสุทธาสวรรค์ แสงไฟสว่างไสว ขุนนางขั้นที่หนึ่งทุกคนในเมืองหลวงต่างก็มารวมตัวกัน เช่นเดียวกับสมาชิกของราชวงศ์

หากคนที่คุกเข่าอยู่ข้างนอกคือเสาหลักของจักรวรรดิต้าฉิน งั้นคนเหล่านี้ ก็เป็นกระดูกสันหลังที่สนับสนุนอาณาเขตหลายหมื่นลี้ของจักรวรรดิต้าฉิน

หลี่เฉินกวาดสายตามองไปรอบๆ

จ้าวเสวียนจีราชเลขาธิการ นี่เป็นผู้นำคนทรยศที่ใหญ่ที่สุดในปัจจุบัน เขามีส่วนร่วมในฝ่ายราชสำนักและฝ่ายราษฎรมานานหลายทศวรรษ เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าหยั่งรากลึกได้อีกต่อไป แต่เกือบจะเป็นใช้มือเดียวปิดฟ้าได้

ด้านหลังจ้าวเสวียนจี คือสี่ในห้าของนักวิชาการที่ยิ่งใหญ่ที่เหลือในสำนักราชเลขาธิการ นอกจากนี้ยังมีขุนนางจากหกกรมได้แก่ กรมขุนนาง กรมครัวเรือน กรมพิธีการ กรมยุทธนาการ กรมยุติธรรม และกรมโยธาธิการ ซึ่งเป็นหัวหน้าบริหารสูงสุด

อีกด้านหนึ่งเป็นนางสนมในวังหลัง องค์ชายสี่ องค์ชายหก องค์ชายแปด องค์ชายเก้า และองค์ชายอีกสี่พระองค์กับองค์หญิงคนอื่นๆ ตามมาด้วยพระบรมวงศานุวงศ์

ในพระราชวังสุทธาสวรรค์อันกว้างใหญ่ ผู้คนจำนวนมากกำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น นอกจากแพทย์หลวงที่ยุ่งอยู่ ก็ยังมีสาวใช้ในวังที่กำลังทำงาน ทั้งด้านในและด้านนอกห้องโถงใหญ่ มีกลุ่มองครักษ์เสื้อแพรซึ่งสวมเครื่องแบบขนห่านป่าปีกคู่ คอยปกป้องอยู่ด้านข้างเหมือนท่อนไม้

ในพระราชวังทั้งหมด ยกเว้นองค์รักษ์ส่วนพระองค์อวี่หลินที่กำลังลาดตระเวน ใครก็ตามที่ถือดาบจะถูกฆ่าอย่างไร้เมตตา ข้อยกเว้นเพียงอย่างเดียวสำหรับกฎนี้ก็คือ องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยงานบูรพา ซึ่งเป็นเพชฌฆาตในพระราชฐานชั้นใน ที่ได้รับความไว้วางใจมากที่สุดจากฮ่องเต้

ด้านหลังหลี่เฉิน คือฮองเฮาจ้าวชิงหลานที่เดินตามเข้ามาติดๆ

เมื่อทั้งสองเดินเข้ามา ข้าราชบริพาร นางสนม องค์ชายและองค์หญิงต่างพากันโค้งคำนับทันที

“กระหม่อม หม่อมฉัน ลูก คารวะฮองเฮาและองค์รัชทายาท”

ดวงตาของหลี่เฉินคมราวกับกริช เขาเม้มริมฝีปากแน่น และเดินไปทางแท่นบรรทมมังกรโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“องค์รัชทายาทโปรดช้าก่อน!”

มีร่างหนึ่งขวางทางหน้าหลี่เฉิน

“ตอนนี้ฝ่าบาทกำลังหมดสติ ไม่อาจพบใครได้ โปรดอย่ารบกวนการพักผ่อนของฝ่าบาท”

หลี่เฉินหรี่ตา เขามองชายชราที่อายุครึ่งร้อยตรงหน้าแล้วถามว่า “เจ้าเป็นใคร?”

“กระหม่อมเฉินไหวจื้อ นักวิชาการศาลาเหวินหยวน”

เฉินไหวจื้อกล่าวด้วยน้ำเสียงเฉยเมย ราวกับไม่เห็นองค์รัชทายาทอยู่ในสายตา

ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้น แต่ทั่วทั้งราชสำนัก ไม่มีใครที่ไม่รู้ว่าองค์รัชทายาทคนปัจจุบันบุ๋นไม่เอาบู๊ไม่มี นับเป็นคนไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

ตอนนี้ถ้าขวางได้ก็จะขวาง ซึ่งไม่เพียงแต่จะไม่มีใครลงโทษเขา แต่เขายังจะได้รับคำชมจากราชเลขาธิการที่ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดขององค์รัชทายาท

หลี่เฉินหัวเราะเสียงเย็นชา ยกเท้าขึ้นมาเตะที่ท้องน้อยของเฉินไหวจื้อ

เฉินไหวจื้ออายุตั้งครึ่งร้อยแล้ว เขาจะทนลูกเตะของหลี่เฉินไหวได้เยี่ยงไร เขากระอักเลือดออกมาในทันที

หลังจากลูกเตะนี้ เฉินไหวจื้อก็กรีดร้องออกมา พร้อมกระเด็นตกลงพื้น

“บัดนี้เสด็จพ่อของข้าตกอยู่ภาวะวิกฤติ ในฐานะโอรส ข้าจะไม่กังวลได้เยี่ยงไร ทำไมตาแก่อย่างเจ้าถึงมาขวางทางข้า เจตนาของเจ้าคืออะไร? เชื่อหรือไม่ ต่อให้ข้าสังหารเจ้าที่นี่ ก็ไม่มีใครกล้าผายลม?”

หลี่เฉินตะคอกอย่างเกรี้ยวกราด ทำเอาวังสุทธาสวรรค์พลันเงียบกริบ

ทุกคนมององค์รัชทายาทที่เมื่อก่อนไร้ประโยชน์ด้วยความหวาดกลัว ราวกับเห็นคนแปลกหน้า

ไม่มีใครจินตนาการได้ว่า องค์รัชทายาทจะกล้าเตะขุนนางใหญ่ในที่สาธารณะ

เฉินไหวจื้ออ่านหนังสือปราชญ์มาทั้งชีวิต เขาจะทนความอัปยศอดสูเช่นนี้ได้อย่างไร เขานอนอยู่บนพื้น และชี้ไปที่หลี่เฉิน พลางตะโกนว่า “ท่านเป็นเพียงองค์รัชทายาท แต่ปฏิบัติต่อขุนนางในราชสำนักอย่างโหดร้าย คนไร้คุณธรรมเช่นนี้จะสืบทอดราชบัลลังก์ได้เยี่ยงไร? กระหม่อมยอมตายเพื่อกราบทูลฝ่าบาท ให้ปลดท่านออกจากตำแหน่งรัชทายาท!”

เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา จิตสังหารของหลี่เฉินก็ยิ่งเดือดพล่าน

เขามองเฉินไหวจื้อ และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ตาเฒ่า เจ้ารอก่อนเถอะ มาดูกันว่า เจ้าจะตายหรือว่าข้าจะโดนปลด!”

พูดจบ เขาก็เดินไปยังแท่นบรรทมมังกร

เหล่าแพทย์หลวงที่กำลังคุกเข่าอยู่หน้าแท่นบรรทมมังกรก็ถอยออกมา

หลี่เฉินคุกเข่าลงกับพื้น มองดูฮ่องเต้ที่หน้าซีดราวกับกระดาษ ดุจเปลวเทียนที่ใกล้จะมอดดับบนแท่นบรรทมมังกร ทันใดนั้นเขาก็เข้าสู่การละคร

ดวงตาแดงก่ำ คัดจมูก หลี่เฉินกุมมืออันเย็นเฉียบของฮ่องเต้พลางกล่าวเสียงสะอื้น “เสด็จพ่อ ลูกอยู่นี่แล้ว”

บนแท่นบรรทมมังกร เปลือกตาของฮ่องเต้สั่นไหว ก่อนจะค่อยๆ ลืมขึ้น

เมื่อดวงตาที่ขุ่นมัวเห็นว่าเป็นหลี่เฉิน จึงเปิดปากพูดด้วยเสียงแหบแห้งและกล่าวอย่างช้าๆ ว่า “เจ้ามาแล้ว...”

“ข้า...ป่วยหนักเกินกว่าจะเยียวยาแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน”

ละครเรื่องนี้มาถึงจุดไคลแม็กซ์แล้ว เวลานี้ หลี่เฉินไม่รู้ว่าเขาได้รับผลกระทบจากความรู้สึกของเจ้าของร่างเดิมหรือไม่ แต่เขารู้สึกตรอมตรม และกล่าวเสียงเบาว่า “เสด็จพ่อพลามัยแข็งแรง อีกเดี๋ยวก็หายจากอาการเจ็บป่วยได้ ท่านคือมังกรที่แท้จริง ด้วยพรจากสวรรค์ ท่านจะดีขึ้นอย่างแน่นอน”

มุมปากกระตุกเล็กน้อย ราวกับว่าต้องการจะยิ้ม ฮ่องเต้พูดอย่างอ่อนแรงว่า “ร่างกายของข้า...ข้ารู้ดี ตอนนี้ แค่จะหายใจก็ยังทำไม่ไหวแล้ว...แต่เมื่อครู่ เจ้าทำได้ดีมาก”

“การบริหารแผ่นดินเป็นเรื่องยาก เจ้า จะจัดการได้หรือไม่?”

บทที่เกี่ยวข้อง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 4

    หัวใจของหลี่เฉินหนักอึ้ง เขารู้ว่า ฮ่องเต้กำลังทดสอบตัวเองผลงานของเจ้าของร่างเดิมนั้นไม่ค่อยดีนัก จนถึงขั้นที่ว่าแม้แต่วินาทีสุดท้ายของฮ่องเต้ พระองค์ก็ยังไม่กล้าที่จะมอบภาระของประเทศไว้บนบ่าของเขาตอนนี้อาจกล่าวได้ว่า การกระทำของเขานั้นจะเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเขาในท้ายที่สุด“ความยากในการบริหารแผ่นดิน เกิดจากปัญหาภายในและภายนอก”หลี่เฉินผสมผสานความทรงจำจากเจ้าของร่างเดิม เข้ากับความรู้ทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการขึ้นและลงของราชวงศ์ที่เขาอ่านก่อนทะลุมิติมา จากนั้นก็กล่าวว่า “ปัญหาจากภายนอก มาจากพวกคนเถื่อน เฉวี่ยนหรง หนู่เจิน ซยงหนู นอกจากนี้ยังมีพิษร้ายที่เหลือรอดจากอดีตราชวงศ์หยวน ซึ่งต้องการทำลายต้าฉินของพวกเรา”“ปัญหาจากภายใน มาจากการแบ่งแยกของอ๋องศักดินา ซึ่งก็คือพระบรมวงศานุวงศ์ที่ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นท่านอ๋องหรือโหว พวกเขามีอำนาจเก็บภาษีในดินแดนศักดินา และมีอำนาจทางการทหาร มันเป็นเพียงสถานที่นอกกฎหมาย เป็นเขตปกครองตนเอง นับว่าเป็นปัญหาที่ร้ายแรงจริงๆ ”“ยังมีเจ้าหน้าที่ทุจริตออกอาละวาดในท้องถิ่น พวกขุนนางใหญ่จัดตั้งกลุ่มเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว พวกเขาต่อสู้เพื่ออำนาจและ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 5

    หลี่เฉินยิ้มอย่างมีความสุขไม่มีใครในใต้หล้านี้ไม่กลัวอำนาจและวิธีการสังหารของหน่วยบูรพา มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะไม่กลัว เพราะอำนาจของพวกเขามาจากฮ่องเต้ และพวกเขา ก็ยังเป็นสุนัขรับใช้ที่ภักดีที่สุดในเงื้อมมือของฮ่องเต้อีกด้วยในฐานะกวางกงของหน่วยบูรพาที่เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างต้องการสังหาร เขาคงเป็นคนแรกที่เต็มใจเข้ามาพึ่งพาตัวเองกองกำลังนี้จะช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน“ดีมาก”หลี่เฉินโยนดาบในมือไปตรงหน้าขันทีซานเป่าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อเคยมอบดาบให้กับเจ้า แต่ตอนนี้ดาบเล่มนั้นขึ้นสนิมไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ ข้าจะให้ดาบเล่มนี้แก่เจ้า เจ้าต้องการมันไหม?”ขันทีซานเป่าคุกเข่าอย่างนอบน้อม แล้วหยิบดาบบนพื้นขึ้นมา จับมันไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “เมื่อฝ่าบาทมอบราชโองการให้แก่บ่าว ทรงเคยตรัสว่า ต่อไปนี้ บ่าวจะเป็นดาบในมือของพระองค์”เมื่อมองดูประตูวังสุทธาสวรรค์ที่ปิดอยู่ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้บนแท่นนอนที่ยืนหยัดหายใจอยู่ จะได้เตรียมการเอาไว้แล้ว“ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย องค์ชายเก้าเป็นบุตรคนสุดท้อง เมื่อหลายปีก่อน ฮองเฮาทรงขอเสด็จพ่อรับเลี้ยงดูองค์ชายเก้า และเชิญหัวหน้าสภาขุนนางมาสั่งสอนเป็นการส่วน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 6

    “อย่าอะไร?”จ้าวหรุ่ยในอ้อมแขนดูเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสนจ้าวหรุ่ยไม่รู้ว่า ยิ่งนางกลัวและอยากจะหนีมากเท่าไร เสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติซึ่งแฝงอยู่ในกระดูกของนางก็ยิ่งจะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งดึงดูดหลี่เฉินมากขึ้นหลี่เฉินจับเอวที่ไม่มีกระดูกของจ้าวหรุ่ย แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ข้างหูนาง “อย่าอะไร อย่าไม่ทำอะไรสักอย่าง หรือว่าอย่าหยุดกันแน่?”จ้าวหรุ่ยทั้งอับอายทั้งโมโหคำตอบทั้งสองข้อที่หลี่เฉินกล่าวออกมานั้น ไม่มีข้อไหนที่นางอยากจะพูดนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่หลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ นางไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวมากนัก เพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังคำพูดของนางได้แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะกลายเป็นปีศาจ และเรียกร้องอย่างตะกละตะกลามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม“ฝ่าบาท โปรดปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างทะนุถนอม” จ้าวหรุ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้นหลี่เฉินหยอกล้อจ้าวหรุ่ย ผิวพรรณของนางขาวเหมือนเครื่องเคลือบ นอกจากนี้ยังแดงก่ำเห

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 7

    บทสนทนาระหว่างองครักษ์เสื้อแพรและหลี่เฉินที่ด้านนอกนั้นสามารถได้ยินอย่างชัดเจน“ตายแล้ว...เฉินจื้อตายแล้ว”จ้าวหรุ่ยค่อยๆ หลับตาลง แม้ว่าเตียงจะยังอุ่นอยู่ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเย็นนางกับเฉินจื้อ แม้จะเป็นเพียงรักข้างเดียวของเฉินจื้อ แต่ก็ยังนับว่าเป็นคนคุ้นเคยของจ้าวหรุ่ย แต่คนเช่นนั้น ถูกทุบตีจนตายอยู่นอกตำหนักจ้าวหรุ่ยกระทั่งรู้สึกว่า เมื่อคืนนี้ หลี่เฉินจงใจฆ่าเฉินจื้อที่ลานกว้างหน้าประตูตำหนัก และทำเรื่องเช่นนั้นกับนางในห้องนางรู้สึกว่าหลี่เฉินในตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่ยังน่ากลัวอีกด้วย“ไม่ได้การล่ะ ข้าจะต้องหาโอกาสทูลขอความช่วยเหลือจากฮองเฮา เพื่อจัดการองค์รัชทายาท...” จ้าวหรุ่ยกำผ้าห่มแน่น พลางพึมพำกับตัวเององครักษ์เสื้อแพรสองนายเพิ่งจะไป ขันทีซานเป่าก็มาเยือนเขานำรายงานลับมา และมอบให้หลี่เฉินด้วยความเคารพ“องค์รัชทายาท ของที่พระองต์ต้องการอยู่นี่แล้ว”หลี่เฉินหยิบมันขึ้นมาดู แน่นอนว่าเป็นบันทึกชีวิตประจำวันขององค์ชายเก้าตั้งแต่เมื่อคืนนี้ รวมถึงเวลาและสถานที่ที่เขาไป สิ่งที่เขาพูด ทุกอย่างมีรายละเอียดมาก จนองค์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 8

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้หลี่เสวียนหน้าซีดเขารีบตอบไปตามจิตใต้สำนึกว่า “ข้า ข้าไม่ได้กบฏ เสด็จแม่และท่านอาจารย์ตกลงจะให้ข้าดูพวกนั้น พวกเขาบอกว่าข้าควรเรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า...”ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เว่ยเสียนที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ ก็แทบกระอักเลือดออกมาองค์ชายเก้าเหตุใดจึงไร้ความคิดเช่นนี้ คำพูดเช่นนั้นกล่าวออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร“เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า?”หลี่เฉินจับจุดอ่อนของหลี่เสวียนได้ น้ำเสียงของเขาสูงขึ้นสองส่วน “เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้าเพื่ออะไร? หรือว่าเจ้าอยากให้เสด็จทรงสวรรคต จากนั้นก็เอาตำแหน่งของข้าไป?”ในที่สุดหลี่เสวียนก็รู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไปเขาหน้าซีด คุกเข่าลงเสียงดังตุบ รีบอธิบายด้วยความตื่นกลัวว่า “พี่รอง ข้า ข้าไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น...”เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของหลี่เสวียนจึงถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ และวิ่งตรงไปที่วังฮองเฮา“จะมีความหมายเช่นนั้นหรือไม่ ข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง”หลี่เฉินพูดจบ เขาก็หันไปสั่งขันทีซานเป่าว่า “หูหนวกเหรอ? หรือจะให้ข้าลงมือเอง?”ขันทีซานเป่าได้ยินก็รีบลุกขึ้นยืน สั่งองครักษ์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 9

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานตัวแข็งทื่อหลี่เฉินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนทั้งสองสามารถสัมผัสลมหายใจของกันและกันได้อย่างชัดเจนจ้าวชิงหลานกำลังดิ้นรนอยู่ในใจ นางรู้สึกว่าไม่สามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้แต่หลี่เฉินดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวอะไรเลย และยังคงเขยับเข้ามาต่อภายในห้องโถงเงียบสงบอย่างน่าประหลาด มีเพียงเสียงเสื้อผ้าที่เสียดสีกันซึ่งเกิดจากการทะเลาะกันระหว่างทั้งสองร่าง และมีเสียงหอบหายใจเป็นครั้งคราวความรู้สึกของการเป็นหัวขโมยนั้น ทำให้หลี่เฉินรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินถูกเขากระตุ้นให้โกรธและอับอาย หลี่เฉินก็รู้สึกเหมือนมีไฟลุกอยู่ในใจ“นี่คือพระราชวังหงส์สราญ ที่ประทับของฮองเฮา เจ้า เจ้าไม่กลัวตายจริงหรือ?” จ้าวชิงหลานพูดอย่างร้อนใจ พลางข่มขู่เสียงเบา“กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัวตาย ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่กลัวตาย”หลี่เฉินลุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนผลักจ้าวชิงหลานลงบนเบาะขนาดใหญ่ด้วยท่าทางก้าวร้าว และมองลงมาที่เสด็จแม่ของเขา ​​ผู้หญิงที่หายใจถี่อยู่ใต้ร่างเขาจ้าวชิงหลานทั้งตกใจทั้งกลัว“ดังนั้น พวกเราต้องเบาๆ เสียงหน่อยนะ”คำพูดของหลี่เ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 10

    ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึงเมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”ปึงหลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจเขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบทด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 11

    หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระต

บทล่าสุด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 838

    "พวกเจ้าทุกคนล้วนเป็นยอดคนที่ถูกคัดเลือกจากนับร้อยในพัน หากมองทั่วแผ่นดินที่มีประชากรนับสิบล้าน พวกเจ้าย่อมเป็นหนึ่งในแสน!"คำกล่าวของหลี่เฉินทำให้เลือดลมของเหล่านักศึกษาเดือดพล่านทุกคนล้วนตระหนักดีว่าหนทางที่ผ่านมานั้นไม่ง่ายเลย บางคนถึงกับต้องขายสมบัติทั้งครอบครัวเพื่อให้สามารถเดินทางมาถึงจุดนี้หากการสอบจอหงวนล้มเหลว พวกเขาส่วนใหญ่อาจต้องจบชีวิตไปพร้อมกับความยากจนและไร้หนทางดังนั้น แม้ว่าการสอบจอหงวนจะไม่ใช่สมรภูมิที่มีคมดาบ แต่ความโหดร้ายของมันก็แทบไม่แตกต่างจากสนามรบเมื่อย้อนระลึกถึงความยากลำบากที่ผ่านมา นักศึกษาทั้งหมดล้วนแสดงสีหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกส่วนเหล่าขุนนางที่อยู่ในบริเวณนั้น ต่างก็รู้สึกสะเทือนใจเช่นกันเพราะในอดีต พวกเขาส่วนใหญ่ก็ล้วนเดินมาบนเส้นทางการสอบจอหงวนเช่นเดียวกันแต่โชคชะตาของพวกเขาดีกว่าคนรุ่นเดียวกันอย่างมาก เพราะในวันนี้ พวกเขาสามารถยืนอยู่หน้าพระที่นั่งไท่เหอ และเข้าร่วมราชสำนักได้เมื่อมองย้อนกลับไป ผู้คนที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันในรุ่นเดียวกันนั้น บัดนี้เหลืออยู่ข้างกายน้อยมาก"การสอบจอหงวนเป็นเส้นทางที่ราชสำนักใช้ในการคัดเลือกบุคคลที่มีค

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 837

    เสียงเขาสัตว์อันแสนเศร้าสร้อยดังก้องไปทั่วบริเวณเหล่านักศึกษาค่อยๆ เดินเข้าสู่พื้นที่อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้การนำของเจ้าหน้าที่จากสำนักฮั่นหลิน พวกเขาถูกจัดให้อยู่ในลำดับอย่างเหมาะสมและมายืนประจำตำแหน่งในจัตุรัสสะพานจินสุ่ยในเวลานั้น ราชสำนักช่วงเช้าทั้งหมดได้ถูกย้ายออกจากพระที่นั่งไท่เหอ มาจัดขึ้นภายนอกแทน หลี่เฉินนั่งอยู่ที่ประตูใหญ่ของพระที่นั่งบริเวณนี้เองคือสถานที่ที่เขาเคยใช้ปืนจ่อยิงฮาเล่ย์ต้าลี่จนเสียชีวิตในวันนั้นเมื่อทุกคนประจำตำแหน่งแล้ว จ้าวเสวียนจีและถานไถจิ้งจือในฐานะผู้นำฝ่ายบุ๋น ซูเจิ้นถิงในฐานะผู้นำฝ่ายบู๊ ทั้งสามคนโค้งคำนับพร้อมเปล่งเสียงดังว่า"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"เมื่อฮ่องเต้ไม่อยู่ องค์รัชทายาทในฐานะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ย่อมเป็นผู้แทนของฮ่องเต้ในสถานการณ์อันเป็นทางการเช่นนี้หลังจากนั้น บรรดาขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊ทั้งหมด รวมถึงนักศึกษาที่เข้าสอบจอหงวนต่างก็กล่าวถวายบังคมไม่มีผู้ใดกล้าละเลย"ขอถวายบังคมองค์รัชทายาท ขอพระองค์ทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นปี หมื่นหมื่นปี"ที่จัตุรัสสะพานจินส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 836

    กงฮุยอวี่ที่แสดงท่าทางออกมานั้น หลี่เฉินมองเห็นทุกสิ่งในสายตา แต่เขาเลือกที่จะไม่เอ่ยถึงให้กระจ่าง ในใจนั้นกลับเข้าใจอย่างแจ่มชัด ทว่ากลับไม่คิดสนใจนางต่อไปกงฮุยอวี่มองหลี่เฉินที่หันหลังกลับไปจัดการงานราชการในทันที ดวงตาที่เย็นเยียบของนางปรากฏความไม่พอใจเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมาส่วนวั่นเจียวเจียวนั้น... นางรู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชนะในชีวิต ไม่มีสิ่งใดที่จะทำให้นางมีความสุขมากกว่านี้อีกแล้วในการรับมือกับสตรี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสตรีเช่นกงฮุยอวี่ การเร่งร้อนย่อมไม่เป็นผลดีไม่เช่นนั้น ความพยายามทั้งหมดอาจสิ้นเปลืองจนกลายเป็นแรงเกินไป ทำให้ทุกอย่างย้อนกลับและต้องเริ่มต้นใหม่อีกครั้งอย่างน่าอึดอัดหลี่เฉินในตอนนี้ได้ก้าวไปอีกหนึ่งก้าว สำเร็จในการก่อกวนจิตใจของกงฮุยอวี่ ดังนั้นต่อไปจึงควรปล่อยให้อารมณ์คลี่คลายไปก่อน ทิ้งให้นางได้ครุ่นคิด จะได้ไม่เร่งร้อนเกินไปในมุมมองของหลี่เฉิน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับกงฮุยอวี่ตอนนี้ไม่ต่างอะไรกับนักล่าและเหยื่อนักล่าต้องการจับเหยื่อ แต่เหยื่อกลับระแวดระวังสูงมาก หากผิดพลาดเพียงนิด ไม่เพียงแค่เหยื่อจะหนีไป แต่อาจจะหันกลับมาเล่นงานนักล่าเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 835

    แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ ความคิดของหลี่เฉินที่จะเอาชนะใจของกงฮุยอวี่ก็ยิ่งรุนแรงขึ้นในชีวิตของผู้ชาย ย่อมต้องการผู้หญิงหลากหลายแบบอ่อนโยนและมีเสน่ห์อย่างจ้าวหรุ่ย เด็ดเดี่ยวและมั่นคงอย่างซูจิ่นพ่า และดื้อรั้นไม่ยอมคนอย่างกงฮุยอวี่ที่อยู่ตรงหน้า"นิยายเล่มนั้น สนุกไหม?" หลี่เฉินถามเหมือนไม่มีอะไรจะพูดกงฮุยอวี่ตอบด้วยน้ำเสียงเย็นชา "ก็ดี"หลี่เฉินยิ้มเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ก่อนจะบอกให้วั่นเจียวเจียวไปหยิบสมุดเล่มหนึ่งมา แล้วส่งให้กงฮุยอวี่ "ลองดูนี่สิ"กงฮุยอวี่มองสมุดที่เห็นได้ชัดว่าเป็นงานเขียนด้วยมือ แล้วมองหน้าหลี่เฉิน แต่ไม่ได้ยื่นมือไปรับ"ข้าเขียนเอง"คำพูดนั้นทำให้ทุกคนในห้องตกใจวั่นเจียวเจียวที่ยืนอยู่ข้างๆ ถึงกับตาโตนางรู้ดีว่าหลี่เฉินยุ่งแค่ไหน งานราชกิจในพระที่นั่งสีเจิ้งแทบจะทำให้เขาไม่มีเวลาหายใจ แล้วเขายังมีเวลามาเขียนนิยายได้ด้วยหรือ?และยิ่งไปกว่านั้น … องค์รัชทายาทยังเขียนนิยายเป็น!วั่นเจียวเจียวมองหลี่เฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจและชื่นชม รู้สึกว่าองค์รัชทายาทที่ดูเหมือนจะไร้ที่ติ ตอนนี้ดูเหมือนจะไร้ข้อบกพร่องอย่างแท้จริงรูปงาม สถานะสูงส่ง มีความ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 834

    ซูผิงเป่ยยังคงไม่เข้าใจในสิ่งที่บิดากล่าว และเพียงเปิดปากจะถามอะไรบางอย่าง แต่ซูเจิ้นถิงก็ยกมือขึ้นห้ามและกล่าวว่า "เรื่องพวกนี้ เจ้าเดินตามข้ากับองค์ชายไปเรื่อยๆ ก็จะค่อยๆ ซึมซับและเข้าใจเอง ตอนนี้เจ้าคิดไม่ออก ต่อให้ข้าอธิบายมากเท่าใด เจ้าก็ยังคงไม่เข้าใจอยู่ดี""การเมืองนั้นแตกต่างจากการรบ มันต้องใช้ความเข้าใจลึกซึ้ง และที่สำคัญที่สุดคือ ต้องใช้เวลาบ่มเพาะอย่างช้าๆ""ในตอนนี้ สิ่งที่เจ้าควรทำคือ ฟังให้มาก ดูให้มาก พูดให้น้อย และถามให้น้อยเข้าไว้""เอาล่ะ ในช่วงนี้ หากเจ้าไม่มีเรื่องจำเป็น ก็อย่ากลับบ้าน จงไปอยู่ในค่ายทหาร เข้าไปใกล้ชิดกับเหล่าทหารให้มากขึ้น การเมืองถึงที่สุดแล้วก็ต้องพึ่งกำลังทหาร""รู้ไหมว่าทำไมองค์ชายถึงฝากคนหนึ่งพันนายที่เจ้าพามาไว้กับหน่วยบูรพา? นั่นเพราะเพื่อเป็นแผนสำรองในกรณีฉุกเฉิน เจ้าต้องรับรองได้ว่า ในยามจำเป็น คนหนึ่งพันนายนี้ต้องยอมตายเพื่อองค์ชายโดยไม่ลังเล"ซูผิงเป่ยกลืนคำถามทั้งหมดกลับไป และรับคำอย่างนอบน้อม…เมื่อหลี่เฉินกลับถึง พระที่นั่งสีเจิ้ง วั่นเจียวเจียวกำลังสั่งการให้เหล่าขันทีนำก้อนน้ำแข็งมาวางทั่วทั้งท้องพระโรงในยุคโบราณ การผลิตน้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 833

    "ว่ามา"หลี่เฉินในตอนนี้ต้องการคำแนะนำจากซูเจิ้นถิงอย่างมาก ผู้ซึ่งเป็นแม่ทัพมากประสบการณ์และมีมุมมองทางยุทธศาสตร์ที่ลึกซึ้งเมื่อได้ยินว่าซูเจิ้นถิงมีความเห็นบางอย่าง เขาจึงไม่ลังเลที่จะให้เขากล่าวออกมาซูเจิ้นถิงจัดระเบียบความคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า "องค์ชาย มณฑลตงซานควรปล่อยไปเถอะพ่ะย่ะค่ะ อย่างที่องค์ชายทรงกล่าวไว้ มณฑลตงซานคือรังเก่าของจ้าวเสวียนจี เป็นทั้งแหล่งกำเนิดและบ้านเกิดของเขา ที่นั่นไม่ใช่เพียงสถานที่สำคัญ แต่ยังเต็มไปด้วยอำนาจที่เขาสร้างขึ้นเอง แม้แต่เจ้าเมืองที่นั่น ก็เป็นศิษย์ที่จ้าวเสวียนจีบ่มเพาะขึ้นมากับมือ การจะเคลื่อนไหวใดๆ ในมณฑลตงซานตอนนี้ สายเกินไปแล้ว""ดังนั้น ในความเห็นของกระหม่อม จุดสำคัญควรอยู่ที่หนานเหอ"เขาชี้ไปที่แผนที่ตำบลหนานเหอก่อนกล่าวต่อ "หากเราสามารถทำให้หนานเหอวางตัวเป็นกลางได้ อย่างน้อยก็จะทำให้จ้าวเสวียนจีไม่สามารถรับการสนับสนุนใดๆ จากที่นั่นได้ ในกรณีนี้ เราก็เพียงต้องเผชิญหน้ากับการวางแผนของเขาในพื้นที่นครหลวงและมณฑลตงซานเท่านั้น ซึ่งจะลดแรงกดดันลงได้มาก และผลสุดท้ายว่าใครจะแพ้หรือชนะ ก็ยังไม่อาจคาดเดาได้"นี่เป็นเหตุผลที่เข้าใจได้ง่าย

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 832

    ซูเจิ้นถิงขมวดคิ้วพลางเอ่ยว่า “นำแผนที่มา”ซูผิงเป่ยมองไปรอบๆ ห้องหนังสือ พบว่าในห้องมีเพียงสามคนไม่ว่ามองจากล่างขึ้นบนหรือบนลงล่าง ดูเหมือนงานเล็กๆ นี้จะตกเป็นของเขาโดยปริยายดังนั้น ซูผิงเป่ยจึงรีบไปหยิบแผนที่ทหารมาโดยไม่พูดอะไรแม้แผนที่นี้จะไม่ละเอียดเท่าแผนที่ในพระที่นั่งสีเจิ้งของหลี่เฉิน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องมีในแผนที่ ก็ปรากฏครบถ้วนเมื่อแผนที่ถูกคลี่ออก ซูเจิ้นถิงมองพื้นที่รอบเมืองหลวง ก่อนจะสูดลมหายใจลึก“พื้นที่เมืองหลวงที่ขึ้นตรงต่อชุนเทียนฝู่ ตั้งอยู่ในมณฑลเป่ยจื๋อหลี่ ทางใต้คือมณฑลหนานจื๋อหลี่ ซึ่งทั้งสองรวมกันเป็นพื้นที่นครบาล แต่หากมองพื้นที่นครบาลเป็นหน่วยเดียว ทั้งหมดถูกล้อมรอบด้วยซีซาน ตงซาน และหนานเหอสามมณฑล นี่คือสถานการณ์ที่ไม่อาจถอยหลังได้อีกแล้ว”หลี่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ข่าวดีเพียงอย่างเดียวในตอนนี้ คือมณฑลซีซานผ่านความยากลำบากมาแล้ว เมื่อปีก่อนจ้าวซานเหอถูกส่งไปฟื้นฟูการบริหารและการทหาร ปัจจุบันซีซานถือว่าปลอดภัยแล้ว แต่ก็เพียงแค่ปลอดภัย การให้ซีซานส่งกำลังมาช่วยเหลือจึงแทบเป็นไปไม่ได้”“ดังนั้น จุดศูนย์กลางอย่างมณฑลหนานเหอ และทางซ้ายคือมณฑลตงซ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 831

    คำถามตรงไปตรงมาของหลี่เฉิน ทำให้หลี่เพ่ยเพ่ยหน้าแดงขึ้นทันทีแม้นางจะไม่ใช่หญิงงามเลิศ แต่ความเขินอายของสาวแรกแย้มก็ยังดูน่ารักอย่างยิ่งซูผิงเป่ยที่ยืนข้างหลี่เพ่ยเพ่ย ซึ่งมีนิสัยซุกซนและคุ้นเคยกับหลี่เฉินอยู่แล้ว จึงไม่รู้สึกเกรงใจมากนัก เขาหันไปมองหลี่เพ่ยเพ่ยก่อนเกาศีรษะ แล้วหัวเราะโง่ๆ พร้อมพูดว่า “ดีมากพ่ะย่ะค่ะ ดีมาก กระหม่อมชื่นชอบยิ่งนัก…”“ท่านพี่! ท่านพูดอะไรน่ะ!”ซูจิ่นพ่าถลึงตามองซูผิงเป่ยทันที ขัดจังหวะเขาโดยไม่รอให้พูดจบหากเป็นหญิงสาวทั่วไป การพูดเช่นนี้อาจไม่มีปัญหาแต่หลี่เพ่ยเพ่ยเป็นองค์หญิงแห่งราชวงศ์ การพูดเกินเลยเช่นนี้ถือว่าไม่เหมาะสมยิ่งไปกว่านั้น สองคนยังไม่ได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการ แม้จะเป็นสามีภรรยาแล้วก็ตาม ในราชวงศ์ต้าฉิน ฐานะของราชบุตรเขย ก็ยังต่ำกว่าองค์หญิงอยู่มาก จึงไม่ควรพูดจาล่วงเกินแน่นอนว่าเวลาส่วนตัวนั้นเป็นอีกอย่างหนึ่งหลี่เฉินโบกมือเบาๆ พลางกล่าวว่า “ไม่เป็นไร ความรักของชายหญิงเป็นเรื่องปกติ ข้าก็หวังว่าพวกเจ้าจะเข้ากันได้ดี เช่นนี้ งานสมรสครั้งนี้จึงจะนับว่าเป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย”หลังพูดคุยกันต่ออีกเล็กน้อย หลี่เฉินสังเกตว่าหลี

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 830

    ซูจิ่นพ่าไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินจะเปลี่ยนหัวข้อสนทนาได้รวดเร็วเช่นนี้ทันทีที่เขาถาม นางก็รู้สึกอับอายอย่างมากนางรีบดันตัวเขาออกไป แล้วพูดอย่างดื้อรั้นว่า “เมื่อครู่ข้าเพียงพูดไปตามสถานการณ์เพื่อรับมือกับเขา ท่านดูไม่ออกหรือ?”แม้ว่าปากจะพูดเช่นนั้น แต่ใบหน้าอันขาวเนียนของซูจิ่นพ่ากลับแดงเรื่อขึ้นอย่างเห็นได้ชัดราวกับผลลูกพีชสุกฉ่ำที่ชวนให้ใครต่อใครอยากลิ้มลอง“จริงหรือ?”หลี่เฉินไม่ได้โกรธที่ถูกผลักออกไป เขาหยิบปลายผมของนางขึ้นมาเล่นในมือ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเจ้าเล่ห์ “แต่ในหูข้า มันฟังดูเหมือนคำพูดจากใจที่เจ้าไม่กล้ายอมรับเสียมากกว่า”เมื่อเห็นปลายผมของตัวเองถูกเขาหยอกล้อ ซูจิ่นพ่าก็รีบดึงมันกลับมาการวาดคิ้วและเกล้ามวยผมให้กันนั้น ตั้งแต่โบราณมาก็ถือเป็นสิ่งที่คู่รักที่มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งและดีต่อกันอย่างยิ่งเท่านั้นที่จะทำกันเคยได้ยินประโยคที่ว่าเส้นผมเพียงเส้นเดียว ผูกใจเขาไว้หรือไม่?ดังนั้น สำหรับสตรี เส้นผมย่อมมีความหมายพิเศษอย่างยิ่งแม้ในทางกายภาพ เส้นผมอาจไม่มีความรู้สึกใดๆ แต่ฉากนี้กลับสร้างแรงกระทบทางจิตใจต่อซูจิ่นพ่าอย่างมหาศาล“ท่านอย่ามโนไปเอง!”เสียงของซูจ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status