Share

บทที่ 5

Penulis: ไห่ตงชิง
หลี่เฉินยิ้มอย่างมีความสุข

ไม่มีใครในใต้หล้านี้ไม่กลัวอำนาจและวิธีการสังหารของหน่วยบูรพา มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะไม่กลัว เพราะอำนาจของพวกเขามาจากฮ่องเต้ และพวกเขา ก็ยังเป็นสุนัขรับใช้ที่ภักดีที่สุดในเงื้อมมือของฮ่องเต้อีกด้วย

ในฐานะกวางกงของหน่วยบูรพาที่เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างต้องการสังหาร เขาคงเป็นคนแรกที่เต็มใจเข้ามาพึ่งพาตัวเอง

กองกำลังนี้จะช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน

“ดีมาก”

หลี่เฉินโยนดาบในมือไปตรงหน้าขันทีซานเป่าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อเคยมอบดาบให้กับเจ้า แต่ตอนนี้ดาบเล่มนั้นขึ้นสนิมไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ ข้าจะให้ดาบเล่มนี้แก่เจ้า เจ้าต้องการมันไหม?”

ขันทีซานเป่าคุกเข่าอย่างนอบน้อม แล้วหยิบดาบบนพื้นขึ้นมา จับมันไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “เมื่อฝ่าบาทมอบราชโองการให้แก่บ่าว ทรงเคยตรัสว่า ต่อไปนี้ บ่าวจะเป็นดาบในมือของพระองค์”

เมื่อมองดูประตูวังสุทธาสวรรค์ที่ปิดอยู่ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้บนแท่นนอนที่ยืนหยัดหายใจอยู่ จะได้เตรียมการเอาไว้แล้ว

“ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย องค์ชายเก้าเป็นบุตรคนสุดท้อง เมื่อหลายปีก่อน ฮองเฮาทรงขอเสด็จพ่อรับเลี้ยงดูองค์ชายเก้า และเชิญหัวหน้าสภาขุนนางมาสั่งสอนเป็นการส่วนตัวอีกด้วย ข้าอยากรู้ทุกความเคลื่อนไหวขององค์ชายเก้าทุกวัน”

แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ก็ยังเป็นแค่องค์รัชทายาท ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่สิ้นพระชนม์ ตัวเขาก็ไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นบัลลังก์มังกรก็ยังไม่แน่นอน เขาเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นน้องชายของเขาหรือบรรดาขุนนางในราชสำนัก แม้แต่ในหมู่อ๋องศักดินาพวกนั้น ก็ต้องมีผู้ที่โลภในราชบัลลังก์

การต่อสู้แย่งชิงอำนาจนั้น เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ขันทีซานเป่ากล่าวอย่างเคารพว่า “บ่าวจะส่งทุกสิ่งที่พระองค์ต้องการจะทราบ ไปยังตำหนักบูรพาทุกวัน”

หลี่เฉินเหลือบมองขันทีซานเป่าแวบหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้น “เคลื่อนขบวน กลับตำหนักบูรพา”

เมื่อกลับถึงตำหนักบูรพา เดิมทีหลี่เฉินวางแผนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา แต่เมื่อนึกถึงจ้าวหรุ่ยผู้มีเสน่ห์ เขาก็รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ

การต่อสู้ที่พระราชวังสุทธาสวรรค์มันเร่าร้อนเกินไป ตอนนี้เขาต้องการระบาย

ดังนั้นจึงหันหลังมุ่งหน้าไปที่ห้องบรรทม

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่หลี่เฉินเดินผ่านมุมระเบียง เขาก็เห็นเฉินจื้อยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องบรรทมที่จ้าวหรุ่ยอยู่

เฉินจื้อไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของหลี่เฉิน กล่าวกับจ้าวหรุ่ยซึ่งอยู่ในห้องบรรทมด้วยสีหน้าวิตกกังวลปนปวดใจว่า “หรุ่ยเออร์ องค์รัชทายาทสุนัขนั่นทำอะไรกับเจ้า? ให้ข้าเข้าไปดูหน่อยเถิด ข้าแค่อยากเห็นว่าเจ้าสบายดีเท่านั้น! เจ้าวางใจเถอะ ช้าเร็วข้าจะสังหารรัชทายาทสุนัขนั่น เพื่อล้างแค้นให้กับเจ้า!”

“บังอาจ!”

เสียงตะโกนของจ้าวหรุ่ยดังมาจากในตำหนัก

“ข้าคือสนมขององค์รัชทายาท ตามลำดับชั้นแล้ว เจ้าควรจะเรียกข้าว่าสนมองค์รัชทายาท ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อเล่นของข้า?”

เฉินจื้อที่ยืนอยู่หน้าห้องบรรทมพลันหน้าซีดเผือด

เขากัดฟันพูดว่า “เอาล่ะ ข้าจะเรียกเจ้าว่าสนมองค์รัชทายาท สนมองค์รัชทายาท ตั้งแต่เจ้าเข้าตำหนักบูรพามา เหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่า ข้าคือคนที่ดูแลเจ้ามาก่อน?”

จ้าวหรุ่ยกล่าวด้วยความโกรธว่า “พูดจาไร้สาระ ในตอนนั้นข้ายังอยู่ในจวนหัวหน้าสภาขุนนาง ถึงตาเจ้ามาดูแลข้าเมื่อไหร่กัน ตอนนั้นข้าเห็นว่าเจ้าเป็นญาติห่างๆ ของหัวหน้าสภาขุนนางเหมือนข้า ดังนั้นจึงพูดกับเจ้าแค่ไม่กี่คำ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว เจ้าอย่าใส่ร้ายคนอื่น”

ใบหน้าของเฉินจื้อบิดเบี้ยวเพราะแรงกระตุ้น เขาตะโกนกลับไปว่า “ไม่ ท่านก็รู้มาโดยตลอดว่าข้าชอบท่าน ชอบมานานแล้ว! หรุ่ยเออร์ บอกข้าที องค์รัชทายาทสุนัขมันคุกคามเจ้าใช่หรือไม่? วันนี้เขาบังคับให้เจ้าทำเรื่องน่าอับอายหรือ? เพียงแค่เจ้าพูดออกมา ไม่ว่าต้องทำเช่นไร ข้าจะตัดหัวองค์รัชทายาทสุนัขออก เพื่อล้างแค้นให้เจ้า!”

“ออกไปซะ!”

จ้าวหรุ่ยโกรธจัด น้ำเสียงสูงขึ้นเรื่อยๆ และมีกาน้ำชาลอยออกมาจากในห้องบรรทม แตกกระจายตรงข้างเท้าของเฉินจื้อดังเพล้ง

“เรื่องของข้าไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ต่อไปอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!”

เฉินจื้อเห็นกาน้ำชาที่แตกอยู่ข้างเท้า ก็รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองแตกสลายเช่นกัน

เขาจริงใจ แต่จ้าวหรุ่ยกลับเหยียบย่ำเขา

รสชาตินี้ทำให้เขาบ้าคลั่งด้วยความเกลียดชัง

เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่หลี่เฉิน ดวงตาของเขาสีแดงก่ำดุจเลือด แล้วตะโกนออกมาว่า “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ข้าก็รู้ว่าทุกอย่างนี้เป็นเพราะองค์รัชทายาทสุนัขนั่น เจ้ารอก่อนเถอะ รอข้าแก้แค้นแทนเจ้า!”

ทันทีที่พูดจบ เฉินจื้อก็ค้นพบว่ามีรองเท้าผ้าไหมลายเมฆสีทองที่งดงามคู่หนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆ เศษกาน้ำชา

ทันใดนั้นหัวใจก็พลันหนักอึ้ง เฉินจื้อรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ เขาค่อยๆ เงยหน้ามองตามรองเท้าปักคู่นั้นทีละนิ้วทีละนิ้วตามจิตสำนึก จนกระทั่งพบกับใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของหลี่เฉิน

“เจ้าเรียกข้าว่าองค์รัชทายาทสุนัข และยังอยากตัดหัวข้า?”

หลี่เฉินมองไปที่เฉินจื้อด้วยสีหน้าไม่แยแส พร้อมรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากของเขาขณะพูด

เฉินจื้อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “กระหม่อม...กระหม่อม”

“ทหาร”

หลี่เฉินไม่สนใจฟังคำอธิบายของเฉินจื้อ

ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ชะตากรรมของเขาก็ถึงวาระแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่หลี่เฉินพบเขายืนอยู่หน้าห้องบรรทมของจ้าวหรุ่ย

ด้านหลังของหลี่เฉิน มีทหารสวมเครื่องแบบห่านป่าปีกคู่สองนายเดินเข้ามา

เมื่อเห็นเครื่องแบบของทหารสองนายนั่น เฉินจื้อก็ตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“หน่วยบูรพา องครักษ์เสื้อแพร!?”

นับตั้งแต่องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยบูรพาก่อตั้งมา พวกเขาก็เชื่อฟังแค่คำสั่งขององค์จักรพรรดิเท่านั้น

ก่อนหน้านี้แม้จะติดตามหลี่เฉินกับฮองเฮาไปที่วังสุทธาสวรรค์ด้วยกัน แต่สถานะของเฉินจื้อก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปได้ จึงไม่รู้ว่าภายในเวลาสั้นๆ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของต้าฉินเกิดขึ้นในพระราชวังสุทธาสวรรค์

สีหน้าของเฉินจื้อเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารู้ดีว่าเมื่อตกอยู่ในมือของหน่วยบูรพา เขาจะถึงวาระอย่างแน่นอน

“ข้าเป็นญาติห่างๆ ของใต้เท้าจ้าวหัวหน้าสภาขุนนางคนปัจจุบัน และเป็นหัวหน้าองครักษ์ของฮองเฮาอีกด้วย เจ้าไม่มีสิทธิส่งข้าให้หน่วยบูรพา!” เฉินจื้อตะโกน

“ส่งเจ้าให้หน่วยบูรพา? เจ้าคิดมากไปแล้ว”

หลี่เฉินกล่าวเสียงเย็นชา “ลากตัวไร้ค่าที่ดูหมิ่นข้าไปหน้าตำหนัก แล้วโบยร้อยไม้”

เมื่อได้ยินคำสั่ง เฉินจื้อก็หวาดกลัวขึ้นมา

โบยร้อยไม้ อาจฟังดูไม่รุนแรงเท่ากับการตัดศีรษะ แต่ในการลงโทษของต้าฉิน ไม้ที่ใช้สำหรับการลงโทษนั้นจะเป็นไม้เท้าที่ยาวเท่ากับคน และกว้างสองฝ่ามือ เมื่อตีไปที่นักโทษ ตะปูเล็กๆ บนผิวไม้เท้าก็จะเจาะเข้าไปในร่าง นอกจากนี้ผู้ลงทัณฑ์จะใช้แรงทั้งหมดในการตี

การลงโทษด้วยไม้เช่นนี้ แค่สิบครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้คนธรรมดาพิการได้

แต่ร้อยไม้นั้น ท่อนล่างของเฉินจื้อคงเละเป็นโคลนแน่

“หลี่เฉิน! เจ้ากล้าตีข้าจนตายเหรอ? ฮองเฮากับใต้เท้าจ้าว ไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

ทหารองค์รักษ์หน่วยบูรพาสองนายจับเฉินจื้อ ขณะที่เฉินจื้อดิ้นไม่หยุดพลางตะโกนด่าไปด้วย

“ใต้เท้าจ้าวที่เจ้าพูดถึง ก็เป็นแค่ขุนนางของราชวงศ์ แต่ข้าคือตัวแทนของราชวงศ์ แม้จะตีเจ้าจนตาย เจ้าจะทำอะไรได้ และจ้าวเสวียนจีจะทำอะไรได้?”

พูดจบ หลี่เฉินก็หัวเราะอย่างเย็นชา โบกมือแล้วพูดว่า “ลากมันออกไป โบยให้หนัก ตีอย่างระมัดระวัง หากไม่ครบหนึ่งร้อยไม้แล้วคนตายก่อน ไม้ที่เหลือ พวกเจ้าสองคนก็รับแทนเขา”

คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ทหารที่รับหน้าที่ทั้งสองนายต่างดวงตาเย็นเยียบ พวกเขาคนหนึ่งยกมือขึ้นปิดปากเฉินจื้อ แล้วลากเขาไปที่โล่งหน้าตำหนัก ทหารที่ปิดปากเขาคนนั้นก็ยิ้มเยาะพูดว่า “ขออภัย แต่รับสั่งขององค์รัชทายาท ข้าน้อยไม่กล้าขัดขืน ดังนั้นข้าต้องปล่อยให้ท่านเพลิดเพลินไปกับร้อยไม้นี้”

เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชของเฉินจื้อลอยมาจากด้านนอก ซึ่งหลี่เฉินก็เดินเข้ามาด้านในแล้ว

จ้าวหรุ่ยได้ยินบทสนทนาข้างนอกอย่างชัดเจน และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เสียงโหยหวนของเฉินจื้อ ทำให้จ้าวหรุ่ยหน้าขาวซีด

“กลัวหรือ?”

หลี่เฉินยกมือลูบใบหน้าอันอ่อนโยนของจ้าวหรุ่ยเบาๆ แล้วถาม

จ้าวหรุ่ยเม้มปากแน่น ด้วยความตื่นตระหนก นางจึงถอยหลังโดยสัญชาตญาณ เพื่อหลีกเลี่ยงการจูบของหลี่เฉิน และฝ่ามืออันอุกอาจ

แต่การที่นางหลบ กลับกระตุ้นความสนใจของหลี่เฉินขึ้นมา

เขาคว้าข้อมือของจ้าวหรุ่ยแล้วดึงเบาๆ ร่างของจ้าวหรุ่ยก็ถลาเข้ามาในอ้อมแขนของหลี่เฉิน

“อ๊ะ!”

ขณะที่จ้าวหรุ่ยอุทาน หลี่เฉินก็วางมือของเขาไว้บนเอวอันบอบบางของนาง ค่อยๆ ลูบไล้อย่างช้าๆ พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ว่า “คำตอบของเจ้าเมื่อครู่มันทำให้ข้าพอใจมาก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะบอกข่าวดีแก่เจ้า”

ตอนนี้ความสนใจของจ้าวหรุ่ยทั้งหมดมุ่งไปที่มือใหญ่ของหลี่เฉินที่กำลังสร้างปัญหาให้กับแผ่นหลังของนาง แต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางก็ถามโดยสัญชาตญาณว่า “ข่าวอะไรเพคะ?”

“เมื่อไม่นานมานี้ เสด็จพ่อทรงให้ข้าองค์รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าไม่ใช่องค์ชายรัชทายาทในนาม หรือไร้อำนาจอีกต่อไป แต่เป็นองค์ชายที่ใช้อำนาจของฮ่องเต้ในนามของเสด็จพ่อ ตัวแทนของสวรรค์คอยสอดส่องใต้หล้า”

“เฉินจื้อที่โหยหวนอยู่ข้างนอกนั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น หากจ้าวเสวียนจีอยากจะเปลี่ยนราชวงศ์ ช้าเร็วเขาจะเป็นแบบนั้น”

หลี่เฉินใช้นิ้วเชยคางจ้าวหรุ่ยขึ้นมา เพื่อให้มองหน้าตัวเองแล้วกล่าวว่า “ว่าอย่างไร เป็นข่าวดีใช่หรือไม่”

ใบหน้าของจ้าวหรุ่ยเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดหวั่น แต่ไม่รอให้นางพูด มือที่วางบนหลังนางก็เลื่อนไปสำรวจส่วนสำคัญของผู้หญิง ทำให้นางร้องอุทานออกมา

“เป็น เป็นข่าวดีเพคะ ฝ่าบาท อย่า...หม่อมฉัน หม่อมฉันยังเจ็บอยู่”

“วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้ารับประกันว่า แค่กอด แต่ไม่ทำอะไร”

หลี่เฉินให้คำมั่นสัญญาอย่างจริงใจ ขณะใช้นิ้วมือปลดผ้าคาดเอวของนางออก

“ฝ่าบาท พระองค์บอกว่าจะไม่ทำอะไรไม่ใช่หรือ!”

“ใช่แล้ว แต่ข้าบอกว่าแค่กอด ในเมื่อกอดกัน การสวมเสื้อผ้ามันทำให้ดูไม่ใกล้ชิดกันเท่าไรเลยเจ้าว่าไหม?” หลี่เฉินซุกหน้าไปที่ลำคอของจ้าวหรุ่ยที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ พูดคำพูดที่ไร้ยางอายที่สุดด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสา สองมือของเขาสัมผัสผิวที่บอบบางและสวยงามที่สุดของผู้หญิง

“ฝ่าบาท โปรดเมตตาหม่อมฉัน หม่อมฉัน...อย่า...”

Bab terkait

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 6

    “อย่าอะไร?”จ้าวหรุ่ยในอ้อมแขนดูเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสนจ้าวหรุ่ยไม่รู้ว่า ยิ่งนางกลัวและอยากจะหนีมากเท่าไร เสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติซึ่งแฝงอยู่ในกระดูกของนางก็ยิ่งจะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งดึงดูดหลี่เฉินมากขึ้นหลี่เฉินจับเอวที่ไม่มีกระดูกของจ้าวหรุ่ย แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ข้างหูนาง “อย่าอะไร อย่าไม่ทำอะไรสักอย่าง หรือว่าอย่าหยุดกันแน่?”จ้าวหรุ่ยทั้งอับอายทั้งโมโหคำตอบทั้งสองข้อที่หลี่เฉินกล่าวออกมานั้น ไม่มีข้อไหนที่นางอยากจะพูดนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่หลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ นางไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวมากนัก เพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังคำพูดของนางได้แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะกลายเป็นปีศาจ และเรียกร้องอย่างตะกละตะกลามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม“ฝ่าบาท โปรดปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างทะนุถนอม” จ้าวหรุ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้นหลี่เฉินหยอกล้อจ้าวหรุ่ย ผิวพรรณของนางขาวเหมือนเครื่องเคลือบ นอกจากนี้ยังแดงก่ำเห

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 7

    บทสนทนาระหว่างองครักษ์เสื้อแพรและหลี่เฉินที่ด้านนอกนั้นสามารถได้ยินอย่างชัดเจน“ตายแล้ว...เฉินจื้อตายแล้ว”จ้าวหรุ่ยค่อยๆ หลับตาลง แม้ว่าเตียงจะยังอุ่นอยู่ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเย็นนางกับเฉินจื้อ แม้จะเป็นเพียงรักข้างเดียวของเฉินจื้อ แต่ก็ยังนับว่าเป็นคนคุ้นเคยของจ้าวหรุ่ย แต่คนเช่นนั้น ถูกทุบตีจนตายอยู่นอกตำหนักจ้าวหรุ่ยกระทั่งรู้สึกว่า เมื่อคืนนี้ หลี่เฉินจงใจฆ่าเฉินจื้อที่ลานกว้างหน้าประตูตำหนัก และทำเรื่องเช่นนั้นกับนางในห้องนางรู้สึกว่าหลี่เฉินในตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่ยังน่ากลัวอีกด้วย“ไม่ได้การล่ะ ข้าจะต้องหาโอกาสทูลขอความช่วยเหลือจากฮองเฮา เพื่อจัดการองค์รัชทายาท...” จ้าวหรุ่ยกำผ้าห่มแน่น พลางพึมพำกับตัวเององครักษ์เสื้อแพรสองนายเพิ่งจะไป ขันทีซานเป่าก็มาเยือนเขานำรายงานลับมา และมอบให้หลี่เฉินด้วยความเคารพ“องค์รัชทายาท ของที่พระองต์ต้องการอยู่นี่แล้ว”หลี่เฉินหยิบมันขึ้นมาดู แน่นอนว่าเป็นบันทึกชีวิตประจำวันขององค์ชายเก้าตั้งแต่เมื่อคืนนี้ รวมถึงเวลาและสถานที่ที่เขาไป สิ่งที่เขาพูด ทุกอย่างมีรายละเอียดมาก จนองค์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 8

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้หลี่เสวียนหน้าซีดเขารีบตอบไปตามจิตใต้สำนึกว่า “ข้า ข้าไม่ได้กบฏ เสด็จแม่และท่านอาจารย์ตกลงจะให้ข้าดูพวกนั้น พวกเขาบอกว่าข้าควรเรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า...”ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เว่ยเสียนที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ ก็แทบกระอักเลือดออกมาองค์ชายเก้าเหตุใดจึงไร้ความคิดเช่นนี้ คำพูดเช่นนั้นกล่าวออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร“เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า?”หลี่เฉินจับจุดอ่อนของหลี่เสวียนได้ น้ำเสียงของเขาสูงขึ้นสองส่วน “เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้าเพื่ออะไร? หรือว่าเจ้าอยากให้เสด็จทรงสวรรคต จากนั้นก็เอาตำแหน่งของข้าไป?”ในที่สุดหลี่เสวียนก็รู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไปเขาหน้าซีด คุกเข่าลงเสียงดังตุบ รีบอธิบายด้วยความตื่นกลัวว่า “พี่รอง ข้า ข้าไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น...”เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของหลี่เสวียนจึงถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ และวิ่งตรงไปที่วังฮองเฮา“จะมีความหมายเช่นนั้นหรือไม่ ข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง”หลี่เฉินพูดจบ เขาก็หันไปสั่งขันทีซานเป่าว่า “หูหนวกเหรอ? หรือจะให้ข้าลงมือเอง?”ขันทีซานเป่าได้ยินก็รีบลุกขึ้นยืน สั่งองครักษ์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 9

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานตัวแข็งทื่อหลี่เฉินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนทั้งสองสามารถสัมผัสลมหายใจของกันและกันได้อย่างชัดเจนจ้าวชิงหลานกำลังดิ้นรนอยู่ในใจ นางรู้สึกว่าไม่สามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้แต่หลี่เฉินดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวอะไรเลย และยังคงเขยับเข้ามาต่อภายในห้องโถงเงียบสงบอย่างน่าประหลาด มีเพียงเสียงเสื้อผ้าที่เสียดสีกันซึ่งเกิดจากการทะเลาะกันระหว่างทั้งสองร่าง และมีเสียงหอบหายใจเป็นครั้งคราวความรู้สึกของการเป็นหัวขโมยนั้น ทำให้หลี่เฉินรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินถูกเขากระตุ้นให้โกรธและอับอาย หลี่เฉินก็รู้สึกเหมือนมีไฟลุกอยู่ในใจ“นี่คือพระราชวังหงส์สราญ ที่ประทับของฮองเฮา เจ้า เจ้าไม่กลัวตายจริงหรือ?” จ้าวชิงหลานพูดอย่างร้อนใจ พลางข่มขู่เสียงเบา“กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัวตาย ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่กลัวตาย”หลี่เฉินลุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนผลักจ้าวชิงหลานลงบนเบาะขนาดใหญ่ด้วยท่าทางก้าวร้าว และมองลงมาที่เสด็จแม่ของเขา ​​ผู้หญิงที่หายใจถี่อยู่ใต้ร่างเขาจ้าวชิงหลานทั้งตกใจทั้งกลัว“ดังนั้น พวกเราต้องเบาๆ เสียงหน่อยนะ”คำพูดของหลี่เ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 10

    ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึงเมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”ปึงหลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจเขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบทด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 11

    หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 12

    เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชาท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันทีเฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนางแม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 13

    สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด

Bab terbaru

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 774

    ขุนนางวัยกลางคนคนนั้นไม่คิดว่าหลี่เฉินจะลงโทษเขารุนแรงเช่นนี้ เขาจึงดิ้นรนพลางตะโกนเสียงดัง "องค์รัชทายาท! ท่านไม่ใส่ใจสถานการณ์ของชาติ ทำทุกอย่างตามอำเภอใจ นี่คือการทำลายรากฐานของแผ่นดิน!""เกียรติยศของแคว้นและความผาสุกของลูกหลานในอนาคต ไม่สามารถได้มาด้วยเลือดร้อนเพียงอย่างเดียวได้ กองทัพหกแสนของแคว้นเหลียวจ้องมองเราอย่างดุดัน ทั้งภายในและภายนอกแคว้นก็มีแต่ปัญหา ท่านยังจะดึงดันใช้นโยบายแข็งกร้าวเช่นนี้ต่อไป และไม่ยอมฟังคำเตือนจากพวกเรา ในที่สุด แผ่นดินนี้จะต้องล่มสลายด้วยน้ำมือของท่านเอง!""ข้าซึ่งเป็นข้าราชการที่กินเงินเดือนของราชสำนัก ย่อมต้องทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองจนกว่าชีวิตจะหาไม่ แม้จะต้องสละชีวิตนี้ ข้าก็ไม่อาจทนเห็นท่านทำลายรากฐานที่บรรพบุรุษได้สร้างไว้!"ขณะที่เขากล่าวนั้น ทหารสองนายก็เดินเข้ามาใกล้เพื่อจะจับกุมตัวเขาแต่ด้วยพละกำลังที่เกิดจากสัญชาตญาณในยามวิกฤติ เขาผลักทหารทั้งสองออกไปได้อย่างไม่น่าเชื่อเขารู้ดีว่าในสถานการณ์เช่นนี้ การขอความเมตตาย่อมไร้ประโยชน์ แต่หากเขาสามารถปลุกเร้าความโกรธของขุนนางคนอื่นๆ ได้ อาจจะมีความหวังรอดชีวิตอยู่บ้างขุนนางผู้นี้กัดฟันแน่นก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 773

    ขุนนางวัยกลางคนผู้นั้น แม้จะไม่ใช่บุคคลสำคัญระดับสูงสุดในพระที่นั่งไท่เหอ แต่ก็ถือว่าเป็นชนชั้นนำในหมู่ประชากรหลายสิบล้านคนของต้าฉิน การที่เขาก้าวขึ้นมาอยู่ในตำแหน่งที่สามารถยืนในพระที่นั่งไท่เหอได้ อย่างไรเสียก็คือหนึ่งในชนชั้นยอดของยุคสมัยนี้และเมื่อเขาเอ่ยปากพูด ก็ใช้คำกล่าวที่ยกตนขึ้นสูงในทันทีหวังที่จะใช้ถ้อยคำนี้กดดันหลี่เฉิน"อ้อนวอนเพื่อแผ่นดิน"คำพูดนี้ทำให้หลี่เฉินโกรธจนหัวเราะออกมา "ดี! ช่างเป็นการอ้อนวอนเพื่อแผ่นดินที่ยอดเยี่ยมเสียจริง!""ถ้าเจ้าคือผู้ที่อ้อนวอนเพื่อราษฎร เช่นนั้นข้าก็คงเป็นองค์รัชทายาทที่ไม่สนใจเสียงของราษฎร เป็นผู้ปกครองที่ไร้สติและโง่เขลาใช่หรือไม่!?"เมื่อเผชิญกับคำถามที่ดังก้องและชัดเจนของหลี่เฉิน ขุนนางวัยกลางคนก็เริ่มหวั่นไหวเหงื่อซึมออกมาจากหน้าผากของเขา ก่อนกัดฟันตอบกลับด้วยน้ำเสียงสั่นๆ "กระหม่อม…กระหม่อมไม่ได้หมายความเช่นนั้น""เช่นนั้น เจ้าหมายความว่าอย่างไร!?"หลี่เฉินเบิกตากว้าง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว พร้อมกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงดุดัน "แคว้นเหลียวที่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน ข้าได้เตือนพวกเจ้าไว้ไม่รู้กี่ครั้งแล้ว! แคว้นเหลียวไ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 772

    แกร๊ก…เสียงกระดูกนิ้วมือของเย่ลู่เสินเสวียนดังขึ้นขณะที่เขากำหมัดแน่นไม่มีสิ่งใดที่น่าอับอายมากไปกว่านี้อีกแล้วเย่ลู่เสินเสวียนสูดลมหายใจลึก ก่อนหันไปมองเย่ลู่กู่จ้านฉีและกัดฟันกล่าวว่า "ยังไม่รีบมาอีก!?"เย่ลู่กู่จ้านฉีราวกับเพิ่งตื่นจากฝัน รีบลุกขึ้นและวิ่งไปหาเย่ลู่เสินเสวียนทันทีเมื่อไปถึงหน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเย่ลู่กู่จ้านฉีตื่นเต้นเกินไป หรือว่าร่างกายของเขาอ่อนแอเกินไป ขณะที่กำลังจะก้าวข้ามธรณีประตู เขากลับสะดุดล้มลงกับพื้นเสียงดังตุบ เย่ลู่กู่จ้านฉีล้มลงในท่าหมอบหน้าแนบพื้นอย่างน่าอับอาย"ฮะ…ฮ่าๆๆๆ!"เสียงหัวเราะดังขึ้นอย่างไม่เกรงใจจากบางคนแม้แต่ซูเจิ้นถิงเองก็เผลอเผยรอยยิ้มที่มุมปาก แต่แล้วเขาก็รู้สึกตัวว่าในสถานการณ์เช่นนี้ เขาไม่ควรหัวเราะ ขณะที่เขากำลังจะหันไปเตือนคนที่หัวเราะเสียงดังนั้น กลับเห็นว่าผู้ที่หัวเราะเสียงดังที่สุดคือบุตรชายของเขาเอง…เย่ลู่เสินเสวียนมองดูเย่ลู่กู่จ้านฉีที่หน้าขึ้นสีด้วยความอับอาย สีหน้าของเขาดำคล้ำด้วยความโกรธ"น่าอับอายสิ้นดี!"เขาเค้นคำออกมาจากไรฟันด้วยน้ำเสียงเย็นชา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อแล้วหมุนตัวเด

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 771

    ทุกย่างก้าวที่หลี่เฉินเดินผ่าน เสียงพูดคุยที่เคยดังสนั่นในพระที่นั่งไท่เหอพลันเงียบลงทันทีสายตาของทุกคนจับจ้องไปยังร่างของหลี่เฉินที่เคลื่อนไหว โดยไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทถึงได้ก้าวลงจากบัลลังก์มังกรอย่างกะทันหันจนกระทั่งหลี่เฉินเดินไปหยุดที่หน้าประตูพระที่นั่งไท่เหอ เขายืนอยู่หลังธรณีประตู และจ้องมองเย่ลู่เสินเสวียนที่ยืนอยู่อีกฟากหนึ่งหลี่เฉินชี้ไปที่ธรณีประตู ก่อนกล่าวว่า "ธรณีประตูนี้ ด้านในคือพระที่นั่งไท่เหอ คือดินแดนต้าฉิน"เย่ลู่เสินเสวียนขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจว่า หลี่เฉินต้องการจะสื่ออะไร แต่ก็ตอบกลับไปว่า "เจ้าหมายความว่า ด้านนอกธรณีประตูนี้ เป็นดินแดนของแคว้นเหลียวอย่างนั้นหรือ?"เย่ลู่เสินเสวียนคิดว่าตนเองตอบได้อย่างมีชั้นเชิงแต่หลี่เฉินส่ายศีรษะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเย็น "ไม่ใช่ สิ่งที่ข้าต้องการจะบอกคือ นอกธรณีประตูนี้ ใต้ฟ้าสีเหลืองแผ่นดินกว้างใหญ่ไพศาล ล้วนเป็นดินแดนของต้าฉิน""และดินแดนต้าฉิน จะไม่มีวันให้ใครยืมใช้โดยเด็ดขาด""หรือไม่องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลียวลองพิจารณาส่งภรรยาของท่านมาให้ข้าเล่นสักคนสองคนดีหรือไม่?"คำพูดหยาบโลนที่ราวก

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 770

    ที่แท้ก็รออยู่ตรงนี้เองแคว้นเหลียวไม่สิ้นความทะเยอทะยานจริงๆหลี่เฉินเข้าใจจุดประสงค์ที่แท้จริงของการมาเยือนครั้งนี้ของเย่ลู่เสินเสวียนแล้วมันไม่ใช่เพื่อแก้แค้นให้บุตรชายที่ถูกฆ่าและไม่ใช่เพื่อทวงคืนศักดิ์ศรีของท่านอ๋องเก้าที่ทำให้แคว้นเหลียวต้องอับอายขายหน้าแต่คือการผลักดันให้การเจรจาระหว่างต้าฉินและแคว้นเหลียวเกิดขึ้นอีกครั้งเบื้องหน้าดูเหมือนจะเป็นความร่วมมือ แต่แท้จริงแล้วคือความทะเยอทะยานที่จะเปิดเส้นทางผ่านด่านเย่ว์หยาเพื่อบุกโจมตีต้าฉินโดยไร้การต่อต้านเย่ลู่เสินเสวียนเอ่ยเสียงดังต่อไปว่า "เพื่อแสดงความจริงใจของแคว้นเหลียว เราพร้อมจะลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพกับต้าฉิน และพร้อมคืนครึ่งหนึ่งของแคว้นเยี่ยนอวิ๋นสิบหกหัวเมือง เพียงแค่ต้าฉินพยักหน้าตกลง แคว้นเหลียวก็จะมอบหัวเมืองเหล่านั้นให้ก่อนทันที จากนั้นต้าฉินค่อยเปิดเส้นทางด่านเย่ว์หยาให้เรา"คำพูดนี้ทำให้พระที่นั่งไท่เหอปั่นป่วนในทันทีเหล่าขุนนางทั้งฝ่ายบู๊และฝ่ายบุ๋น หลายคนแสดงท่าทีลังเลและสนใจในข้อเสนอขุนนางคนหนึ่งก้าวออกมา กล่าวว่า "องค์ชาย แคว้นเหลียวมีกำลังเหนือกว่าพวกเราอย่างมาก ในสถานการณ์เช่นนี้ที่พวกเขายัง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 769

    สำหรับเย่ลู่เสินเสวียน การสูญเสียบุตรชายไปหนึ่งคนไม่ใช่เรื่องใหญ่เขาเป็นบุรุษที่มีหญิงล้อมหน้าล้อมหลัง หากร่างกายยังแข็งแรง บุตรหลานย่อมไม่ใช่สิ่งที่ขาดแคลนแม้ว่าเขาจะชื่นชอบเย่ลู่ฉีหมิง แต่ก็ไม่ถือสาอะไรนัก ลูกๆ ที่คอยเอาใจเขามีอยู่มากมาย และเขาก็สามารถสร้างทายาทใหม่ขึ้นมาได้ทุกเมื่อ เพราะตัวเขายังหนุ่มแน่นแต่สิ่งที่เขาไม่อาจยอมรับได้ คือการที่บุตรชายของเขาถูกองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินสังหาร แล้วส่งหัวเน่าเปื่อยมาทิ้งไว้ต่อหน้าเขานั่นเท่ากับว่า หลี่เฉินเหยียบย่ำศักดิ์ศรีของเขาอย่างจงใจแม้เย่ลู่เสินเสวียนจะไม่พูดอะไรออกมา แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีใครกล้าเอ่ยแทนเขาเย่ลู่กู่จ้านฉีโกรธจัดจนกระโดดขึ้นมาพูดทันที "เจ้าโกหก! ข้ายืนยันตัวตนของเย่ลู่ฉีหมิงแล้ว เขาไม่ได้แอบอ้างเป็นใครทั้งนั้น และเจ้าเองก็ไม่เคยสงสัยในตัวเขาสักนิด จนกระทั่งเจ้าฆ่าเขา ตอนนี้กลับมาบอกว่าเขาแอบอ้าง นี่มันโกหกชัดๆ!"หลี่เฉินเหลือบมองเย่ลู่กู่จ้านฉีด้วยความประหลาดใจเขาเริ่มคิดว่า หรือในช่วงเดือนที่ผ่านมา อ๋องเก้าผู้นี้จะหิวโหยจนเพี้ยนไปแล้วหลี่เฉินยกมือขึ้นเล็กน้อยก่อนกล่าวอย่างเย้ยหยัน "อ้อ? แสดงว่าเขา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 768

    เมื่อกล่องผ้าดำถูกเปิดออก สิ่งที่ปรากฏอยู่ภายในคือศีรษะมนุษย์ที่เน่าเปื่อยจนแทบดูไม่ได้!ศีรษะนั้นถูกปกคลุมด้วยเลือดดำคล้ำที่แห้งกรัง บาดแผลลึกตัดขวางไปทั่วใบหน้าจนดูเหมือนหัวหมูที่ถูกสับด้วยมีด ความเน่าเปื่อยทำให้เนื้อหนังผุพัง ผมพันกันยุ่งเหยิง และระหว่างเนื้อที่เน่าผุยังมีหนอนสีขาวเล็กๆ ไต่ยั้วเยี้ยไปมาภาพนั้นทำให้แม้แต่แม่ทัพผู้ชินชากับการฆ่าฟันยังรู้สึกขนลุกฮาเลยต้าลี่ที่เป็นคนถือกล่องถึงกับสะดุ้งตกใจเมื่อเห็นสิ่งนั้นเป็นคนแรกหลังจากตกตะลึง เขาก็โกรธจัด เงยหน้าขึ้นตะโกนใส่หลี่เฉินด้วยความเดือดดาล "เจ้ากล้าลอบสังหารองค์รัชทายาทของพวกเราอย่างนั้นหรือ!?"หลี่เฉินยังคงสีหน้าราบเรียบ พลางเอ่ยคำสั่งสั้นๆ "ตบปาก"เพียะ!เพียะ! เพียะ!เสียงฝ่ามือตบดังขึ้นสามครั้งติดเป็นซานเป่าที่เข้าไปตบฮาเลยต้าลี่ด้วยฝ่ามือทั้งสองข้างจนเกิดเสียงดังชัดเจนแม้รูปร่างของซานเป่าจะเล็กและผอมกว่า แต่ฮาเลยต้าลี่ที่ดูราวกับหมีสีน้ำตาลกลับไม่อาจสู้เขาได้เลยแม้แต่จะตั้งตัวฮาเลยต้าลี่ยังไม่อาจทำได้ อย่าว่าแต่ต่อต้านเลย ใบหน้าของเขาจึงถูกซานเป่าตบเข้าที่หน้าเต็มๆ ถึงสามครั้งโดยไม่สามารถตอบโต้ได้แม้แต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 767

    ชนเผ่าเร่ร่อนในทุ่งหญ้ามักนับถือสัญลักษณ์ของหมาป่า ต่างจากชาวฮั่นแห่งแผ่นดินต้าฉินที่ยึดถือมังกรเป็นเครื่องหมายการเคารพหมาป่าในฐานะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ทำให้พวกเขาเชิดชูพลังอำนาจ และเชื่อมั่นในหลักการที่ว่า ผู้แข็งแกร่งย่อมอยู่รอด ส่วนผู้ที่อ่อนแอก็ต้องถูกกลืนกินคำพูดของหลี่เฉินที่เพิ่งกล่าวออกไป จึงมีความหมายแฝงสองนัย เหล่าคนแคว้นเหลียวที่อยู่ในที่นั้น แม้จะรู้สึกไม่พอใจและอึดอัดใจเพียงใด ก็ไม่อาจหาคำมาคัดค้านได้เย่ลู่กู่จ้านฉีที่ยืนอยู่มุมหนึ่งของพระที่นั่งไท่เหอ มองเย่ลู่เสินเสวียนด้วยดวงตาที่แดงก่ำด้วยความตื่นเต้นองค์รัชทายาท ท่านเห็นหรือยัง นี่แหละคือองค์รัชทายาทแห่งต้าฉิน ปากคมเสียยิ่งกว่าคมหอกคมดาบ สามารถปลุกคนตายให้ลุกขึ้นมาโกรธได้เลยทีเดียว ท่านต้องระวังตัว อย่าตกหลุมพรางของเขาเด็ดขาดเย่ลู่เสินเสวียนยิ้มเล็กน้อย ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ยังคงสง่างาม "ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทแห่งต้าฉินจะไม่ต้อนรับพวกเราเลยนะ""จริงอย่างว่า"หลี่เฉินกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย "ต้าฉินและแคว้นเหลียวเป็นศัตรูกันมานานนับศตวรรษ ศพผู้คนที่ตายจากความขัดแย้งของสองแคว้น หากนำมาต่อกันคงทอดยาวจากพระราชวั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 766

    "องค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหลียว เริ่มศึกษาวรรณศิลป์ตั้งแต่อายุสามปี หัดวิชาการต่อสู้ตั้งแต่อายุห้าปี เจ็ดปีก็สามารถประพันธ์บทกวีได้เอง สิบสองปีฝึกปราบม้าศึกสายพันธุ์หายากที่ดุร้ายที่สุด และในวัยสิบห้าก็นำทัพเข้าสู่สนามรบ""เขาอายุเพียงยี่สิบกว่าปี แต่เรื่องราวชีวิตของเขานั้นเล่าขานเป็นตำนาน ความสามารถโดดเด่นหาใครเทียบมิได้ คนด้อยความรู้อย่างชาวต้าฉินพวกเจ้าจะไปเข้าใจได้อย่างไร!"คำพูดเหล่านี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีพูดด้วยความมั่นใจขึ้นเรื่อยๆ เสียงก็ยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆเขาไม่ทันตระหนักเลยว่า คำพูดของเขาเป็นการดูถูกคนทุกคนในที่นั้น ยกเว้นตัวเขาเองหลี่เฉินเลิกคิ้วขึ้น กล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่า "ท่านอ๋องเก้า กินอิ่มจนมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือแล้วกระมัง?"เมื่อได้ยินคำพูดนี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีก็รีบเงียบปากทันที เพราะในใจเขายังคงหวาดกลัวหลี่เฉินอยู่บ้างในขณะเดียวกัน เขาก็แอบลั่นวาจาในใจว่า หากข้าได้กลับแคว้นเหลียวเมื่อใด เจ้าจะต้องชดใช้ด้วยเลือดแน่นอน...ทุ่งหญ้าเขียวขจีทอดยาวไปไกลนับพันลี้ในค่ำคืนเดียว...คำพูดนี้น่าสนใจสำหรับหลี่เฉินเขาไม่รู้ว่าเย่ลู่เสินเสวียนมีพระชายากี่คน...ได้ยินมาว่าชาวแ

Pindai kode untuk membaca di Aplikasi
DMCA.com Protection Status