Share

บทที่ 5

Author: ไห่ตงชิง
หลี่เฉินยิ้มอย่างมีความสุข

ไม่มีใครในใต้หล้านี้ไม่กลัวอำนาจและวิธีการสังหารของหน่วยบูรพา มีเพียงราชวงศ์เท่านั้นที่จะไม่กลัว เพราะอำนาจของพวกเขามาจากฮ่องเต้ และพวกเขา ก็ยังเป็นสุนัขรับใช้ที่ภักดีที่สุดในเงื้อมมือของฮ่องเต้อีกด้วย

ในฐานะกวางกงของหน่วยบูรพาที่เหล่าขุนนางบุ๋นบู๊ต่างต้องการสังหาร เขาคงเป็นคนแรกที่เต็มใจเข้ามาพึ่งพาตัวเอง

กองกำลังนี้จะช่วยเขาได้มากอย่างแน่นอน

“ดีมาก”

หลี่เฉินโยนดาบในมือไปตรงหน้าขันทีซานเป่าแล้วพูดว่า “เสด็จพ่อเคยมอบดาบให้กับเจ้า แต่ตอนนี้ดาบเล่มนั้นขึ้นสนิมไปแล้ว ดังนั้นตอนนี้ ข้าจะให้ดาบเล่มนี้แก่เจ้า เจ้าต้องการมันไหม?”

ขันทีซานเป่าคุกเข่าอย่างนอบน้อม แล้วหยิบดาบบนพื้นขึ้นมา จับมันไว้แน่นแล้วกล่าวว่า “เมื่อฝ่าบาทมอบราชโองการให้แก่บ่าว ทรงเคยตรัสว่า ต่อไปนี้ บ่าวจะเป็นดาบในมือของพระองค์”

เมื่อมองดูประตูวังสุทธาสวรรค์ที่ปิดอยู่ ดูเหมือนว่าฮ่องเต้บนแท่นนอนที่ยืนหยัดหายใจอยู่ จะได้เตรียมการเอาไว้แล้ว

“ในบรรดาองค์ชายทั้งหลาย องค์ชายเก้าเป็นบุตรคนสุดท้อง เมื่อหลายปีก่อน ฮองเฮาทรงขอเสด็จพ่อรับเลี้ยงดูองค์ชายเก้า และเชิญหัวหน้าสภาขุนนางมาสั่งสอนเป็นการส่วนตัวอีกด้วย ข้าอยากรู้ทุกความเคลื่อนไหวขององค์ชายเก้าทุกวัน”

แม้ว่าตอนนี้เขาจะได้เป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่ก็ยังเป็นแค่องค์รัชทายาท ตราบใดที่ฮ่องเต้ไม่สิ้นพระชนม์ ตัวเขาก็ไม่ได้ขึ้นครองบัลลังก์ เช่นนั้นบัลลังก์มังกรก็ยังไม่แน่นอน เขาเชื่อว่า ไม่ว่าจะเป็นน้องชายของเขาหรือบรรดาขุนนางในราชสำนัก แม้แต่ในหมู่อ๋องศักดินาพวกนั้น ก็ต้องมีผู้ที่โลภในราชบัลลังก์

การต่อสู้แย่งชิงอำนาจนั้น เพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น

ขันทีซานเป่ากล่าวอย่างเคารพว่า “บ่าวจะส่งทุกสิ่งที่พระองค์ต้องการจะทราบ ไปยังตำหนักบูรพาทุกวัน”

หลี่เฉินเหลือบมองขันทีซานเป่าแวบหนึ่ง ก่อนจะยกมือขึ้น “เคลื่อนขบวน กลับตำหนักบูรพา”

เมื่อกลับถึงตำหนักบูรพา เดิมทีหลี่เฉินวางแผนที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้าของเขา แต่เมื่อนึกถึงจ้าวหรุ่ยผู้มีเสน่ห์ เขาก็รู้สึกปั่นป่วนอยู่ในใจ

การต่อสู้ที่พระราชวังสุทธาสวรรค์มันเร่าร้อนเกินไป ตอนนี้เขาต้องการระบาย

ดังนั้นจึงหันหลังมุ่งหน้าไปที่ห้องบรรทม

อย่างไรก็ตาม ทันทีที่หลี่เฉินเดินผ่านมุมระเบียง เขาก็เห็นเฉินจื้อยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องบรรทมที่จ้าวหรุ่ยอยู่

เฉินจื้อไม่ได้สังเกตเห็นการมาถึงของหลี่เฉิน กล่าวกับจ้าวหรุ่ยซึ่งอยู่ในห้องบรรทมด้วยสีหน้าวิตกกังวลปนปวดใจว่า “หรุ่ยเออร์ องค์รัชทายาทสุนัขนั่นทำอะไรกับเจ้า? ให้ข้าเข้าไปดูหน่อยเถิด ข้าแค่อยากเห็นว่าเจ้าสบายดีเท่านั้น! เจ้าวางใจเถอะ ช้าเร็วข้าจะสังหารรัชทายาทสุนัขนั่น เพื่อล้างแค้นให้กับเจ้า!”

“บังอาจ!”

เสียงตะโกนของจ้าวหรุ่ยดังมาจากในตำหนัก

“ข้าคือสนมขององค์รัชทายาท ตามลำดับชั้นแล้ว เจ้าควรจะเรียกข้าว่าสนมองค์รัชทายาท ใครอนุญาตให้เจ้าเรียกชื่อเล่นของข้า?”

เฉินจื้อที่ยืนอยู่หน้าห้องบรรทมพลันหน้าซีดเผือด

เขากัดฟันพูดว่า “เอาล่ะ ข้าจะเรียกเจ้าว่าสนมองค์รัชทายาท สนมองค์รัชทายาท ตั้งแต่เจ้าเข้าตำหนักบูรพามา เหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงไปมากเช่นนี้ หรือว่าเจ้าลืมไปแล้วว่า ข้าคือคนที่ดูแลเจ้ามาก่อน?”

จ้าวหรุ่ยกล่าวด้วยความโกรธว่า “พูดจาไร้สาระ ในตอนนั้นข้ายังอยู่ในจวนหัวหน้าสภาขุนนาง ถึงตาเจ้ามาดูแลข้าเมื่อไหร่กัน ตอนนั้นข้าเห็นว่าเจ้าเป็นญาติห่างๆ ของหัวหน้าสภาขุนนางเหมือนข้า ดังนั้นจึงพูดกับเจ้าแค่ไม่กี่คำ นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีอะไรอีกแล้ว เจ้าอย่าใส่ร้ายคนอื่น”

ใบหน้าของเฉินจื้อบิดเบี้ยวเพราะแรงกระตุ้น เขาตะโกนกลับไปว่า “ไม่ ท่านก็รู้มาโดยตลอดว่าข้าชอบท่าน ชอบมานานแล้ว! หรุ่ยเออร์ บอกข้าที องค์รัชทายาทสุนัขมันคุกคามเจ้าใช่หรือไม่? วันนี้เขาบังคับให้เจ้าทำเรื่องน่าอับอายหรือ? เพียงแค่เจ้าพูดออกมา ไม่ว่าต้องทำเช่นไร ข้าจะตัดหัวองค์รัชทายาทสุนัขออก เพื่อล้างแค้นให้เจ้า!”

“ออกไปซะ!”

จ้าวหรุ่ยโกรธจัด น้ำเสียงสูงขึ้นเรื่อยๆ และมีกาน้ำชาลอยออกมาจากในห้องบรรทม แตกกระจายตรงข้างเท้าของเฉินจื้อดังเพล้ง

“เรื่องของข้าไม่เกี่ยวอะไรกับเจ้า ต่อไปอย่ามาให้ข้าเห็นหน้าอีก มิฉะนั้นอย่าหาว่าข้าไร้น้ำใจ!”

เฉินจื้อเห็นกาน้ำชาที่แตกอยู่ข้างเท้า ก็รู้สึกเหมือนหัวใจของตัวเองแตกสลายเช่นกัน

เขาจริงใจ แต่จ้าวหรุ่ยกลับเหยียบย่ำเขา

รสชาตินี้ทำให้เขาบ้าคลั่งด้วยความเกลียดชัง

เขาโยนความผิดทั้งหมดไปที่หลี่เฉิน ดวงตาของเขาสีแดงก่ำดุจเลือด แล้วตะโกนออกมาว่า “ไม่ว่าเจ้าจะพูดอย่างไร ข้าก็รู้ว่าทุกอย่างนี้เป็นเพราะองค์รัชทายาทสุนัขนั่น เจ้ารอก่อนเถอะ รอข้าแก้แค้นแทนเจ้า!”

ทันทีที่พูดจบ เฉินจื้อก็ค้นพบว่ามีรองเท้าผ้าไหมลายเมฆสีทองที่งดงามคู่หนึ่ง ยืนอยู่ข้างๆ เศษกาน้ำชา

ทันใดนั้นหัวใจก็พลันหนักอึ้ง เฉินจื้อรู้สึกหนังศีรษะชาวาบ เขาค่อยๆ เงยหน้ามองตามรองเท้าปักคู่นั้นทีละนิ้วทีละนิ้วตามจิตสำนึก จนกระทั่งพบกับใบหน้าที่ไร้ความรู้สึกของหลี่เฉิน

“เจ้าเรียกข้าว่าองค์รัชทายาทสุนัข และยังอยากตัดหัวข้า?”

หลี่เฉินมองไปที่เฉินจื้อด้วยสีหน้าไม่แยแส พร้อมรอยยิ้มบางๆ บนริมฝีปากของเขาขณะพูด

เฉินจื้อสูดหายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดออกมาอย่างยากลำบากว่า “กระหม่อม...กระหม่อม”

“ทหาร”

หลี่เฉินไม่สนใจฟังคำอธิบายของเฉินจื้อ

ไม่ว่าเขาจะพูดอะไร ชะตากรรมของเขาก็ถึงวาระแล้ว ตั้งแต่วินาทีที่หลี่เฉินพบเขายืนอยู่หน้าห้องบรรทมของจ้าวหรุ่ย

ด้านหลังของหลี่เฉิน มีทหารสวมเครื่องแบบห่านป่าปีกคู่สองนายเดินเข้ามา

เมื่อเห็นเครื่องแบบของทหารสองนายนั่น เฉินจื้อก็ตาเบิกกว้างอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“หน่วยบูรพา องครักษ์เสื้อแพร!?”

นับตั้งแต่องครักษ์เสื้อแพรจากหน่วยบูรพาก่อตั้งมา พวกเขาก็เชื่อฟังแค่คำสั่งขององค์จักรพรรดิเท่านั้น

ก่อนหน้านี้แม้จะติดตามหลี่เฉินกับฮองเฮาไปที่วังสุทธาสวรรค์ด้วยกัน แต่สถานะของเฉินจื้อก็ไม่มีสิทธิ์เข้าไปได้ จึงไม่รู้ว่าภายในเวลาสั้นๆ มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของต้าฉินเกิดขึ้นในพระราชวังสุทธาสวรรค์

สีหน้าของเฉินจื้อเปลี่ยนไปอย่างมาก เขารู้ดีว่าเมื่อตกอยู่ในมือของหน่วยบูรพา เขาจะถึงวาระอย่างแน่นอน

“ข้าเป็นญาติห่างๆ ของใต้เท้าจ้าวหัวหน้าสภาขุนนางคนปัจจุบัน และเป็นหัวหน้าองครักษ์ของฮองเฮาอีกด้วย เจ้าไม่มีสิทธิส่งข้าให้หน่วยบูรพา!” เฉินจื้อตะโกน

“ส่งเจ้าให้หน่วยบูรพา? เจ้าคิดมากไปแล้ว”

หลี่เฉินกล่าวเสียงเย็นชา “ลากตัวไร้ค่าที่ดูหมิ่นข้าไปหน้าตำหนัก แล้วโบยร้อยไม้”

เมื่อได้ยินคำสั่ง เฉินจื้อก็หวาดกลัวขึ้นมา

โบยร้อยไม้ อาจฟังดูไม่รุนแรงเท่ากับการตัดศีรษะ แต่ในการลงโทษของต้าฉิน ไม้ที่ใช้สำหรับการลงโทษนั้นจะเป็นไม้เท้าที่ยาวเท่ากับคน และกว้างสองฝ่ามือ เมื่อตีไปที่นักโทษ ตะปูเล็กๆ บนผิวไม้เท้าก็จะเจาะเข้าไปในร่าง นอกจากนี้ผู้ลงทัณฑ์จะใช้แรงทั้งหมดในการตี

การลงโทษด้วยไม้เช่นนี้ แค่สิบครั้งก็เพียงพอที่จะทำให้คนธรรมดาพิการได้

แต่ร้อยไม้นั้น ท่อนล่างของเฉินจื้อคงเละเป็นโคลนแน่

“หลี่เฉิน! เจ้ากล้าตีข้าจนตายเหรอ? ฮองเฮากับใต้เท้าจ้าว ไม่ปล่อยเจ้าไปแน่!”

ทหารองค์รักษ์หน่วยบูรพาสองนายจับเฉินจื้อ ขณะที่เฉินจื้อดิ้นไม่หยุดพลางตะโกนด่าไปด้วย

“ใต้เท้าจ้าวที่เจ้าพูดถึง ก็เป็นแค่ขุนนางของราชวงศ์ แต่ข้าคือตัวแทนของราชวงศ์ แม้จะตีเจ้าจนตาย เจ้าจะทำอะไรได้ และจ้าวเสวียนจีจะทำอะไรได้?”

พูดจบ หลี่เฉินก็หัวเราะอย่างเย็นชา โบกมือแล้วพูดว่า “ลากมันออกไป โบยให้หนัก ตีอย่างระมัดระวัง หากไม่ครบหนึ่งร้อยไม้แล้วคนตายก่อน ไม้ที่เหลือ พวกเจ้าสองคนก็รับแทนเขา”

คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้ทหารที่รับหน้าที่ทั้งสองนายต่างดวงตาเย็นเยียบ พวกเขาคนหนึ่งยกมือขึ้นปิดปากเฉินจื้อ แล้วลากเขาไปที่โล่งหน้าตำหนัก ทหารที่ปิดปากเขาคนนั้นก็ยิ้มเยาะพูดว่า “ขออภัย แต่รับสั่งขององค์รัชทายาท ข้าน้อยไม่กล้าขัดขืน ดังนั้นข้าต้องปล่อยให้ท่านเพลิดเพลินไปกับร้อยไม้นี้”

เสียงกรีดร้องอันน่าสังเวชของเฉินจื้อลอยมาจากด้านนอก ซึ่งหลี่เฉินก็เดินเข้ามาด้านในแล้ว

จ้าวหรุ่ยได้ยินบทสนทนาข้างนอกอย่างชัดเจน และรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น

เสียงโหยหวนของเฉินจื้อ ทำให้จ้าวหรุ่ยหน้าขาวซีด

“กลัวหรือ?”

หลี่เฉินยกมือลูบใบหน้าอันอ่อนโยนของจ้าวหรุ่ยเบาๆ แล้วถาม

จ้าวหรุ่ยเม้มปากแน่น ด้วยความตื่นตระหนก นางจึงถอยหลังโดยสัญชาตญาณ เพื่อหลีกเลี่ยงการจูบของหลี่เฉิน และฝ่ามืออันอุกอาจ

แต่การที่นางหลบ กลับกระตุ้นความสนใจของหลี่เฉินขึ้นมา

เขาคว้าข้อมือของจ้าวหรุ่ยแล้วดึงเบาๆ ร่างของจ้าวหรุ่ยก็ถลาเข้ามาในอ้อมแขนของหลี่เฉิน

“อ๊ะ!”

ขณะที่จ้าวหรุ่ยอุทาน หลี่เฉินก็วางมือของเขาไว้บนเอวอันบอบบางของนาง ค่อยๆ ลูบไล้อย่างช้าๆ พูดพร้อมหัวเราะเบาๆ ว่า “คำตอบของเจ้าเมื่อครู่มันทำให้ข้าพอใจมาก ดังนั้นข้าจึงตัดสินใจจะบอกข่าวดีแก่เจ้า”

ตอนนี้ความสนใจของจ้าวหรุ่ยทั้งหมดมุ่งไปที่มือใหญ่ของหลี่เฉินที่กำลังสร้างปัญหาให้กับแผ่นหลังของนาง แต่เมื่อได้ยินเรื่องนี้ นางก็ถามโดยสัญชาตญาณว่า “ข่าวอะไรเพคะ?”

“เมื่อไม่นานมานี้ เสด็จพ่อทรงให้ข้าองค์รัชทายาทเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ข้าไม่ใช่องค์ชายรัชทายาทในนาม หรือไร้อำนาจอีกต่อไป แต่เป็นองค์ชายที่ใช้อำนาจของฮ่องเต้ในนามของเสด็จพ่อ ตัวแทนของสวรรค์คอยสอดส่องใต้หล้า”

“เฉินจื้อที่โหยหวนอยู่ข้างนอกนั่นเป็นแค่จุดเริ่มต้น หากจ้าวเสวียนจีอยากจะเปลี่ยนราชวงศ์ ช้าเร็วเขาจะเป็นแบบนั้น”

หลี่เฉินใช้นิ้วเชยคางจ้าวหรุ่ยขึ้นมา เพื่อให้มองหน้าตัวเองแล้วกล่าวว่า “ว่าอย่างไร เป็นข่าวดีใช่หรือไม่”

ใบหน้าของจ้าวหรุ่ยเต็มไปด้วยความตกใจและหวาดหวั่น แต่ไม่รอให้นางพูด มือที่วางบนหลังนางก็เลื่อนไปสำรวจส่วนสำคัญของผู้หญิง ทำให้นางร้องอุทานออกมา

“เป็น เป็นข่าวดีเพคะ ฝ่าบาท อย่า...หม่อมฉัน หม่อมฉันยังเจ็บอยู่”

“วางใจเถอะ ครั้งนี้ข้ารับประกันว่า แค่กอด แต่ไม่ทำอะไร”

หลี่เฉินให้คำมั่นสัญญาอย่างจริงใจ ขณะใช้นิ้วมือปลดผ้าคาดเอวของนางออก

“ฝ่าบาท พระองค์บอกว่าจะไม่ทำอะไรไม่ใช่หรือ!”

“ใช่แล้ว แต่ข้าบอกว่าแค่กอด ในเมื่อกอดกัน การสวมเสื้อผ้ามันทำให้ดูไม่ใกล้ชิดกันเท่าไรเลยเจ้าว่าไหม?” หลี่เฉินซุกหน้าไปที่ลำคอของจ้าวหรุ่ยที่ส่งกลิ่นหอมอ่อนๆ พูดคำพูดที่ไร้ยางอายที่สุดด้วยน้ำเสียงที่ไร้เดียงสา สองมือของเขาสัมผัสผิวที่บอบบางและสวยงามที่สุดของผู้หญิง

“ฝ่าบาท โปรดเมตตาหม่อมฉัน หม่อมฉัน...อย่า...”

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 6

    “อย่าอะไร?”จ้าวหรุ่ยในอ้อมแขนดูเหมือนกระต่ายที่หวาดกลัว ดวงตาที่สดใสเต็มไปด้วยความตื่นตระหนกและความสับสนจ้าวหรุ่ยไม่รู้ว่า ยิ่งนางกลัวและอยากจะหนีมากเท่าไร เสน่ห์ที่เป็นธรรมชาติซึ่งแฝงอยู่ในกระดูกของนางก็ยิ่งจะโดดเด่นมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งดึงดูดหลี่เฉินมากขึ้นหลี่เฉินจับเอวที่ไม่มีกระดูกของจ้าวหรุ่ย แล้วหัวเราะอย่างชั่วร้ายที่ข้างหูนาง “อย่าอะไร อย่าไม่ทำอะไรสักอย่าง หรือว่าอย่าหยุดกันแน่?”จ้าวหรุ่ยทั้งอับอายทั้งโมโหคำตอบทั้งสองข้อที่หลี่เฉินกล่าวออกมานั้น ไม่มีข้อไหนที่นางอยากจะพูดนางไม่เข้าใจว่าเหตุใดองค์รัชทายาทที่หลงใหลในตัวนางมาโดยตลอด ถึงได้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ภายในเวลาสั้นๆ ก่อนหน้านี้ นางไม่จำเป็นต้องเคลื่อนไหวมากนัก เพียงแค่ส่งยิ้มจางๆ ก็สามารถทำให้องค์รัชทายาทเชื่อฟังคำพูดของนางได้แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าองค์รัชทายาทจะกลายเป็นปีศาจ และเรียกร้องอย่างตะกละตะกลามอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม“ฝ่าบาท โปรดปฏิบัติต่อหม่อมฉันอย่างทะนุถนอม” จ้าวหรุ่ยอ้อนวอนเสียงสะอื้นหลี่เฉินหยอกล้อจ้าวหรุ่ย ผิวพรรณของนางขาวเหมือนเครื่องเคลือบ นอกจากนี้ยังแดงก่ำเห

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 7

    บทสนทนาระหว่างองครักษ์เสื้อแพรและหลี่เฉินที่ด้านนอกนั้นสามารถได้ยินอย่างชัดเจน“ตายแล้ว...เฉินจื้อตายแล้ว”จ้าวหรุ่ยค่อยๆ หลับตาลง แม้ว่าเตียงจะยังอุ่นอยู่ แต่นางกลับรู้สึกเหมือนอยู่ในฤดูหนาวอันหนาวเย็นนางกับเฉินจื้อ แม้จะเป็นเพียงรักข้างเดียวของเฉินจื้อ แต่ก็ยังนับว่าเป็นคนคุ้นเคยของจ้าวหรุ่ย แต่คนเช่นนั้น ถูกทุบตีจนตายอยู่นอกตำหนักจ้าวหรุ่ยกระทั่งรู้สึกว่า เมื่อคืนนี้ หลี่เฉินจงใจฆ่าเฉินจื้อที่ลานกว้างหน้าประตูตำหนัก และทำเรื่องเช่นนั้นกับนางในห้องนางรู้สึกว่าหลี่เฉินในตอนนี้ไม่เพียงแต่ทำให้นางรู้สึกเหมือนเป็นคนแปลกหน้า แต่ยังน่ากลัวอีกด้วย“ไม่ได้การล่ะ ข้าจะต้องหาโอกาสทูลขอความช่วยเหลือจากฮองเฮา เพื่อจัดการองค์รัชทายาท...” จ้าวหรุ่ยกำผ้าห่มแน่น พลางพึมพำกับตัวเององครักษ์เสื้อแพรสองนายเพิ่งจะไป ขันทีซานเป่าก็มาเยือนเขานำรายงานลับมา และมอบให้หลี่เฉินด้วยความเคารพ“องค์รัชทายาท ของที่พระองต์ต้องการอยู่นี่แล้ว”หลี่เฉินหยิบมันขึ้นมาดู แน่นอนว่าเป็นบันทึกชีวิตประจำวันขององค์ชายเก้าตั้งแต่เมื่อคืนนี้ รวมถึงเวลาและสถานที่ที่เขาไป สิ่งที่เขาพูด ทุกอย่างมีรายละเอียดมาก จนองค์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 8

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้หลี่เสวียนหน้าซีดเขารีบตอบไปตามจิตใต้สำนึกว่า “ข้า ข้าไม่ได้กบฏ เสด็จแม่และท่านอาจารย์ตกลงจะให้ข้าดูพวกนั้น พวกเขาบอกว่าข้าควรเรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า...”ทันทีที่เขาพูดเช่นนี้ เว่ยเสียนที่กำลังคุกเข่าอยู่ข้างๆ ก็แทบกระอักเลือดออกมาองค์ชายเก้าเหตุใดจึงไร้ความคิดเช่นนี้ คำพูดเช่นนั้นกล่าวออกมาง่ายๆ ได้อย่างไร“เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้า?”หลี่เฉินจับจุดอ่อนของหลี่เสวียนได้ น้ำเสียงของเขาสูงขึ้นสองส่วน “เรียนรู้กิจการของรัฐล่วงหน้าเพื่ออะไร? หรือว่าเจ้าอยากให้เสด็จทรงสวรรคต จากนั้นก็เอาตำแหน่งของข้าไป?”ในที่สุดหลี่เสวียนก็รู้ตัวว่าเพิ่งพูดอะไรออกไปเขาหน้าซีด คุกเข่าลงเสียงดังตุบ รีบอธิบายด้วยความตื่นกลัวว่า “พี่รอง ข้า ข้าไม่ได้มีความหมายเช่นนั้น...”เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น สาวใช้ส่วนตัวของหลี่เสวียนจึงถอยหลังออกไปอย่างเงียบๆ และวิ่งตรงไปที่วังฮองเฮา“จะมีความหมายเช่นนั้นหรือไม่ ข้าจะมาคิดบัญชีกับเจ้าทีหลัง”หลี่เฉินพูดจบ เขาก็หันไปสั่งขันทีซานเป่าว่า “หูหนวกเหรอ? หรือจะให้ข้าลงมือเอง?”ขันทีซานเป่าได้ยินก็รีบลุกขึ้นยืน สั่งองครักษ์

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 9

    คำพูดของหลี่เฉิน ทำให้จ้าวชิงหลานตัวแข็งทื่อหลี่เฉินเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อยๆ ใกล้จนทั้งสองสามารถสัมผัสลมหายใจของกันและกันได้อย่างชัดเจนจ้าวชิงหลานกำลังดิ้นรนอยู่ในใจ นางรู้สึกว่าไม่สามารถเป็นแบบนี้ต่อไปได้แต่หลี่เฉินดูเหมือนจะไม่เกรงกลัวอะไรเลย และยังคงเขยับเข้ามาต่อภายในห้องโถงเงียบสงบอย่างน่าประหลาด มีเพียงเสียงเสื้อผ้าที่เสียดสีกันซึ่งเกิดจากการทะเลาะกันระหว่างทั้งสองร่าง และมีเสียงหอบหายใจเป็นครั้งคราวความรู้สึกของการเป็นหัวขโมยนั้น ทำให้หลี่เฉินรู้สึกตื่นเต้นมากยิ่งขึ้นเมื่อเห็นฮองเฮาผู้เป็นมารดาของแผ่นดินถูกเขากระตุ้นให้โกรธและอับอาย หลี่เฉินก็รู้สึกเหมือนมีไฟลุกอยู่ในใจ“นี่คือพระราชวังหงส์สราญ ที่ประทับของฮองเฮา เจ้า เจ้าไม่กลัวตายจริงหรือ?” จ้าวชิงหลานพูดอย่างร้อนใจ พลางข่มขู่เสียงเบา“กลัวสิ ทำไมจะไม่กลัวตาย ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่ไม่กลัวตาย”หลี่เฉินลุกขึ้นเล็กน้อย ก่อนผลักจ้าวชิงหลานลงบนเบาะขนาดใหญ่ด้วยท่าทางก้าวร้าว และมองลงมาที่เสด็จแม่ของเขา ​​ผู้หญิงที่หายใจถี่อยู่ใต้ร่างเขาจ้าวชิงหลานทั้งตกใจทั้งกลัว“ดังนั้น พวกเราต้องเบาๆ เสียงหน่อยนะ”คำพูดของหลี่เ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 10

    ครึ่งชั่วโมงต่อมา เหลยนั่วซานเสนาบดีกรมครัวเรือนก็มาถึงเมื่อมาถึงห้องสีเจิ้งในตำหนักบูรพา เหลยนั่วซานประสานมือ และกล่าวอย่างไม่เป็นทางการกับหลี่เฉินว่า “กระหม่อมเหลยนั่วซาน เข้าเฝ้าองค์รัชทายาท”หลี่เฉินมองเหลยนั่วซานด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ และกล่าวว่า “เจ้าขุนนาง พบข้ายังไม่คุกเข่าอีกหรือ?”เหลยนั่วซานยิ้มเยาะ และพูดอย่างมั่นใจว่า “แน่นอนว่ากระหม่อมเป็นขุนนาง แต่ตามกฎบรรพชนนั้น กระหม่อมคุกเข่าคารวะให้เพียงฮ่องเต้ ฮองเฮา และไทเฮาเท่านั้น สำหรับองค์รัชทายาท แค่ประสานมือคารวะก็พอ”ปึงหลี่เฉินกระแทกสาส์นกราบทูลข้อราชการในมือลงโต๊ะเสียงดังปึง “เนื่องจากข้าเป็นผู้ดูแลประเทศ พบข้าเท่ากับพบเสด็จพ่อ ข้าที่อยู่ตรงหน้าเจ้าในตอนนี้ คือตัวแทนของเสด็จพ่อ เจ้าพบแล้วไม่คารวะ นับเป็นอาชญากรรมร้ายแรง!”ด้วยเสียงปังดังนี้ องครักษ์เสื้อแพรหลายคนจึงรีบเข้ามาในห้องโถงทันที และจ้องมองไปที่เหลยนั่วซานด้วยเจตนาฆ่า ราวกับว่าแค่หลี่เฉินสั่ง พวกเขาก็จะกระโจนใส่เหลยนั่วซานในทันที เหลยนั่วซานสะดุ้งตกใจเขาไม่คาดคิดว่าหลี่เฉินที่เพิ่งดูแลประเทศ จะไม่เล่นไปตามบทด้วยวิธีนี้ พวกเขาจะใช้อำนาจของฮ่องเต้โดยตรงเพ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 11

    หลังจากพูดจบ หลี่เฉินมองไปที่สวีฉังชิง และพูดอย่างใจเย็น “ตอนนี้ตำแหน่งเสนาบดีกรมครัวเรือนขาดคน ข้าได้วางโอกาสไว้ตรงหน้าเจ้าแล้ว หากเจ้าทำสำเร็จ เจ้าจะได้เป็นเสนาบดีคนต่อไป แต่ถ้าหากจัดการได้ไม่ดี ข้าแทนที่ด้วยคนอื่น เจ้าเข้าใจความหมายหรือไม่?”สวีฉังชิงใจเต้นไม่เป็นส่ำ เขาคุกเข่าเสียงดัง “กระหม่อม เต็มใจทำเพื่อฝ่าพระบาท!”ตั้งแต่สมัยโบราณผลประโยชน์มักจะดึงดูดใจผู้คนเสมอ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นตำแหน่งผู้นำกรมคนหนึ่ง หัวหน้ากรมครัวเรือนมีหน้าที่ดูแลเรื่องเงินและอาหารของประเทศ มันยิ่งใหญ่เกินกว่าที่คนทั่วไปจะจินตนาการได้หลังจากส่งสวีฉังชิงออกไป ก่อนที่หลี่เฉินจะจิบชา ซานเป่าก็มาถึง“ฝ่าบาท หน่วยบูรพาได้รับข่าวว่า ทูตของเซียนเฉามาถึงเมืองหลวงเมื่อไม่กี่เดือนก่อน และกำลังติดต่อกับเจ้าหน้าที่ขุนนางใหญ่ในเมืองหลวง โดยสัญญาว่าจะทำกำไรมหาศาล และต้องการกระตุ้นให้จักรวรรดิส่งกองกำลังไปยังเซียนเฉา เพื่อ แก้ปัญหาวิกฤติจากการถูกตงอิ๋งรุกราน”รายงานของซานเป่าทำให้หลี่เฉินขมวดคิ้วเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อนี้ สถานการณ์ในเมืองหลวงมีความซับซ้อนอยู่แล้ว และกองกำลังต่างๆ ล้วนปะปนกัน เพียงแค่กระต

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 12

    เฉินจิ้งชวนที่หมอบอยู่ที่พื้นก็สะดุ้งตกใจขึ้นมา เขากัดฟันตอบไปว่า “ทูลองค์รัชทายาท กระหม่อม...”“ตามระเบียบมารยาทของต้าฉิน พ่อค้าอยู่ในระดับที่ต่ำที่สุด ประตูบ้านสูงไม่เกินสามเมตร ขั้นบันไดมีเพียงแค่สี่ขั้น จำนวนตะปูที่ประตูต้องไม่เกินสามสิบหกตัว และไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นเจ้าของที่ดินในเมืองหลวง เฉินจิ้งชวน เจ้ากำลังเหยียบย่ำระเบียบมารยาทของต้าฉิน และปฏิบัติต่อมันเหมือนไม่มีค่างั้นหรือ?”หลี่เฉินพูดขัดคำพูดของเฉินจิ้งชวนด้วยน้ำเสียงเนิบนาบแม้ว่าน้ำเสียงของคำพูดเหล่านี้จะไม่แยแส แต่ก็แฝงเจตนาฆ่าที่เย็นชาท่ามกลางจิตสังหาร องครักษ์เสื้อแพรหลายสิบคนเฝ้าดูอย่างกระตือรือร้น ดูเหมือนว่าตราบใดที่องค์รัชทายาทออกคำสั่ง ทุกคนในตระกูลเฉินก็จะกลายเป็นเนื้อบดทันทีเฉินจิ้งชวนรู้สึกหวาดกลัว เขาทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษา และขอให้เขาเพิกเฉยต่องานเลี้ยงขององค์รัชทายาท เพราะไม่อยากอยู่คั่นกลางระหว่างองค์รัชทายาทและราชสำนัก พวกเขาไม่อยากตกเป็นเหยื่อท่ามกลางการแย่งชิงอำนาจของเชื้อพระวงศ์และขุนนางแม้ว่าเมื่อราชวงศ์นี้ก่อตั้งขึ้นไม่มีใครกล้าก้าวข้ามระเบียบมารยาท แต่ตอนนี้ราชวงศ์นี้มีมานานกว่า 200 ปีแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 13

    สองคำที่เย็นชา จิตสังหารพุ่งพรวดราวกับปรอทตกลงบนพื้นดวงตาของเฉียนฮั่นเบิกกว้าง เขาหายใจเข้าลึก ๆ จนลืมหายใจออกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่าหลี่เฉินจะกล้าหาญเพียงนี้และต้องการจะสังหารเขาทันทีสำหรับองครักษ์เสื้อแพรแห่งหน่วยบูรพา ในสายตามีแต่เชื้อพระวงศ์เท่านั้น ไม่สนใจเหล่าขุนนางระดับสูง ภารกิจของพวกเขา ขุนนางระดับสูงคือศัตรูตามธรรมชาติของพวกเขาหลังจากได้รับคำสั่งของหลี่เฉิน องครักษ์เสื้อแพรทั้งสองก็ชักดาบออกมาทันที และภายใต้แสงดาบส่องประกาย เสียงกรีดร้องของเฉียนฮั่นดังโหยหวนราวกับเสียงผีร้อง เลือดสาดกระจาย เฉียนฮั่นถูกฟันล้มลงกับพื้น ทว่าการขัดขืนและร้องโหยหวนของเขา กลับแลกมากับแสงดาบที่รุนแรงยิ่งขึ้นท้ายที่สุดแล้ว เสียงร้องโหยหวนของเฉียนฮั่นก็อ่อนแอลง ร่างกายเต็มไปด้วยเลือดในวินาทีสุดท้ายของจิตสำนึก เขาได้ยินเพียงเสียงของหลี่เฉินอันเย็นชาและโหดเหี้ยมราวกับเทพเจ้าเหนือสวรรค์ทั้งเก้าและน่าเกรงขามอย่างยิ่ง“ข้าน้อยเฉียนฮั่น ในฐานะขุนนางรับส่งสารแห่งสำนักสารบรรณกลาง ขุนนางขั้นสามระดับสูงของราชสำนัก มิได้สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอันล้นพ้น ลืมคำสอนของบรรพชนผู้ทรงภูมิปัญญา มิได้จงรักภักด

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 902

    "นอกจากนี้ หากชายหญิงผู้มีศรัทธาแรงกล้าประสงค์จะบวช ทางการก็จะไม่ขัดขวาง""และสุดท้าย เส้าหลินสามารถเป็นตัวแทนราชสำนักในการควบคุมบรรดาสำนักในยุทธภพได้"ทันทีที่คำพูดสุดท้ายหลุดจากปาก สีหน้าของเจี้ยว่างที่ดูสงบไม่สะทกสะท้านมาตลอดก็พลันเปลี่ยนไป เขาเงยหน้ามองหลี่เฉินทันทีการตอบสนองของเจี้ยว่างนั้น หลี่เฉินล้วนคาดการณ์ไว้แล้ว เขาไม่กังวลเลยว่าเจี้ยว่างจะไม่สนใจข้อเสนอการได้เป็นผู้นำในยุทธภพเป็นสิ่งที่บรรดาสำนักใหญ่ต่างใฝ่ฝันและแย่งชิงกันมาหลายร้อยปีแม้เส้าหลินจะเป็นสำนักที่มีบารมีสูงส่งในหมู่สำนักต่างๆ แต่หากประกาศตัวเองว่าเป็นอันดับหนึ่งในยุทธภพ คงถูกบรรดาสำนักอื่นๆ รุมประณามสำนักในยุทธภพล้วนมีประวัติยาวนานเป็นร้อยปี ไม่มีใครยอมรับว่าเส้าหลินเหนือกว่าตนแต่หากราชสำนักมอบตำแหน่งที่มีการรับรองอย่างเป็นทางการให้เส้าหลินในการควบคุมยุทธภพ แม้จะถูกหัวเราะเยาะ แต่ก็คงเป็นเพียงพวกที่อิจฉาเท่านั้นยิ่งไปกว่านั้น สำหรับเส้าหลิน การมีตำแหน่งอย่างเป็นทางการจะช่วยเพิ่มโอกาสในการรับศิษย์และผู้ศรัทธาใหม่ๆการสืบทอดและการบำรุงศาสนจักร เป็นสิ่งที่เส้าหลินต้องการมากที่สุดในตอนนี้ดังนั้น ข้อ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 901

    หลี่เฉินวางถ้วยชาลง มองพระเฒ่าฝั่งตรงข้ามพลางกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผู้ที่บ่อนทำลายบ้านเมือง ไม่เคยเป็นเรื่องที่จะเกิดขึ้นได้ในวันสองวัน หรือแม้กระทั่งในรุ่นเดียว บางครั้งจุดเริ่มต้นของเรื่องนั้นอาจมาจากความตั้งใจที่ดี แต่เมื่อเป็นการปกครองโดยมนุษย์ ความผิดพลาดในแนวคิดของผู้สืบทอดย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้”“ปฐมจักรพรรดิแห่งราชวงศ์นี้ ได้ทรงบัญญัติกฎหมายเพื่อควบคุมศาสนาทั่วหล้า ในฐานะทายาทรุ่นหลัง ย่อมไม่มีทางเปลี่ยนแปลงแนวทางนี้ได้โดยง่าย”พระเฒ่าขมวดคิ้วเล็กน้อยเขาสัมผัสได้ถึงความยากลำบากของสิ่งที่ตนกำลังจะทำ จากท่าทีของหลี่เฉินแต่เมื่อคิดถึงความเสื่อมถอยของพุทธศาสนาในช่วงหลายปีที่ผ่านมา พระเฒ่าก็มีบางคำที่ต้องเอ่ย และบางสิ่งที่ต้องลงมือทำเขาถอนหายใจเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “องค์ชาย ในเมื่อท่านยอมเปิดโอกาสพูดคุยกับอาตมา แสดงว่ายังมีทางอื่นอีก”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ก่อนกล่าวว่า “แน่นอนว่าย่อมมีทาง”“ข้าขอถามท่านอาจารย์ว่า ที่ท่านว่ามานั้นเกี่ยวข้องกับเส้าหลินฝ่ายใต้หรือเส้าหลินฝ่ายเหนือ?”พุทธศาสนาในจักรวรรดิต้าฉิน โดยมีเส้าหลินเป็นศูนย์กลาง แต่เส้าหลินนั้นแยกออกเป็นสองฝ่าย คือเส้

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 900

    หลี่เฉินยกถ้วยชาขึ้นจิบอีกครั้ง ก่อนจะวางลงและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “กฎหมายข้อนี้ แม้จะมีถ้อยคำเพียงไม่กี่ร้อยคำ แต่ก็เหมือนกับคาถาที่รัดคอไว้แน่น พุทธและเต๋าต่างไม่สามารถกลับไปสู่ยุคเฟื่องฟูเช่นราชวงศ์ก่อนหน้านี้ได้ ท่านอาจารย์ที่มาในวันนี้ ก็เพื่อขอให้ข้าเปิดทางให้พวกเจ้าใช่หรือไม่?”พระสงฆ์ตอบตรงไปตรงมา“ใช่”หลี่เฉินยิ้มบาง “ข้าชอบความตรงไปตรงมาของท่าน แต่ท่านคิดว่าข้าจะยอมเปลี่ยนกฎที่บรรพชนตั้งไว้เพียงเพราะคำพูดไม่กี่คำหรือ?”“จะบอกให้รู้ไว้ ข้าคิดว่ากฎหมายข้อนี้เป็นกฎหมายที่ยอดเยี่ยม เป็นผลงานชิ้นเอกที่สะท้อนถึงความเฉลียวฉลาดและวิสัยทัศน์อันกว้างไกลของบรรพชน มันช่วยป้องกันปัญหานับไม่ถ้วนที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง และท่านอยากให้ข้าทำลายมันง่ายๆ อย่างนั้นหรือ?”พระสงฆ์ยังคงสงบนิ่งและพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “บรรพชนของพวกเราก็พยายามทำให้พุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเช่นกัน แต่ตลอดกว่า 360 ปีที่ผ่านมา ก็ไม่เคยประสบความสำเร็จ นั่นแสดงให้เห็นถึงความยากลำบากของมัน”“องค์ชายเป็นผู้มีปัญญา ย่อมไม่อาจถูกหลอกลวงหรือถูกชักจูง ข้าจึงไม่คิดจะใช้เล่ห์กลกับท่าน ข้ามาเพียงเพื่อขอร้อง ให้ท่านช่วยเปิ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 899

    แม้แต่ซานเป่าเองยังรู้สึกว่า ท่าทีขององค์รัชทายาทในวันนี้ค่อนข้างกดดันและคุกคามเกินไปแต่พระสงฆ์ผู้เฒ่าหลังจากที่แสดงความโกรธไปชั่วครู่ กลับสงบนิ่งราวกับไม่รู้สึกอะไรอีก เขาพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม “องค์ชายทรงเป็นผู้ที่ผู้คนคาดหวังและยอมรับโดยทั่ว พุทธศาสนาเพียงขอทางรอด ไม่ได้หวังเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับอำนาจทางโลก ขอให้องค์ชายทรงเมตตา”ดวงตาของหลี่เฉินหรี่ลงเล็กน้อยแม้ว่าเขาจะไม่มีความชอบต่อศาสนาใดๆ แต่เขาไม่เคยปฏิเสธที่จะใช้ประโยชน์จากทุกอย่างที่สามารถนำมาสนับสนุนการปกครองของเขาได้ยิ่งไปกว่านั้น จ้าวเสวียนจียังไม่ได้ถูกกำจัด บรรดาอ๋องต่างแคว้นยังคงจับตาดูอยู่ และการควบคุมจักรวรรดิต้าฉินของเขายังไม่ถึงจุดที่สามารถวางใจได้ การสนับสนุนจากพุทธศาสนาอาจเป็นกองกำลังลับที่ช่วยพลิกสถานการณ์ได้และถึงอย่างไร เขาก็ไม่คิดที่จะผลักพวกพระไปเข้ากับฝ่ายศัตรู"ที่นี่ไม่เหมาะที่จะพูดเรื่องนี้"หลี่เฉินหันไปสั่งซานเป่า "จัดหาที่ที่เงียบสงบสักแห่ง"ซานเป่ารับคำสั่งและรีบไปดำเนินการสำหรับซานเป่าแล้ว การหาที่เงียบสงบใกล้ๆ ไม่ใช่เรื่องยากเพียงเวลาไม่กี่อึดใจ เขาก็กลับมาพร้อมสถานที่เรียบร้อยเขาเลื

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 898

    "ช่างเป็นคำพูดที่ดี”หลี่เฉินหัวเราะเย็นชา "เช่นนั้นก็ลองดูกันสักตั้ง""ซานเป่า"เพียงแค่ได้ยินคำสั่งจากหลี่เฉิน ร่างกายของซานเป่าก็รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาคำพูดเดินทางมาถึงจุดที่ไม่อาจถอยหลังกลับได้อีกแล้ว และหลี่เฉินก็แสดงเจตนาชัดเจนว่า เขาต้องการให้พระสงฆ์ตรงหน้าได้ลิ้มรสพลังของอำนาจจักรวรรดิถูกต้อง หลี่เฉินตั้งใจจะให้พระเฒ่าผู้นี้ได้ลิ้มรสชาติของอำนาจกษัตริย์ภายใต้ระบอบศักดินาว่าเป็นเช่นไรด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมานับพันปี หลี่เฉินรู้ดีว่าการจัดการศาสนาในทุกรูปแบบนั้นต้องใช้ความระมัดระวังไม่ว่าจะเป็นพุทธศาสนาหรือลัทธิเต๋า ซึ่งเป็นสองศาสนาหลักของแผ่นดินจีน หรือแม้แต่พวกตูลูหรือพระลามะในท้องถิ่น ที่แม้จะเป็นศาสนาสาขาเล็กๆ ก็ยังสามารถระดมศิษยานุศิษย์มาสร้างแนวคิดแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ที่แฝงความคิดกบฏปลอมๆ ได้ดังนั้น หากไม่จำเป็นจริงๆ หลี่เฉินก็ไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสองศาสนาใหญ่เหล่านี้เพราะเหตุใดเล่า? ก็เพราะพวกนี้รับมือยากยิ่งส่วนลัทธิอย่างสำนักบัวขาว ซึ่งเป็นศาสนาเทียมและความเชื่อปลอมๆ นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่แยกออกไปแต่พระสงฆ์ตรงหน้ากลับเป็นฝ่ายเข้าหาเขาเอง และหลี่เฉินก็

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 897

    “ถอยไป ข้าจะคุยกับเขาเอง” หลี่เฉินโบกมือให้ซานเป่าถอยออกไปซานเป่ายังคงระวังตัวสูงสุด เขาจ้องมองพระสงฆ์ผู้มีท่าทางสงบนิ่งและเปี่ยมไปด้วยความเมตตาตรงหน้า แต่ภายในใจกลับรู้สึกกังวล “แต่องค์ชาย…”“ตอนนี้ถ้าเขาต้องการฆ่าข้า เจ้าจะหยุดเขาได้หรือ?”คำถามของหลี่เฉินทำให้ซานเป่าเงียบไประดับครึ่งเซียนบนดิน กับเซียนบนดินเต็มขั้น คือคนละชั้นโดยสิ้นเชิง พลังของพระสงฆ์ตรงหน้าเหมือนอยู่ระหว่างการมีตัวตนและไม่มีตัวตน ซานเป่ารู้ดีว่าเขาไม่สามารถจับตำแหน่งที่แน่ชัดของอีกฝ่ายได้เลยจากสัญชาตญาณ ซานเป่ารู้ว่าหากพระสงฆ์ลงมือเต็มกำลัง ในระยะนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะไม่สามารถปกป้ององค์ชายได้ แม้แต่ชีวิตของเขาเองก็อาจจะรักษาไว้ไม่ได้ภายในเวลาเพียงสามลมหายใจ คนทั้งหมดในบริเวณนี้อาจถูกสังหารจนหมดสิ้นแม้มันจะน่ากลัว แต่ก็เป็นความจริงสุดท้าย ซานเป่าจึงกัดฟันแน่นและถอยออกไปอย่างไม่เต็มใจหลี่เฉินกอดอกมองดูพระสงฆ์ผู้มีเสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง แต่เปี่ยมไปด้วยกลิ่นอายเหนือโลก แล้วพูดอย่างสบายๆ ว่า “มีเรื่องอะไร?”พระสงฆ์ยกมือประนมและก้มตัวเล็กน้อย “อมิตาภพุทธ ท่านผู้มีบุญ…”“อย่าเรียกข้าว่าผู้มีบุญเลย”หลี่เฉิ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 896

    หลี่เฉินมองดูท่าทีเฉยเมยของซานเป่าและไม่ได้คาดหวังอะไรไปมากกว่านั้นบางทีอาจเพราะนิสัยที่มั่นคงเช่นนี้ ซานเป่าจึงยังคงอยู่รอดปลอดภัยมาจนถึงทุกวันนี้ในวันนี้ หลี่เฉินต้องการได้ยินความจริงใจจากซานเป่า แต่ถ้าหากซานเป่าพูดความจริงออกมาจริงๆ วันข้างหน้าหลี่เฉินอาจจะไม่พอใจและสูญเสียความไว้วางใจก็เป็นได้จิตใจของกษัตริย์นั้นยากจะหยั่งถึง แม้แต่ตัวหลี่เฉินเองบางครั้งก็ไม่แน่ใจว่าตนคิดอะไรอยู่ แล้วคนอื่นจะเข้าใจได้อย่างไรวันนี้เขาอยากให้ซานเป่าพูดอะไรออกมาสักอย่าง แต่วันพรุ่งนี้เมื่อย้อนคิด เขาอาจรู้สึกไม่ดีแม้แต่หลี่เฉินเองยังเหนื่อนแทนซานเป่าดังนั้นในแบบที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็ถือว่าดีแล้วความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับขุนนางต้องแยกแยะให้ชัดเจน ไม่เช่นนั้นทุกอย่างจะยุ่งเหยิงระหว่างเดินอยู่ในฝูงชน หลี่เฉินพูดขึ้น “การเก็บกวนจือเหวยไว้เพื่อเล่นงานจ้าวเสวียนจีไม่ใช่แผนที่ดี เพราะเขาฉลาดเกินไป”“วันนี้เราสามารถจับตัวกวนจือเหวยได้เพราะจ้าวเสวียนจีไม่รู้ว่าเรามีข้อมูลเกี่ยวกับที่ซ่อนกองกำลังของเขามากเพียงใด ประกอบกับสถานการณ์ที่เร่งรีบทำให้เขาพลาด แต่เมื่อทุกอย่างสงบลง เขาจะต้องรู้ตัวว่าส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 895

    เมื่อได้ยินคำสารภาพของกวนจือเหวย ภรรยาของเขาก็ถึงกับตกใจจนกรีดร้องนางรีบคุกเข่าลงข้างสามีและก้มกราบหลี่เฉินพร้อมทั้งขอร้องอ้อนวอนด้วยน้ำตานองหน้าเมื่อเห็นความผิดปกติของพ่อแม่ ทำให้กวนซานเยว่ที่อยู่ข้างหลี่เฉินละทิ้งขาหมูในมือ แล้วร้องไห้ออกมาเสียงดังท่ามกลางเสียงกราบไหว้ เสียงร้องขอชีวิต และเสียงร้องไห้ของเด็ก ทำให้บรรยากาศยิ่งวุ่นวายขึ้นมาซานเป่าส่งเสียงฮึมด้วยพลังภายใน เสียงดังลั่นนั้นทำให้ความวุ่นวายทั้งหมดยุติลงในทันที“เงียบ!”เขาตำหนิด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “จะร้องไห้ฟูมฟายต่อหน้าองค์ชายเช่นนี้มันไม่เหมาะสม!”จากนั้นซานเป่าหันไปถามกวนจือเหวยด้วยน้ำเสียงดุดัน “เจ้าให้ข้อมูลอะไรแก่จ้าวเสวียนจีไปบ้าง?”กวนจือเหวยตัวสั่นและพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “ไม่มากนักพ่ะย่ะค่ะ จ้าวเสวียนจีไม่ค่อยขอข้อมูลจากกระหม่อม ยิ่งเมื่อกระหม่อมเข้าไปในตำหนักบูรพา เขาก็ยิ่งระมัดระวังขึ้น เขาหวังให้กระหม่อมเข้าไปใกล้ชิดองค์ชายให้ได้มากที่สุด เพื่อใช้ประโยชน์สูงสุด”ซานเป่าพยักหน้า สีหน้าค่อยดีขึ้นเล็กน้อยจากนั้นเขาหันไปมองหลี่เฉินเรื่องที่ควรถามก็ถามแล้ว ตอนนี้รอการตัดสินใจของหลี่เฉินหลี่เฉ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 894

    ลมหายใจของกวนจือเหวยถี่กระชั้น หัวใจเต้นรัวแม้ว่าเมืองหลวงในยามค่ำคืนจะมีอากาศเย็นสบายแต่เหงื่อเย็นกลับไหลลงมาจากหน้าผากของกวนจือเหวย เขากลืนน้ำลายฝืดๆ ก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ “องค์ชายหมายความว่าอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ? กระหม่อมจงรักภักดีเสมอมา”“ใต้เท้ากวน”ซานเป่าที่เฝ้าอยู่ด้านหลังหลี่เฉิน ในที่สุดก็ปริปากเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “ถึงขั้นนี้แล้ว ยังจะปฏิเสธอีกหรือ? องค์ชายเสด็จมาด้วยตัวเอง นั่นคือการให้โอกาสเจ้าเลือกจบเรื่องอย่างมีเกียรติ การที่องค์ชายพูดถึงเวลาที่เจ้าอยู่ในความดูแลของเขานั้น ก็เพื่อบอกให้เจ้ารู้ว่ายังมีความเมตตาต่อเจ้าอยู่ อย่าทำลายความเมตตานี้เสียเปล่า”ร่างกายของกวนจือเหวยสั่นระริก ใบหน้าตึงเครียดอย่างเห็นได้ชัดเขาไม่ได้พูดอะไรไม่รู้ว่าเพราะไม่กล้าพูด หรือไม่รู้จะพูดอะไรดีซานเป่าเห็นหลี่เฉินยังไม่เอ่ยปาก จึงพูดต่อว่า “ใต้เท้ากวนยังจำภารกิจปราบปรามที่ได้รับมอบหมายได้หรือไม่?”“จำได้สิ”กวนจือเหวยฝืนยิ้มและตอบ “ข้าทำภารกิจสำเร็จลุล่วงด้วยดี”“เพราะมัน ดีเกินไปนั่นแหละ”ซานเป่าหัวเราะเย็นชา “ไม่ใช่แค่เจ้า แต่ทั้งสวีฉังชิงและเจิ้งเป่าหรงก็ได

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status