Share

บทที่ 313

Author: ไห่ตงชิง
“แน่นอนว่าในสงครามจะต้องมีคนตาย! บางทีพวกเจ้าบางคนอาจจะไม่กลับมาจากการเดินทางนี้เลย เจ้าจะได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือยิ่งไปกว่านั้นก็คือตายในต่างแดน พวกเจ้าบอกข้าสิ กลัวรึไม่!”

เสียงของหลี่เฉินดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ปกคลุมไปทั่วลานกว้างที่มีคนมากกว่า 3,000 คน ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่น ต่างได้ยินอย่างชัดเจน

เพื่อตอบสนองต่อคำพูดของเขา มีเสียงตะโกนอย่างห้าวหาญจากทหารสามพันคนว่า

“ไม่กลัว!”

“ดี!”

หลี่เฉินหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีเจตนาจะพูดถ้อยคำปลุกขวัญกำลังใจ เพราะคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงถ้อยคำที่ผิวเผิน และไม่มีความเป็นจริงเลย ทหารไม่ต้องการวาทศิลป์เช่นนั้น แต่ข้าจะให้ถ้อยคำที่สามารถใช้งานได้จริง!”

“ข้าขอสัญญาว่า พวกเจ้าทั้งสามพันคนที่ออกไปต่อสู้ในครั้งนี้ คือทหารชั้นยอดที่เก่งที่สุดในต้าฉิน และการรบในครั้งนี้ ตราบใดที่ทหารออกไปต่อสู้ ครอบครัวของพวกเจ้าจะได้รับการยกเว้นภาษีสามปี นอกเหนือจากค่าจ้างทหารแล้ว แต่ละคนจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มอีกสามสิบตำลึง”

“ผู้บาดเจ็บจะได้รับเงินอุดหนุนห้าสิบตำลึง สำหรับคนพิการจะได้รับเงินอุดหนุนหนึ่งร้อยตำลึง และผู้ที่เสียชีวิตจะได้รับเงินอุดหนุนสองร
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 314

    หลี่เฉินจ้องมองซูผิงเป่ยด้วยดวงตาเรืองรอง เขาหันหลังไปหยิบตราพยัคฆ์ทองแดงบนถาดที่ขันทีประคองสองมือชูให้ แล้วยื่นให้ซูผิงเป่ย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “รับตราพยัคฆ์นี้ไป แล้วเจ้าจะควบคุมทหารนับหมื่นมุ่งหน้าสู่เหลียวตง สงครามในครั้งนี้ จะต้องชนะไม่อนุญาตให้พ่ายแพ้!”ซูผิงเป่ยเงยหน้าขึ้น เปลวไฟในดวงตาพลันลุกโชน เขาใช้สองมือรับตราพยัคฆ์ จากนั้นก็หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับทหารทั้งสามพันนาย ชูตราพยัคฆ์ในมือขึ้น พลางตะโกนว่า “สงครามในครั้งนี้ จะต้องได้รับชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!”บนลานกว้าง ทหารสามพันนายได้ชูอาวุธพร้อมกันและตะโกนว่า “ชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!” “ชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!”ถัดมา หลังจากที่รับตราพยัคฆ์แล้ว ซูผิงเป่ยซึ่งกลายเป็นจอมพลตามกฎหมายก็เริ่มออกคำสั่งทันที ถึงจะบอกว่าออกคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น กองทหารปีกไหนควรเดินทัพก่อนหลัง หรือใครควรใช้ในตำแหน่งใด ซูเจิ้นถิงและคนอื่นๆ ได้เตรียมการให้ซูผิงเป่ยไว้หมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะทายาทสายตรงของซูผิงเป่ย ทหารทั้งสามพันนายของเมืองหลวงเหล่านี้ จะถูกจัดให้อยู่ในจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่ส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 315

    คำพูดของหลี่เฉินทำให้จินเสวี่ยยวนตัวสั่น นางพูดออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ระหว่างเสวี่ยยวนกับฝ่าบาท ไม่มีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกัน” “ไม่มี?” หลี่เฉินย้อนถาม จากนั้นไม่รอให้จินเสวี่ยยวนตอบ เขาเชยคางจินเสวี่ยยวนขึ้นมาเพื่อให้นางเงยหน้าขึ้น “มองข้าสิ” จินเสวี่ยยวนไม่มีทางเลือก นอกจากต้องมองไปที่หลี่เฉินในดวงตาที่สดใสของจินเสวี่ยยวน สิ่งที่หลี่เฉินเห็นก็คือความคับข้องใจและความซับซ้อน “เหตุใดฝ่าบาทถึงทำเช่นนี้กับข้า?”จินเสวี่ยยวนสะบัดหน้าหนีจากมือของหลี่เฉินด้วยความเคืองโกรธ และพูดด้วยความโมโห “ข้าไม่ทะนุถนอมเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” แม้หลี่เฉินจะพูดเช่นนี้ แต่มือและเท้าของเขาก็ไม่สะอาด เขาคว้าข้อมือของจินเสวี่ยยวนแล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนของเขา โดยไม่ทันระวังตัว จินเสวี่ยยวนที่ไม่ได้เตรียมแรงต่อต้านใดๆ ก็ถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของหลี่เฉินอย่างแน่นหนานางพยายามต่อสู้กับหลี่เฉินตามสัญชาตญาณ แต่ก็พบว่าตัวเองนั้นไม่มีพละกำลังที่จะต่อต้านหลี่เฉินเลย จินเสวี่ยยวนจึงพูดด้วยความโกรธว่า “นี่คือการทะนุถนอมเช่นนั้นหรือ?” “ก่อนหน้านี้ข้าได้ทำผิดพลาดมาแล้วหลายครั้ง ข้าจะทำผิดพล

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 316

    จินเสวี่ยยวนยืนอยู่กับที่ จ้องมองเงาร่างของหลี่เฉินที่ค่อยๆ ห่างออกไป ทันใดนั้นความคิดของนางก็ดูเหมือนจะพลิกตลบกลับไปกลับมา และเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน “องค์หญิง”ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่เสียงเรียกเบาๆ ของสาวใช้ข้างกาย ก็ทำให้จินเสวี่ยยวนกลับมามีสติอีกครั้ง “พวกเราควรไปได้แล้ว” จินเสวี่ยยวนกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า นางหันหลังและเดินไปได้สองก้าวก่อนจะหยุด จากนั้นก็หันกลับไปยังทิศทางที่หลี่เฉินจากไป “เจ้าว่า ในอนาคตพวกเราจะมีโอกาสมาที่เมืองหลวงอีกครั้งหรือไม่?”สาวใช้เป็นคนเรียบง่าย นางยิ้มแล้วพูดว่า “รอจนกว่ากองทัพต้าฉินไปถึงประเทศของพวกเรา และทุบตีพวกตงอิ๋งจนแตกกระเจิง เมื่อสันติภาพในเสียนเฉากลับคืนมา เราจะมาขอบคุณอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น องค์หญิงจะไม่สามารถมาที่เมืองหลวงได้อีกหรือ?”ฟันที่ขาวราวกับหิมะของจินเสวี่ยยวนขบเม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “จริงหรือ...ข้าหวัง ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับองค์หญิงในวันนี้ นางเอียงคอแล้วถามว่า “องค์หญิง พระองค์ทรงอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือเปล่า? หรือกำลังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศ?”“องค์หญิง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 317

    เขาเลือกถนนสายหลักอย่างไม่ลังเลเขารู้ดีว่าการประหยัดเวลาไปกว่าครึ่งนั้น มันช่วยประหยัดเวลาไปได้แค่ครึ่งเค่อเท่านั้น เมื่อเทียบกับเวลาครึ่งเค่อนี้ การส่งข้อมูลไปยังหน่วยบูรพาอย่างปลอดภัยนั้นสำคัญกว่า เมื่อได้เดินท่ามกลางฝูงชน เสียงจอแจของผู้คนรอบตัวเขาก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงมีความรู้สึกว่าถูกจับตามองที่ด้านหลัง ตอนนี้เอง ก็มีมือข้างหนึ่งตบบนไหล่ของเขาโดยไม่มีบอกกล่าวล่วงหน้า เขาตกใจมากเพราะท้ายที่สุดแล้วตัวเขาเองก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง แต่การที่มีคนเข้ามาหาเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวนั้น ก็เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายเก่งกว่าเขามาก “เจ้าเป็นใคร!”หน่วยลับคนนั้นแม้ภายนอกจะดูเข้มแข็ง แต่ภายในกลับขี้ขลาดตาขาว เขาจ้องมองไปที่ชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา คนหนึ่งสูง คนหนึ่งคนเตี้ย แล้วตะคอกเสียงดัง จากนั้นชายร่างสูงผอมก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ชาย ข้าแค่มีบางอย่างจะถาม ไม่ต้องกังวลขนาดนี้ไปหรอก”ถึงแม้ว่าชายร่างสูงผอมที่อยู่ตรงหน้าเขาจะยิ้มอย่างร่าเริง แต่ความรู้สึกอันเย็นชาที่เหมือนกับว่าตกเป็นเป้าหมายของสัตว์ร้ายนั้นไม่ได้หายไป มิหนำซ้ำ ยังทวีความรู้สึกที่รุน

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 318

    “สิ่งที่ท่านอ๋องกับหม่อมฉันกำลังวางแผนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเชื่อใจกัน พระปรีชาญาณของท่านอ๋องนั้นไม่ธรรมดา หม่อมฉันไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ท่านอ๋องย่อมเข้าใจเป็นธรรมดา”สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวเสียงราบเรียบ “ตามที่เราได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันรับหน้าที่ในการลอบสังหาร ส่วนท่านอ๋องรับหน้าที่ในการหาโอกาสและวางแผน”“พวกเรารออยู่ในเมืองหลวงมาสักระยะแล้ว วันนี้ฝ่าบาทได้เชิญหม่อมออกมา นอกจากการทดสอบแล้ว พระองค์ทรงมีแผนอะไรบ้างไหม?” หลี่อิ๋นหู่ตอบว่า “มีแผนแน่นอน”“อีกไม่นาน หลังจากเริ่มต้นปีใหม่ จะเป็นวันที่ทางตำหนักบูรพามอบสินสอดทองหมั้นให้กับซูจิ่นพ่า บุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ ตำหนักบูรพากับจวนแม่ทัพใหญ่กำลังจะเกี่ยวดองกัน องค์รัชทายาทต้องการอภิเษกสมรสซูจิ่นพ่า บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ซูเจิ้นถิงเป็นพระชายา และตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นนี้ไป องค์รัชทายาทก็จะออกจากตำหนักบ่อยขึ้น เพื่อเสด็จไปพบกับซูจิ่นพ่า ข้าวางแผนที่จะล่อองค์รัชทายาทออกจากพระตำหนักแล้วลอบสังหารเขา”“เวลานี้เป็นเทศกาลตรุษจีน การป้องกันของทุกฝ่ายก็ผ่อนคลายลงพร้อมๆ กัน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของปี หากพลาด ก็

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 319

    “สูงส่งมากนักเหรอ!”หลี่อิ๋นหู่กัดฟันพูดประโยคหนึ่ง จากนั้นรูปลักษณ์และรูปร่างที่ไม่มีใครเทียบได้ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา ดวงตาที่เย็นชาก็ปรากฏเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา หลายปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขาก็คืออำนาจเดิมทีเขาคิดว่าตัวเองคงไม่สนใจผู้หญิง และจะไม่ถูกผู้หญิงล่อลวงโดยเด็ดขาดแต่หลังจากพบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลี่อิ๋นหู่ก็ค้นพบว่านอกจากอำนาจแล้ว ยังมีบางสิ่งที่สามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้ถ้าวันหนึ่งข้าสามารถมีสตรีเช่นนี้อยู่ใต้ร่างได้ จะรู้สึกอย่างไรกันนะ...ลมหายใจของหลี่อิ๋นหู่พลันถี่รัว เขายกจอกเหล้าขึ้นมาแล้วเงยหน้าเพื่อดื่ม แต่อย่างไรก็ตาม สุราฤทธิ์ร้อนแรงก็ไม่อาจดับไฟในกายของเขาได้ กลับกัน ยังทำให้เปลวไฟลุกโชนมากยิ่งขึ้น “มานี่” หลี่อิ๋นหู่หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก ข้างหลังเขามีชายชราคนหนึ่งเดินออกมาราวกับภูติผีชายชราผู้นี้ คือชายชราที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องลับภายในจวนของหลี่อิ๋นหู่วันนั้น“ท่านอ๋อง” ชายชรายืนอยู่ข้างหลังหลี่อิ๋นหู่ และพูดด้วยความเคารพ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ของสำนักบัวขาว เจ้าได้สังเกตนางอย่างละเอี

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 320

    ชายชราก้มศีรษะลงและพูดด้วยความเคารพ “ท่านอ๋องทรงทะเยอทะยานมาก กระหม่อมยินดีจะบุกน้ำลุยไฟ และสละชีวิตเพื่อท่านอ๋อง!”หลี่อิ๋นหู่กล่าวอย่างพอใจว่า “ดีมาก ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเลวร้าย เมื่อข้าประสบความสำเร็จ พวกเจ้าทุกคน จะได้เป็นขุนนางตามมังกร[footnoteRef:1] ส่วนเจ้าคือผู้ที่มีผลงงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!” [1: ขุนนางตามมังกร หมายถึง กลุ่มคนที่สนับสนุนองค์ชายหรือเชื้อพระวงศ์ชายจนสามารถขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิได้] ดวงตาของชายชราเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เขามองไปที่หลี่อิ๋นหู่ ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองได้เห็นวันที่พวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว ขณะเดียวกัน ในตำหนักบูรพา“เตาดินเผาใบเล็กจากดินแดง เหล้าต้มใหม่ลอยน้ำดั่งมดเขียว ยามราตรีหิมะโปรยปราย ขอร่วมเมาซักจอกได้หรือไม่?”ในสวนดอกไม้ด้านหลังของตำหนักบูรพา หลี่เฉินซึ่งสวมชุดผ้าไหมสีเหลืองสดใส กำลังทำบางสิ่งบางอย่างกับเตาถ่านขนาดเล็กและตรงข้ามเขาก็คือ ซูจิ่นพ่าที่สวมเสื้อคลุมผ้าต่วนปักลายอันงดงาม ขนตาสีขาวหิมมะบนใบหน้าเล็กๆ เผยท่าทางโกรธเคืองอย่างน่ารักเมื่อเห็นเหล้าเหลืองเดือดปุดๆ บนเตาถ่าน หลี่เฉินก็ยกกาเหล้าขึ้นมา จากนั้นก็โยนบ๊วยส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 321

    “ไม่ใช่ว่าอัจฉริยะทั้งสองประเภทนี้จะไม่มี เพียงแต่ว่าอัจฉริยะเช่นนี้ ไม่มีปรากฏในราชวงศ์มาร้อยปีแล้ว บางทีอาจจะมีขึ้นแล้ว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ได้มารับใช้ข้า ดังนั้นสำหรับข้าพวกเขาจึงไม่มีอยู่จริง”เมื่อเห็นซูจิ่นพ่ามีท่าทีครุ่นคิดแต่ยังคงไม่สบายใจ หลี่เฉินก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ขุนนางไม่ได้แบ่งแยกดีเลว ไม่ว่าพวกเขาจะโลภหรือว่าซื่อสัตย์ก็ตาม สำหรับข้าก็แค่ว่า คนแบบไหนสามารถใช้การได้ในสถานการณ์แบบไหน ตราบใดที่มีประโยชน์ ไม่ว่านิสัยจะเป็นเช่นไร มันก็ไม่สำคัญ” “แน่นอนว่าขุนนางที่ซื่อสัตย์ก็ควรใช้ แต่ไม่สามารถใช้มากเกินไป ส่วนขุนนางโลภควรใช้ให้มากขึ้น แต่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ซูจิ่นพ่าก็ดูตกใจเล็กน้อยกับวิธีใช้คนของหลี่เฉินนางรู้สึกว่านี่คือหลักการที่ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติกับเรื่องนี้“เอาล่ะ นี่เป็นเทคนิคของจักรพรรดิ เจ้าเป็นผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งนี้” หลี่เฉินกล่าวซูจิ่นพ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจทันที “ผู้หญิงแล้วอย่างไร? ราชวงศ์ก่อนยังมีมู่หลาน แต่สตรีในราชวงศ์นี้กลับอ่อนแอกว่างั้นหรือ? หลายครั้งก็มีเรื่องที่ผู้

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 922

    ในอดีต อู๋ชิงชาง เคยมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่แม่ทัพแห่งต้าฉิน ทุกคนต่างคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น เทพแห่งสงครามคนที่สอง แต่ในเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด เขากลับ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต้าสิงฮ่องเต้เพียงประกาศพระราชโองการสั้นๆ ว่ามีภารกิจอื่น จากนั้นก็ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่งและริบอำนาจทางทหารทั้งหมด หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินข่าวของเขาอีกเลยจนกระทั่ง อู๋ปานซาน น้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็น แม่ทัพพิทักษ์ด่านเย่ว์หยา ผู้คนจึงหวนรำลึกถึงอดีตของน้องชายของเขาอีกครั้งทว่าจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอู๋ชิงชางหายไปที่ใดหลี่เฉินมองชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดิมทีเจ้าน่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในศาลบูรพกษัตริย์นานถึงยี่สิบปี?"อู๋ชิงชางหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง "สายฟ้าและสายฝน ล้วนเป็นพระเมตตา ออกศึกฆ่าศัตรูเพื่อสร้างชื่อ ย่อมเป็นเรื่องที่เร้าใจ แต่หากฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ข้ากวาดลานศาลบูรพกษัตริย์ไปชั่วชีวิต ก็ถือเป็นภารกิจของข้าเช่นกัน""เหตุผลล่ะ?"หลี่เฉินถามต่อ "เสด็จพ่อไม่มีทางให้เจ้ากวาดศาลบูรพกษัตริย์โดยไม่มีเหตุผลแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 921

    หลี่เฉินถึงกับตกตะลึงเขาไม่คาดคิดว่าชายตรงหน้าจะกล่าวถึง ต้าสิงฮ่องเต้ ว่าเป็นจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพเมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เสด็จพ่อของเขาครองราชย์มาหลายปี แต่กลับไม่มีผลงานใดโดดเด่นนักคลังหลวงก็ยังคงขัดสนด้านการบริหารบ้านเมืองก็ไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรม ส่วนทางด้านการทหาร ขนาดค่าจ้างทหารยังแทบจะหาไม่ได้ แค่สามารถรักษาสถานะปัจจุบันของจักรวรรดิไว้ได้ ก็นับว่าดีแล้ว เช่นนี้แล้ว ไฉนจึงจัดอยู่ในอันดับสามของจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพได้?ชายผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินต้องเกิดความฉงน เขาจึงกล่าวว่า "สิ่งที่ผู้คนเห็น มักเป็นเพียงสิ่งที่มีคนอยากให้เห็น สำหรับราชวงศ์นี้ มีหลายเรื่องที่ฝ่าบาทไม่ประสงค์ให้คนภายนอกรับรู้ ดังนั้น คนที่เข้าใจความจริงจึงมีน้อยยิ่งนัก"คำพูดนี้เหมือนพูดไปเปล่าๆหลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจคำกล่าวนั้นแม้แต่น้อยในสายตาของเขา ต้าสิงฮ่องเต้แม้จะมีวิธีการที่น่าสะพรึงบ้าง แต่หากพูดถึงการบริหารบ้านเมืองแล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทำให้ต้าฉินรุ่งเรืองขึ้นแม้แต่น้อยชายผู้นั้นสังเกตเห็นสีหน้าของหลี่เฉินที่ดูไม่แยแส จึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ความจริงแล้ว เมื่อฝ่าบา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 920

    "ผู้คนต่างสรรเสริญ จักรพรรดิอู่จง ว่าเป็นผู้สร้างเกียรติภูไม่อันยิ่งใหญ่ให้ต้าฉินนับแต่สมัยไท่จู่พวกเขายังสรรเสริญ จักรพรรดิเหวินจง ว่าเป็นผู้สร้างยุคทองแห่งวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองยาวนานถึงสามสิบปีแต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ระหว่างอู่จงกับเหวินจง ยังมีจักรพรรดิ จิ่งเหรินจง ซึ่งในปีแรกที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ต้องเผชิญกับคลังหลวงที่ว่างเปล่าเพราะสงครามยาวนาน และราษฎรที่ยากจนถึงขีดสุดประเทศที่เต็มไปด้วยทหาร ผู้คนชินชากับการรบพุ่ง และราชสำนักที่ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งสงครามจนเกินพอดี""จิ่งเหรินจง ครองราชย์ได้สิบห้าปี ตลอดเวลานี้ พระองค์ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูชีวิตราษฎร และสะสางปัญหาที่ อู่จงฮ่องเต้ ทิ้งไว้ให้ แต่ยังทำให้คลังหลวงมีเงินสะสมกว่า สามหมื่นล้านตำลึงเงิน ก่อนส่งราชบัลลังก์ต่อให้เหวินจงฮ่องเต้ ด้วยรากฐานที่มั่นคงเช่นนี้ การสร้างยุคทองทางวัฒนธรรมของเหวินจงจึงไม่ใช่เรื่องยาก""กล่าวได้ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของความสำเร็จแห่งยุค ต้องยกให้แก่ จิ่งเหรินจง"หลี่เฉินฟังจบก็เห็นพ้องต้องกันแท้จริงแล้ว ฮ่องเต้ที่ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลัง หลายพระองค์ไม่ได้สร้างความสำเร็จด้วยพระองค์เองทั้งหมดตั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 919

    ภายในศาลบูรพกษัตริย์ พื้นที่กว้างขวางโอ่อ่าทอดยาวขึ้นสู่เพดานสูงลิ่ว ด้านหน้ามุขหลักคือกำแพงทั้งผืนที่เรียงรายด้วยพระบรมสาทิสลักษณ์ของเหล่าฮ่องเต้แห่งต้าฉินในอดีตตรงกลางส่วนบนสุด โดดเด่นที่สุด คือภาพวาดและป้ายวิญญาณของปฐมจักรพรรดิต้าฉิน—ไท่จู่ถัดลงมา คือฮ่องเต้รุ่นต่อมา เช่น ไท่จง ซื่อจง เกาจง ไล่เรียงลงมาเป็นลำดับตามสายโลหิตแล้ว คนเหล่านี้ก็คือบรรพชนของร่างกายที่หลี่เฉินสวมอยู่ในตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ภายในศาลบูรพกษัตริย์ กลับยังมีชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ปลายผมเริ่มแซมขาว แต่ร่างกายยังดูแข็งแกร่งกำยำ กำลังปัดกวาดพื้นอยู่เมื่อสายตาหลี่เฉินสบกับเขา อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาเช่นกันทั้งสองไม่รู้จักกันมาก่อนแต่การที่พบกันในสถานที่แห่งนี้ ย่อมทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในตัวตนของอีกฝ่าย“ท่านเป็นใคร?” หลี่เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนชายคนนั้นวางไม้กวาดลง ก่อนตอบเรียบๆ “เพียงราษฎรแห่งต้าฉินเท่านั้น”หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “ต้าฉินมีราษฎรเป็นล้านๆ คน แต่ผู้ที่เข้ามาที่นี่ได้ มีเพียงหยิบมือเดียว”“ก็จริง”ชายคนนั้นพยักหน้า ก่อนแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 918

    เหล่าแม่ทัพทำงานให้ราชสำนักจนสุดกำลัง แต่สุดท้ายกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือ ครอบครัวของพวกเขาถูกจับเป็นตัวประกัน เช่นนี้แล้วใครเล่าจะยอมรับได้?ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งแม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านเย่ว์หยานั้นมีหน้าที่และอำนาจสำคัญยิ่ง หากข่าวเรื่องนี้รั่วไหลออกไป และตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีเจตนาร้าย ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือปั่นป่วนเบื้องหลัง ย่อมอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงดังนั้น เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในความลับที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิต้าฉิน ซึ่งมีเหตุผลอันสมควรทว่า ความลับเช่นนี้ ไฉนต้าสิงฮ่องเต้จึงบอกกับซูเจิ้นถิงไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน?พระองค์ทรงคาดการณ์แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน พระองค์ก็ได้ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างของจ้าวเสวียนจีแล้ว?ข่าวที่มาถึงอย่างกะทันหัน ทำให้ความคิดของหลี่เฉินสับสนในทันทีเขารู้สึกอย่างประหลาด ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ล้วนดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การเตรียมการของเสด็จพ่อผู้ที่นอนอ่อนแรงอยู่บนพระแท่นบรรทมอำนาจของหน่วยบูรพา พันธไมตรีทางการเมืองของตระกูลซู แม้กระทั่งความลับท

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 917

    คำพูดของซูเจิ้นถิงทำให้หลี่เฉินรู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือสถานะของซูเจิ้นถิง หากเขาสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าด่านเย่ว์หยาจะไม่ก่อกบฏ เช่นนั้น เรื่องนี้ก็มีความน่าเชื่อถืออยู่มากหลี่เฉินขบคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า "แม่ทัพซู ด่านเย่ว์หยาไม่อาจเกิดเรื่องได้ และยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ให้กองทัพเหลียวบุกเข้ามาได้"ซูเจิ้นถิงยิ้มขื่น กล่าวว่า "หลักการคือเช่นนั้น แต่ด่านเย่ว์หยาเป็นระบบปิดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ราชสำนักเลย แม้แต่หนิงอ๋องที่พยายามทุกวิถีทางมาตลอดหลายปีเพื่อเจาะเข้าไปในด่านเย่ว์หยาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ หากจ้าวเสวียนจีได้วางหมากเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เราอยากจะพลิกสถานการณ์ให้ได้ในเวลาอันสั้นก็เป็นเรื่องยากเยี่ยงขึ้นสวรรค์""ภายในด่านเย่ว์หยา มีทหารพร้อมรบหกหมื่นนาย ทั้งหมดล้วนเป็นทหารผ่านศึกและทหารชั้นยอด นอกจากนี้ยังมีทหารสำรองอีกไม่น้อยกว่าสิบหมื่นคน พวกเขาทำงานปกติในยามสงบ แต่ก็ฝึกซ้อมอยู่เสมอ หากแนวป้องกันของด่านเย่ว์หยาตกอยู่ในภาวะวิกฤติ คนเหล่านี้สามารถสวมเกราะ หยิบอาวุธ และเข้าร่วมรบได้ในทันที""นอกจากนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวป้องกันด่านเย่ว์หยา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 916

    คำกล่าวของสวีฉังชิงในตอนนี้ ทำให้สวีจวินโหลวรู้แจ้งประหนึ่งเปิดประตูสู่ปัญญาเขารู้สึกราวกับตนได้เปิดมุมมองใหม่ในการทำงาน อีกทั้งยังได้เปิดประตูสู่หัวใจของผู้คน"ท่านลุง หลานได้รับคำสอนแล้ว"สวีจวินโหลวถอยหลังหนึ่งก้าว ค้อมกายคารวะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ "ก่อนหน้านี้ หลานเคยคิดว่าตนสอบผ่านเป็นทั่นฮวาในการสอบจอหงวน จึงมักมีความเย่อหยิ่งอยู่บ้าง และไม่ค่อยเห็นค่าของเหล่าขันทีและข้ารับใช้ในตำหนักบูรพา""แต่บัดนี้ หลานเข้าใจแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะมีฐานะหรือที่มาสูงต่ำเพียงใด หากสามารถเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพียงเช่นนี้ การทำงานจึงจะราบรื่น และสามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ความเย่อหยิ่งของบัณฑิต แท้จริงแล้วไร้ซึ่งประโยชน์โดยสิ้นเชิง"เมื่อเห็นว่าสวีจวินโหลวเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการสื่อ สวีฉังชิงก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนักเขาตบไหล่ของสวีจวินโหลวอย่างหนักแน่น พร้อมกล่าวว่า "ไปเถิด วันนี้ลุงหลานเราดื่มกันให้เต็มที่สักหน่อย!"ณ พระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินกำลังจิบชาร่วมกับซูเจิ้นถิง"องค์รัชทายาททรงวางแผนอย่างรอบคอบ คิดว่าใต้เท้าสวีคงเข้าใจได้" ซูเจิ้นถิงรับฟังเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 915

    เมื่อขันทีจากไป สีหน้าหม่นหมองของสวีฉังชิง ก็จางหายไปโดยสิ้นเชิง ในใจของเขาตอนนี้มีเพียง ความรู้สึกขอบคุณและความตื่นเต้นเขารู้สึกขอบคุณองค์รัชทายาทที่ทรงพระเมตตา และรู้สึกตื่นเต้นที่ตระกูลสวีกำลังมีโอกาสรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งการได้รับตำแหน่งภรรยาขุนนางขั้นห้า ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าองค์รัชทายาทยังให้ความสำคัญกับตระกูลของเขาเมื่อนึกถึงอนาคตที่อาจมีกลุ่มขุนนางที่นำโดยตระกูลสวีเกิดขึ้นในราชสำนัก สวีฉังชิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งร่างเขาโบกมืออย่างตื่นเต้นและกล่าวเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคน! วันนี้เบี้ยเลี้ยงของพวกเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกสองเดือน! และให้โรงครัวเตรียมอาหารอย่างดี ทุกคนในจวนสามารถกินดื่มได้เต็มที่!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ข้ารับใช้ในจวนต่างส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจสวีฉังชิงหัวเราะเสียงดัง แต่เมื่อเขาหันกลับมาก็เห็น สวีจวินโหลวทำท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ลังเล“เป็นอะไรไป?” สวีฉังชิงเอ่ยถามสวีจวินโหลวอึกอักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ท่านลุง...ขันทีที่มาส่งพระราชโองการนั้น ในตำหนักบูรพายังมีตำแหน่งต่ำกว่าข้าเสียอีก ถือว่าเป็นคนใต้บังคับบัญชาข้า ข้าควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่าง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 914

    ราชโองการหนึ่งฉบับ เนื้อหาไม่ยาวนักแต่ในคำไม่กี่ประโยคนั้น กลับเป็นสัญลักษณ์ของ พระมหากรุณาธิคุณและความไว้วางพระทัยอย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลสวีในราชวงศ์นี้ภรรยาขุนนางชั้นห้า ได้รับการแต่งตั้งเพียงน้อยนิด ต้าสิงฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เฉพาะเชื้อพระวงศ์และขุนนางใกล้ชิดไม่กี่คนเท่านั้นในช่วงแรกที่ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็ไม่มีการแต่งตั้งอีกเลยแต่ภายใต้การปกครองขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน มารดาของจ้าวหรุ่ยเป็นคนแรก นางหลิวแห่งตระกูลสวีเป็นคนที่สองนี่เป็นสัญญาณว่า สถานะของสองลุงหลานแห่งตระกูลสวีในตำหนักบูรพานั้นมั่นคงอย่างยิ่งสวีฉังชิงถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความตื้นตันต่างจากสวีจวินโหลวที่ยังเยาว์วัย คิดเพียงแต่ความปลาบปลื้ม เขากลับคิดไปไกลกว่านั้นเขาตระหนักได้ทันทีว่า นี่คือรางวัลและการปลอบโยนจากองค์รัชทายาทองค์รัชทายาทกำลังบอกเขาผ่านสวีจวินโหลวว่า ตำหนักบูรพายังคงไว้วางใจเขา ความพยายามของเขาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา องค์รัชทายาทล้วนมองเห็นด้วยความซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง เขาคุกเข่ากราบลงกับพื้น ศีรษะกระแทกกับพื้นอย่างแรง สวีฉังชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "กระหม่อม ขอบพระทัยในพระมห

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status