จินเสวี่ยยวนยืนอยู่กับที่ จ้องมองเงาร่างของหลี่เฉินที่ค่อยๆ ห่างออกไป ทันใดนั้นความคิดของนางก็ดูเหมือนจะพลิกตลบกลับไปกลับมา และเต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อน “องค์หญิง”ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหน แต่เสียงเรียกเบาๆ ของสาวใช้ข้างกาย ก็ทำให้จินเสวี่ยยวนกลับมามีสติอีกครั้ง “พวกเราควรไปได้แล้ว” จินเสวี่ยยวนกัดริมฝีปากแล้วพยักหน้า นางหันหลังและเดินไปได้สองก้าวก่อนจะหยุด จากนั้นก็หันกลับไปยังทิศทางที่หลี่เฉินจากไป “เจ้าว่า ในอนาคตพวกเราจะมีโอกาสมาที่เมืองหลวงอีกครั้งหรือไม่?”สาวใช้เป็นคนเรียบง่าย นางยิ้มแล้วพูดว่า “รอจนกว่ากองทัพต้าฉินไปถึงประเทศของพวกเรา และทุบตีพวกตงอิ๋งจนแตกกระเจิง เมื่อสันติภาพในเสียนเฉากลับคืนมา เราจะมาขอบคุณอย่างแน่นอน ถึงตอนนั้น องค์หญิงจะไม่สามารถมาที่เมืองหลวงได้อีกหรือ?”ฟันที่ขาวราวกับหิมะของจินเสวี่ยยวนขบเม้มริมฝีปากเบาๆ ก่อนจะพูดว่า “จริงหรือ...ข้าหวัง ข้าหวังว่าจะเป็นเช่นนั้น”สาวใช้รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติกับองค์หญิงในวันนี้ นางเอียงคอแล้วถามว่า “องค์หญิง พระองค์ทรงอารมณ์ไม่ดีอยู่หรือเปล่า? หรือกำลังกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ภายในประเทศ?”“องค์หญิง
เขาเลือกถนนสายหลักอย่างไม่ลังเลเขารู้ดีว่าการประหยัดเวลาไปกว่าครึ่งนั้น มันช่วยประหยัดเวลาไปได้แค่ครึ่งเค่อเท่านั้น เมื่อเทียบกับเวลาครึ่งเค่อนี้ การส่งข้อมูลไปยังหน่วยบูรพาอย่างปลอดภัยนั้นสำคัญกว่า เมื่อได้เดินท่ามกลางฝูงชน เสียงจอแจของผู้คนรอบตัวเขาก็ทำให้เขารู้สึกปลอดภัยมากขึ้นเล็กน้อย แต่ยังคงมีความรู้สึกว่าถูกจับตามองที่ด้านหลัง ตอนนี้เอง ก็มีมือข้างหนึ่งตบบนไหล่ของเขาโดยไม่มีบอกกล่าวล่วงหน้า เขาตกใจมากเพราะท้ายที่สุดแล้วตัวเขาเองก็ถือว่าเป็นปรมาจารย์คนหนึ่ง แต่การที่มีคนเข้ามาหาเขาโดยที่เขาไม่รู้ตัวนั้น ก็เห็นได้ชัดว่า อีกฝ่ายเก่งกว่าเขามาก “เจ้าเป็นใคร!”หน่วยลับคนนั้นแม้ภายนอกจะดูเข้มแข็ง แต่ภายในกลับขี้ขลาดตาขาว เขาจ้องมองไปที่ชายสองคนที่อยู่ตรงหน้าเขา คนหนึ่งสูง คนหนึ่งคนเตี้ย แล้วตะคอกเสียงดัง จากนั้นชายร่างสูงผอมก็กล่าวยิ้มๆ ว่า “พี่ชาย ข้าแค่มีบางอย่างจะถาม ไม่ต้องกังวลขนาดนี้ไปหรอก”ถึงแม้ว่าชายร่างสูงผอมที่อยู่ตรงหน้าเขาจะยิ้มอย่างร่าเริง แต่ความรู้สึกอันเย็นชาที่เหมือนกับว่าตกเป็นเป้าหมายของสัตว์ร้ายนั้นไม่ได้หายไป มิหนำซ้ำ ยังทวีความรู้สึกที่รุน
“สิ่งที่ท่านอ๋องกับหม่อมฉันกำลังวางแผนไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ด้วยเหตุนี้เราจึงต้องเชื่อใจกัน พระปรีชาญาณของท่านอ๋องนั้นไม่ธรรมดา หม่อมฉันไม่จำเป็นต้องพูดอะไรมาก ท่านอ๋องย่อมเข้าใจเป็นธรรมดา”สตรีศักดิ์สิทธิ์กล่าวเสียงราบเรียบ “ตามที่เราได้ตกลงกันไว้ก่อนหน้านี้ หม่อมฉันรับหน้าที่ในการลอบสังหาร ส่วนท่านอ๋องรับหน้าที่ในการหาโอกาสและวางแผน”“พวกเรารออยู่ในเมืองหลวงมาสักระยะแล้ว วันนี้ฝ่าบาทได้เชิญหม่อมออกมา นอกจากการทดสอบแล้ว พระองค์ทรงมีแผนอะไรบ้างไหม?” หลี่อิ๋นหู่ตอบว่า “มีแผนแน่นอน”“อีกไม่นาน หลังจากเริ่มต้นปีใหม่ จะเป็นวันที่ทางตำหนักบูรพามอบสินสอดทองหมั้นให้กับซูจิ่นพ่า บุตรสาวของท่านแม่ทัพใหญ่ ตำหนักบูรพากับจวนแม่ทัพใหญ่กำลังจะเกี่ยวดองกัน องค์รัชทายาทต้องการอภิเษกสมรสซูจิ่นพ่า บุตรสาวของแม่ทัพใหญ่ซูเจิ้นถิงเป็นพระชายา และตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นนี้ไป องค์รัชทายาทก็จะออกจากตำหนักบ่อยขึ้น เพื่อเสด็จไปพบกับซูจิ่นพ่า ข้าวางแผนที่จะล่อองค์รัชทายาทออกจากพระตำหนักแล้วลอบสังหารเขา”“เวลานี้เป็นเทศกาลตรุษจีน การป้องกันของทุกฝ่ายก็ผ่อนคลายลงพร้อมๆ กัน นี่เป็นโอกาสที่ดีที่สุดของปี หากพลาด ก็
“สูงส่งมากนักเหรอ!”หลี่อิ๋นหู่กัดฟันพูดประโยคหนึ่ง จากนั้นรูปลักษณ์และรูปร่างที่ไม่มีใครเทียบได้ของสตรีศักดิ์สิทธิ์ก็ผุดขึ้นมาในหัวของเขา ดวงตาที่เย็นชาก็ปรากฏเปลวเพลิงลุกโชนขึ้นมา หลายปีที่ผ่านมา สิ่งเดียวที่อยู่ในใจของเขาก็คืออำนาจเดิมทีเขาคิดว่าตัวเองคงไม่สนใจผู้หญิง และจะไม่ถูกผู้หญิงล่อลวงโดยเด็ดขาดแต่หลังจากพบกับสตรีศักดิ์สิทธิ์แล้ว หลี่อิ๋นหู่ก็ค้นพบว่านอกจากอำนาจแล้ว ยังมีบางสิ่งที่สามารถทำให้หัวใจของเขาเต้นแรงได้ถ้าวันหนึ่งข้าสามารถมีสตรีเช่นนี้อยู่ใต้ร่างได้ จะรู้สึกอย่างไรกันนะ...ลมหายใจของหลี่อิ๋นหู่พลันถี่รัว เขายกจอกเหล้าขึ้นมาแล้วเงยหน้าเพื่อดื่ม แต่อย่างไรก็ตาม สุราฤทธิ์ร้อนแรงก็ไม่อาจดับไฟในกายของเขาได้ กลับกัน ยังทำให้เปลวไฟลุกโชนมากยิ่งขึ้น “มานี่” หลี่อิ๋นหู่หายใจเข้าลึกๆ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก ข้างหลังเขามีชายชราคนหนึ่งเดินออกมาราวกับภูติผีชายชราผู้นี้ คือชายชราที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องลับภายในจวนของหลี่อิ๋นหู่วันนั้น“ท่านอ๋อง” ชายชรายืนอยู่ข้างหลังหลี่อิ๋นหู่ และพูดด้วยความเคารพ “สตรีศักดิ์สิทธิ์ของสำนักบัวขาว เจ้าได้สังเกตนางอย่างละเอี
ชายชราก้มศีรษะลงและพูดด้วยความเคารพ “ท่านอ๋องทรงทะเยอทะยานมาก กระหม่อมยินดีจะบุกน้ำลุยไฟ และสละชีวิตเพื่อท่านอ๋อง!”หลี่อิ๋นหู่กล่าวอย่างพอใจว่า “ดีมาก ข้าจะไม่ปฏิบัติต่อเจ้าอย่างเลวร้าย เมื่อข้าประสบความสำเร็จ พวกเจ้าทุกคน จะได้เป็นขุนนางตามมังกร[footnoteRef:1] ส่วนเจ้าคือผู้ที่มีผลงงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด!” [1: ขุนนางตามมังกร หมายถึง กลุ่มคนที่สนับสนุนองค์ชายหรือเชื้อพระวงศ์ชายจนสามารถขึ้นเป็นองค์จักรพรรดิได้] ดวงตาของชายชราเปล่งประกายด้วยความตื่นเต้น เขามองไปที่หลี่อิ๋นหู่ ราวกับว่าพวกเขาทั้งสองได้เห็นวันที่พวกเขาประสบความสำเร็จแล้ว ขณะเดียวกัน ในตำหนักบูรพา“เตาดินเผาใบเล็กจากดินแดง เหล้าต้มใหม่ลอยน้ำดั่งมดเขียว ยามราตรีหิมะโปรยปราย ขอร่วมเมาซักจอกได้หรือไม่?”ในสวนดอกไม้ด้านหลังของตำหนักบูรพา หลี่เฉินซึ่งสวมชุดผ้าไหมสีเหลืองสดใส กำลังทำบางสิ่งบางอย่างกับเตาถ่านขนาดเล็กและตรงข้ามเขาก็คือ ซูจิ่นพ่าที่สวมเสื้อคลุมผ้าต่วนปักลายอันงดงาม ขนตาสีขาวหิมมะบนใบหน้าเล็กๆ เผยท่าทางโกรธเคืองอย่างน่ารักเมื่อเห็นเหล้าเหลืองเดือดปุดๆ บนเตาถ่าน หลี่เฉินก็ยกกาเหล้าขึ้นมา จากนั้นก็โยนบ๊วยส
“ไม่ใช่ว่าอัจฉริยะทั้งสองประเภทนี้จะไม่มี เพียงแต่ว่าอัจฉริยะเช่นนี้ ไม่มีปรากฏในราชวงศ์มาร้อยปีแล้ว บางทีอาจจะมีขึ้นแล้ว แต่อย่างน้อยพวกเขาก็ยังไม่ได้มารับใช้ข้า ดังนั้นสำหรับข้าพวกเขาจึงไม่มีอยู่จริง”เมื่อเห็นซูจิ่นพ่ามีท่าทีครุ่นคิดแต่ยังคงไม่สบายใจ หลี่เฉินก็ยิ้มแล้วพูดว่า “ขุนนางไม่ได้แบ่งแยกดีเลว ไม่ว่าพวกเขาจะโลภหรือว่าซื่อสัตย์ก็ตาม สำหรับข้าก็แค่ว่า คนแบบไหนสามารถใช้การได้ในสถานการณ์แบบไหน ตราบใดที่มีประโยชน์ ไม่ว่านิสัยจะเป็นเช่นไร มันก็ไม่สำคัญ” “แน่นอนว่าขุนนางที่ซื่อสัตย์ก็ควรใช้ แต่ไม่สามารถใช้มากเกินไป ส่วนขุนนางโลภควรใช้ให้มากขึ้น แต่ไม่สามารถใช้ซ้ำได้”เมื่อประโยคนี้หลุดออกมา ซูจิ่นพ่าก็ดูตกใจเล็กน้อยกับวิธีใช้คนของหลี่เฉินนางรู้สึกว่านี่คือหลักการที่ไม่ถูกต้อง แต่เมื่อคิดอย่างรอบคอบแล้ว ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติกับเรื่องนี้“เอาล่ะ นี่เป็นเทคนิคของจักรพรรดิ เจ้าเป็นผู้หญิงไม่จำเป็นต้องเรียนรู้สิ่งนี้” หลี่เฉินกล่าวซูจิ่นพ่ากล่าวด้วยน้ำเสียงไม่พอใจทันที “ผู้หญิงแล้วอย่างไร? ราชวงศ์ก่อนยังมีมู่หลาน แต่สตรีในราชวงศ์นี้กลับอ่อนแอกว่างั้นหรือ? หลายครั้งก็มีเรื่องที่ผู้
ซูจิ่นพ่าไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้น ไม่รู้ว่าตระกูลหลงนี้มาจากไหนแต่นางก็รู้ดีว่าในสถานการณ์ที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ การที่ตระกูลจากมณฑลซีซาน ส่งจดหมายขอเข้าเฝ้ามาที่ ตำหนักบูรพา เกรงว่าเรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องเรียบง่าย “เช่นนั้นข้าขอกลับก่อน”ซูจิ่นพ่าลุกขึ้นยืนคิดอยากจะหลีกเลี่ยงการระแวงสงสัย “กลับไปทำไม”หลี่เฉินวางชามเหล้าในมือลง และเอื้อมมือไปรับจดหมายจากขันที เขากวาดสายตาอ่านอย่างคร่าวๆ และพูดกับซูจิ่นพ่าโดยไม่เงยหน้าว่า “เราตกลงที่จะทานอาหารเย็นด้วยกัน บิดาของเจ้ายุ่งอยู่กับกิจของทหาร ส่วนพี่ชายของเจ้าก็ออกเดินทางไปแล้ว ในเมื่อเจ้าอยู่บ้านคนเดียว ไม่สู้อยู่กับข้าที่นี่จะดีกว่า” ข้าแบบทางการการเปลี่ยนคำแทนตัวอย่างกะทันหันนี้ ทำให้ซูจิ่นพ่ารู้ว่าตอนนี้ หลี่เฉินเข้าสู่บทบาทองค์รัชทายาท และกำลังพูดคุยกับนางในฐานะองค์รัชทายาทหลี่เฉินไม่ใช่หลี่เฉินที่เคยแทนตัวเองว่า ‘ข้า’ แบบก่อนหน้านี้ และนางก็ไม่สามารถทำตัวตามสบายได้ “เพคะ” ซูจิ่นพ่าตอบรับอย่างเบื่อหน่ายด้วยเหตุผลบางอย่าง นางชอบที่จะได้ยินหลี่เฉินเรียกตัวเองว่า ‘ข้า’ อย่างไม่เป็นทางการมากกว่าคำว่าข้านี
แม้ว่าเขาจะไม่มีความสุข แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่คนอย่างหลงเทียนเต๋อจะขอเงินคืนก็แค่เงินสิบตำลึงเท่านั้นเอง แม้ในตอนนี้ด้วยเงินจำนวนนั้นจะสามารถซื้อเด็กสาวที่งดงามได้สามคนก็ตาม แต่สำหรับหลงเทียนเต๋อนั้น ก็แค่ขนหนึ่งเส้นในวัวเก้าตัว เมื่อมองขันทีตัวน้อยจากไป หลงเทียนเต๋อก็กัดฟันและหันไปหาหลงไหวอวี้ลูกชายของเขาแล้วพูดว่า “องค์รัชทายาทผู้นี้จงใจวางอำนาจใส่พวกเรา” “ท่านพ่อ โปรดอดทนไว้”หลงไหวอวี้พูดอย่างใจเย็น “ถ้าเขาต้องการอวดศักดิ์ศรีองค์รัชทายาท ก็ปล่อยให้เขาทำไป สิ่งที่เราต้องการก็คือชัยชนะ ดังนั้นทำไมไม่รอตอนนี้เลย” หลงเทียนเต๋อตาค้าง “ยังจะรออีกหรือ?”“ไม่อย่างนั้นจะทำอย่างไร?”หลงไหวอวี้แบมือแล้วกล่าวว่า “องค์รัชทายาททรงตรัสอย่างชัดเจนว่า หากไม่รอก็กลับไป หรือพวกเราจะกลับไปมณฑลซีซานแล้วรอ? เช่นนั้นการเดินทางในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่จะไร้ประโยชน์ แต่ยังทะเลาะกับองค์รัชทายาทอีกด้วย ในอนาคตคงคุยกันลำบาก” “เขากล้า!?”หลังจากที่หลงเทียนเต๋อพูดจบ เขาก็รู้สึกไม่มั่นใจขึ้นมาทุกวันนี้ จู่ๆ พวกกบฏก็เงียบไป ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ทันทีที่กลุ่มกบฏหยุด กองกำลังท้องถิ่นในมณฑลซีซาน
ที่เย่ลู่กู่จ้านฉีดูเหมือนไร้ศักดิ์ศรีนั้น ไม่ใช่เพราะเขาขี้ขลาด แต่ลองให้ใครก็ตามถูกบังคับให้กินซาลาเปาเพียงสองลูกติดต่อกันสิบกว่าวัน พอเห็นเนื้อก็คงแทบคลั่งเหมือนกันในขณะนั้นเอง ขันทีน้อยคนหนึ่งเดินถือผิงกั่วเข้ามาตรงหน้าเย่ลู่กู่จ้านฉีเย่ลู่กู่จ้านฉีขมวดคิ้วแน่นหมายความว่าอะไร?ผลไม้ก่อนมื้ออาหารหรืออย่างไร?“ท่านอ๋อง ข้าคิดว่า ก่อนกินข้าว เรามาเล่นอะไรสนุก ๆ สักหน่อยดีกว่า ขอความกรุณาท่านอ๋องช่วยเอาผิงกั่ววางไว้บนศีรษะด้วย”คำพูดของหลี่เฉินทำให้เย่ลู่กู่จ้านฉีโกรธจัด“เจ้าคิดจะทำอะไรก็พูดมาตรง ๆ เถอะ ไยต้องใช้วิธีน่าขายหน้าแบบนี้เพื่อดูถูกข้า?”เย่ลู่กู่จ้านฉีรู้สึกว่าหลี่เฉินจงใจทำให้เขาอับอายประหนึ่งลิงในงานแสดงความภาคภูมิใจในฐานะอ๋องเก้าแห่งแคว้นเหลียวทำให้เขาไม่อาจทนรับการดูหมิ่นเช่นนี้ได้แต่ความเป็นจริงที่เขายังคงเป็นนักโทษ ทำให้เขาต้องยอมจำนนแม้จะกัดฟันพูดจาข่มขู่ หลายคำ แต่สุดท้าย เย่ลู่กู่จ้านฉีก็ต้องยกผิงกั่ววางบนศีรษะอย่างว่าง่ายขณะทำตามคำสั่ง เขาก็ปลอบใจตัวเองในใจหึ...ในประวัติศาสตร์ของพวกเจ้า ข้าเคยได้ยินเรื่องนักรบผู้กล้าหาญที่ยอมอดทนต่อความอัปยศเพ
ในเมื่อจะทดลองปืนเป้า ก็ต้องหาเป้าที่เหมาะสมคราวก่อนหลี่เฉินรู้ตัวดีว่า ปืนที่ใช้ก็แค่ไม้สำหรับก่อไฟ ดังนั้นเขาจึงหาต้นไม้ต้นหนึ่งมายิงเล่นไปตามเรื่อง แต่ครั้งนี้ หลี่เฉินต้องการอะไรที่เร้าใจกว่านั้นและไม่มีอะไรจะเป็นเป้าที่เร้าใจได้มากไปกว่าเย่ลู่กู่จ้านฉี อ๋องเก้าแห่งแคว้นเหลียวแล้วเมื่อเย่ลู่กู่จ้านฉี ซึ่งถูกขังอยู่ในเรือนแคบ ๆ มานานเกือบครึ่งเดือน ถูกลากตัวออกมา ใบหน้าของเขาก็เต็มไปด้วยความงุนงง“พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกัน?”เมื่อเห็นหลี่เฉินถือสิ่งของประหลาดอยู่ในมือ เย่ลู่กู่จ้านฉีก็รู้สึกขนลุกเกรียวทันทีโดยไม่รู้สาเหตุหลี่เฉินไม่ได้ตอบคำถามนั้น แต่กลับยิ้มบาง ๆ แล้วพูดขึ้นว่า “ข้ามีข่าวดีจะบอกท่าน แคว้นเหลียวได้รับจดหมายของท่านแล้ว และยอมรับเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ ตอนนี้พวกเขากำลังนำสิ่งของมาแลกเปลี่ยน และอีกไม่เกินสิบวันครึ่งเดือน ท่านก็จะได้กลับไปเป็นอิสระ”เมื่อได้ยินเช่นนี้ เย่ลู่กู่จ้านฉีกำหมัดแน่นด้วยความตื่นเต้น ดวงตาที่มองหลี่เฉินเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจอีกสิบวันครึ่งเดือนเท่านั้น ข้าก็จะได้กลับไปยังแคว้นเหลียว กลับสู่ฐานะอ๋องเก้าแห่งแคว้นเหลียว เมื่อถึงตอนนั้น ข้าจะ
”องค์ชายโปรดวางพระทัย ข้ามีความมั่นใจในกองทหารอยู่ แม่ทัพส่วนมากล้วนภักดีต่อองค์ชายพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงโบกมือหลี่เฉินส่ายศีรษะ กล่าวว่า "แม้ว่าแม่ทัพระดับสูงส่วนใหญ่จะอยู่ฝ่ายเรา แต่พวกแม่ทัพระดับกลางล่ะ?""จงจำไว้ว่าทั้งในกองทัพหรือกรมต่าง ๆ รวมถึงหน่วยงานท้องถิ่น คนที่ทำงานจริง ๆ คือตำแหน่งระดับกลาง พวกเขาคือสะพานเชื่อมระหว่างเบื้องบนกับเบื้องล่าง""หากแม่ทัพระดับกลางจำนวนมากทรยศไป จะทำให้แม่ทัพระดับสูงไม่มีอำนาจในกองทัพ และหากทหารชั้นล่างทั้งหมดตามแม่ทัพระดับกลางไป พวกแม่ทัพระดับสูงก็จะไร้ค่าในทันที""เพราะฉะนั้น เราต้องไม่ประมาท สิ่งที่ควรระวัง ก็ต้องระวัง"ซูเจิ้นถิงกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม "ข้าจะหาทางสับเปลี่ยนตำแหน่งแม่ทัพ พวกที่ไม่จงรักภักดีจะถูกโยกย้ายออกจากตำแหน่งเดิม""นั่นก็เป็นวิธีหนึ่ง"หลี่เฉินกล่าวเสริมว่า "จ้าวเสวียนจีฝังรากลึกในระบบราชการมานาน แม้ว่าเขาจะมีความขัดแย้งกับกองทัพมาโดยตลอด แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีคนของเขาแทรกซึมอยู่ในตำแหน่งสำคัญ ในการควบคุมเมืองหลวง จริง ๆ แล้วไม่ต้องใช้กำลังมากมาย ทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายก็เพียงพอ หรือถ้าเป็นทหารฝีมือดีจริง ๆ แค่เจ็
เมื่อได้ฟังคำอธิบายของโจวผิงอัน หลี่เฉินไม่ได้แสดงความเห็นใด ๆ“ถอยออกไปเถอะ”หลี่เฉินมองดูโจวผิงอันที่ค่อย ๆ ถอยออกไปหลังจากคารวะอีกครั้ง ดวงตาของเขาเป็นประกายวูบไหวไม่หยุดผ่านคืนนี้ไป หลี่เฉินมั่นใจแล้วว่า หากโจวผิงอันมีใจคิดทรยศขึ้นมา เขาจะกลายเป็นคนที่จัดการได้ยากยิ่งกว่าจ้าวเสวียนจีเสียอีกแต่ตอนนี้ หลี่เฉินยังไม่อยากฆ่าโจวผิงอันโจวผิงอันผู้ชาญฉลาดประหนึ่งอสูร มีหรือจะไม่รู้ว่าหลี่เฉินหวาดระแวงเขา?แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังเข้ามาและอยู่ต่อเองหลี่เฉินเองก็ไม่มั่นใจว่า หากฆ่าโจวผิงอัน จะนำพาปัญหาที่ใหญ่กว่ามาหรือไม่ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับผู้สูงส่งกว่าแล้ว การใช้ขุนนางซื่อสัตย์เป็นทักษะหนึ่ง แต่การใช้คนเจ้าเล่ห์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด นับเป็นความสามารถที่ยิ่งใหญ่กว่าโจวผิงอันก็เหมือนดาบสองคมหากใช้ผิด อาจหันกลับมาทำร้ายตัวเองได้แต่ถ้าใช้ให้ดี เขาก็จะกลายเป็นอาวุธที่ทรงพลังหลังจากไตร่ตรองอยู่นาน หลี่เฉินก็ตัดสินใจที่จะอดทนไว้ก่อนด้วยความที่เขาคือผู้มีความรู้จากโลกอนาคตที่ล้ำหน้ากว่ายุคนี้นับพันปี หลี่เฉินเชื่อว่า หากเขาสามารถควบคุมอำนาจได้ทั้งหมด เขาจะสร้างจักรวรรดิที่แข
หลี่เฉินครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ก่อนที่เขาจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “เรื่องการขึ้นครองบัลลังก์ ข้าตัดสินใจเองไม่ได้ เสด็จพ่อยังทรงพระชนม์อยู่ ข้าย่อมไม่อาจปลงพระชนม์ได้”สำหรับหลี่เฉิน นี่ถือเป็นคำพูดที่แสดงออกถึงความจริงใจโจวผิงอันยังคงแสดงสีหน้าสงบนิ่ง ไม่ได้แปลกใจกับคำปฏิเสธนั้น และตอบกลับทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้น ก็ยังมีอีกวิธี”“บีบให้จ้าวเสวียนจีก่อกบฏ”น้ำเสียงของโจวผิงอันเยือกเย็น “ไม่ว่าจะเป็นการที่องค์ชายขึ้นครองบัลลังก์หรือวิธีอื่น เป้าหมายสำคัญที่สุดคือการทำให้จ้าวเสวียนจีไม่มีทางเลือก จนต้องก่อกบฏ เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะถูกประณามจากทั่วหล้า และไม่ว่าองค์ชายจะปลดหรือประหารเขา ก็จะเป็นไปตามครรลองแห่งธรรม”“ขุนนางก่อกบฏ องค์ชายทรงสังหาร นั่นคือความชอบธรรมที่ไม่มีใครปฏิเสธได้”“เช่นนี้ จะช่วยให้ราษฎรสงบปากสงบคำ และยังป้องกันไม่ให้อ๋องแห่งแคว้นทั้งหลายใช้ข้ออ้างว่าราชสำนักสั่นคลอนเพื่อยกทัพมาปราบด้วย”คำพูดนี้กระแทกใจหลี่เฉินโดยตรงทำไมเขาไม่กำจัดจ้าวเสวียนจีตั้งแต่ต้น?เพราะหากใช้วิธีที่ไม่ถูกต้องในการกำจัดจ้าวเสวียนจี ราชสำนักจะเข้าสู่ภาวะอัมพาตทันทีแผ่นดินจะวุ่นวาย
คำพูดสั้นๆ ของโจวผิงอัน เปรียบได้กับพายุที่ทำแผ่นดินสั่นคลอนแม้แต่หลี่เฉินเองก็ยังต้องขมวดคิ้วคำพูดนี้ หากผู้ใดกล่าวออกไป ย่อมถูกนับเป็นกบฏและต้องโทษประหารชีวิต ไม่เพียงตัวเอง แต่ถึงขั้นล้างโคตรทั้งตระกูลแต่ในพระที่นั่งสีเจิ้งที่เงียบสงัดและเต็มไปด้วยบรรยากาศอันชวนอึดอัด กลับรู้สึกว่าเหมาะสมอย่างน่าประหลาดโจวผิงอันดูเหมือนไม่ใส่ใจกับความผิดร้ายแรงในคำพูดของตนเอง เขากล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงสงบ “ในตอนนี้ องค์ชายมีทั้งทำเลที่เหมาะสมและผู้คนที่สนับสนุน สิ่งที่ขาดไปคือโอกาสฟ้าประทาน ซึ่งโอกาสนั้นก็คือการที่ฝ่าบาทเสด็จสวรรคต เมื่อถึงตอนนั้น เส้นทางขึ้นครองบัลลังก์ขององค์ชายจะไร้อุปสรรค และเมื่อขึ้นครองราชย์ได้ จักรพรรดิองค์ใหม่ก็จะสามารถใช้โอกาสแห่งการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินกวาดล้างจ้าวเสวียนจีได้อย่างเบ็ดเสร็จ”หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ เพียงคำเดียว “กบฏ”โจวผิงอันโค้งตัวคำนับ “องค์ชายทรงพระปรีชา”“จ้าวเสวียนจีผู้นี้ เปรียบได้กับจอมคนในยุคปัจจุบัน ในประวัติศาสตร์สามก๊ก มีคำกล่าวเกี่ยวกับโจโฉว่า ‘เป็นขุนนางที่มีฝีมือในยุคแห่งความสงบ และจอมคนในยุคแห่งความปั่นป่วน’ จ้าวเสวียนจีก็คือโจโฉแห่งต้าฉิ
คำพูดของหลี่เฉิน หากพูดให้ใครฟังก็คงทำให้คนฟังเปลี่ยนสีหน้าไปทันที แต่โจวผิงอันกลับไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นเขาเพียงขมวดคิ้วเล็กน้อย แสดงให้เห็นว่าเขากำลังคิดอย่างจริงจังหลี่เฉินไม่ได้เร่งรัด ปล่อยให้โจวผิงอันใช้เวลาครุ่นคิดโจวผิงอันเป็นคนที่มาพร้อมกับความลึกลับ หน่วยบูรพาที่เก่งกาจยังสืบได้เพียงข้อมูลเกี่ยวกับความสัมพันธ์ลับระหว่างเขาและพี่น้องอีกสองคนเท่านั้น และข้อมูลนี้ก็เหมือนจะเป็นสิ่งที่พวกเขาจงใจเปิดเผยเองด้วยส่วนเรื่องที่พวกเขามาจากไหน มีเป้าหมายอะไร และเป็นศิษย์ของใคร กลับไม่มีใครรู้ในแผ่นดินต้าฉิน คนที่ทำให้หน่วยบูรพาทำอะไรไม่ได้มีน้อยมาก และพี่น้องตระกูลโจวก็เป็นหนึ่งในนั้นแต่ความลึกลับนี้ไม่ได้ขัดขวางความร่วมมือระหว่างหลี่เฉินกับโจวผิงอันโจวผิงอันเป็นผู้มีสติปัญญาและกลยุทธ์ที่ยอดเยี่ยม ซึ่งเป็นสิ่งที่หลี่เฉินต้องการสำหรับเป้าหมายและแผนการเบื้องหลังของโจวผิงอัน หลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะถ้าไม่สามารถแก้ไขปัญหาที่อยู่ตรงหน้าได้ เรื่องในอนาคตก็ไม่มีความหมายหลังจากคิดอย่างถี่ถ้วน โจวผิงอันจึงเงยหน้าขึ้นพูดกับหลี่เฉินว่า “ทำได้ แต่ความเสี่ยงสูงมาก”หลี่เฉิน
“อย่าทำตัวเหมือนผู้ชนะที่ได้ใจในสงครามต่อหน้าข้า บอกมาเถอะว่าท่านต้องการให้ข้าทำอะไร”คำพูดที่แข็งกร้าวของจ้าวชิงหลาน ทำให้รอยยิ้มอันภาคภูมิของหลี่เฉินหุบลง“อย่าทำหน้าบึ้งตึงไปเลย สิ่งที่ข้าต้องการให้ท่านทำนั้นง่ายมาก”เมื่อได้ยินดังนั้น จ้าวชิงหลานหัวเราะเยาะ ไม่เชื่อคำพูดนั้นแม้แต่น้อยหลี่เฉินจึงพูดต่อทันที“สิ่งที่ข้าต้องการ คือท่านไม่ต้องทำอะไรเลย”คำพูดนั้นทำให้สีหน้าของจ้าวชิงหลานหยุดนิ่งนางมองหลี่เฉินด้วยความตกตะลึง ดวงตาฉายแววไม่แน่ใจ“ชัดเจนหรือยัง? สิ่งที่ข้าต้องการจากท่านคือ…ไม่ต้องทำอะไรเลย”หลี่เฉินกล่าวเสริมอีกครั้งจ้าวชิงหลานมองเขาอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะเข้าใจความหมายของเขา“ท่านต้องการให้ข้าไม่ให้ความร่วมมือใดๆ กับท่านพ่อของข้า ใช่หรือไม่?” จ้าวชิงหลานกัดฟันถามหลี่เฉินเพียงยิ้มโดยไม่ตอบ เพราะเขารู้ดีว่า จ้าวชิงหลานเข้าใจความหมายของเขาแล้ว“สำหรับจ้าวไท่ไหล ข้าจะจัดการเอง ตราบใดที่เขาว่านอนสอนง่าย ก็จะไม่มีใครทำอะไรเขาได้”พูดจบ หลี่เฉินก็ยืดเส้นยืดสายแล้วเดินออกจากตำหนัก“ถ้าไม่มีอะไรแล้ว ข้าจะขอตัวก่อน ช่วงนี้งานยุ่งมาก”จ้าวชิงหลานกัดริมฝีปาก ม
คำพูดของจ้าวไท่ไหลทำให้จ้าวชิงหลานถึงกับนิ่งอึ้งนางมองดูจ้าวไท่ไหลที่กำลังหมดหนทาง เบื้องหน้านางคือน้องชายที่ไร้ความหวัง จ้าวชิงหลานกัดฟันแน่นก่อนจะกล่าวว่า “เจ้าจะโทษใครได้? หากไม่ใช่เพราะเจ้าไม่เอาถ่าน ใช้ชีวิตก่อปัญหาไปวันๆ”“ถ้าเจ้าทำให้เขาเห็นความหวังบ้าง เขาจะทำเช่นนี้หรือ?”“มันไม่มีประโยชน์อะไรเลย!”จ้าวไท่ไหลที่เต็มไปด้วยความกลัวและความกดดันมาทั้งวัน ทนฟังคำตำหนิของจ้าวชิงหลานไม่ไหว ความโกรธของเขาพุ่งพล่านเขาเอ่ยด้วยความโกรธ “ต่อให้ข้าไร้ค่าเพียงใด ข้าก็ยังเป็นลูกชายแท้ๆ ของเขา! ข้าเป็นสายเลือดตระกูลจ้าว เป็นคนสืบทอดวงศ์ตระกูลของเขา แล้วนี่เขาตอบแทนข้าด้วยการทำเช่นนี้หรือ?”“ที่ผ่านมา ต่อให้เขาตีข้าหรือด่าข้า ข้าก็ยังเคารพและชื่นชมเขาอยู่ในใจ แต่ตอนนี้เล่า? เขาคิดจะส่งข้าไปให้เหวินอ๋องระบายความโกรธ นี่เขาเสียสติไปแล้ว ท่านพี่มองไม่ออกหรือ?”“ตั้งแต่ตำหนักบูรพาเรืองอำนาจ องค์รัชทายาทแย่งอำนาจไปจากมือเขาแทบทั้งหมด เขาก็กลัวมาตลอด กลัวว่าตัวเองจะหมดสิ้นทุกสิ่ง เขาเคยเสวยสุขกับอำนาจมาทั้งชีวิต แต่ตอนนี้กลับคลุ้มคลั่งเพื่อปกป้องมัน!”“เขาส่งพี่ไปให้ฮ่องเต้ก่อน แต่แล้วฮ่อง