จ้าวเสวียนจีไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมาเมื่อจ้าวไท่ไหลเห็นสิ่งนี้ เขาก็กล้าหาญมากขึ้นและรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น“วินาทีแรกที่ข้าสบตากับจิ่นพ่า ข้าก็สาบานแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากนาง!” “หลี่เฉินคือองค์รัชทายาท ข้าไม่กล้าแข่งกับเขา เพราะสู้เขาไม่ได้ แต่ข้าจิ่นพ่าต้องการ!”จ้าวเสวียนจียังคงสงบ เขาถึงกับนั่งลงแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “พูดมา เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่”จ้าวไท่ไหลตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขากล่าวว่า “นิสัยของจิ่นพ่าเป็นเช่นไรข้ารู้ดี นางหยิ่งในศักดิ์ศรีและเย็นชา ไม่มีชายคนใดในใต้กล้าที่สามารถดึงดูดสายตาของนางได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาท นอกจากสถานะที่สูงส่งแล้วเขามีอะไรดีอีกล่ะ? อีกอย่าง สิ่งที่จิ่นพ่าไม่ชอบที่สุดก็คือการใช้สถานะมากดดันคนอื่น ดังนั้นการแต่งงานนี้ จิ่นพ่าไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน” จ้าวไท่ไหลปราดเข้ามาหาจ้าวเสวียนจีด้วยความตื่นเต้น เขาพูดอย่างจริงใจ “ท่านพ่อได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าอยากแต่งงานกับจิ่นพ่า!” จ้าวเสวียนจีมองจ้าวไท่ไหลอย่างจริงจังและพูดว่า “เจ้ากลัวข้ามาตั้งแต่เด็ก และไม่ค่อยขออะไรจากข้า นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าขอร้องข้า”จ้าวไท่ไหลตา
จ้าวไท่ไหลยกมือกุมหน้า เช็ดน้ำตา ขณะเดินออกจากห้องหนังสือระหว่างที่เดินไปยังเรือนตัวเองนั้น เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดว่าผู้หญิงที่เขาคิดถึงทั้งกลางวันและกลางคืนจะถูกองค์รัชทายาทพาตัวไปในไม่ช้า หรือแม้กระทั่งคิดถึงฉากที่เทพธิดาของเขาถูกองค์รัชทายาททำให้แปดเปื้อนในคืนวันแต่งงาน จ้าวไท่ไหลก็รู้สึกราวกับว่า หัวใจของเขากำลังถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟ เจ็บเจียนคลั่ง“ไม่ ข้าจะให้เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้!” จ้าวไท่ไหลสีหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “จิ่นพ่าเป็นของข้า!!!” ……“จะไม่เลือกของขวัญเพิ่มหรือ?”ด้านนอกประตูตำหนักบูรพา หลี่เฉินขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าจ้าวหรุ่ยนำของขวัญง่ายๆ ไปเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นจ้าวหรุ่ยยิ้มอย่างมีเสน่ห์และพูดเบาๆ ว่า “ไม่จำเป็นหรอกเพคะ หม่อมฉันกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่ ไม่ใช่ไปทำเรื่องอื่นใด ของขวัญเหล่านี้อาจไม่เข้าพระเนตรของฝ่าบาท แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอกเพคะ”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “เนื่องจากเจ้าคำนึงถึงความว่างเปล่าของราชสำนัก และความจำเป็นในการใช้เงินทุกที่ จึงช่วยข้าประหยัด เช่นนั้นข
ด้วยการพับขากางเกงขึ้น เท้าที่ขาวอมชมพูจึงเปื้อนไปด้วยโคลนสีดำ ซูจิ่นพ่าเดินออกมาจากทุ่งนา แล้วยืนตรงหน้าหลี่เฉินเพื่อพูดว่า “องค์รัชทายาทเสด็จมาที่นี่เพียงเพื่อกลั่นแกล้งสาวน้อยหรือ?” หลี่เฉินก้มศีรษะลงและมองดูน่องที่ขาวและอ่อนโยนของซูจิ่นพ่าซึ่งเต็มไปด้วยพลังและความยืดหยุ่นของสตรี แม้ว่าเท้าจะเต็มไปด้วยโคลน แต่ก็ยังมองเห็นนิ้วเท้าที่กลมและน่ารัก เขากล่าวชมว่า “สวยมาก ถ้ายิ่งล้างโคลนออกจะยิ่งน่ารัก” ตั้งแต่เด็กจนโต ผู้ชายในวัยเดียวกันปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นองค์หญิง ต่างให้เกียรติและเคารพนาง ไหนเลยจะมีใครพูดจาอุกอาจเช่นนี้ใส่นาง ยิ่งไปกว่านั้น การป้องกันระหว่างชายหญิงของสมัยโบราณ เท้าของสตรีห้ามมิให้ชายที่ไม่ใช่สามีเห็นโดยเด็ดขาด เมื่อโตขึ้น แม้แต่บิดาก็ไม่สามารถมองได้ถึงแม้ว่าซูจิ่นพ่าจะไม่ชอบข้อจำกัดและมารยาทเหล่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของยุคนี้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกเขินอายขึ้นมานางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือของสาวใช้มาคลุมน่องและเท้าของนาง จากนั้นก็พูดด้วยความโกรธว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทราบหรือไม่ว่าสิ่งใดควรมองสิ่งใดไม่ควรมอง?” “ในเมื่อเจ้ากล้าที่จะเ
แหวนหางสุนัขบนนิ้วของนางดูน่าเกลียดมากสำหรับซูจิ่นพ่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หลี่เฉินบอกว่ามันยังมีความหมายพิเศษในประเทศทางตะวันตก ซูจิ่นพ่าก็อยากจะถอดมันออกไปแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เฉิน และดวงตาที่ดูเหมือนจะข่มขู่ ซูจิ่นพ่าจึงได้แต่บ่นงึมงำ แต่ไม่กล้าถอดแหวนวงนี้ออกต่อหน้าหลี่เฉิน“วันนี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ซูจิ่นพ่าถาม“มาพบเจ้า” เมื่อเห็นว่าซูจิ่นพ่ายอมแพ้ความคิดเรื่องการถอดแหวน หลี่เฉินจึงเดินไปข้างหน้าโดยเอามือไพล่หลังด้วยความพึงพอใจ “ข้าไปหาเจ้าที่บ้าน แต่ข้ารับใช้ในจวนบอกว่าเจ้ามาที่ฐานล่าสัตว์ของราชวงศ์ ดังนั้นข้าจึงตามมาที่นี่”ซูจิ่นพ่าเอียงคอแล้วถามว่า “เจ้าไม่ยุ่งเหรอ? อีกสองวันก็จะถึงวันพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ ท่านพ่อและท่านพี่ยุ่งมาก จนแทบไม่เห็นหน้าตลอดทั้งวัน”“พี่ชายของเจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารในการรบครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรก ดังนั้นเขาจะยุ่งเป็นธรรมดา ส่วนบิดาของเจ้า เขาไม่อยากให้ศักดิ์ศรีของตระกูลซูถูกทำลายโดยพี่ชายของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น สนามรบไม่ใช่สนามเด็กเล่น หากการต่อสู้ครั้งนี้พ่ายแพ
จากคำพูดของหลี่เฉิน ซูจินผามองเห็นการวางหมากและแผนการบางอย่างของหลี่เฉินนางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้ นี่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงๆ...แต่ถ้าเราแพ้ล่ะ?”หลี่เฉินกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าจะไม่แพ้!” ……สองวันต่อมา สถานการณ์ในเมืองหลวงก็ค่อยๆ สงบลง ดูเหมือนว่าทุกฝ่ายจะหยุดก่อเรื่องลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสำนักราชเลขาหรือตำหนักบูรพา แม้กระทั่งสายลับหรือคนจากกองกำลังอื่นๆ เช่น สำนักบัวขาวกับอ๋องข้าราชบริพารที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง ก็ยังทำตัวสงบเสงี่ยม สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่เหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งก็คือพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณที่กำลังจะเริ่มขึ้น ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ราชสำนักริเริ่มส่งทหารไปยังต่างแดนและจอมพลในครั้งนี้ก็คือผู้สืบทอดรุ่นที่สามของเทพสงครามซึ่งอายุน้อยและไม่มีประสบการณ์ ซูผิงเป่ยกองทหารที่ส่งออกไปในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากตำหนักบูรพาอย่างแข็งขัน ซึ่งความสำเร็จหรือว่าความล้มเหลวของมัน จะเป็นตัวกำหนดขวัญกำลังใจและสถานะของราชสำนักโดยตรง และยังเป็นตัวกำหนดด้วยว่าพวกหมาป่าจอมทะเยอทะยานเหล่านั้นจะสามารถมองทะลุแก่นแท้ที่อ่อนแอของราชสำนัก และ
เมื่อจ้าวเสวียนจีเห็นว่าการยุแยงตะแคงรั่วล้มเหลว จึงยิ้มเล็กน้อยและไม่สนใจ การยุแยงตะแคงรั่วไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดสองสามประโยค หรือเหตุการณ์สองสามอย่างก็สำเร็จ ส่วนใหญ่จะสะสมไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลาเหมือนน้ำมาคลองก็เกิดสถานะของหลี่เฉินนั้นถูกกำหนดให้ป้องกันคนเบื้องล่างของตัวเองทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะภักดีหรือไม่ก็ตาม เพราะจักรพรรดิถูกกำหนดมาให้โดดเดี่ยว มีหรือจะไว้วางใจผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างแท้จริง? ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ยังเป็นตระกูลซู ตระกูลที่กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ ตราบใดที่ยังหลงเหลือความเคลือบแคลงอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป จ้าวเสวียนจีก็สามารถสร้างรอยร้าวระหว่างหลี่เฉินและซูเจิ้นถิงได้อย่างแน่นอนหลี่เฉินเหลือบมองจ้าวเสวียนจีแวบหนึ่ง แววตาอันชั่วร้ายก็แวบขึ้นมาในดวงตา ก่อนจะหายไปในทันที “การรบครั้งนี้จำเป็นต้องมีทหารม้าประมาณ 30,000 นาย ในจำนวนนี้ สำนักบัญชาการทหารสูงสุดได้จัดสรรทหารจากเมืองหลวง 3,000 นายให้กับจอมพล นอกจากนี้ กองทหารรักษาการณ์เหลียวตงจะจัดสรรกำลังคนอีก 15,000 นาย แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือ การให้เหลียวตงส่งทหารม้าออกมา 12,000 นาย”หลี่เฉินข
“แน่นอนว่าในสงครามจะต้องมีคนตาย! บางทีพวกเจ้าบางคนอาจจะไม่กลับมาจากการเดินทางนี้เลย เจ้าจะได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือยิ่งไปกว่านั้นก็คือตายในต่างแดน พวกเจ้าบอกข้าสิ กลัวรึไม่!”เสียงของหลี่เฉินดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ปกคลุมไปทั่วลานกว้างที่มีคนมากกว่า 3,000 คน ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่น ต่างได้ยินอย่างชัดเจนเพื่อตอบสนองต่อคำพูดของเขา มีเสียงตะโกนอย่างห้าวหาญจากทหารสามพันคนว่า “ไม่กลัว!” “ดี!”หลี่เฉินหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีเจตนาจะพูดถ้อยคำปลุกขวัญกำลังใจ เพราะคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงถ้อยคำที่ผิวเผิน และไม่มีความเป็นจริงเลย ทหารไม่ต้องการวาทศิลป์เช่นนั้น แต่ข้าจะให้ถ้อยคำที่สามารถใช้งานได้จริง!”“ข้าขอสัญญาว่า พวกเจ้าทั้งสามพันคนที่ออกไปต่อสู้ในครั้งนี้ คือทหารชั้นยอดที่เก่งที่สุดในต้าฉิน และการรบในครั้งนี้ ตราบใดที่ทหารออกไปต่อสู้ ครอบครัวของพวกเจ้าจะได้รับการยกเว้นภาษีสามปี นอกเหนือจากค่าจ้างทหารแล้ว แต่ละคนจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มอีกสามสิบตำลึง”“ผู้บาดเจ็บจะได้รับเงินอุดหนุนห้าสิบตำลึง สำหรับคนพิการจะได้รับเงินอุดหนุนหนึ่งร้อยตำลึง และผู้ที่เสียชีวิตจะได้รับเงินอุดหนุนสองร
หลี่เฉินจ้องมองซูผิงเป่ยด้วยดวงตาเรืองรอง เขาหันหลังไปหยิบตราพยัคฆ์ทองแดงบนถาดที่ขันทีประคองสองมือชูให้ แล้วยื่นให้ซูผิงเป่ย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “รับตราพยัคฆ์นี้ไป แล้วเจ้าจะควบคุมทหารนับหมื่นมุ่งหน้าสู่เหลียวตง สงครามในครั้งนี้ จะต้องชนะไม่อนุญาตให้พ่ายแพ้!”ซูผิงเป่ยเงยหน้าขึ้น เปลวไฟในดวงตาพลันลุกโชน เขาใช้สองมือรับตราพยัคฆ์ จากนั้นก็หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับทหารทั้งสามพันนาย ชูตราพยัคฆ์ในมือขึ้น พลางตะโกนว่า “สงครามในครั้งนี้ จะต้องได้รับชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!”บนลานกว้าง ทหารสามพันนายได้ชูอาวุธพร้อมกันและตะโกนว่า “ชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!” “ชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!”ถัดมา หลังจากที่รับตราพยัคฆ์แล้ว ซูผิงเป่ยซึ่งกลายเป็นจอมพลตามกฎหมายก็เริ่มออกคำสั่งทันที ถึงจะบอกว่าออกคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น กองทหารปีกไหนควรเดินทัพก่อนหลัง หรือใครควรใช้ในตำแหน่งใด ซูเจิ้นถิงและคนอื่นๆ ได้เตรียมการให้ซูผิงเป่ยไว้หมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะทายาทสายตรงของซูผิงเป่ย ทหารทั้งสามพันนายของเมืองหลวงเหล่านี้ จะถูกจัดให้อยู่ในจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่ส
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ
ประโยคเดียวว่าฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วสร้างแรงสะเทือนใจแก่ทุกผู้คนยิ่งกว่าเสียงฟ้าร้องเหนือศีรษะแม้กระทั่งทหารที่ไล่ตามขันทีน้อยมาแต่แรกยังถึงกับตื่นตะลึงถ้อยคำของขันทีน้อยยังไม่ทันจบประโยค เงาร่างสายหนึ่งพลันแวบขึ้นตรงหน้าเขา ซานเป่าได้คว้าตัวเขาไว้แล้ว“เจ้าว่าอะไรนะ?!”ขันทีน้อยผู้นั้นเป็นเพียงขันทีระดับต่ำสุด เคยเห็นซานเป่าจากที่ไกลๆ เท่านั้น หากแต่ความแตกต่างระหว่างฐานะของทั้งสองทำให้เขาไม่เคยมีสิทธิแม้แต่จะกล่าวคำกับซานเป่ายังไม่ทันตั้งสติจากแรงกดดันของซานเป่า ซูเจิ้นถิงและเหล่าขุนนางใหญ่น้อยก็พากันล้อมเขาไว้หมดแล้ว“บ่าว...บ่าวกล่าวว่า...ฮ่อง...ฮ่องเต้ทรงฟื้นแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ขันทีน้อยตัวสั่นระริก พูดติดขัดแทบจับใจความไม่ได้ โชคยังดีที่เขายังจำหน้าที่ของตนเองได้“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง ขอให้องค์รัชทายาทและสำนักราชเลขาเข้าเฝ้าทันที”ซานเป่ากับซูเจิ้นถิงสบตากัน แล้วก็ตัดสินใจได้ทันควัน“ไม่ได้!”จางปี้อู่ตะโกนลั่น “ใครจะรู้ว่านั่นไม่ใช่ราชโองการปลอมล่ะ!”“เจ้าบังอาจแอบอ้างหาบรรพบุรุษงั้นรึ!”ซูเจิ้นถิงสบถกลับด้วยความโกรธ แล้วซัดหมัดหนักเข้าที่ใบหน้าของจางปี้อู่อย่างจังจางปี้
“จ้าวเสวียนจี เจ้าทำเรื่องมากมาย วางแผนมานักหนา ท้ายที่สุดแล้วก็เพื่อสิ่งใดกันแน่”หลี่เฉินชี้ไปยังบัลลังก์มังกร ถามว่า “เพื่อจะได้ขึ้นนั่งบนนั้นหรือ”จ้าวเสวียนจีมองตามนิ้วของหลี่เฉินไปยังบัลลังก์มังกร กล่าวอย่างราบเรียบว่า “มิใช่ หากกระหม่อมประสงค์จะขึ้นนั่งบัลลังก์ กระหม่อมสามารถลงมือได้ตั้งแต่เมื่อปีกลายแล้ว แม้แต่ก่อนหน้านั้น กระหม่อมก็ยังมีโอกาสดีกว่านี้อีกมาก จะต้องรอให้ฝ่าบาททรงมีอำนาจมั่นคงก่อนแล้วจึงลงมือไปเพื่ออันใดกันเล่า”“หรือมิใช่เพราะเจ้าคิดว่าควบคุมตัวข้าได้ยาก จึงต้องเสี่ยงเอาดาบเข้าวัดอย่างนั้นหรือ” หลี่เฉินหัวเราะเย็นชาจ้าวเสวียนจีถอนหายใจเบาๆ สีหน้ากลับแฝงด้วยความหดหู่ยิ่งนัก กล่าวว่า “ฝ่าบาท พระองค์มิใช่กระหม่อม ย่อมไม่รู้ความลำบากของกระหม่อม”“บัลลังก์นั้น นั่งแล้วสบายหรือ ไม่เลย”จ้าวเสวียนจีหันหน้ากลับมามองหลี่เฉิน กล่าวว่า “กระหม่อมแทบจะเฝ้าดูฮ่องเต้ขึ้นครองบัลลังก์กับตาตนเอง ตลอดหลายปีมานี้ ในท้ายที่สุด ฮ่องเต้ได้อะไรกลับมาบ้าง”“กระหม่อมชราภาพแล้ว ไม่รู้ว่ายังจะมีชีวิตอยู่ได้อีกกี่ปี อีกทั้งบุตรหลานของกระหม่อมก็สูญสิ้นไร้ร่องรอย หากกระหม่อมขึ้นไปนั่ง
หลี่เฉินหันขวับกลับมาเผชิญหน้าจ้าวเสวียนจี ดวงตาเย็นเยียบดั่งน้ำแข็งจ้าวเสวียนจีเงยหน้าขึ้น ยืนตัวตรง มาดอ่อนน้อมเมื่อครู่พลันสลาย เหลือเพียงท่วงท่าท้าทายอย่างเปิดเผยหลี่เฉินเอ่ยเรียบเย็น “ข้าเพิ่งรู้ว่า...ขุนนางอาวุโส สูงไม่น้อยเลยทีเดียว”จ้าวเสวียนจีตอบ “กระหม่อม...แค่เคยชินกับการโค้งก้มเท่านั้น แต่ครั้งนี้...กระหม่อมไม่อยากก้มอีกแล้ว”เขายกมือชี้ออกไปทางประตูพระที่นั่งไท่เหอ ก่อนกล่าวว่า “ทหารมีดดาบชั้นยอดจำนวนสามพันนาย บัดนี้อยู่ภายนอกพระที่นั่งไท่เหอเรียบร้อยแล้ว”“กระหม่อมรู้ดีว่า ฝ่าบาทมีปืนไฟ และอาวุธที่ระเบิดเทพต้าฉินทรงพลังยิ่ง หากให้เวลาพัฒนา คงกลายเป็นอาวุธสังหารอันน่าสะพรึงกลัวในอนาคต แต่เวลานี้ ฝ่าบาทมีน้อยเกินไป อีกทั้งในค่ำคืนที่ฝนตกหนักเช่นนี้ อานุภาพของอาวุธไฟก็จะลดลงจนเหลือน้อยนิด”“ที่สำคัญที่สุดก็คือ... ทหารทั้งสามพันนายของกระหม่อม ล้วนเป็นยอดฝีมือระดับแนวหน้าแห่งยุทธภพ สามารถกวาดล้างกองทัพปกติหนึ่งหมื่นนายได้ภายในเวลาอันสั้น”จ้าวเสวียนจีหัวเราะเบาๆ ราวกับได้พลิกไพ่ลับที่เตรียมไว้มาเนิ่นนาน มีความภูมิใจอย่างปิดไม่มิด “ที่สำคัญที่สุดคือ… ทหารสามพันนี้ มิใ
คำพูดของจ้าวเสวียนจี ได้เผยให้เห็นสถานการณ์ที่น่าอึดอัดที่สุดของหลี่เฉินอย่างหมดเปลือก ไม่มีแม้แต่นิดเดียวที่หลงเหลือให้ปิดบังหลี่เฉินในตอนนี้ แม้จะเป็นองค์รัชทายาท แม้จะทำหน้าที่สำเร็จราชการแทนพระองค์ แต่สิทธิอำนาจในมือของเขา โดยรากแท้แล้วยังคงเป็นสิ่งที่ฮ่องเต้ประทานให้ตราบใดที่หลี่เฉินยังไม่ขึ้นครองราชย์ ไม่ได้สวมชุดมังกร เช่นนั้นเขาก็ไม่อาจครอบครองราชอำนาจแท้จริงได้เลยต่อบรรดาข้าราชการท้องถิ่นแล้ว พวกเขายอมรับแค่สิ่งเดียว...ราชโองการ ยอมรับแค่บุคคลเดียว...ฮ่องเต้นี่จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมพายุการเมืองในครั้งนี้ ถึงเรียกได้เพียงว่า "พายุการเมือง" มิใช่การชิงราชสมบัติในสายตาของปวงชนแผ่นดิน สิ่งที่พวกเขาเห็น ก็แค่ความขัดแย้งระหว่างองค์รัชทายาทกับฝ่ายสำนักราชเลขาที่รุนแรงจนถึงขั้นยกทัพใส่กัน มิใช่การกบฏแย่งชิงราชบัลลังก์ของสำนักราชเลขาสองสิ่งนี้...แตกต่างกันโดยสิ้นเชิงหากหลี่เฉินคือฮ่องเต้จริงๆ การกระทำของจ้าวเสวียนจีทั้งหมดนี้ ก็จะกลายเป็นการชิงบัลลังก์อย่างชัดเจน และจะก่อให้เกิดความโกลาหลไปทั่วทั้งแผ่นดิน ขุนนางในทุกหัวระแหงที่ยังมีความจงรักภักดีและสำนึกในคุณธรรม ย่อมต้องลุ
“ด้านนอกลมฝนรุนแรง ฝ่าบาททรงเปียกโชกทั้งตัว ดูก็รู้ว่าเส้นทางที่ก้าวเข้ามา ไม่ได้ราบรื่นเลยแม้แต่น้อย”จ้าวเสวียนจีมองหลี่เฉินด้วยแววตาสงบนิ่ง เอ่ยด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน ใบหน้าแลดูใจดีอ่อนโยนอย่างไม่น่าเชื่อ“ลมฝนหนักเช่นนี้ มีใครเล่าจะก้าวเดินได้อย่างสบาย?”หลี่เฉินพลิกมือปิดประตูพระที่นั่ง ลมฝนภายนอกถูกสกัดไว้ทันที ความสงบและอบอุ่นจึงกลับคืนสู่ท้องพระโรงอีกครั้ง“หากเพียงต้องการมุมหนึ่งอันสงบสุข ก็แค่ปิดประตูเท่านั้น ความสงบก็จะอยู่กับเราแล้วไม่ใช่หรือ?”จ้าวเสวียนจีกล่าว “ดี ฝ่าบาทตรัสได้ถูกต้องอย่างยิ่ง”หลี่เฉินย่างเท้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอด้วยฝีเท้าหนักแน่น หยุดยืนอยู่เบื้องล่างบัลลังก์ หันไปมองเก้าอี้มังกรแล้วเอ่ยกับจ้าวเสวียนจีข้างกาย “เก้าอี้ตัวนี้ ช่างเย้ายวนใจนักใช่หรือไม่?”จ้าวเสวียนจีก็มองไปยังเก้าอี้มังกรร่วมกับหลี่เฉินเขาไม่ได้ตอบคำถามของหลี่เฉิน กลับกล่าวเพียงว่า “ฝ่าบาท ถอยเถิด”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ ไม่ขยับสายตา ไม่ตอบคำใด“กระหม่อมให้คำมั่น ว่าจะปกป้องฝ่าบาทให้ปลอดภัยไปตลอดชีวิต คำมั่นของกระหม่อมนี้ ฝ่าบาทเชื่อถือได้แน่นอน”หลี่เฉินพยักหน้า “ฟังดูจริงใจดี”
หลี่เฉินหันไปมองซูจิ่นพ่าที่อยู่ข้างกาย ยิ้มอ่อนเอ่ยว่า “เจ้าทำให้ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก”ซูจิ่นพ่าไม่ได้ตอบ เพียงยอบกายทำความเคารพแบบสตรีผู้สูงศักดิ์อย่างอ่อนช้อยหลี่เฉินหลุดหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันไปกล่าวกับซูเจิ้นถิงว่า “แม่ทัพซู ลูกหลานตระกูลแม่ทัพเสือเจ้าฝีมือ เจ้าช่างมีบุตรีที่ดีนัก”ซูเจิ้นถิงก่อนหน้านี้อยู่หน้าประตูวัง เมื่อเขามาถึงพอดีกับที่ซูจิ่นพ่ากำลังตำหนีขุนนางพวกนั้น ด้วยสัญชาตญาณจึงไม่ได้รีบเข้าไป และการรอเพียงครู่เดียวนี้ ก็ทำให้เขาได้เห็นฝีมือกับสติปัญญาของบุตรสาวตัวเองอย่างชัดเจน นับว่ายอดเยี่ยมอย่างแท้จริง“ฝ่าบาทตรัสเกินไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ”ซูเจิ้นถิงยกมือขึ้นคารวะ แล้วหันไปมองจางปี้อู่และขุนนางฝ่ายสำนักราชเลขาที่ใบหน้านิ่งสงบ จากนั้นกล่าวว่า “ฝ่าบาท ที่นี่ขอให้เป็นหน้าที่ของกระหม่อมกับท่านอาจารย์เถิดพ่ะย่ะค่ะ”ทหารย่อมต่อสู้กับทหาร แม่ทัพย่อมรับมือแม่ทัพบุคคลที่หลี่เฉินตั้งใจจะรับมือมาตลอด ไม่ใช่จางปี้อู่ และไม่ใช่ขุนนางทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังเขาเหล่านั้นแต่คือ...จ้าวเสวียนจี“ดี”หลี่เฉินพยักหน้าเบาๆ แล้วหมุนกาย มุ่งหน้าเข้าสู่พระที่นั่งไท่เหอในขณะที่หลี