Share

บทที่ 307

Author: ไห่ตงชิง
จ้าวเสวียนจีไม่ได้แสดงท่าทีใดๆ ออกมา

เมื่อจ้าวไท่ไหลเห็นสิ่งนี้ เขาก็กล้าหาญมากขึ้นและรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น

“วินาทีแรกที่ข้าสบตากับจิ่นพ่า ข้าก็สาบานแล้วว่าจะไม่แต่งงานกับใครนอกจากนาง!”

“หลี่เฉินคือองค์รัชทายาท ข้าไม่กล้าแข่งกับเขา เพราะสู้เขาไม่ได้ แต่ข้าจิ่นพ่าต้องการ!”

จ้าวเสวียนจียังคงสงบ เขาถึงกับนั่งลงแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า “พูดมา เจ้าต้องการจะพูดอะไรกับข้ากันแน่”

จ้าวไท่ไหลตื่นเต้นมากขึ้นเรื่อยๆ เขากล่าวว่า “นิสัยของจิ่นพ่าเป็นเช่นไรข้ารู้ดี นางหยิ่งในศักดิ์ศรีและเย็นชา ไม่มีชายคนใดในใต้กล้าที่สามารถดึงดูดสายตาของนางได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงองค์รัชทายาท นอกจากสถานะที่สูงส่งแล้วเขามีอะไรดีอีกล่ะ? อีกอย่าง สิ่งที่จิ่นพ่าไม่ชอบที่สุดก็คือการใช้สถานะมากดดันคนอื่น ดังนั้นการแต่งงานนี้ จิ่นพ่าไม่เห็นด้วยอย่างแน่นอน”

จ้าวไท่ไหลปราดเข้ามาหาจ้าวเสวียนจีด้วยความตื่นเต้น เขาพูดอย่างจริงใจ “ท่านพ่อได้โปรดช่วยข้าด้วย ข้าอยากแต่งงานกับจิ่นพ่า!”

จ้าวเสวียนจีมองจ้าวไท่ไหลอย่างจริงจังและพูดว่า “เจ้ากลัวข้ามาตั้งแต่เด็ก และไม่ค่อยขออะไรจากข้า นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าขอร้องข้า”

จ้าวไท่ไหลตา
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 308

    จ้าวไท่ไหลยกมือกุมหน้า เช็ดน้ำตา ขณะเดินออกจากห้องหนังสือระหว่างที่เดินไปยังเรือนตัวเองนั้น เขายิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกโกรธโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาคิดว่าผู้หญิงที่เขาคิดถึงทั้งกลางวันและกลางคืนจะถูกองค์รัชทายาทพาตัวไปในไม่ช้า หรือแม้กระทั่งคิดถึงฉากที่เทพธิดาของเขาถูกองค์รัชทายาททำให้แปดเปื้อนในคืนวันแต่งงาน จ้าวไท่ไหลก็รู้สึกราวกับว่า หัวใจของเขากำลังถูกแผดเผาด้วยเปลวไฟ เจ็บเจียนคลั่ง“ไม่ ข้าจะให้เรื่องนี้เกิดขึ้นไม่ได้!” จ้าวไท่ไหลสีหน้าบิดเบี้ยว ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเคียดแค้น “จิ่นพ่าเป็นของข้า!!!” ……“จะไม่เลือกของขวัญเพิ่มหรือ?”ด้านนอกประตูตำหนักบูรพา หลี่เฉินขมวดคิ้ว เมื่อเห็นว่าจ้าวหรุ่ยนำของขวัญง่ายๆ ไปเพียงไม่กี่ชิ้นเท่านั้นจ้าวหรุ่ยยิ้มอย่างมีเสน่ห์และพูดเบาๆ ว่า “ไม่จำเป็นหรอกเพคะ หม่อมฉันกลับไปหาท่านพ่อท่านแม่ ไม่ใช่ไปทำเรื่องอื่นใด ของขวัญเหล่านี้อาจไม่เข้าพระเนตรของฝ่าบาท แต่ท่านพ่อท่านแม่ก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยหรอกเพคะ”หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ และกล่าวว่า “เนื่องจากเจ้าคำนึงถึงความว่างเปล่าของราชสำนัก และความจำเป็นในการใช้เงินทุกที่ จึงช่วยข้าประหยัด เช่นนั้นข

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 309

    ด้วยการพับขากางเกงขึ้น เท้าที่ขาวอมชมพูจึงเปื้อนไปด้วยโคลนสีดำ ซูจิ่นพ่าเดินออกมาจากทุ่งนา แล้วยืนตรงหน้าหลี่เฉินเพื่อพูดว่า “องค์รัชทายาทเสด็จมาที่นี่เพียงเพื่อกลั่นแกล้งสาวน้อยหรือ?” หลี่เฉินก้มศีรษะลงและมองดูน่องที่ขาวและอ่อนโยนของซูจิ่นพ่าซึ่งเต็มไปด้วยพลังและความยืดหยุ่นของสตรี แม้ว่าเท้าจะเต็มไปด้วยโคลน แต่ก็ยังมองเห็นนิ้วเท้าที่กลมและน่ารัก เขากล่าวชมว่า “สวยมาก ถ้ายิ่งล้างโคลนออกจะยิ่งน่ารัก” ตั้งแต่เด็กจนโต ผู้ชายในวัยเดียวกันปฏิบัติต่อนางเหมือนเป็นองค์หญิง ต่างให้เกียรติและเคารพนาง ไหนเลยจะมีใครพูดจาอุกอาจเช่นนี้ใส่นาง ยิ่งไปกว่านั้น การป้องกันระหว่างชายหญิงของสมัยโบราณ เท้าของสตรีห้ามมิให้ชายที่ไม่ใช่สามีเห็นโดยเด็ดขาด เมื่อโตขึ้น แม้แต่บิดาก็ไม่สามารถมองได้ถึงแม้ว่าซูจิ่นพ่าจะไม่ชอบข้อจำกัดและมารยาทเหล่านั้น แต่ท้ายที่สุดแล้วก็เติบโตขึ้นมาในสภาพแวดล้อมของยุคนี้ ดังนั้นนางจึงรู้สึกเขินอายขึ้นมานางรีบหยิบผ้าเช็ดหน้าจากมือของสาวใช้มาคลุมน่องและเท้าของนาง จากนั้นก็พูดด้วยความโกรธว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทราบหรือไม่ว่าสิ่งใดควรมองสิ่งใดไม่ควรมอง?” “ในเมื่อเจ้ากล้าที่จะเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 310

    แหวนหางสุนัขบนนิ้วของนางดูน่าเกลียดมากสำหรับซูจิ่นพ่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่หลี่เฉินบอกว่ามันยังมีความหมายพิเศษในประเทศทางตะวันตก ซูจิ่นพ่าก็อยากจะถอดมันออกไปแต่เมื่อเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่เฉิน และดวงตาที่ดูเหมือนจะข่มขู่ ซูจิ่นพ่าจึงได้แต่บ่นงึมงำ แต่ไม่กล้าถอดแหวนวงนี้ออกต่อหน้าหลี่เฉิน“วันนี้เจ้ามาทำอะไรที่นี่?” ซูจิ่นพ่าถาม“มาพบเจ้า” เมื่อเห็นว่าซูจิ่นพ่ายอมแพ้ความคิดเรื่องการถอดแหวน หลี่เฉินจึงเดินไปข้างหน้าโดยเอามือไพล่หลังด้วยความพึงพอใจ “ข้าไปหาเจ้าที่บ้าน แต่ข้ารับใช้ในจวนบอกว่าเจ้ามาที่ฐานล่าสัตว์ของราชวงศ์ ดังนั้นข้าจึงตามมาที่นี่”ซูจิ่นพ่าเอียงคอแล้วถามว่า “เจ้าไม่ยุ่งเหรอ? อีกสองวันก็จะถึงวันพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณ ท่านพ่อและท่านพี่ยุ่งมาก จนแทบไม่เห็นหน้าตลอดทั้งวัน”“พี่ชายของเจ้าเป็นผู้บัญชาการทหารในการรบครั้งนี้ เขาจำเป็นต้องจัดเตรียมสิ่งต่างๆ ด้วยตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรก ดังนั้นเขาจะยุ่งเป็นธรรมดา ส่วนบิดาของเจ้า เขาไม่อยากให้ศักดิ์ศรีของตระกูลซูถูกทำลายโดยพี่ชายของเจ้า ยิ่งไปกว่านั้น สนามรบไม่ใช่สนามเด็กเล่น หากการต่อสู้ครั้งนี้พ่ายแพ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 311

    จากคำพูดของหลี่เฉิน ซูจินผามองเห็นการวางหมากและแผนการบางอย่างของหลี่เฉินนางพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าตอนนี้ นี่จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดจริงๆ...แต่ถ้าเราแพ้ล่ะ?”หลี่เฉินกล่าวอย่างมั่นใจว่า “ข้าจะไม่แพ้!” ……สองวันต่อมา สถานการณ์ในเมืองหลวงก็ค่อยๆ สงบลง ดูเหมือนว่าทุกฝ่ายจะหยุดก่อเรื่องลงแล้ว ไม่ว่าจะเป็นสำนักราชเลขาหรือตำหนักบูรพา แม้กระทั่งสายลับหรือคนจากกองกำลังอื่นๆ เช่น สำนักบัวขาวกับอ๋องข้าราชบริพารที่แฝงตัวอยู่ในเมืองหลวง ก็ยังทำตัวสงบเสงี่ยม สายตาของทุกคนล้วนจับจ้องไปที่เหตุการณ์หนึ่ง ซึ่งก็คือพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณที่กำลังจะเริ่มขึ้น ครั้งนี้ นับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่ราชสำนักริเริ่มส่งทหารไปยังต่างแดนและจอมพลในครั้งนี้ก็คือผู้สืบทอดรุ่นที่สามของเทพสงครามซึ่งอายุน้อยและไม่มีประสบการณ์ ซูผิงเป่ยกองทหารที่ส่งออกไปในครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากตำหนักบูรพาอย่างแข็งขัน ซึ่งความสำเร็จหรือว่าความล้มเหลวของมัน จะเป็นตัวกำหนดขวัญกำลังใจและสถานะของราชสำนักโดยตรง และยังเป็นตัวกำหนดด้วยว่าพวกหมาป่าจอมทะเยอทะยานเหล่านั้นจะสามารถมองทะลุแก่นแท้ที่อ่อนแอของราชสำนัก และ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 312

    เมื่อจ้าวเสวียนจีเห็นว่าการยุแยงตะแคงรั่วล้มเหลว จึงยิ้มเล็กน้อยและไม่สนใจ การยุแยงตะแคงรั่วไม่ได้ขึ้นอยู่กับคำพูดสองสามประโยค หรือเหตุการณ์สองสามอย่างก็สำเร็จ ส่วนใหญ่จะสะสมไปเรื่อยๆ ตามกาลเวลาเหมือนน้ำมาคลองก็เกิดสถานะของหลี่เฉินนั้นถูกกำหนดให้ป้องกันคนเบื้องล่างของตัวเองทุกคน ไม่ว่าพวกเขาจะภักดีหรือไม่ก็ตาม เพราะจักรพรรดิถูกกำหนดมาให้โดดเดี่ยว มีหรือจะไว้วางใจผู้ใต้บังคับบัญชาได้อย่างแท้จริง? ยิ่งไปกว่านั้น ผู้ใต้บังคับบัญชาของเขาก็ยังเป็นตระกูลซู ตระกูลที่กุมอำนาจทางทหารไว้ในมือ ตราบใดที่ยังหลงเหลือความเคลือบแคลงอยู่ เมื่อเวลาผ่านไป จ้าวเสวียนจีก็สามารถสร้างรอยร้าวระหว่างหลี่เฉินและซูเจิ้นถิงได้อย่างแน่นอนหลี่เฉินเหลือบมองจ้าวเสวียนจีแวบหนึ่ง แววตาอันชั่วร้ายก็แวบขึ้นมาในดวงตา ก่อนจะหายไปในทันที “การรบครั้งนี้จำเป็นต้องมีทหารม้าประมาณ 30,000 นาย ในจำนวนนี้ สำนักบัญชาการทหารสูงสุดได้จัดสรรทหารจากเมืองหลวง 3,000 นายให้กับจอมพล นอกจากนี้ กองทหารรักษาการณ์เหลียวตงจะจัดสรรกำลังคนอีก 15,000 นาย แต่สิ่งที่ยากที่สุดคือ การให้เหลียวตงส่งทหารม้าออกมา 12,000 นาย”หลี่เฉินข

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 313

    “แน่นอนว่าในสงครามจะต้องมีคนตาย! บางทีพวกเจ้าบางคนอาจจะไม่กลับมาจากการเดินทางนี้เลย เจ้าจะได้รับบาดเจ็บ พิการ หรือยิ่งไปกว่านั้นก็คือตายในต่างแดน พวกเจ้าบอกข้าสิ กลัวรึไม่!”เสียงของหลี่เฉินดังกึกก้องราวกับฟ้าร้อง ปกคลุมไปทั่วลานกว้างที่มีคนมากกว่า 3,000 คน ทำให้ทุกคนที่อยู่ที่นั่น ต่างได้ยินอย่างชัดเจนเพื่อตอบสนองต่อคำพูดของเขา มีเสียงตะโกนอย่างห้าวหาญจากทหารสามพันคนว่า “ไม่กลัว!” “ดี!”หลี่เฉินหัวเราะแล้วพูดว่า “ข้าไม่มีเจตนาจะพูดถ้อยคำปลุกขวัญกำลังใจ เพราะคำพูดเหล่านั้นเป็นเพียงถ้อยคำที่ผิวเผิน และไม่มีความเป็นจริงเลย ทหารไม่ต้องการวาทศิลป์เช่นนั้น แต่ข้าจะให้ถ้อยคำที่สามารถใช้งานได้จริง!”“ข้าขอสัญญาว่า พวกเจ้าทั้งสามพันคนที่ออกไปต่อสู้ในครั้งนี้ คือทหารชั้นยอดที่เก่งที่สุดในต้าฉิน และการรบในครั้งนี้ ตราบใดที่ทหารออกไปต่อสู้ ครอบครัวของพวกเจ้าจะได้รับการยกเว้นภาษีสามปี นอกเหนือจากค่าจ้างทหารแล้ว แต่ละคนจะได้รับเงินอุดหนุนเพิ่มอีกสามสิบตำลึง”“ผู้บาดเจ็บจะได้รับเงินอุดหนุนห้าสิบตำลึง สำหรับคนพิการจะได้รับเงินอุดหนุนหนึ่งร้อยตำลึง และผู้ที่เสียชีวิตจะได้รับเงินอุดหนุนสองร

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 314

    หลี่เฉินจ้องมองซูผิงเป่ยด้วยดวงตาเรืองรอง เขาหันหลังไปหยิบตราพยัคฆ์ทองแดงบนถาดที่ขันทีประคองสองมือชูให้ แล้วยื่นให้ซูผิงเป่ย จากนั้นก็พูดด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำว่า “รับตราพยัคฆ์นี้ไป แล้วเจ้าจะควบคุมทหารนับหมื่นมุ่งหน้าสู่เหลียวตง สงครามในครั้งนี้ จะต้องชนะไม่อนุญาตให้พ่ายแพ้!”ซูผิงเป่ยเงยหน้าขึ้น เปลวไฟในดวงตาพลันลุกโชน เขาใช้สองมือรับตราพยัคฆ์ จากนั้นก็หมุนตัวไปเผชิญหน้ากับทหารทั้งสามพันนาย ชูตราพยัคฆ์ในมือขึ้น พลางตะโกนว่า “สงครามในครั้งนี้ จะต้องได้รับชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!”บนลานกว้าง ทหารสามพันนายได้ชูอาวุธพร้อมกันและตะโกนว่า “ชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!” “ชัยชนะ! ชัยชนะอันยิ่งใหญ่!”ถัดมา หลังจากที่รับตราพยัคฆ์แล้ว ซูผิงเป่ยซึ่งกลายเป็นจอมพลตามกฎหมายก็เริ่มออกคำสั่งทันที ถึงจะบอกว่าออกคำสั่ง แต่จริงๆ แล้วเป็นเพียงพิธีการเท่านั้น กองทหารปีกไหนควรเดินทัพก่อนหลัง หรือใครควรใช้ในตำแหน่งใด ซูเจิ้นถิงและคนอื่นๆ ได้เตรียมการให้ซูผิงเป่ยไว้หมดแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ในฐานะทายาทสายตรงของซูผิงเป่ย ทหารทั้งสามพันนายของเมืองหลวงเหล่านี้ จะถูกจัดให้อยู่ในจุดเชื่อมต่อที่สำคัญที่ส

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 315

    คำพูดของหลี่เฉินทำให้จินเสวี่ยยวนตัวสั่น นางพูดออกไปโดยไม่รู้ตัวว่า “ระหว่างเสวี่ยยวนกับฝ่าบาท ไม่มีเรื่องส่วนตัวที่ต้องคุยกัน” “ไม่มี?” หลี่เฉินย้อนถาม จากนั้นไม่รอให้จินเสวี่ยยวนตอบ เขาเชยคางจินเสวี่ยยวนขึ้นมาเพื่อให้นางเงยหน้าขึ้น “มองข้าสิ” จินเสวี่ยยวนไม่มีทางเลือก นอกจากต้องมองไปที่หลี่เฉินในดวงตาที่สดใสของจินเสวี่ยยวน สิ่งที่หลี่เฉินเห็นก็คือความคับข้องใจและความซับซ้อน “เหตุใดฝ่าบาทถึงทำเช่นนี้กับข้า?”จินเสวี่ยยวนสะบัดหน้าหนีจากมือของหลี่เฉินด้วยความเคืองโกรธ และพูดด้วยความโมโห “ข้าไม่ทะนุถนอมเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” แม้หลี่เฉินจะพูดเช่นนี้ แต่มือและเท้าของเขาก็ไม่สะอาด เขาคว้าข้อมือของจินเสวี่ยยวนแล้วดึงนางเข้ามาในอ้อมแขนของเขา โดยไม่ทันระวังตัว จินเสวี่ยยวนที่ไม่ได้เตรียมแรงต่อต้านใดๆ ก็ถูกโอบกอดไว้ในอ้อมแขนของหลี่เฉินอย่างแน่นหนานางพยายามต่อสู้กับหลี่เฉินตามสัญชาตญาณ แต่ก็พบว่าตัวเองนั้นไม่มีพละกำลังที่จะต่อต้านหลี่เฉินเลย จินเสวี่ยยวนจึงพูดด้วยความโกรธว่า “นี่คือการทะนุถนอมเช่นนั้นหรือ?” “ก่อนหน้านี้ข้าได้ทำผิดพลาดมาแล้วหลายครั้ง ข้าจะทำผิดพล

Latest chapter

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 922

    ในอดีต อู๋ชิงชาง เคยมีอิทธิพลสูงสุดในหมู่แม่ทัพแห่งต้าฉิน ทุกคนต่างคาดหวังว่าเขาจะกลายเป็น เทพแห่งสงครามคนที่สอง แต่ในเวลาที่ไม่มีใครคาดคิด เขากลับ หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยต้าสิงฮ่องเต้เพียงประกาศพระราชโองการสั้นๆ ว่ามีภารกิจอื่น จากนั้นก็ปลดเขาออกจากทุกตำแหน่งและริบอำนาจทางทหารทั้งหมด หลังจากนั้น ไม่มีผู้ใดเคยได้ยินข่าวของเขาอีกเลยจนกระทั่ง อู๋ปานซาน น้องชายของเขาได้รับแต่งตั้งเป็น แม่ทัพพิทักษ์ด่านเย่ว์หยา ผู้คนจึงหวนรำลึกถึงอดีตของน้องชายของเขาอีกครั้งทว่าจวบจนปัจจุบัน ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ว่าอู๋ชิงชางหายไปที่ใดหลี่เฉินมองชายร่างกำยำที่อยู่ตรงหน้าแล้วถอนหายใจเบาๆ "เดิมทีเจ้าน่าจะมีอนาคตที่รุ่งโรจน์ที่สุด แต่กลับต้องใช้ชีวิตอย่างเงียบงันในศาลบูรพกษัตริย์นานถึงยี่สิบปี?"อู๋ชิงชางหัวเราะเบาๆ ก่อนตอบด้วยน้ำเสียงปลอดโปร่ง "สายฟ้าและสายฝน ล้วนเป็นพระเมตตา ออกศึกฆ่าศัตรูเพื่อสร้างชื่อ ย่อมเป็นเรื่องที่เร้าใจ แต่หากฮ่องเต้ทรงบัญชาให้ข้ากวาดลานศาลบูรพกษัตริย์ไปชั่วชีวิต ก็ถือเป็นภารกิจของข้าเช่นกัน""เหตุผลล่ะ?"หลี่เฉินถามต่อ "เสด็จพ่อไม่มีทางให้เจ้ากวาดศาลบูรพกษัตริย์โดยไม่มีเหตุผลแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 921

    หลี่เฉินถึงกับตกตะลึงเขาไม่คาดคิดว่าชายตรงหน้าจะกล่าวถึง ต้าสิงฮ่องเต้ ว่าเป็นจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพเมื่อครุ่นคิดดูแล้ว เสด็จพ่อของเขาครองราชย์มาหลายปี แต่กลับไม่มีผลงานใดโดดเด่นนักคลังหลวงก็ยังคงขัดสนด้านการบริหารบ้านเมืองก็ไม่มีผลงานที่เป็นรูปธรรม ส่วนทางด้านการทหาร ขนาดค่าจ้างทหารยังแทบจะหาไม่ได้ แค่สามารถรักษาสถานะปัจจุบันของจักรวรรดิไว้ได้ ก็นับว่าดีแล้ว เช่นนี้แล้ว ไฉนจึงจัดอยู่ในอันดับสามของจักรพรรดิผู้เปี่ยมอัจฉริยภาพได้?ชายผู้นั้นดูเหมือนจะรู้ว่าหลี่เฉินต้องเกิดความฉงน เขาจึงกล่าวว่า "สิ่งที่ผู้คนเห็น มักเป็นเพียงสิ่งที่มีคนอยากให้เห็น สำหรับราชวงศ์นี้ มีหลายเรื่องที่ฝ่าบาทไม่ประสงค์ให้คนภายนอกรับรู้ ดังนั้น คนที่เข้าใจความจริงจึงมีน้อยยิ่งนัก"คำพูดนี้เหมือนพูดไปเปล่าๆหลี่เฉินไม่ได้ใส่ใจคำกล่าวนั้นแม้แต่น้อยในสายตาของเขา ต้าสิงฮ่องเต้แม้จะมีวิธีการที่น่าสะพรึงบ้าง แต่หากพูดถึงการบริหารบ้านเมืองแล้วพระองค์ก็ไม่ได้ทำให้ต้าฉินรุ่งเรืองขึ้นแม้แต่น้อยชายผู้นั้นสังเกตเห็นสีหน้าของหลี่เฉินที่ดูไม่แยแส จึงกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบ "ความจริงแล้ว เมื่อฝ่าบา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 920

    "ผู้คนต่างสรรเสริญ จักรพรรดิอู่จง ว่าเป็นผู้สร้างเกียรติภูไม่อันยิ่งใหญ่ให้ต้าฉินนับแต่สมัยไท่จู่พวกเขายังสรรเสริญ จักรพรรดิเหวินจง ว่าเป็นผู้สร้างยุคทองแห่งวัฒนธรรมอันรุ่งเรืองยาวนานถึงสามสิบปีแต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ ระหว่างอู่จงกับเหวินจง ยังมีจักรพรรดิ จิ่งเหรินจง ซึ่งในปีแรกที่พระองค์ขึ้นครองราชย์ต้องเผชิญกับคลังหลวงที่ว่างเปล่าเพราะสงครามยาวนาน และราษฎรที่ยากจนถึงขีดสุดประเทศที่เต็มไปด้วยทหาร ผู้คนชินชากับการรบพุ่ง และราชสำนักที่ก้าวไปสู่เส้นทางแห่งสงครามจนเกินพอดี""จิ่งเหรินจง ครองราชย์ได้สิบห้าปี ตลอดเวลานี้ พระองค์ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูชีวิตราษฎร และสะสางปัญหาที่ อู่จงฮ่องเต้ ทิ้งไว้ให้ แต่ยังทำให้คลังหลวงมีเงินสะสมกว่า สามหมื่นล้านตำลึงเงิน ก่อนส่งราชบัลลังก์ต่อให้เหวินจงฮ่องเต้ ด้วยรากฐานที่มั่นคงเช่นนี้ การสร้างยุคทองทางวัฒนธรรมของเหวินจงจึงไม่ใช่เรื่องยาก""กล่าวได้ว่า กว่าครึ่งหนึ่งของความสำเร็จแห่งยุค ต้องยกให้แก่ จิ่งเหรินจง"หลี่เฉินฟังจบก็เห็นพ้องต้องกันแท้จริงแล้ว ฮ่องเต้ที่ได้รับการยกย่องจากคนรุ่นหลัง หลายพระองค์ไม่ได้สร้างความสำเร็จด้วยพระองค์เองทั้งหมดตั

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 919

    ภายในศาลบูรพกษัตริย์ พื้นที่กว้างขวางโอ่อ่าทอดยาวขึ้นสู่เพดานสูงลิ่ว ด้านหน้ามุขหลักคือกำแพงทั้งผืนที่เรียงรายด้วยพระบรมสาทิสลักษณ์ของเหล่าฮ่องเต้แห่งต้าฉินในอดีตตรงกลางส่วนบนสุด โดดเด่นที่สุด คือภาพวาดและป้ายวิญญาณของปฐมจักรพรรดิต้าฉิน—ไท่จู่ถัดลงมา คือฮ่องเต้รุ่นต่อมา เช่น ไท่จง ซื่อจง เกาจง ไล่เรียงลงมาเป็นลำดับตามสายโลหิตแล้ว คนเหล่านี้ก็คือบรรพชนของร่างกายที่หลี่เฉินสวมอยู่ในตอนนี้สิ่งที่ทำให้เขาประหลาดใจคือ ภายในศาลบูรพกษัตริย์ กลับยังมีชายวัยกลางคนสวมอาภรณ์สีน้ำเงินเข้ม ปลายผมเริ่มแซมขาว แต่ร่างกายยังดูแข็งแกร่งกำยำ กำลังปัดกวาดพื้นอยู่เมื่อสายตาหลี่เฉินสบกับเขา อีกฝ่ายก็เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาเช่นกันทั้งสองไม่รู้จักกันมาก่อนแต่การที่พบกันในสถานที่แห่งนี้ ย่อมทำให้ต่างฝ่ายต่างรู้สึกฉงนสนเท่ห์ในตัวตนของอีกฝ่าย“ท่านเป็นใคร?” หลี่เฉินเป็นฝ่ายเอ่ยถามก่อนชายคนนั้นวางไม้กวาดลง ก่อนตอบเรียบๆ “เพียงราษฎรแห่งต้าฉินเท่านั้น”หลี่เฉินชะงักไปเล็กน้อย ก่อนหัวเราะออกมา “ต้าฉินมีราษฎรเป็นล้านๆ คน แต่ผู้ที่เข้ามาที่นี่ได้ มีเพียงหยิบมือเดียว”“ก็จริง”ชายคนนั้นพยักหน้า ก่อนแ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 918

    เหล่าแม่ทัพทำงานให้ราชสำนักจนสุดกำลัง แต่สุดท้ายกลับถูกใช้เป็นเครื่องมือ ครอบครัวของพวกเขาถูกจับเป็นตัวประกัน เช่นนี้แล้วใครเล่าจะยอมรับได้?ยิ่งไปกว่านั้น ตำแหน่งแม่ทัพผู้พิทักษ์ด่านเย่ว์หยานั้นมีหน้าที่และอำนาจสำคัญยิ่ง หากข่าวเรื่องนี้รั่วไหลออกไป และตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มีเจตนาร้าย ถูกนำไปใช้เป็นเครื่องมือปั่นป่วนเบื้องหลัง ย่อมอาจก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่คาดไม่ถึงดังนั้น เรื่องนี้จึงถูกจัดเป็นหนึ่งในความลับที่สำคัญที่สุดของจักรวรรดิต้าฉิน ซึ่งมีเหตุผลอันสมควรทว่า ความลับเช่นนี้ ไฉนต้าสิงฮ่องเต้จึงบอกกับซูเจิ้นถิงไปตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน?พระองค์ทรงคาดการณ์แล้วว่าสถานการณ์เช่นนี้จะเกิดขึ้นแน่นอน หรือว่าตั้งแต่เมื่อสองปีก่อน พระองค์ก็ได้ล่วงรู้ถึงการเคลื่อนไหวบางอย่างของจ้าวเสวียนจีแล้ว?ข่าวที่มาถึงอย่างกะทันหัน ทำให้ความคิดของหลี่เฉินสับสนในทันทีเขารู้สึกอย่างประหลาด ตั้งแต่ตนเองรับตำแหน่งผู้สำเร็จราชการ ปัญหามากมายที่เกิดขึ้น ล้วนดูเหมือนจะอยู่ภายใต้การเตรียมการของเสด็จพ่อผู้ที่นอนอ่อนแรงอยู่บนพระแท่นบรรทมอำนาจของหน่วยบูรพา พันธไมตรีทางการเมืองของตระกูลซู แม้กระทั่งความลับท

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 917

    คำพูดของซูเจิ้นถิงทำให้หลี่เฉินรู้สึกเบาใจขึ้นไม่น้อยไม่ว่าจะเป็นนิสัยหรือสถานะของซูเจิ้นถิง หากเขาสามารถยืนยันได้อย่างมั่นใจว่าด่านเย่ว์หยาจะไม่ก่อกบฏ เช่นนั้น เรื่องนี้ก็มีความน่าเชื่อถืออยู่มากหลี่เฉินขบคิดเล็กน้อยก่อนกล่าวว่า "แม่ทัพซู ด่านเย่ว์หยาไม่อาจเกิดเรื่องได้ และยิ่งไปกว่านั้นต้องไม่ให้กองทัพเหลียวบุกเข้ามาได้"ซูเจิ้นถิงยิ้มขื่น กล่าวว่า "หลักการคือเช่นนั้น แต่ด่านเย่ว์หยาเป็นระบบปิดมาโดยตลอด อย่าว่าแต่ราชสำนักเลย แม้แต่หนิงอ๋องที่พยายามทุกวิถีทางมาตลอดหลายปีเพื่อเจาะเข้าไปในด่านเย่ว์หยาก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ หากจ้าวเสวียนจีได้วางหมากเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว เราอยากจะพลิกสถานการณ์ให้ได้ในเวลาอันสั้นก็เป็นเรื่องยากเยี่ยงขึ้นสวรรค์""ภายในด่านเย่ว์หยา มีทหารพร้อมรบหกหมื่นนาย ทั้งหมดล้วนเป็นทหารผ่านศึกและทหารชั้นยอด นอกจากนี้ยังมีทหารสำรองอีกไม่น้อยกว่าสิบหมื่นคน พวกเขาทำงานปกติในยามสงบ แต่ก็ฝึกซ้อมอยู่เสมอ หากแนวป้องกันของด่านเย่ว์หยาตกอยู่ในภาวะวิกฤติ คนเหล่านี้สามารถสวมเกราะ หยิบอาวุธ และเข้าร่วมรบได้ในทันที""นอกจากนี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับแนวป้องกันด่านเย่ว์หยา

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 916

    คำกล่าวของสวีฉังชิงในตอนนี้ ทำให้สวีจวินโหลวรู้แจ้งประหนึ่งเปิดประตูสู่ปัญญาเขารู้สึกราวกับตนได้เปิดมุมมองใหม่ในการทำงาน อีกทั้งยังได้เปิดประตูสู่หัวใจของผู้คน"ท่านลุง หลานได้รับคำสอนแล้ว"สวีจวินโหลวถอยหลังหนึ่งก้าว ค้อมกายคารวะ พร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงใจ "ก่อนหน้านี้ หลานเคยคิดว่าตนสอบผ่านเป็นทั่นฮวาในการสอบจอหงวน จึงมักมีความเย่อหยิ่งอยู่บ้าง และไม่ค่อยเห็นค่าของเหล่าขันทีและข้ารับใช้ในตำหนักบูรพา""แต่บัดนี้ หลานเข้าใจแล้ว ไม่ว่าผู้นั้นจะมีฐานะหรือที่มาสูงต่ำเพียงใด หากสามารถเป็นประโยชน์ต่อตนเอง ก็ควรใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพียงเช่นนี้ การทำงานจึงจะราบรื่น และสามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ความเย่อหยิ่งของบัณฑิต แท้จริงแล้วไร้ซึ่งประโยชน์โดยสิ้นเชิง"เมื่อเห็นว่าสวีจวินโหลวเข้าใจในสิ่งที่ตนต้องการสื่อ สวีฉังชิงก็รู้สึกพึงพอใจยิ่งนักเขาตบไหล่ของสวีจวินโหลวอย่างหนักแน่น พร้อมกล่าวว่า "ไปเถิด วันนี้ลุงหลานเราดื่มกันให้เต็มที่สักหน่อย!"ณ พระที่นั่งสีเจิ้ง หลี่เฉินกำลังจิบชาร่วมกับซูเจิ้นถิง"องค์รัชทายาททรงวางแผนอย่างรอบคอบ คิดว่าใต้เท้าสวีคงเข้าใจได้" ซูเจิ้นถิงรับฟังเ

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 915

    เมื่อขันทีจากไป สีหน้าหม่นหมองของสวีฉังชิง ก็จางหายไปโดยสิ้นเชิง ในใจของเขาตอนนี้มีเพียง ความรู้สึกขอบคุณและความตื่นเต้นเขารู้สึกขอบคุณองค์รัชทายาทที่ทรงพระเมตตา และรู้สึกตื่นเต้นที่ตระกูลสวีกำลังมีโอกาสรุ่งเรืองขึ้นมาอีกครั้งการได้รับตำแหน่งภรรยาขุนนางขั้นห้า ถือเป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าองค์รัชทายาทยังให้ความสำคัญกับตระกูลของเขาเมื่อนึกถึงอนาคตที่อาจมีกลุ่มขุนนางที่นำโดยตระกูลสวีเกิดขึ้นในราชสำนัก สวีฉังชิงก็อดไม่ได้ที่จะสั่นสะท้านไปทั้งร่างเขาโบกมืออย่างตื่นเต้นและกล่าวเสียงดัง “พวกเจ้าทุกคน! วันนี้เบี้ยเลี้ยงของพวกเจ้าจะเพิ่มขึ้นอีกสองเดือน! และให้โรงครัวเตรียมอาหารอย่างดี ทุกคนในจวนสามารถกินดื่มได้เต็มที่!”เมื่อได้ยินเช่นนี้ ข้ารับใช้ในจวนต่างส่งเสียงออกมาด้วยความดีใจสวีฉังชิงหัวเราะเสียงดัง แต่เมื่อเขาหันกลับมาก็เห็น สวีจวินโหลวทำท่าทางเหมือนมีอะไรจะพูดแต่ก็ลังเล“เป็นอะไรไป?” สวีฉังชิงเอ่ยถามสวีจวินโหลวอึกอักไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าว “ท่านลุง...ขันทีที่มาส่งพระราชโองการนั้น ในตำหนักบูรพายังมีตำแหน่งต่ำกว่าข้าเสียอีก ถือว่าเป็นคนใต้บังคับบัญชาข้า ข้าควรจะปฏิบัติต่อเขาอย่าง

  • รัชทายาทจอมเจ้าเล่ห์   บทที่ 914

    ราชโองการหนึ่งฉบับ เนื้อหาไม่ยาวนักแต่ในคำไม่กี่ประโยคนั้น กลับเป็นสัญลักษณ์ของ พระมหากรุณาธิคุณและความไว้วางพระทัยอย่างใหญ่หลวงต่อตระกูลสวีในราชวงศ์นี้ภรรยาขุนนางชั้นห้า ได้รับการแต่งตั้งเพียงน้อยนิด ต้าสิงฮ่องเต้ทรงแต่งตั้งให้เฉพาะเชื้อพระวงศ์และขุนนางใกล้ชิดไม่กี่คนเท่านั้นในช่วงแรกที่ขึ้นครองราชย์ จากนั้นก็ไม่มีการแต่งตั้งอีกเลยแต่ภายใต้การปกครองขององค์รัชทายาทหลี่เฉิน มารดาของจ้าวหรุ่ยเป็นคนแรก นางหลิวแห่งตระกูลสวีเป็นคนที่สองนี่เป็นสัญญาณว่า สถานะของสองลุงหลานแห่งตระกูลสวีในตำหนักบูรพานั้นมั่นคงอย่างยิ่งสวีฉังชิงถึงกับสั่นสะท้านไปทั้งร่างด้วยความตื้นตันต่างจากสวีจวินโหลวที่ยังเยาว์วัย คิดเพียงแต่ความปลาบปลื้ม เขากลับคิดไปไกลกว่านั้นเขาตระหนักได้ทันทีว่า นี่คือรางวัลและการปลอบโยนจากองค์รัชทายาทองค์รัชทายาทกำลังบอกเขาผ่านสวีจวินโหลวว่า ตำหนักบูรพายังคงไว้วางใจเขา ความพยายามของเขาตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา องค์รัชทายาทล้วนมองเห็นด้วยความซาบซึ้งใจอย่างสุดซึ้ง เขาคุกเข่ากราบลงกับพื้น ศีรษะกระแทกกับพื้นอย่างแรง สวีฉังชิงกล่าวด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ "กระหม่อม ขอบพระทัยในพระมห

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status