ร่างสูงก้าวตรงไปยังโต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้ยังใต้ต้นท้อ สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขารู้สึกแปลกใจอีกครั้ง องค์หญิงหานชินที่ผู้คนกล่าวขานว่าเหย่อหยิ่ง ไยที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้มันมิเป็นเช่นนั้น
นางดูเป็นกันเองกับทุกคน ไม่ถือยศศักดิ์กับชาวบ้าน นางกลับสำราญใจในการกินอาหารตรงหน้า ที่มิได้เลิศรสเท่าใดนัก เสียงหัวเราะที่ไร้จริต ทำให้เขาไม่รู้จะเอ่ยคำว่าแปลกใจอีกสักกี่หนดี
“ท่านแม่ทัพมาแล้วหรือ มาเร็วกินข้าวกัน”
หานชินกวักมือเรียกสามี โดยมืออีกข้างยังคงถือไก่เอาไว้ชิ้นโต แววตาสดใสของนาง ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย เพราะเมื่อคืนเขาและนางเพิ่งร่วมเตียงกันมาแท้ ๆ
‘มิรู้จักเขินอายข้างบ้างเลยรึอย่างไรกัน’
ชายหนุ่มเดินหน้าตึงไปนั่งลงข้างภรรยา ก่อนจะมองดูถ้วยข้าวของตนเอง ที่นางเพิ่งคีบไก่มาวางให้เมื่อครู่ แม่ทัพหนุ่มชำเลืองมองภรรยา ที่เอาแต่คุยจ้อกับชาวบ้าน
อะ...แฮ่ม! แม่ทัพหนุ่มกระแอมเสียงค่อนข้างดัง เพื่อดึงความสนใจของภรรยา
“ข้าวติดคอหรือ อ่ะนี่น้ำ”
หานชินยื่นถ้วยชาให้แก่สามี ดวงตากลมโตที่มองมาทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัว ผิดกับวงหน้างามที่ประดับด้วยร้อยยิ้มกว้าง
“น้องหญิง เจ้าควรเรียกสามีว่าอย่างไร หรือต้องให้พี่แสดงให้ดูอีกสักหน ว่าเด็กดื้อต้องรับโทษเช่นไร”
แม่ทัพหนุ่มโน้มใบหน้ากระซิบข้างหูภรรยา ก่อนจะรำลึกความหลังของค่ำคืนที่ผ่านมาให้นางได้คิดสักหน่อย ก่อนจะรับถ้วยชามาถือไว้ในมือ คราวนี้เป็นเขาที่กำชัยบ้างแล้ว
เพราะในตอนนี้วงหน้างามเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย จนลามไปถึงลำคอ ดวงตาสุกใสเสมองไปทางอื่น เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ถูกสามีคุกคามด้วยสายตา
แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะหญิงสาวยังคงสร้างเสียงหัวเราะ และพูดจ้ออยู่กับชาวบ้านอย่างอารมณ์ดีเช่นเดิม จึงทำให้อาหารมื้อเช้าของวันนี้ ดูมีสีสันมากกว่าที่หลายคนจะคาดคิด โดยเฉพาะสายตาและรอยยิ้มของท่านแม่ทัพหวังลู่ฉง ที่ยากจะได้เห็น แต่วันนี้กลับปรากฏชัดต่อสายตาของทุกคน เพียงเพราะมีองค์หญิงหานชินั่งเคียงข้างกายเขา
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยและชาวบ้าน อยากขอให้ท่านแม่ทัพพักที่หมู่บ้านของข้าน้อยอีกสักคืนจะได้ไหมขอรับ”
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้นเมื่อมื้ออาหารสิ้นสุดลง แววตาร้องขอนั้นมิได้เป็นผลอันใดเลยต่อแม่ทัพหนุ่ม ทว่ากลับเป็นแววตาของภรรยาตัวดีนั้นต่างหาก ที่ทำให้เขาจำต้องพยักหน้ารับคำ
“ถ้าเช่นนั้นวันนี้ เราออกไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านกันดีไหมเจ้าคะ ข้าเบื่อนั่งรถม้าแล้ว”
หานชินส่งสายตาเว้าวอนให้แก่สามี แม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยไม่เข้าใจอารมณ์ของภรรยา ซึ่งประเดี๋ยวออดอ้อนสักพักเฉยเมยต่อเขา
เมื่อไม่มีอะไรที่ต้องสนทนากับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว สองสามีภรรยาได้ลุกออกไปเดินเล่นอย่างที่คุยกันเอาไว้ ตลอดการเดินนั้นสายตาของทั้งคู่ได้สบกันเป็นระยะ
ส่วนการสนทนานั้นหานชินเป็นผู้ผูกขาด แต่มิได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกรำคาญเลยสักนิด ทว่าเขากลับหวนนึกถึงแต่คำคืนที่ผ่านมากกว่า
“แดดร้อนมากอย่างนั้นรึเจ้าคะ ไยหน้าท่านแม่ทัพ…เอ่อ ท่านพี่ ถึงได้แดงก่ำเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
หานชินหรี่ตามองสามี ที่ใบหน้าแดงก่ำลามจนถึงลำคอ หญิงสาวมองดูอากาศโดยรอบก็ออกจะร่มรื่น ลมก็พัดผ่านจนรู้สึกเย็นสบาย แล้วเหตุใดสามีของนาง จึงได้เหมือนคนกำลังควบม้ากลางแดดเช่นนี้เล่า
“คงจะอย่างนั้น...หือ ระวัง!”
เคร้ง! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดต่อ แม่ทัพหนุ่มยกกระบี่ในมือปัดลูกธนู ที่พุ่งมาจากชายป่า มืออีกข้างคว้าร่างของภรรยาเอาไว้แนบอก ดวงตาเหยี่ยวหรี่เล็ก เมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามา
“เจ้าเป็นไรหรือไม่”
น้ำเสียงอ่อนโยนของสามี ทำให้หานชินนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะสลัดความนั้นทิ้งไปเสียก่อนในตอนนี้
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านพี่ระวังด้วยนะเจ้าคะ”
แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อคนที่ยืนอยู่แนบกาย เรียกเขาเช่นที่สามีภรรยาทั่วไปเรียกขานกัน สิ่งที่เขาค้นพบเมื่อคืนนั้น ทำให้เขาอิ่มเอมใจยิ่งนัก แต่กระนั้นจะเหมารวมว่าเขารักใคร่ในตัวนาง ก็คงจะเกินจริงไปเสียหน่อย
ชายหนุ่มดันร่างงามให้อยู่ด้านหลัง ก่อนจะมองไปยังที่มาของอาวุธ นี่เป็นเพียงการหยั่งเชิง แต่อีกสักครู่คงเป็นการลงมือจริง ๆ
“เราคงกลับไปในหมู่บ้านไม่ทันแน่ เจ้าต้องหาที่หลบให้ดี ๆ เข้าใจหรือไม่ พี่เกรงจะเกิดอันตรายต่อเจ้า”
“อย่าได้ห่วงข้าเลยเจ้าค่ะ ข้าจะปลอดภัย”
“ฮ่า ๆ ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยจริง ๆ ที่วันนี้ได้เห็นบทรักของท่านแม่ทัพหวังผู้เกรียงไกร กับองค์หญิงคาวโลกีย์ พร่ำพลอดกันกลางป่าเช่นนี้”
เสียงหัวเราะดังมาจากชายป่า ก่อนที่ชายชุดดำได้ก้าวออกมาจากชายป่า โดยมีผู้ติดตามอีกหลายคน
“วาจาที่เอ่ยช่างไร้การอบรมยิ่งนัก แต่ก็อย่างว่านักฆ่าเช่นพวกเจ้า ย่อมไร้มารดาคอยสั่งสอน จึงได้จาบจ้วงผู้อื่นเช่นนี้ เหมือนสุนัขจรจัดที่ไล่กัดผู้คนไปทั่ว”
เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างถือดี ทำให้เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายหยุดลงในทันที
“ปากดีไปเถอะ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายขององค์หญิงเช่นท่านกำพร้าแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มขบกรามแน่นด้วยความขุ่นเคือง แต่จะแสดงโทสะให้อีกฝ่ายเห็นมากก็มิได้ ด้วยฝีมือเช่นหวังลู่ฉงนั้น อยากที่พวกเขาจะคาดเดาได้ แม่ทัพผู้นี้จัดว่าเป็นเรื่องหนักมือพวกเขาอยู่ไม่น้อย
แต่ถึงจะเก่งแค่ไหนก็ย่อมต้องมีจุดอ่อน ตอนนี้เห็นจะเป็นองค์หญิงหานชิน ที่เป็นจุดอ่อนนั้นของแม่ทัพหนุ่ม พวกเขาจึงเลือกลงมือในตอนที่ทั้งคู่อยู่กันเพียงลำพัง
“มั่นใจเหลือเกินนะ”หานชินบีบท่อนแขนสามีเป็นจังหวะ เพื่อให้เขาผ่อนคลายความตึงเครียดในตอนนี้ สองสามีภรรยากำลังประเมินคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนมากกว่า ในขณะที่หญิงสาวกำลังต่อคำเพื่อถ่วงเวลาของอีกฝ่าย“อย่าเสียเวลามายอกย้อนอยู่อีกเลย มอบลมหายใจของพวกท่านแก่พวกข้าจะดีกว่า”เอ่ยจบชายสวมชุดดำ ได้พุ่งเข้าหาทั้งคู่ในทันที แม่ทัพหนุ่มผลักร่างภรรยาให้พ้นจากคมอาวุธ ก่อนที่เขาชักกระบี่ออกจากฝักเข้ารับมือคู่ต่อสู้ หนึ่งในคนร้ายพุ่งเป้าไปที่องค์หญิงหานชินหญิงสาวขยับถอยหลังเล็กน้อย พร้อมเบี่ยงตัวหลลบการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ชายชุดดำพุ่งตามไปมิห่างเช่นกัน หานชินมองไปยังสามีที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูนางอยากที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเหลือเกิน แต่หากทำเช่นนั้นทุกอย่างจะต้องพังลงก่อนถึงที่หมายอย่างแน่นอน หญิงสาวล้วงเอาปี่ในอกเสื้อออกมาเป่า พร้อมขยับหลบหลีการโจมตีไปด้วยเคร้ง! ก่อนที่ดาบใหญ่จะถึงตัวของหานชิน ได้ถูกขัดขวางเอาไว้ได้ทัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบุรุษรูปงาม ผู้ติดตามของหญิงสาวนั่นเอง ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของคนร้ายใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งรอยยิ้ม ดวงตาที่จ้องมองไปยังคนที่หมายชีวิตของผู้เป็นนายนั้น
“นางคิดว่าข้าพูดเกินจริงไป เช่นนั้นเจ้าออกมายืนยันช่วยข้าอีกแรงจะเป็นไรไหม”ปัง! พูดจบฝ่ามือบางกระแทกไปยังพนังห้องอีกด้าน ด้วยกำลังภายในขั้นสูง ทำให้กำแพงที่คิดว่าหนาแตกออกเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ยังไม่ทันที่คน ซึ่งหลบซ่อนอยู่จะจากไป มือบางได้พุ่งเข้ากระชากลำคอของคนด้านในเอาไว้ได้อย่างแม่นยำหัวหน้าหมู่บ้านถึงกับดวงตาเหลือกลาน เพราะเขาไม่คิดมาก่อนว่าองค์หญิงหานชินจะมากด้วยฝีมือขนาดนี้ ปึก! ร่างของหัวหน้าหมู่บ้านถูกดึงกระทบกับกำแพงบางส่วนที่ยังไม่หลุดออกก่อนจะถูกลากให้ออกมาเผชิญหน้ากับเจ้าของห้อง ผู้เป็นแขกสูงศักดิ์ของหมู่บ้าน ด้วยสภาพที่น่าอดสูยิ่งนัก ใบหน้าที่เคยแฝงด้วยจริตของสตรี ที่เขาเห็นในคราแรกขององค์หญิงหานชิน บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปเสมือนคนละคนเลยก็ว่าได้“เจ้ามันนังปีศาจ”“ก่อนจะกล่าวหาข้า เจ้ารู้จักข้าดีพอแล้วเช่นนั้นรึ”น้ำเสียงเย็นเยียบของหญิงสาว แทบจะทำให้เลือดในกายของผู้นำหมู่ไร้การสูบซีดเลยก็ว่าได้ ดวงตาที่เคยมีแววจริตจกร้าน ยามนี้มีเพียงความว่างเปล่า ไอสังหารเริ่มกดดันเขาจนเริ่มหายใจติดขัดเขาไม่เคยพบเจอสตรีเช่นนี้มาก่อนเลย และไม่คิดว่าองค์หญิงสูงศักดิ์เช่นนางจะมีไอสังหาร
รุ่งสางของวันใหม่ ขบวนทัพได้เคลื่อนตัวออกจากพื้นที่หมู่บ้านสุ่ยหลาน โดยคนในหมู่บ้านยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติ จะมีเพียงครอบครัวของผู้นำหมู่บ้าน และชายหนุ่มหลายคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยส่วนคนที่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นได้ออกเดินทางต่อ โดยไม่คิดที่จะให้ความกระจ่างแก่ชาวบ้าน เพราะแท้จริงคนในหมู่บ้านสุ่ยหลานต่างเป็นคนของกลุ่มกบฏ เพียงแค่สองสามีภรรยาแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจมากกว่าที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นการเดินทางดูจะช้าลงกว่าในช่วงแรกที่ออกจากเมืองหลวง เพราะท่านแม่ทัพดูจะเป็นกังวลจนเก็บอาการไม่อยู่ แม่ทัพหนุ่มเกรงภรรยาจะล้มป่วยเพราะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงเทียวขึ้นไปบนรถม้าปลอบโยนภรรยา จนทำให้ทุกคนในขบวนรู้สึกขัดเขินแทนหวังฮูหยินเลยทีเดียว“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หากเหน็ดเหนื่อยให้รีบบอกรู้หรือไม่ อย่าได้ฝืนเป็นอันขาด เส้นทางต่อจากนี้จะลำบากกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะจะมีแต่ภูเขาและหิมะ”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับภรรยาน้ำเสียงอ่อนโยน หานชินแทบไม่อยากจะเชื่อหูตนเองว่าจากสามีที่จงชังนางเหลือเกิน เหตุใดตอนนี้ทุกคำพูดเสมือนเคลือบด้วยน้ำผึ้งก็มิปาน“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”ถึงกระนั้นแม่ทัพหนุ่มยังค
ต้วนถงก้าวเข้าประคองหลิวอี้ชิวให้ลุกขึ้น ก่อนจะพาหญิงสาวเดินไปหาแม่ทัพหนุ่มกับภรรยา“ข้าน้อยต้วนถง คารวะท่านแม่ทัพหวัง หวังฮูหยินขอรับ”“อี้ชิวคารวะท่านพี่ลู่ฉง องค์หญิง”หวังลู่ฉงสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อควบคุมอารมณ์กรุ่นโกรธให้สงบลง ก่อนจะหันไปยังแขกที่ไม่รู้เหตุผลของการมาด้วยใบหน้าเรียบตึง“คุณชายต้วน คุณหนูหลิว เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”แม้จะรู้ความจริงดีอยู่แล้ว แต่หวังลู่ฉงก็ยังคงแสร้งมิรู้ความเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน สองหนุ่มสาวตรงหน้ายังอ่อนต่อโลกนัก แผนการเด็กเล่นเช่นนี้ใช้กับเขาไม่ได้แต่ก่อนที่จะทันได้ตอบ ไดมีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งห้อม้ามาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือคนที่ยืนอยู่ทั้งหมด แต่ทว่า....“ท่านทั้งสอง กำลังหนีคนพวกนี้มาสินะ”“เจ้าค่ะ/ขอรับ”ต้วนถงหันมองหน้าหลิวอี้ชิวทันที เมื่อเห็นหนึ่งในบุรุษรูปงามขององค์หญิงหานชิน ลงมือต่อชายชุดดำทั้งหมด เพียงพริบตาทุกอย่างจบลง โดยที่ชายหนุ่มผู้นั้นไร้แม้แต่ร่องรอยขีดข่วน“เอ่อ...เขาคือ...”“ฮั่วอัน เป็นคนของฮูหยินข้าเอง ตอนนี้พวกท่านคงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ยังไงก็พักกับพวกข้าก่อน เรื่องของพวกท่านหากอยากที่จะบอกเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที ท่านป
ภายในกระโจม “ท่านพี่ ไยมิถนอมนางสักหน่อยเล่าเจ้าคะ”หานชินช่วยสามีผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนแสร้งพูดถึงสตรีอีกนางด้วยน้ำเสียงสั่นน้อย ๆ หวังลู่ฉงเชยคางเล็กให้เงยขึ้นสบตา ใบหน้างามงอง้ำเล็กน้อย ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอปากของสตรีนั้นมิเคยตรงกับใจเลยสักนิด ต่อให้ยังไม่เอ่ยปากว่ารักต่อกันแม้เพียงครึ่งคำ แต่เมื่อมีสตรีอื่นมาทอดสะพานให้แก่เขา ภรรยาตัวดีที่เคยร้ายกาจ กลับกลายเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่นิดหน่อยก็หน้างอ ประชดประชันไปเสียอย่างนั้น“อยากให้พี่ถนอมนางเช่นนั้นรึ”ชายหนุ่มแสร้งใช้น้ำเสียงไม่อ่อนโยนสักเท่าใดกับภรรยา ทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้างชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม“ก็นางเป็น...เอ่อ เคยเป็นคนรักเก่าของท่านพี่นี่เจ้าค่ะ”“มันก็อาจจะใช่อย่างที่เจ้าพูด เช่นนั้นคุณชายต้วนกับเจ้าก็คงเป็นอย่างที่นางพูดสินะ ใช่สิข้าก็เป็นเพียงสามีที่เจ้าต้องจำใจแต่งด้วย มีหรือจะสู้คุณชายสูงศักดิ์ที่รู้ใจเจ้าไปเสียทุกเรื่อง”หานชินได้แต่อ้าปากค้าง เมื่ออยู่ ๆ จากที่นางเป็นฝ่ายแง่งอน ไยตอนนี้กลับเป็นนางที่ถูกสามีขุ่นเคือง ทั้งยังเข้าใจผิดไปเสียยกใหญ่ด้วยเล่า“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อยนะเจ้าคะ”“คงอยากให้เป
หญิงสาวย่อกายลงคลานสี่ขา ค่อย ๆ แทรกตัวอยู่ระหว่างสองขาแกร่งของสามี ก่อนจะคว้าจับท่อนมังกรอีกครั้ง พร้อมกับขยับรูดลงจนถึงโคน แล้วตามด้วยโพรงปากอุ่นร้อน ที่ครอบครองทั้งท่อนจะสุดเช่นเดียวกันชายหนุ่มยกก้นเด้งสวนรับการดูดกลืนของภรรยา มือหยาบกดศีรษะของนางเอาไว้แน่น พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อข่มกลั่นการปลดปล่อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้ปากร้ายกาจของภรรยาได้ทำหน้าที่ต่อ ชายหนุ่มหายใจหอบถี่ด้วยความกระสันเขาอยากที่จะพลิกร่างบางนั้นให้อยู่เบื้องล่างยิ่งนัก แต่ดูเหมือนศึกนี้นางจะไม่ยินยอมให้เขาได้ลงมือ ท่อนมังกรเปียกชื้นไปด้วยน้ำลายอุ่น ๆ เสียงดูดดึงของนางทำให้สติของชายหนุ่มแทบไม่หลงเหลือหานชินช้อนตามองสามีเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหยุดการใช้ปากครอบครองแก่นกายของสามี หญิงสาวทำให้ชายหนุ่มร่ำร้องขอความเห็นใจผ่านทางสายตาอีกครั้ง มือบางเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกาย เผยให้เห็นความงามของสองเต้าเต่งตึงยอดประทุมกำลังแข็งชูชัน เชิญชวนให้ลิ้มลอง มือบางเลื่อนขึ้นกอบกุมสองเต้าตนเอง ก่อนจะออกแรงบีบคลึงเบา ๆ เป็นการยั่วเย้าสามี ที่นอนส่งสายตาเร้าร้อนมาให้ลิ้นสีหวานค่อย ๆ ตวัดเลียริมฝีปากอวบอิ่มของนาง
กระโจมอีกด้านซึ่งเป็นที่พักของหลิวอี้ชิว และติดกันจะเป็นของต้วนถง ที่พักของทั้งคู่ถูกจัดให้แยกห่างจากคนในกองทัพพอสมควร“กรี๊ดดดด!!! ข้าไม่เคยรู้สึกอับอายถึงเพียงนี้มาก่อนเลยในชีวิต หวังลู่ฉงคิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดีเยี่ยงไรมาวิจารณ์ข้าเช่นนี้”หลิวอี้ชิวกรีดร้องด้วยความขุ่นเคือง นางแทบไม่อยากที่จะเชื่อหูเลยว่าบุรุษถือตัวเช่นเขา จะกางปีกปกป้ององค์หญิงร่านราคะอย่างหานชินได้“เจ้ามิรู้ความเอง คิดจะตำหนิผู้ใดก็ควรดูให้ดีว่าใช่เวลาที่เหมาะไหม ตอนนี้องค์หญิงเป็นภรรยาของเขา ไม่แปลกที่หวังลู่ฉงจะกางปีกปกป้องนาง”“จะถึงอย่างนั้น ก็ไม่ควรดูหมิ่นข้าขนาดนั้น”“หานชินคือภรรยา ส่วนเจ้าคืออดีตคนเคยสนิท เข้าใจหรือไม่ ฮ่า ๆ ข้าว่าเจ้าควรกลับเมืองหลวงไปซะ”“ต้วนถง เจ้าคนทรยศ จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย แทนที่จะเข้าข้างข้าที่เป็นญาติ กลับไปเข้าข้างผู้อื่น”“ข้าไม่ได้เข้าข้างผู้อื่น แค่อยากให้เจ้ารู้จักที่จะรอเวลาสักหน่อย เจ้ากับนางต่างกันมากในทุกหนทาง หากอยากชนะใจบุรุษ จริตมารยาเท่านั้น ที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่เจ้าปรารถนา”“อย่างไร”ต้วนถงก้าวเข้าประชิดร่างของหลิวอี้ชิว ก่อนจะกระซิบบางอย่า เพื่อให้
แม่ทัพหนุ่มมองไปยังต้นเหตุ ที่เขาคิดว่าต้องใช่อย่างแน่นอน เพราะในตอนนี้หลิวอี้ชิวคอยชวนเขาคุย ทั้งยังคอยตักอาหารให้แก่เขาจนแทบจะล้นแล้วนั่นเอง“น้องหญิง กุ้งของโปรดเจ้า”“วันนี้ข้าแพ้กุ้งเจ้าค่ะ”“องค์หญิงนี่ปูนึ่งที่ท่านชอบ”ต้วนถงคีบเนื้อปูนึ่งที่แกะแล้ววางในถ้วยของหานชิน หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยก่อนจะคีบเข้าปาก โดยชำเลืองมองสามีเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดใบหน้างามไปอีกทาง เมื่อสามีมองมาที่นาง“พี่ลู่ฉง ไก่อบที่ท่านชอบ”“ดึกมากแล้ว มื้อค่ำควรที่จะจบลงดีหรือไม่ทุกท่าน”ทุกคนที่นั่งร่วมกินมื้อค่ำ ถึงกับอ้าปากค้างกับการยุติมื้ออาหารของแม่ทัพหนุ่ม หานชินที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ถึงกับสำลักจนหน้าแดง นางไม่คิดว่าหวังลู่ฉงจะเป็นคนเช่นนี้“นั่นอย่างไรเล่า น้องหญิงวันนี้เจ้าก็แพ้ปูอีกสินะ ไปเถอะพี่จะพาเจ้าไปกินยา”ไม่พูดเปล่าแม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นช้อนอุ้มร่างภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้แขกทั้งสองที่ยังอยู่ในอาการตกใจมองตามด้วยความงุนงงต้วนถงจำต้องวางตะเกียบลง ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกกล่าวว่าเขาจะกลับแล้วให้กับญาติผู้น้องของตนเอง หลิวอี้ชิวที่ยังคงมึนงงกับสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มกระทำ ได้แต่ลุกเ
“ทำไม! ท่านคิดจะร้องขอชีวิตจากข้าเช่นนั้นรึ”แววตาไหวระริกด้วยความตื่นเต้นพลันฉายชัดให้เห็น เรียวปากบางคลี่ยิ้มกว้าง“ไม่จำเป็น เพราะข้ารู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”แม่ทัพหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนกับสถานการณ์ที่กำลังตกเป็นรองของเขา มิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย“ยโสยิ่งนัก ไป๋เจี้ยนถง ข้าเองก็อยากรู้นัก ว่าท่านจะผยองเช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหน”เมื่อได้ยินคำปฏิเสธอย่างไรเยื่อใย ความขุ่นเคืองพลันบังเกิดขึ้นมาภายในใจของหญิงสาว ประหนึ่งภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุก็มิปาน“สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นที่ข้ามองอยู่เสมอ เจ้าอยากทำร้ายข้านั้นมิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่การที่เจ้าขายแผ่นดินบ้านเกิด นี่ต่างหากที่ทำให้ข้าไม่อาจลดตัวร้องขอสิ่งใดจากคนเช่นเจ้า”“เก็บคำพูดอันสวยงามของท่านแม่ทัพ ไปรอตอบคำถามของฝ่าบาทในยมโลกจะดีกว่านะ เพราะข้าสนแค่คนที่ข้ารักเท่านั้น ผู้อื่นหาได้อยู่ในสายตาข้าไม่”แม้คำพูดจะยังถากถางชายหนุ่ม ทว่าความรู้สึกบางอย่างเตือนให้นางระวังตัวจากบุรุษผู้นี้ คนเช่นไป๋เจี้ยนถงเช่นนั้นรึจะพลาดพลั้งได้โดยง่าย เขากรำศึกมาตั้งแต่อายุสิบห้าย่อมยากที่จะถูกลวงได้โดยง่าย‘หรือว่า....’ “ขนาดนี
สามเดือนต่อมา “ท่านลุง เหตุใดท่านพี่ยังมิกลับมาอีกเล่า” เพ่ยเพ่ยเอ่ยถามพ่อบ้าน “เรียนฮูหยิน ข้าน้อยได้ส่งคนไปดูที่ค่ายทหารแล้วขอรับ” “ท่านลุงมีสิ่งใดที่ยังมิได้บอกข้าอยู่หรือไม่” เพ่ยเพ่ยจ้องพ่อบ้านด้วยสายตาคาดคั้น นางอาจเป็นเพียงท่านหญิงผู้บอบบางในสาตาผู้อื่น แต่นั่นมันชูเพ่ยเพ่ยที่ตายไปแล้ว มิใช่นางคนปัจจุบัน “ข้าน้อยคิดว่าฮูหยิน เอ่อ...กลับไปพักสักหน่อยเถอะนะขอรับ นี่ก็ดึกมากแล้ว” “จะให้ข้าหาคำตอบเอง หรือจะบอกข้ามา” ชายชราได้แต่อ้ำอึ้ง เมื่อถูกนายหญิงบีบคั้นทั้งคำพูดและสายตา เวลานี้ท่านหญิงชูดูจะมิใช่สตรีอ่อนหวานไร้เดียงสาเช่นทุกวัน แต่เป็นอีกคนที่เขาเองเหมือนจะมิรู้จักเลยก็ว่าได้ “เอ่อ...” “สามีข้าหายไปสองวัน คิดว่าจะปิดข้าอีกนานแค่ไหนกัน” “เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนขอรับ....” ในที่สุดพ่อบ้านชราก็ไม่อาจที่จะปิดบัง ความจริงกับผู้เป็นนายหญิงได้อีก การหายตัวไปของท่านแม่ทัพ นับเป็นความสั่นคลอนภายในกองทัพ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป “ท่านล
ชายหนุ่มพยายามข่มความต้องการเอาไว้ หากทำเช่นใจต้องการในตอนนี้ อาจเป็นครั้งแรกที่มิน่าประทับใจเท่าใดนัก ชายหนุ่มพรมจูบไปตามผิวเนียนละเอียดอย่างเชื่องช้ามือหนาลูบไล้ขึ้นลงตามท่อนขาเรียวงาม ก่อนจะมาหยุดยังเนินเนื้อที่ปกคลุมไปด้วยปุยขนบาง ๆ ทำให้ความต้องการแล่นพล่านไปทั่วกายอีกครั้ง ท่อนเอ็นเจ็บร้าวเรียกร้องการปลดปล่อยนิ้วแกร่งค่อย ๆ กรีดลงตามร่องภายใต้ปุยขนสีดำ เพียงปลายนิ้วสัมผัสกับติ่งเล็กด้านใน ร่างบางถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความเสียวซ่าน มือบางที่สอดอยู่ภายใต้กลุ่มผมหนาของสามี เผลอขยุ้มอย่างแรง“พี่จะทำให้ครั้งแรกของเราเป็นที่จดจำ และจะเป็นเช่นนี้จนชั่วชีวิตสามีภรรยาของเรา”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ โดยที่เขาทำเพียงช้อนสายตาขึ้นมองภรรยา ก่อนจะพรมจูบสลับตวัดปลายลิ้นเลียไปทั่วหน้าท้องแบนราบ“อ่า ท่านพี่ข้าเสียวยิ่ง...อ่า”เพ่ยเพ่ยครางออกมาเมื่อนิ้วของสามีขยับเคลื่อนไหวมิหยุด หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงขาดห่วง เมื่อความเสียวกระสันกำลังครอบครองกายนางแม่ทัพหนุ่มเลื่อนใบหน้าลงต่ำ ก่อนจะใช้มือแยกขาเรียวออกกว้าง ปลายลิ้นสากลากลงตามร่องสวาทอย่างเชื่องช้า ยิ่งเวลานี้กลีบบางแยกออกเผยให้เห็นเม็ดสวาทสีแดง ควา
“เจี้ยนถง” “ที่เจ้าแสดงอาการหึงหวงข้า เพียงเพราะอยากชนะเพ่ยเพ่ยก็เท่านั้น หาได้คิดอย่างที่เจ้าเพียรบอกตนเองเลยแม้แต่น้อย” “ฮ่า ๆ ใช่แล้วจะทำไม นางมารน้อยนั่น ร้ายกาจกว่าที่ท่านรู้เสียอีกเจี้ยนถง” “ข้าเหมือนลาโง่เช่นนั้นรึ ข้าแค่พอใจในนางมารน้อยของข้าที่นางเป็นเช่นนั้น และเจ้าล้ำเส้นแตะต้องนาง” อี้ชิวถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อได้ยินความจริงจากปากของชายหนุ่ม เช่นนั้นแสดงว่าตลอดเวลาที่นางอยู่กับชูเพ่ยเพ่ย ชายหนุ่มเห็นมันอยู่โดยตลอด และนางมารน้อยนั่นก็ต้องรู้อยู่แล้วเช่นกัน “ช่างสมกันยิ่งนัก” “นี่คงเป็นความจริงใจเดียว ที่เจ้ากล่าวออกมาสินะ ข้าขอบคุณก็แล้วกันที่เจ้ามองเห็นมันแล้ว” “ท่านมันไร้หัวใจ เจี้ยนถง” “หึ ๆ หากข้าเป็นเช่นเจ้าว่ามาจริง เจ้าไม่คงอยู่ที่นี่กระมังแม่นางอี้ชิว แต่เพราะข้ามีหัวใจ เจ้าจึงมิสมควรได้รับการอภัย ที่แตะต้องหัวใจของข้า” “ฮ่า ๆ มีตรงไหนที่ข้าพ่ายแก่นางมารน้อยจอมเจ้าเล่ห์กัน” อี้ชิวอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียงเหลือเกิน ทว่านางกลับทำได้เพียงหัวเร
เพี๊ยะ ๆ เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้างามดังให้ได้ยินชัดเจน อี้ชิวรู้ตัวอีกทีใบหน้าของนางได้สะบัดไปมาหลายรอบ เลือดสีแดงไหลออกมาจากมุมปาก หญิงสาวกำหมัดแน่นด้วยความเคียดแค้น นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์มีหรือจะไม่รู้ว่าแรงของฝ่ามือที่กระทบใบหน้าของตนเองนั้น แฝงไปด้วยพลังยุทธ์ “เจ้าท้าทายข้า เช่นนั้นวันนี้เป็นข้าที่จะลงมือสั่งสอนเจ้าสักหน่อย” เอ่ยจบร่างงามได้พุ่งเข้าหาคนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า ปึก! เพียงฝ่ามือเดียวเพ่ยเพ่ยเซถอยไปไกล พรึ่บ! ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะล้มลงถึงพื้นดิน กลับมีท่อนแขนแกร่งเข้ามารับเอาไว้ทันเสียก่อน “ท่านพี่ อึก!” เพ่ยเพ่ยกระอึกเลือดสีแดงออกมาคำใหญ่ ทำให้แม่ทัพหนุ่มถึงกลับร้อนใจ เมื่อเห็นอาการของภรรยา ชายหนุ่มช้อนอุ้มร่างหญิงสาวขึ้นสู่อ้อมแขน ก่อนจะหันไปมองคนที่ลงมือต่อภรรยาของเขา “หากนางเป็นอันใดไป ชีวิตเจ้าจะไม่เหลือแม้แต่ชื่อให้ผู้คนได้กล่าวถึง” “แต่นางลงมือต่อข้าก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ” “เพ่ยเพ่ย ไร้วรยุทธ์ไหนเลยจะลงมือต่อเจ้าได้รุนแรง เพียงฝ่ามือบาง ๆ ของนาง รึจะเจ็บปวดถึงชีวิตเช่นที่เจ้าทำต่อน
เส้นทางสู่วัดชิงอัน ฮี่ ๆ ม้าที่กำลังวิ่งมาเต็มกำลังจำต้องหยุดลง อาการแตกตื่นของม้ามิได้ทำให้ทุกคนตกใจ เท่ากับที่มีร่างของใครอีกคนนอนนิ่งอยู่กลางถนนขวางทางอยู่ แท่ทัพหนุ่มโน้มกายปลอบใจอาชาคู่ใจ เมื่อม้าทุกตัวสงบลง ทหารคนสนิทได้วิ่งลงไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะวิ่งกลับมาหาผู้เป็นนาย “เรียนท่านแท่ทัพ นางยังมีลมหายใจอยู่ขอรับ” “พาไปยังอารมด้วยเลยก็แล้วกัน ที่นั่นมีไต้ซือถงอยู่คงพอจะรักษานางได้” “ขอรับท่านแม่ทัพ” ชายหนุ่มเร่งกลับไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางขึ้นสู่อ้อมแขน ในขณะที่ม้าของแม่ทัพหนุ่มก้าวผ่าน ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้างามนั้นอย่างชัดเจน ก่อนจะกระตุ้นม้าให้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะสนใจหญิงสาวในอ้อมแขนของคนสนิท ‘มองเมินข้าเกินไปแล้วนะ เจี้ยนถง’ หญิงสาวขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ นางไม่คิดเลยว่าการกลับมาครั้งนี้ จะไม่อยู่ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มเลย ‘เจ้านำพาหัวใจข้าไปเมื่อครั้งในอดีต เมื่อมันตายไปแล้วก็นับว่าผ่านพ้น เวลานี้ใจของข้าได้กำเนิดใหม่
“สมควรที่จะเป็นเช่นนี้ เจ้าเล่นเดินไปทั่วเมือง” ชายหนุ่มประคองภรรยาไปนั่ง ทุกการกระทำของสองสามีภรรยา ทำให้ร่างระหงที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ต่างจากเพ่ยเพ่ยที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ‘ชั้นเชิงของเจ้าที่ใช้นับว่าชาญฉลาด แต่ยังอ่อนหัดหากเทียบกับโลกที่ข้าจากมาอี้ชิว’ เพ่ยเพ่ยยังคงแสร้งออเซาะสามี ด้วยนิสัยของความเป็นเด็กที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มยากที่จะปฏิเสธได้ ชายหนุ่มย่อกายลงตรงหน้าของภรรยา ก่อนจะนวดที่น่องเรียวงาม เพ่ยเพ่ยยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ พร้อมชำเลืองมองไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ นางไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดจากสามีเลยนับตั้งแต่แต่งงาน ทว่านางจงใจทำให้ทุกช่วงเวลาอันเอื่อยเฉื่อยระหว่างนางกับเขา ให้ทุกครรลองสายตาของเขามีเพียงนาง โดยที่เขาไม่รู้ตัว แล้วเช่นนี้จะมีสตรีใดเล่าจะมาช่วงชิงสายตาของเขาไปจากนางได้ ‘ชีวิตอีกโลกข้ามัวแต่เก็บงำความรู้สึก มาชีวิตนี้ข้าจะไม่ยินยอมเสียโอกาสอีกเป็นอันขาด’ “คราวหลังห้ามทำเช่นนี้อีกรู้หรือไม่” “เจ้าค่ะ ข้าจะมิดื้อรั้นกับท่านพี่” เพ่ยเพ่ยตอบรับคำของสาม
“วันนี้เจ้าสมควรถูกลงโทษ” “ข้ายินดีรับ” เอ่ยจบชายหนุ่มได้ประทับจูบอีกครั้ง มือหนาเคล้นคลึงก้นงอนงาม โดยที่ท่อนเอ็นของเขาในเวลานี้อยู่ในกำมือบอบบาง ที่ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขา “อ่า อื้อ อี้ชิว อ่า” ชายหนุ่มถึงกับขาสั่นเทา เมื่อมือนุ่มขยับเคลื่อนรูดไปตามท่อนเอ็นที่กำลังแข็งชูชันด้วยความเสียวซ่านจากการถูกปลุกเร้า หลังจากถอนริมฝีปากออกได้เพียงครู่เดียว กางเกงของเขาได้หลุดร่วงลงไปกองอยู่แทบเท้า โดยที่ร่างระหงนั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ปลายลิ้นเล็กตวัดผ่านปลายท่อนเอ็น ที่กำลังบานออกจนเผยให้เห็นรูเล็ก ๆ ที่มีน้ำใส ๆ ไหลเยิ้มออกมา หญิงสาวระรัวปลายลิ้นยังรู สลับดูดส่วนปลายแรง ๆ เพียงครู่เดียวท่อนเอ็นกว่าครึ่งลำ ได้อยู่ในปากอุ่นร้อนของหญิงสาว มือบางรูดขึ้นลงพร้อมกับห่อปากดูดรั้งท่อนเอ็นเอาไว้แน่นชายหนุ่มใช้สองมือจับศีรษะงามเอาไว้แน่น พร้อมทั้งขยับสะโพกเด้งสวนรับแรงดูดกลืนนั้นด้วยความเสียวซ่าน เสียงลมหายใจเสมือนม้าศึกของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวเพิ่มแรงดูดดึงท่อนเอ็นให้มากขึ้นชายหนุ่มไม่อาจทานทนต่อแรงกระตุ้นได้อีกต่อไป ชายหนุ่มถ
ทุกคนค้อมศีรษะให้แก่หญิงสาว ที่เวลานี้ยืนขึ้นค้อมหัวให้แก่ทุกคนอย่างนอบน้อม เพ่ยเพ่ยยังใจเย็นรั้งรอสามีอยู่เช่นเดิม ร่างสูงก้าวออกมายังหน้ากระโจมเป็นคนสุดท้าย คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็นการแสดงสีหน้าเช่นนี้ของแม่ทัพหนุ่ม “ท่านพี่ เพ่ยเพ่ยขออภัยเจ้าค่ะ ที่ดื้อรั้นรั้งรอท่านพี่อยู่ตรงนี้” น้ำเสียงดูเหมือนกำลังสำนึกผิด ทว่ารอยยิ้มและแววตานั้นหาได้เป็นเช่นคำพูดไม่ “เจ้ามีสิ่งใดเร่งด่วนเช่นนั้นรึ จึงได้มาหาข้าถึงที่นี่” แม่ทัพหนุ่มแสร้งไม่เห็นแววตาไหวระริกของภรรยา ทว่าเขากลับเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามของสามี ทำเพียงมองไปยังตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปส่งยิ้มละมุนให้แก่สามี แววตาที่เคยสดใส เวลานี้สลดลงเล็กน้อย ด้วยความกริ่งเกรงในสายตาของผู้เป็นสามี “เจ้าไม่เห็นต้องลำบากเช่นนี้เลย ไปเถอะที่นี่คงมิเหมาะให้กินอาหารสักเท่าใดนัก”ชายหนุ่มก้าวเข้ามาคว้าตะกร้าอาหาร ก่อนจะเดินนำไปยังทิศทางด้านหลังค่ายทหาร ร่างบางก้มหน้าน้อย ๆ เดินตามสามีไปเงียบ ๆ เพ่ยเพ่ยเบิกตากว้างเมื่อเห็นทิวท