ร่างสูงก้าวตรงไปยังโต๊ะอาหารที่ถูกจัดไว้ยังใต้ต้นท้อ สิ่งที่เขาเห็นทำให้เขารู้สึกแปลกใจอีกครั้ง องค์หญิงหานชินที่ผู้คนกล่าวขานว่าเหย่อหยิ่ง ไยที่เขาเห็นอยู่ในตอนนี้มันมิเป็นเช่นนั้น
นางดูเป็นกันเองกับทุกคน ไม่ถือยศศักดิ์กับชาวบ้าน นางกลับสำราญใจในการกินอาหารตรงหน้า ที่มิได้เลิศรสเท่าใดนัก เสียงหัวเราะที่ไร้จริต ทำให้เขาไม่รู้จะเอ่ยคำว่าแปลกใจอีกสักกี่หนดี
“ท่านแม่ทัพมาแล้วหรือ มาเร็วกินข้าวกัน”
หานชินกวักมือเรียกสามี โดยมืออีกข้างยังคงถือไก่เอาไว้ชิ้นโต แววตาสดใสของนาง ทำให้เขารู้สึกขุ่นเคืองอยู่เล็กน้อย เพราะเมื่อคืนเขาและนางเพิ่งร่วมเตียงกันมาแท้ ๆ
‘มิรู้จักเขินอายข้างบ้างเลยรึอย่างไรกัน’
ชายหนุ่มเดินหน้าตึงไปนั่งลงข้างภรรยา ก่อนจะมองดูถ้วยข้าวของตนเอง ที่นางเพิ่งคีบไก่มาวางให้เมื่อครู่ แม่ทัพหนุ่มชำเลืองมองภรรยา ที่เอาแต่คุยจ้อกับชาวบ้าน
อะ...แฮ่ม! แม่ทัพหนุ่มกระแอมเสียงค่อนข้างดัง เพื่อดึงความสนใจของภรรยา
“ข้าวติดคอหรือ อ่ะนี่น้ำ”
หานชินยื่นถ้วยชาให้แก่สามี ดวงตากลมโตที่มองมาทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มร้อนผ่าวโดยไม่รู้ตัว ผิดกับวงหน้างามที่ประดับด้วยร้อยยิ้มกว้าง
“น้องหญิง เจ้าควรเรียกสามีว่าอย่างไร หรือต้องให้พี่แสดงให้ดูอีกสักหน ว่าเด็กดื้อต้องรับโทษเช่นไร”
แม่ทัพหนุ่มโน้มใบหน้ากระซิบข้างหูภรรยา ก่อนจะรำลึกความหลังของค่ำคืนที่ผ่านมาให้นางได้คิดสักหน่อย ก่อนจะรับถ้วยชามาถือไว้ในมือ คราวนี้เป็นเขาที่กำชัยบ้างแล้ว
เพราะในตอนนี้วงหน้างามเริ่มเปลี่ยนสีไปทีละน้อย จนลามไปถึงลำคอ ดวงตาสุกใสเสมองไปทางอื่น เพื่อกลบเกลื่อนความเขินอายที่ถูกสามีคุกคามด้วยสายตา
แต่ก็เพียงชั่วครู่เท่านั้น เพราะหญิงสาวยังคงสร้างเสียงหัวเราะ และพูดจ้ออยู่กับชาวบ้านอย่างอารมณ์ดีเช่นเดิม จึงทำให้อาหารมื้อเช้าของวันนี้ ดูมีสีสันมากกว่าที่หลายคนจะคาดคิด โดยเฉพาะสายตาและรอยยิ้มของท่านแม่ทัพหวังลู่ฉง ที่ยากจะได้เห็น แต่วันนี้กลับปรากฏชัดต่อสายตาของทุกคน เพียงเพราะมีองค์หญิงหานชินั่งเคียงข้างกายเขา
“ท่านแม่ทัพ ข้าน้อยและชาวบ้าน อยากขอให้ท่านแม่ทัพพักที่หมู่บ้านของข้าน้อยอีกสักคืนจะได้ไหมขอรับ”
หัวหน้าหมู่บ้านเอ่ยขึ้นเมื่อมื้ออาหารสิ้นสุดลง แววตาร้องขอนั้นมิได้เป็นผลอันใดเลยต่อแม่ทัพหนุ่ม ทว่ากลับเป็นแววตาของภรรยาตัวดีนั้นต่างหาก ที่ทำให้เขาจำต้องพยักหน้ารับคำ
“ถ้าเช่นนั้นวันนี้ เราออกไปเดินเล่นรอบหมู่บ้านกันดีไหมเจ้าคะ ข้าเบื่อนั่งรถม้าแล้ว”
หานชินส่งสายตาเว้าวอนให้แก่สามี แม่ทัพหนุ่มได้แต่ถอนหายใจหนัก ๆ ด้วยไม่เข้าใจอารมณ์ของภรรยา ซึ่งประเดี๋ยวออดอ้อนสักพักเฉยเมยต่อเขา
เมื่อไม่มีอะไรที่ต้องสนทนากับหัวหน้าหมู่บ้านแล้ว สองสามีภรรยาได้ลุกออกไปเดินเล่นอย่างที่คุยกันเอาไว้ ตลอดการเดินนั้นสายตาของทั้งคู่ได้สบกันเป็นระยะ
ส่วนการสนทนานั้นหานชินเป็นผู้ผูกขาด แต่มิได้ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกรำคาญเลยสักนิด ทว่าเขากลับหวนนึกถึงแต่คำคืนที่ผ่านมากกว่า
“แดดร้อนมากอย่างนั้นรึเจ้าคะ ไยหน้าท่านแม่ทัพ…เอ่อ ท่านพี่ ถึงได้แดงก่ำเช่นนี้เล่าเจ้าคะ”
หานชินหรี่ตามองสามี ที่ใบหน้าแดงก่ำลามจนถึงลำคอ หญิงสาวมองดูอากาศโดยรอบก็ออกจะร่มรื่น ลมก็พัดผ่านจนรู้สึกเย็นสบาย แล้วเหตุใดสามีของนาง จึงได้เหมือนคนกำลังควบม้ากลางแดดเช่นนี้เล่า
“คงจะอย่างนั้น...หือ ระวัง!”
เคร้ง! ยังไม่ทันที่จะเอ่ยสิ่งใดต่อ แม่ทัพหนุ่มยกกระบี่ในมือปัดลูกธนู ที่พุ่งมาจากชายป่า มืออีกข้างคว้าร่างของภรรยาเอาไว้แนบอก ดวงตาเหยี่ยวหรี่เล็ก เมื่อรับรู้ถึงความเคลื่อนไหวที่ใกล้เข้ามา
“เจ้าเป็นไรหรือไม่”
น้ำเสียงอ่อนโยนของสามี ทำให้หานชินนิ่งอึ้งไปชั่วครู่ ก่อนจะสลัดความนั้นทิ้งไปเสียก่อนในตอนนี้
“ไม่เจ้าค่ะ ท่านพี่ระวังด้วยนะเจ้าคะ”
แม่ทัพหนุ่มยกยิ้มน้อย ๆ เมื่อคนที่ยืนอยู่แนบกาย เรียกเขาเช่นที่สามีภรรยาทั่วไปเรียกขานกัน สิ่งที่เขาค้นพบเมื่อคืนนั้น ทำให้เขาอิ่มเอมใจยิ่งนัก แต่กระนั้นจะเหมารวมว่าเขารักใคร่ในตัวนาง ก็คงจะเกินจริงไปเสียหน่อย
ชายหนุ่มดันร่างงามให้อยู่ด้านหลัง ก่อนจะมองไปยังที่มาของอาวุธ นี่เป็นเพียงการหยั่งเชิง แต่อีกสักครู่คงเป็นการลงมือจริง ๆ
“เราคงกลับไปในหมู่บ้านไม่ทันแน่ เจ้าต้องหาที่หลบให้ดี ๆ เข้าใจหรือไม่ พี่เกรงจะเกิดอันตรายต่อเจ้า”
“อย่าได้ห่วงข้าเลยเจ้าค่ะ ข้าจะปลอดภัย”
“ฮ่า ๆ ไม่อยากจะเชื่อสายตาเลยจริง ๆ ที่วันนี้ได้เห็นบทรักของท่านแม่ทัพหวังผู้เกรียงไกร กับองค์หญิงคาวโลกีย์ พร่ำพลอดกันกลางป่าเช่นนี้”
เสียงหัวเราะดังมาจากชายป่า ก่อนที่ชายชุดดำได้ก้าวออกมาจากชายป่า โดยมีผู้ติดตามอีกหลายคน
“วาจาที่เอ่ยช่างไร้การอบรมยิ่งนัก แต่ก็อย่างว่านักฆ่าเช่นพวกเจ้า ย่อมไร้มารดาคอยสั่งสอน จึงได้จาบจ้วงผู้อื่นเช่นนี้ เหมือนสุนัขจรจัดที่ไล่กัดผู้คนไปทั่ว”
เสียงหวานเอ่ยขึ้น พร้อมกับยกยิ้มมุมปากอย่างถือดี ทำให้เสียงหัวเราะของอีกฝ่ายหยุดลงในทันที
“ปากดีไปเถอะ วันนี้จะเป็นวันสุดท้ายขององค์หญิงเช่นท่านกำพร้าแล้วนะพ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มขบกรามแน่นด้วยความขุ่นเคือง แต่จะแสดงโทสะให้อีกฝ่ายเห็นมากก็มิได้ ด้วยฝีมือเช่นหวังลู่ฉงนั้น อยากที่พวกเขาจะคาดเดาได้ แม่ทัพผู้นี้จัดว่าเป็นเรื่องหนักมือพวกเขาอยู่ไม่น้อย
แต่ถึงจะเก่งแค่ไหนก็ย่อมต้องมีจุดอ่อน ตอนนี้เห็นจะเป็นองค์หญิงหานชิน ที่เป็นจุดอ่อนนั้นของแม่ทัพหนุ่ม พวกเขาจึงเลือกลงมือในตอนที่ทั้งคู่อยู่กันเพียงลำพัง
“มั่นใจเหลือเกินนะ”หานชินบีบท่อนแขนสามีเป็นจังหวะ เพื่อให้เขาผ่อนคลายความตึงเครียดในตอนนี้ สองสามีภรรยากำลังประเมินคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนมากกว่า ในขณะที่หญิงสาวกำลังต่อคำเพื่อถ่วงเวลาของอีกฝ่าย“อย่าเสียเวลามายอกย้อนอยู่อีกเลย มอบลมหายใจของพวกท่านแก่พวกข้าจะดีกว่า”เอ่ยจบชายสวมชุดดำ ได้พุ่งเข้าหาทั้งคู่ในทันที แม่ทัพหนุ่มผลักร่างภรรยาให้พ้นจากคมอาวุธ ก่อนที่เขาชักกระบี่ออกจากฝักเข้ารับมือคู่ต่อสู้ หนึ่งในคนร้ายพุ่งเป้าไปที่องค์หญิงหานชินหญิงสาวขยับถอยหลังเล็กน้อย พร้อมเบี่ยงตัวหลลบการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ชายชุดดำพุ่งตามไปมิห่างเช่นกัน หานชินมองไปยังสามีที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของศัตรูนางอยากที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเหลือเกิน แต่หากทำเช่นนั้นทุกอย่างจะต้องพังลงก่อนถึงที่หมายอย่างแน่นอน หญิงสาวล้วงเอาปี่ในอกเสื้อออกมาเป่า พร้อมขยับหลบหลีการโจมตีไปด้วยเคร้ง! ก่อนที่ดาบใหญ่จะถึงตัวของหานชิน ได้ถูกขัดขวางเอาไว้ได้ทัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบุรุษรูปงาม ผู้ติดตามของหญิงสาวนั่นเอง ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของคนร้ายใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งรอยยิ้ม ดวงตาที่จ้องมองไปยังคนที่หมายชีวิตของผู้เป็นนายนั้น
“นางคิดว่าข้าพูดเกินจริงไป เช่นนั้นเจ้าออกมายืนยันช่วยข้าอีกแรงจะเป็นไรไหม”ปัง! พูดจบฝ่ามือบางกระแทกไปยังพนังห้องอีกด้าน ด้วยกำลังภายในขั้นสูง ทำให้กำแพงที่คิดว่าหนาแตกออกเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ยังไม่ทันที่คน ซึ่งหลบซ่อนอยู่จะจากไป มือบางได้พุ่งเข้ากระชากลำคอของคนด้านในเอาไว้ได้อย่างแม่นยำหัวหน้าหมู่บ้านถึงกับดวงตาเหลือกลาน เพราะเขาไม่คิดมาก่อนว่าองค์หญิงหานชินจะมากด้วยฝีมือขนาดนี้ ปึก! ร่างของหัวหน้าหมู่บ้านถูกดึงกระทบกับกำแพงบางส่วนที่ยังไม่หลุดออกก่อนจะถูกลากให้ออกมาเผชิญหน้ากับเจ้าของห้อง ผู้เป็นแขกสูงศักดิ์ของหมู่บ้าน ด้วยสภาพที่น่าอดสูยิ่งนัก ใบหน้าที่เคยแฝงด้วยจริตของสตรี ที่เขาเห็นในคราแรกขององค์หญิงหานชิน บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปเสมือนคนละคนเลยก็ว่าได้“เจ้ามันนังปีศาจ”“ก่อนจะกล่าวหาข้า เจ้ารู้จักข้าดีพอแล้วเช่นนั้นรึ”น้ำเสียงเย็นเยียบของหญิงสาว แทบจะทำให้เลือดในกายของผู้นำหมู่ไร้การสูบซีดเลยก็ว่าได้ ดวงตาที่เคยมีแววจริตจกร้าน ยามนี้มีเพียงความว่างเปล่า ไอสังหารเริ่มกดดันเขาจนเริ่มหายใจติดขัดเขาไม่เคยพบเจอสตรีเช่นนี้มาก่อนเลย และไม่คิดว่าองค์หญิงสูงศักดิ์เช่นนางจะมีไอสังหาร
รุ่งสางของวันใหม่ ขบวนทัพได้เคลื่อนตัวออกจากพื้นที่หมู่บ้านสุ่ยหลาน โดยคนในหมู่บ้านยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติ จะมีเพียงครอบครัวของผู้นำหมู่บ้าน และชายหนุ่มหลายคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยส่วนคนที่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นได้ออกเดินทางต่อ โดยไม่คิดที่จะให้ความกระจ่างแก่ชาวบ้าน เพราะแท้จริงคนในหมู่บ้านสุ่ยหลานต่างเป็นคนของกลุ่มกบฏ เพียงแค่สองสามีภรรยาแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจมากกว่าที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นการเดินทางดูจะช้าลงกว่าในช่วงแรกที่ออกจากเมืองหลวง เพราะท่านแม่ทัพดูจะเป็นกังวลจนเก็บอาการไม่อยู่ แม่ทัพหนุ่มเกรงภรรยาจะล้มป่วยเพราะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงเทียวขึ้นไปบนรถม้าปลอบโยนภรรยา จนทำให้ทุกคนในขบวนรู้สึกขัดเขินแทนหวังฮูหยินเลยทีเดียว“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หากเหน็ดเหนื่อยให้รีบบอกรู้หรือไม่ อย่าได้ฝืนเป็นอันขาด เส้นทางต่อจากนี้จะลำบากกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะจะมีแต่ภูเขาและหิมะ”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับภรรยาน้ำเสียงอ่อนโยน หานชินแทบไม่อยากจะเชื่อหูตนเองว่าจากสามีที่จงชังนางเหลือเกิน เหตุใดตอนนี้ทุกคำพูดเสมือนเคลือบด้วยน้ำผึ้งก็มิปาน“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”ถึงกระนั้นแม่ทัพหนุ่มยังค
ต้วนถงก้าวเข้าประคองหลิวอี้ชิวให้ลุกขึ้น ก่อนจะพาหญิงสาวเดินไปหาแม่ทัพหนุ่มกับภรรยา“ข้าน้อยต้วนถง คารวะท่านแม่ทัพหวัง หวังฮูหยินขอรับ”“อี้ชิวคารวะท่านพี่ลู่ฉง องค์หญิง”หวังลู่ฉงสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อควบคุมอารมณ์กรุ่นโกรธให้สงบลง ก่อนจะหันไปยังแขกที่ไม่รู้เหตุผลของการมาด้วยใบหน้าเรียบตึง“คุณชายต้วน คุณหนูหลิว เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”แม้จะรู้ความจริงดีอยู่แล้ว แต่หวังลู่ฉงก็ยังคงแสร้งมิรู้ความเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน สองหนุ่มสาวตรงหน้ายังอ่อนต่อโลกนัก แผนการเด็กเล่นเช่นนี้ใช้กับเขาไม่ได้แต่ก่อนที่จะทันได้ตอบ ไดมีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งห้อม้ามาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือคนที่ยืนอยู่ทั้งหมด แต่ทว่า....“ท่านทั้งสอง กำลังหนีคนพวกนี้มาสินะ”“เจ้าค่ะ/ขอรับ”ต้วนถงหันมองหน้าหลิวอี้ชิวทันที เมื่อเห็นหนึ่งในบุรุษรูปงามขององค์หญิงหานชิน ลงมือต่อชายชุดดำทั้งหมด เพียงพริบตาทุกอย่างจบลง โดยที่ชายหนุ่มผู้นั้นไร้แม้แต่ร่องรอยขีดข่วน“เอ่อ...เขาคือ...”“ฮั่วอัน เป็นคนของฮูหยินข้าเอง ตอนนี้พวกท่านคงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ยังไงก็พักกับพวกข้าก่อน เรื่องของพวกท่านหากอยากที่จะบอกเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที ท่านป
ภายในกระโจม “ท่านพี่ ไยมิถนอมนางสักหน่อยเล่าเจ้าคะ”หานชินช่วยสามีผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนแสร้งพูดถึงสตรีอีกนางด้วยน้ำเสียงสั่นน้อย ๆ หวังลู่ฉงเชยคางเล็กให้เงยขึ้นสบตา ใบหน้างามงอง้ำเล็กน้อย ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอปากของสตรีนั้นมิเคยตรงกับใจเลยสักนิด ต่อให้ยังไม่เอ่ยปากว่ารักต่อกันแม้เพียงครึ่งคำ แต่เมื่อมีสตรีอื่นมาทอดสะพานให้แก่เขา ภรรยาตัวดีที่เคยร้ายกาจ กลับกลายเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่นิดหน่อยก็หน้างอ ประชดประชันไปเสียอย่างนั้น“อยากให้พี่ถนอมนางเช่นนั้นรึ”ชายหนุ่มแสร้งใช้น้ำเสียงไม่อ่อนโยนสักเท่าใดกับภรรยา ทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้างชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม“ก็นางเป็น...เอ่อ เคยเป็นคนรักเก่าของท่านพี่นี่เจ้าค่ะ”“มันก็อาจจะใช่อย่างที่เจ้าพูด เช่นนั้นคุณชายต้วนกับเจ้าก็คงเป็นอย่างที่นางพูดสินะ ใช่สิข้าก็เป็นเพียงสามีที่เจ้าต้องจำใจแต่งด้วย มีหรือจะสู้คุณชายสูงศักดิ์ที่รู้ใจเจ้าไปเสียทุกเรื่อง”หานชินได้แต่อ้าปากค้าง เมื่ออยู่ ๆ จากที่นางเป็นฝ่ายแง่งอน ไยตอนนี้กลับเป็นนางที่ถูกสามีขุ่นเคือง ทั้งยังเข้าใจผิดไปเสียยกใหญ่ด้วยเล่า“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อยนะเจ้าคะ”“คงอยากให้เป
หญิงสาวย่อกายลงคลานสี่ขา ค่อย ๆ แทรกตัวอยู่ระหว่างสองขาแกร่งของสามี ก่อนจะคว้าจับท่อนมังกรอีกครั้ง พร้อมกับขยับรูดลงจนถึงโคน แล้วตามด้วยโพรงปากอุ่นร้อน ที่ครอบครองทั้งท่อนจะสุดเช่นเดียวกันชายหนุ่มยกก้นเด้งสวนรับการดูดกลืนของภรรยา มือหยาบกดศีรษะของนางเอาไว้แน่น พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อข่มกลั่นการปลดปล่อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้ปากร้ายกาจของภรรยาได้ทำหน้าที่ต่อ ชายหนุ่มหายใจหอบถี่ด้วยความกระสันเขาอยากที่จะพลิกร่างบางนั้นให้อยู่เบื้องล่างยิ่งนัก แต่ดูเหมือนศึกนี้นางจะไม่ยินยอมให้เขาได้ลงมือ ท่อนมังกรเปียกชื้นไปด้วยน้ำลายอุ่น ๆ เสียงดูดดึงของนางทำให้สติของชายหนุ่มแทบไม่หลงเหลือหานชินช้อนตามองสามีเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหยุดการใช้ปากครอบครองแก่นกายของสามี หญิงสาวทำให้ชายหนุ่มร่ำร้องขอความเห็นใจผ่านทางสายตาอีกครั้ง มือบางเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกาย เผยให้เห็นความงามของสองเต้าเต่งตึงยอดประทุมกำลังแข็งชูชัน เชิญชวนให้ลิ้มลอง มือบางเลื่อนขึ้นกอบกุมสองเต้าตนเอง ก่อนจะออกแรงบีบคลึงเบา ๆ เป็นการยั่วเย้าสามี ที่นอนส่งสายตาเร้าร้อนมาให้ลิ้นสีหวานค่อย ๆ ตวัดเลียริมฝีปากอวบอิ่มของนาง
กระโจมอีกด้านซึ่งเป็นที่พักของหลิวอี้ชิว และติดกันจะเป็นของต้วนถง ที่พักของทั้งคู่ถูกจัดให้แยกห่างจากคนในกองทัพพอสมควร“กรี๊ดดดด!!! ข้าไม่เคยรู้สึกอับอายถึงเพียงนี้มาก่อนเลยในชีวิต หวังลู่ฉงคิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดีเยี่ยงไรมาวิจารณ์ข้าเช่นนี้”หลิวอี้ชิวกรีดร้องด้วยความขุ่นเคือง นางแทบไม่อยากที่จะเชื่อหูเลยว่าบุรุษถือตัวเช่นเขา จะกางปีกปกป้ององค์หญิงร่านราคะอย่างหานชินได้“เจ้ามิรู้ความเอง คิดจะตำหนิผู้ใดก็ควรดูให้ดีว่าใช่เวลาที่เหมาะไหม ตอนนี้องค์หญิงเป็นภรรยาของเขา ไม่แปลกที่หวังลู่ฉงจะกางปีกปกป้องนาง”“จะถึงอย่างนั้น ก็ไม่ควรดูหมิ่นข้าขนาดนั้น”“หานชินคือภรรยา ส่วนเจ้าคืออดีตคนเคยสนิท เข้าใจหรือไม่ ฮ่า ๆ ข้าว่าเจ้าควรกลับเมืองหลวงไปซะ”“ต้วนถง เจ้าคนทรยศ จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย แทนที่จะเข้าข้างข้าที่เป็นญาติ กลับไปเข้าข้างผู้อื่น”“ข้าไม่ได้เข้าข้างผู้อื่น แค่อยากให้เจ้ารู้จักที่จะรอเวลาสักหน่อย เจ้ากับนางต่างกันมากในทุกหนทาง หากอยากชนะใจบุรุษ จริตมารยาเท่านั้น ที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่เจ้าปรารถนา”“อย่างไร”ต้วนถงก้าวเข้าประชิดร่างของหลิวอี้ชิว ก่อนจะกระซิบบางอย่า เพื่อให้
แม่ทัพหนุ่มมองไปยังต้นเหตุ ที่เขาคิดว่าต้องใช่อย่างแน่นอน เพราะในตอนนี้หลิวอี้ชิวคอยชวนเขาคุย ทั้งยังคอยตักอาหารให้แก่เขาจนแทบจะล้นแล้วนั่นเอง“น้องหญิง กุ้งของโปรดเจ้า”“วันนี้ข้าแพ้กุ้งเจ้าค่ะ”“องค์หญิงนี่ปูนึ่งที่ท่านชอบ”ต้วนถงคีบเนื้อปูนึ่งที่แกะแล้ววางในถ้วยของหานชิน หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยก่อนจะคีบเข้าปาก โดยชำเลืองมองสามีเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดใบหน้างามไปอีกทาง เมื่อสามีมองมาที่นาง“พี่ลู่ฉง ไก่อบที่ท่านชอบ”“ดึกมากแล้ว มื้อค่ำควรที่จะจบลงดีหรือไม่ทุกท่าน”ทุกคนที่นั่งร่วมกินมื้อค่ำ ถึงกับอ้าปากค้างกับการยุติมื้ออาหารของแม่ทัพหนุ่ม หานชินที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ถึงกับสำลักจนหน้าแดง นางไม่คิดว่าหวังลู่ฉงจะเป็นคนเช่นนี้“นั่นอย่างไรเล่า น้องหญิงวันนี้เจ้าก็แพ้ปูอีกสินะ ไปเถอะพี่จะพาเจ้าไปกินยา”ไม่พูดเปล่าแม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นช้อนอุ้มร่างภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้แขกทั้งสองที่ยังอยู่ในอาการตกใจมองตามด้วยความงุนงงต้วนถงจำต้องวางตะเกียบลง ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกกล่าวว่าเขาจะกลับแล้วให้กับญาติผู้น้องของตนเอง หลิวอี้ชิวที่ยังคงมึนงงกับสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มกระทำ ได้แต่ลุกเ
สามเดือนต่อมา หลังจากการสืบสวนของศาล ผลสรุปของคดี ฉีชางพร้อมด้วยมารดาเลี้ยงของเขา ได้รับโทษประหาร ส่วนฮั่วเยว่อิงและมารดารวมถึงเฉินป๋อหยาถูกส่งไปใช้แรงงานในเหมือง ในฐานะนักโทษเป็นเวลาสิบปี ทางด้านเด็กน้อยเสี่ยวเป่า ฮั่วเสารับดูแลในฐานะลูก โดยทุกคนได้รับคำสั่งไม่ให้พูดเรื่องชาติกำเนิดแท้จริงกับเด็กน้อย เฉินห้าวหนานยืนมองเป้าหมาย ที่กำลังนั่งเหม่ออยู่ไม่ไกล เขาหอบลูกติดตามหญิงสาวมาจนถึงชายแดนตะวันออก ทว่าทางสำนักคุ้มภัยบอกแก่เขาว่านางอยู่ที่นี่ หลังจากทำการเจรจากับท่านตาและท่านยายของหญิงสาวเป็นที่เรียบร้อย เขาจึงได้มาหานางที่นี่ ชายหนุ่มวางบุตรชายเอาไว้บนพื้นหญ้า ก่อนจะทำให้เจ้าก้อนแป้งส่งเสียงร้องงอแง ฮั่วเหลียนชินหันหาที่มาของเสียงร้อง ที่นางคุ้นเคยในทันที ก่อนที่นางจะเดินตามเสียงนั้นเสมือนต้องมนต์ แม้ในใจจะคิดว่านางคงกำลงคิดถึงหลานชายจนหูแว่ว “ห้าวหยาง!” ร่างบางวิ่งเข้าอุ้มหลานชายขึ้นสู่อ้อมแขนในทันที หญิงสาวกดจมูกลงบนแก้มอวบอ้วนด้วยความคิดถึง “เจ้ามาอยู่ตรงนี้ได้อย่างไรกัน บิดาเจ้ารังแกเช่นนั้นรึ หลี
“ท่านแม่! ข้าเป็นลูกของท่านพ่อใช่หรือไม่ ข้ามิใช่ลูกเขาใช่ไหมขอรับ” เฉินป๋อหยาเอ่ยถามมารดา ด้วยน้ำเสียงแหบแห้งกว่าปกติหลายเท่านัก มารดาบอกแก่เขาว่าตนเป็นลูกของนางอย่างแท้จริง แต่เฉินห้าวหนานเป็นลูกชายของน้องสาว ที่แต่งมาเป็นอนุของบิดา ทว่าตอนนี้ไยทุกอย่างมันกลับกลายเป็นเขา ที่มิใช่สายเลือดสกุลเฉินไปได้ “แม่ขอโทษป๋อหยา’ ไม่ต้องมีคำอธิบายใด ๆ อีกแล้ว ทุกอย่างกระจ่างชัดจนชายหนุ่มทนรับมันต่อไปไม่ได้ ร่างสูงก้าวช้า ๆ ตรงไปยังประตูห้องจัดเลี้ยง เขาไม่ใช่คนสกุลเฉิน แต่เป็นลุกพ่อบ้านจวนสกุลฮั่ว หนำซ้ำคนผู้นั้นยังเป็นคนอยู่เบื้องหลังการตายของใครอีกหลายคน มารดาของเขาคือฆาตกรสังหารน้องสาวตนเอง เพื่อช่วงชิงลูกของนางมาเป็นของตนเอง ทุกอย่างมันร้ายแรงเกินกว่าที่เขาจะทนรับมันได้ ทว่าเพียงก้าวพ้นประตู เฉินป๋อหยาก็ถูกทหารรวบตัวเอาไว้ เพราะมีส่วนร่วมในการลอบสังหารฮูหยินในท่านแม่ทัพเฉินห้าวหนาน เฉินป๋อหยาไม่มีท่าทีขัดขืนใด ๆ ชายหนุ่มเหม่อลอยจนน่าตกใจ ก่อนที่เขาจะหันกลับเข้าไปในห้องจัดเลี้ยง มารดาถูกคุมตัวนั่งเคียงข้างบิดาที่เขาเพิ่งรู้จัก อีกข้า
“หยุดนะห้าวหนาน วันนี้เป็นวันดีของน้องชาย เจ้าจะเอาเรื่องไร้สาระเช่นนี้ มาเล่าเพื่อสิ่งใดกัน” “อย่าได้ร้อนตัวสิขอรับท่านแม่ อย่างไรก็ฟังให้จบเสียก่อนจะดีกว่า” “นั่นสิ! เฉินฮูหยินให้หลานชายข้าเล่าต่อให้จบเถิด” ท่านเจ้ากรมการคลัง ได้พูดแทรกขึ้น เพราะเขาเองก็อยากจะฟังเรื่องนี้ให้จบ เพื่อความแน่ใจว่าสิ่งที่เขาเคยได้ยินมานั้น มันมิใช่สิ่งที่คิดไปเอง ซึ่งแขกในงานต่างแสดงความต้องการ เช่นเดียวกันกับท่านเจ้ากรม “เช่นนั้นต่อเลยนะขอรับ ในวันที่น้องสาวของนางคลอดบุตรชาย ตัวนางเองก็คลอดบุตรชายเช่นกัน อ่อ! ในตอนนั้น นางเลือกที่จะพาน้องสาวกลับไปคลอดยังบ้านเกิดมารดา อีกทั้งสามีที่เป็นแม่ทัพก็มิอาจปลีกตัวติดตามไปได้ ข่าวดีและร้ายได้เกิดขึ้นในวันเดียวกัน นั่นคือท่านแม่ทัพได้บุตรชายสองคน ทว่าเพียงสองชั่วยามภรรยาและลูกชายอีกคนได้สิ้นใจลงอย่างน่าอนาถ” “แล้วมันยังไง ก็แค่เมียเอกกับเมียน้อยคลอดลูกพร้อมกัน ส่วนเรื่องคลอดลูกแล้วตกเลือดจนตายก็นับเป็นเรื่องที่มีให้เห็นอยู่ไม่น้อย เด็กไม่แข็งแรงจะสิ้นใจก็ไม่แปลก” “แปลกตรงที่แท้จริงเมียเอกมิได
ตลอดสามวันที่เขาปล่อยข่าวว่าออกนอกเมืองไป มันทำให้เขาได้รู้เห็นเรื่องในบ้าน จนเรียกว่าเจ็บจนแทบจะกระอักเลือดเลยก็ว่าได้ “สัญญากับข้า อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่น เพียงเพราะโทสะของท่าน” “ข้าสัญญา เจ้าก็ต้องรับปากข้า ว่าจะไม่เอาตนเองมาเสี่ยงเช่นนี้อีก เข้าใจหรือไม่” “เราเป็นอะไรกันเช่นนั้นรึ จึงต้องทำตามคำขอของท่าน ซึ่งมันมิใช่ส่วนรวมเช่นคำขอของข้าเลยสักนิด” “เจ้ากับลูกเป็นทุกสิ่งของข้า” “อย่าได้หมิ่นเกียรติข้าเกินไปนัก รู้ตนเองบ้างว่าท่านกับข้าเป็นใคร” “เพราะรู้ข้าถึงกล้ายอมรับมัน” “…” ฮั่วเหลียนชินมิอาจเอ่ยสิ่งใดตอบโต้ชายหนุ่มได้ นางทำเพียงก้าวเคียงข้าเขาไปเงียบ ๆ เพราะคร้านจะโต้แย้ง “ความรู้สึกมิใช่เงินตราก็ซื้อหาได้ ข้าคิดเช่นไรก็พูดออกไปเช่นนั้นมิได้โป้ปด ทุกอย่างสุดแท้แต่เจ้าจะมองเห็นเหลียนชิน” เฉินห้าวหนานเอ่ยขึ้นเบา ๆ พร้อมกระชับร่างบางให้แนบกายมากขึ้น ด้วยเกรงว่าเขาจะมิได้ชิดใกล้นางเช่นนี้อีก หลังจากกลับมาถึงจวน เฉินฮูหยินได้รีบมาที่เรือนของลูกสะใภ้ พร
“หึ ๆ ไม่นึกว่าวันนี้จะได้ยลโฉมคุณหนูใหญ่สกุลฮั่ว” เสียงจากด้านหลังหินก้อนใหญ่กลางสวน ไม่ได้ทำให้หญิงสาวทั้งสามรู้สึกตื่นเต้นเลยสักนิด ยิ่งอีกฝ่ายเรียกนางได้อย่างถูกต้อง นั่นแสดงว่าจิ้งจอกพิการทั้งสอง รนรานกลับไปหานายเก่าแล้ว และหากนางเดาไม่ผิดทั้งสองคนไร้ลมหายไปแล้วเช่นกัน “รวดเร็วทันใจดีแท้ หึ ๆ” หญิงสาวเอ่ยเบา ๆ กับสาวใช้ทั้งสอง ก่อนจะมองไปยังคนที่เผยตัวออกมาอย่างใจเย็น ทว่าเขายังคงปิดบังใบหน้าตนเองเอาไว้ “ไยต้องบิดบังใบหน้าด้วยเล่า ช่างไร้มารยาทในการพบเจอยิ่งนัก” “ไม่นึกเลยว่าเด็กขี้โรคเมื่อวันวาน จะกลายเป็นหญิงงามในวันนี้” “ขอบคุณที่ชม แต่ข้าก็ยังแปลกใจอยู่ดี ว่าเหตุใดกันเจ้าจึงมารอพบข้าที่นี่ อย่าบอกนะว่าเป็นเรื่องบังเอิญ มันย่อมไม่มีทางเป็นเช่นนั้นไปได้ เพราะความบังเอิญนี้มันเหมาะเจาะจนเกินไป” ฮั่วเหลียนชินกระชับอ้อมแขนรัดร่างอ้วนให้แน่นขึ้น นางสัมผัสได้ถึงไอสังหารที่อีกฝ่าย ตั้งใจปลดปล่อยออกมาเพื่อกดดันนาง อีกอย่างคือกำลังประเมินฝีมือของนางไปในตัว “จะกล่าวเช่นนั้นก็ย่อมได้ น่าเสียดา
สามวันถัดมา เฉินฮูหยินได้ให้สาวใช้มาแจ้งแก่ฮั่วเหลียนชิน ว่าจะพานางกับลูกไปไหว้พระ เพื่อขอพรให้กับครอบครัว หญิงสาวได้ตอบรับคำเชิญของแม่สามี หญิงสาวยกยิ้มร้าย เมื่อกล้าท้าทายนางก็พร้อมท้าชนเช่นกัน “บาดแผลของนายหญิง ยังไม่หายดีนะเจ้าคะ” “บาดแผลหนักกว่านี้พวกเราก็ผ่านกันมาแล้ว หากให้ผู้อื่นรู้ว่าข้าบาดเจ็บย่อมต้องเป็นสงสัยของทุกคน แค่เขารู้คนเดียวข้าก็หนักใจอยู่ไม่น้อย” ฮั่วเหลียนชินรู้สึกเช่นนั้นจริง ๆ เพราะถึงแม้ตอนนี้นางไม่รู้ว่าจะวางใจเฉินห้าวหนานได้มากแค่ไหน แม้เขาจะพูดกับนางอย่างตรงไปตรงมา ถึงความรู้สึกที่มีต่อน้องสาวของนาง ‘แม้ข้ามิได้รักนาง แต่ข้าก็มิคิดที่จะให้นางกับลูกตาย ห้าวหยางคือลูกชายของข้า ไยข้าจะชิงชังเขาได้เล่า แต่ข้าไม่นึกว่าการเดินทางของนาง จะเป็นการจากไปมิหวนคืนเช่นนี้’ “จิ้งจอกถูกปล่อยแล้วใช่หรือไม่” “เจ้าค่ะ ตอนนี้ท่านพี่ฉงอานกำลังจับตาดูอยู่เจ้าค่ะ” “ดี! มองอยู่เงียบ ๆ รอให้สาวถึงปลาตัวใหญ่ ค่อยลงมือในคราเดียว” “สาวใช้จากเรือนหลีหยา มาป้วนเปี้ยนบ่อยยิ่งนักเจ
ตอนสาย ณ เรือนเหลียนฮวา หลี่เยี่ยน กำลังยืนเผชิญหน้าอยู่กับมารดาของท่านแม่ทัพ ที่อยู่ ๆ วันนี้ต้องการพบลูกสะใภ้ ทั้งที่ทุกครั้งหากต้องการพบกับฮูหยินของนาง เฉินฮูหยินจะให้สาวใช้มาเชิญนายหญิงของนางไปพบ “เหลียนฮวาไปที่ใด นี่ก็สายมากแล้ว ไยนายเจ้ายังไม่ตื่นอีกเล่า” “เอ่อ…” “ท่านแม่มีสิ่งใดหรือขอรับ วันนี้จึงได้มารบเร้าอยากเจอสะใภ้ถึงเรือนเล่าขอรับ” เฉินฮูหยินถึงกับตัวชาไปทั้งร่าง ก่อนจะรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ หญิงสูงวัยคลี่ยิ้มกว้างส่งให้บุตรชาย “แม่แค่อยากชวนฮวาเอ๋อร์ออกไปดื่มชา กับบรรดาฮูหยินยังเหลาชีเหลียงเท่านั้นเอง” “เมื่อคืนนางแทบมิได้นอน ข้าเลยสั่งให้นางพักต่ออีกสักหน่อยขอรับ” “เจ้าค้างที่นี่เช่นนั้นรึ” “ข้าย้ายมาอยู่กับลูกเมียนานแล้วขอรับ เพียงแต่มิได้บอกผู้ใด เพราะนี่ถือเป็นเรื่องปกติของสามีภรรยามิใช่หรือขอรับ ข้าไม่นึกว่าท่านแม่อยากทราบเลยมิได้บอกขอรับ” “เช่นนั้นแม่กลับก่อนดีกว่า หากแม่รู้ว่าเจ้าอยู่ด้วยจะไม่มากวนใจพวกเจ้าผัวเมียเลย แม่ยิ่งอยากได้หลานเพิ่มอีกส
“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง” เฉินห้าวหนานประคองร่างบางให้แนบกาย ก่อนจะมองไปยังกลุ่มคนสวมหน้ากาก ที่ยืนหันหลังให้แก่เขาและคนในอ้อมแขน จะมีเพียงแค่ชายหนุ่มที่เข้าช่วยเขาและนางในคราแรก ที่ยืนมองเขามิวางตา “ไม่ว่าท่านจะรูเห็นสิ่งใดในวันนี้ จงลืมมันเสีย” หญิงสาวขยับผละออกห่างอกแกร่ง หญิงสาวเดินไปหาคนสนิท หมับ! ทว่าก่อนที่มือของฉงอานจะทันได้แตะต้องตัวผู้เป็นนาย แม่ทัพหนุ่มได้คว้าร่างบางนั้นกลับมาชิดกายอีกครั้ง ก่อนจะช้อนอุ้มนางขึ้นสู่อ้อมแขน “ข้าจะไม่ยินยอมให้บุรุษใดแตะต้องเจ้า” ร่างสูงก้าวออกจากตรอกเล็ก ตรงไปยังทิศทางออก โดยไม่สนใจว่าคนสวมหน้ากากทั้งหมดจะมองเขาเช่นไร ฮั่วเหลียนชินไร้เรี่ยวแรงที่จะขัดขืน หญิงสาวจำต้องซบใบหน้ากับอกกว้างของชายหนุ่ม ก่อนที่ดวงตาคู่งามจะปิดลง “ท่านแม่ทัพ! โปรดตามข้าน้อยมาทางนี้เถอะขอรับ เราจะให้ผู้ใดรู้ว่านายหญิงบาดเจ็บไม่ได้เป็นอันขาด” เฉินห้าวหนานไม่เอ่ยสิ่งใด ร่างสูงก้าวตามชายผู้นั้นไปอย่างเร่งร้อน เสียงลมหายใจของคนในอ้อมแขน ดูจะเหน็ดเหนื่อยไม่น้อย เขากลัวเหลือเกินว่าลุกธนูนี้จะมียา
“เครื่องหอมนี้ข้ามิรู้ชื่อ แต่ข้ามีตัวอย่างนำมาให้ นายหญิงของข้าปรารถนาจะมีในครอบครอง” “วางลงตรงกล่องซ้ายมือ แล้วรอข้าสักครู่” ชายหนุ่มทำตามที่คนด้านในบอกทุกอย่าง ฮั่วเหลียนชินยังคงใจเย็นอยู่เช่นเดิม นางรู้กฎของคนค้าขายในเงามืดดี ทั้งเจ้าเล่ห์และคดโกง หมับ! ฟึ่บ! มือบางคว้าคอเสื้อของคนสนิทได้ทัน ก่อนทั้งคู่จะเบี่ยงกายหลบลูกดอก ที่พุ่งออกมาจากประตู แน่นอนว่ามันต้องอาบไปด้วยยาพิษ ฮั่วเหลียนชินไม่คิดที่จะบุ่มบ่ามเข้าไป หญิงสาวก้าวไปยังคบไฟที่ปักอยู่เสาเรือน ก่อนจะใช้วิชาตัวเบาขึ้นไปยืนอยู่บนหลังคา เมื่อให้เปิดประตูดี ๆ ไม่ทำ นางก็แค่เชิญคนด้านในอย่างเป็นมิตร เพียงครู่เดียวคนสนิทของหญิงสาวได้ขึ้นมายืนเคียงข้างผู้เป็นนาย โดยในมือมีขวดน้ำเต้าที่บรรจุเหล้าป่าเอาไว้ แน่นอนว่ามันคือหนึ่งในอาวุธที่นางชื่นชอบ ชายหนุ่มเปิดกระเบื้องออกอย่างเบามือ เมื่อแน่ใจว่าด้านล่างคือห้องเครื่องหอม ที่ไวต่อไฟในมือของผู้เป็นนาย เพล้ง! ฟรึ่บ! เพียงพริบตาไฟได้ลุกขึ้นลามไปที่เครื่องหอมและตัวบ้าน สองนายบ่าวยืนมองเปลวเพลิงค่อย ๆ ลุกลามไปเรื่อย ๆ