“มั่นใจเหลือเกินนะ”
หานชินบีบท่อนแขนสามีเป็นจังหวะ เพื่อให้เขาผ่อนคลายความตึงเครียดในตอนนี้ สองสามีภรรยากำลังประเมินคู่ต่อสู้ที่มีจำนวนมากกว่า ในขณะที่หญิงสาวกำลังต่อคำเพื่อถ่วงเวลาของอีกฝ่าย
“อย่าเสียเวลามายอกย้อนอยู่อีกเลย มอบลมหายใจของพวกท่านแก่พวกข้าจะดีกว่า”
เอ่ยจบชายสวมชุดดำ ได้พุ่งเข้าหาทั้งคู่ในทันที แม่ทัพหนุ่มผลักร่างภรรยาให้พ้นจากคมอาวุธ ก่อนที่เขาชักกระบี่ออกจากฝักเข้ารับมือคู่ต่อสู้ หนึ่งในคนร้ายพุ่งเป้าไปที่องค์หญิงหานชิน
หญิงสาวขยับถอยหลังเล็กน้อย พร้อมเบี่ยงตัวหลลบการโจมตีได้อย่างรวดเร็ว ชายชุดดำพุ่งตามไปมิห่างเช่นกัน หานชินมองไปยังสามีที่กำลังตกอยู่ในวงล้อมของศัตรู
นางอยากที่จะแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมาเหลือเกิน แต่หากทำเช่นนั้นทุกอย่างจะต้องพังลงก่อนถึงที่หมายอย่างแน่นอน หญิงสาวล้วงเอาปี่ในอกเสื้อออกมาเป่า พร้อมขยับหลบหลีการโจมตีไปด้วย
เคร้ง! ก่อนที่ดาบใหญ่จะถึงตัวของหานชิน ได้ถูกขัดขวางเอาไว้ได้ทัน ซึ่งเป็นหนึ่งในบุรุษรูปงาม ผู้ติดตามของหญิงสาวนั่นเอง ชายหนุ่มปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าของคนร้าย
ใบหน้าหล่อเหลาไร้ซึ่งรอยยิ้ม ดวงตาที่จ้องมองไปยังคนที่หมายชีวิตของผู้เป็นนายนั้น มิต่างอะไรจากปีศาจร้ายที่พร้อมกลืนกินผู้ที่ขัดขวางให้สิ้น กลิ่นอายแห่งการฆ่าพวยพุ่งออกมา จนผู้ที่อยู่รอบบริเวณรับรู้ได้
“ผู้ใดอนุญาตให้เจ้าแตะต้ององค์หญิง”
สิ้นคำของชายหนุ่มลมหายใจของอีกฝ่ายได้ดับลงเช่นกัน ร่างสูงหันกลับไปค้อมหัวให้แก่ผู้เป็นนาย ก่อนจะพุ่งเข้าช่วยเหลือแม่ทัพหนุ่มอย่างรวดเร็ว
หานชินมองการต่อสู้พร้อมกับสังเกตรอบกายไปพราง หมู่บ้านแห่งนี้คือหนึ่งในหมู่บ้านของกบฏ สิ่งที่นางต้องค้นหาคือกองทัพของศัตรูหลบซ่อนอยู่ให้พบ
ภารกิจของนางมิใช่แค่ติดตามสามี แต่ต้องปกป้องผู้เป็นบิดาไปพร้อม ๆ กัน นางไม่เคยน้อยเนื้อต่ำใจเลย กับการเป็นองค์หญิงที่ต้องแยกวัง ซ้ำต้องแต่งแก่คนที่มิได้มีใจ แต่มันคือทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับนางและน้องชาย เพื่อลมหายใจของหานไฉ่ นางยินดีสละได้ทุกสิ่ง
เมื่อนึกถึงองค์ชายน้อย ที่ต้องเพียรพยายามรักษาลมหายใจเอา รอวันเติบโต ใจของพี่สาวเช่นนางหวนนึกถึงเพียงรอยยิ้มและเสียงหัวเราะอันไร้เดียวสา พระบิดาเลือกปกป้องพวกนางด้วยการให้แยกกันอยู่
หากนางไม่แข็งแกร่งพอ น้องชายก็มิอาจเติบโตและก้าวสู่ตำแหน่งอันเหมาะสมได้อย่างที่ผู้เป็นพ่อต้องการ ใจของนางนั้นขอเพียงหานไฉ่เติบโตและมีชีวิตที่เรียบง่าย แค่นั้นก็มากพอแล้ว
และนางจะต้องทำมันให้สำเร็จ หากจบเรื่องกบฏลงได้ สิ่งที่นางเคยทูลขอต่อบิดา ย่อมต้องสำเร็จเช่นเดียวกัน
‘รอพี่สักหน่อยนะหานไฉ่ เจ้าจะต้องได้ออกจากวังสีเลือดแห่งนั้นเช่นเดียวกันกับพี่’
ปึก! หานชินล้มลง เมื่อถูกกระแทกจากฝ่ามือของศัตรู หญิงสาวจงใจให้เป็นเช่นนั้น ด้วยมิอยากให้สามีจับได้ ว่าแท้จริงแล้วนางมิได้ไร้ฝีมืออย่างที่คิด รวมถึงการตบตาศัตรูที่อาจแอบซุ่มอยู่ก็เป็นได้
ฉึก! ก่อนที่กระบี่ยาวจะทันถึงตัว ร่างของคนร้ายได้ชะงักค้าง ก่อนจะล้มลงไปอีกด้านจากแรงฝ่าเท้าของแม่ทัพหนุ่ม หวังลู่ฉงมองดูภรรยาที่นั่งตัวสั่นอยู่กับพื้นดิน
แม่ทัพหนุ่มตวัดสายตาไปยังร่างไร้วิญญาณ ด้วยโทสะที่เกิดขึ้นโดยมิรู้ตัว เมื่อเห็นภรรยากำลังหวาดกลัว แม่ทัพหนุ่มไม่คิดที่จะให้ทุกอย่างยืดเยื้ออีกต่อไป การต่อสู้ที่ไม่คาดหวังจะเก็บคนร้ายเอาไว้สอบสวน จึงดำเนินไปอย่างดุเดือดและรวดเร็ว
ใช้เวลาเพียงไม่นานทุกอย่างได้จบลง โดยที่ชายหนุ่มทั้งสองบาดเจ็บเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“องค์หญิงปลอดภัยดีหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ฮั่วอันบกพร่องดูแลองค์หญิงไม่ดี ขอทรงลงทัณฑ์พ่ะย่ะค่ะ”
ชายหนุ่มคุกเข่าหมอบลงกับพื้น เพื่อรอให้ผู้เป็นนายลงทัณฑ์ ชายหนุ่มยังนิ่งมิขยับไหวเมื่อผู้เป็นนายยังคงเงียบอยู่
“เจ้าไม่ผิด ลุกขึ้นเถอะ เราควรรีบกลับไปในหมู่บ้านกันก่อนจะดีกว่า เรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง”
“ฮั่วอันขอบพระทัยองค์หญิงที่ทรงเมตตา”
“อะ...แฮม! เจ้าเดินไหวหรือไม่น้องหญิง”
หวังลู่ฉงไม่ถามเปล่า ร่างสูงย่อกายลงช้อนอุ้มร่างภรรยาขึ้นสู่อ้อมแขน โดยไม่คิดจะสนใจกับอาการแตกตื่นของคนที่ซบอยู่แนบอก เขาไม่ชื่นชอบการถูกมองข้ามโดยเฉพาะจากนาง
ฮั่วอันทำเพียงก้าวตามเจ้านายทั้งสองไปห่าง ๆ เขาเป็นบุรุษย่อมมองออก ว่าท่านแม่ทัพหวังกำลังไม่พอใจเขาเท่าใดนัก เพียงแต่ไม่คิดที่จะเอ่ยกับเขาหรือผู้เป็นนายออกมาตรง ๆ เท่านั้นเอง
เห็นทีการแต่งงานครั้งนี้ขององค์หญิง คงมิใช่การฝืนใจทั้งคู่แล้วกระมัง ยังไม่ถึงสามเดือน ท่านแม่ทัพหวังผู้ขึ้นชื่อว่าหนักแน่นดั่งหินผา กำลังสั่นคลอนกับคนในอ้อมแขนเสียแล้ว
หลังจากกลับถึงหมู่บ้าน หานชินถูกสามีสั่งให้อยู่แต่ภายในห้อง ห้ามออกไปที่ไหนจนกว่าเขาจะเป็นคนพาไปด้วยตนเอง ไม่มีข้อยกเว้นต่อให้มีผู้ติดตามมากฝีมือเพียงใดก็ตามแต่
หญิงสาวนั่งรอฟังข่าวอย่างใจเย็น ยังดีที่นางไหวตัวทันมิเช่นนั้นคงเหนื่อยหาข้อแก้ตัวอีกมากมาย จากการรายงานของฮั่วอัน หัวหน้าหมู่บ้านคือหนึ่งในหัวหน้าสาขาของกลุ่มกบฏ นางไม่แปลกใจเลยที่เขาคิดจะทดสอบนางและหวังลู่ฉง
“ฉลาดไม่เบา ขนาดข้าเป็นเพียงคนขลาดเขลาในสายตาทุกคน เขายังลงมือทดสอบ สมแล้วที่เป็นคนของเจี่ยฉิน”
“องค์หญิงไม่ควรเอ่ยชื่อ...เอ่อ...องค์ชายรองเช่นนั้นนะเพคะ”
ชุ่ยอิงรีบขยับเข้าใกล้ผู้เป็นนายพร้อมเอ่ยเบา ๆ แม้ว่ารอบที่พักจะมีเพียงคนขององค์หญิง แต่ก็ไม่อาจประมาทศัตรูได้
“กลัวไปไย เพราะยังไงหัวหน้าสาขาแห่งนี้ ก็ต้องไร้ลมหายใจไปแจ้งข่าวอยู่แล้ว”
ชุ่ยอิงขมวดคิ้วเป็นปม นางไม่เข้าใจในสิ่งที่ผู้เป็นนายพูด เพราะถึงอย่างไรก็ไร้หลักฐาน ที่จะกล่าวหาหัวหน้าหมู่บ้านถึงเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่านแม่ทัพและผู้เป็นนายได้อยู่ดี
“นางคิดว่าข้าพูดเกินจริงไป เช่นนั้นเจ้าออกมายืนยันช่วยข้าอีกแรงจะเป็นไรไหม”ปัง! พูดจบฝ่ามือบางกระแทกไปยังพนังห้องอีกด้าน ด้วยกำลังภายในขั้นสูง ทำให้กำแพงที่คิดว่าหนาแตกออกเป็นช่องโหว่ขนาดใหญ่ ยังไม่ทันที่คน ซึ่งหลบซ่อนอยู่จะจากไป มือบางได้พุ่งเข้ากระชากลำคอของคนด้านในเอาไว้ได้อย่างแม่นยำหัวหน้าหมู่บ้านถึงกับดวงตาเหลือกลาน เพราะเขาไม่คิดมาก่อนว่าองค์หญิงหานชินจะมากด้วยฝีมือขนาดนี้ ปึก! ร่างของหัวหน้าหมู่บ้านถูกดึงกระทบกับกำแพงบางส่วนที่ยังไม่หลุดออกก่อนจะถูกลากให้ออกมาเผชิญหน้ากับเจ้าของห้อง ผู้เป็นแขกสูงศักดิ์ของหมู่บ้าน ด้วยสภาพที่น่าอดสูยิ่งนัก ใบหน้าที่เคยแฝงด้วยจริตของสตรี ที่เขาเห็นในคราแรกขององค์หญิงหานชิน บัดนี้กลับแปรเปลี่ยนไปเสมือนคนละคนเลยก็ว่าได้“เจ้ามันนังปีศาจ”“ก่อนจะกล่าวหาข้า เจ้ารู้จักข้าดีพอแล้วเช่นนั้นรึ”น้ำเสียงเย็นเยียบของหญิงสาว แทบจะทำให้เลือดในกายของผู้นำหมู่ไร้การสูบซีดเลยก็ว่าได้ ดวงตาที่เคยมีแววจริตจกร้าน ยามนี้มีเพียงความว่างเปล่า ไอสังหารเริ่มกดดันเขาจนเริ่มหายใจติดขัดเขาไม่เคยพบเจอสตรีเช่นนี้มาก่อนเลย และไม่คิดว่าองค์หญิงสูงศักดิ์เช่นนางจะมีไอสังหาร
รุ่งสางของวันใหม่ ขบวนทัพได้เคลื่อนตัวออกจากพื้นที่หมู่บ้านสุ่ยหลาน โดยคนในหมู่บ้านยังคงใช้ชีวิตเป็นปกติ จะมีเพียงครอบครัวของผู้นำหมู่บ้าน และชายหนุ่มหลายคนที่หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยส่วนคนที่รู้ว่าเกิดสิ่งใดขึ้นได้ออกเดินทางต่อ โดยไม่คิดที่จะให้ความกระจ่างแก่ชาวบ้าน เพราะแท้จริงคนในหมู่บ้านสุ่ยหลานต่างเป็นคนของกลุ่มกบฏ เพียงแค่สองสามีภรรยาแสร้งทำเป็นไม่รู้ เพื่อให้อีกฝ่ายตายใจมากกว่าที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นการเดินทางดูจะช้าลงกว่าในช่วงแรกที่ออกจากเมืองหลวง เพราะท่านแม่ทัพดูจะเป็นกังวลจนเก็บอาการไม่อยู่ แม่ทัพหนุ่มเกรงภรรยาจะล้มป่วยเพราะตกใจกับเรื่องที่เกิดขึ้นจึงเทียวขึ้นไปบนรถม้าปลอบโยนภรรยา จนทำให้ทุกคนในขบวนรู้สึกขัดเขินแทนหวังฮูหยินเลยทีเดียว“เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง หากเหน็ดเหนื่อยให้รีบบอกรู้หรือไม่ อย่าได้ฝืนเป็นอันขาด เส้นทางต่อจากนี้จะลำบากกว่านี้อีกหลายเท่า เพราะจะมีแต่ภูเขาและหิมะ”แม่ทัพหนุ่มเอ่ยกับภรรยาน้ำเสียงอ่อนโยน หานชินแทบไม่อยากจะเชื่อหูตนเองว่าจากสามีที่จงชังนางเหลือเกิน เหตุใดตอนนี้ทุกคำพูดเสมือนเคลือบด้วยน้ำผึ้งก็มิปาน“ข้าไม่เป็นไรเจ้าค่ะ”ถึงกระนั้นแม่ทัพหนุ่มยังค
ต้วนถงก้าวเข้าประคองหลิวอี้ชิวให้ลุกขึ้น ก่อนจะพาหญิงสาวเดินไปหาแม่ทัพหนุ่มกับภรรยา“ข้าน้อยต้วนถง คารวะท่านแม่ทัพหวัง หวังฮูหยินขอรับ”“อี้ชิวคารวะท่านพี่ลู่ฉง องค์หญิง”หวังลู่ฉงสูดลมหายใจลึก ๆ เพื่อควบคุมอารมณ์กรุ่นโกรธให้สงบลง ก่อนจะหันไปยังแขกที่ไม่รู้เหตุผลของการมาด้วยใบหน้าเรียบตึง“คุณชายต้วน คุณหนูหลิว เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า”แม้จะรู้ความจริงดีอยู่แล้ว แต่หวังลู่ฉงก็ยังคงแสร้งมิรู้ความเอาไว้ได้อย่างแนบเนียน สองหนุ่มสาวตรงหน้ายังอ่อนต่อโลกนัก แผนการเด็กเล่นเช่นนี้ใช้กับเขาไม่ได้แต่ก่อนที่จะทันได้ตอบ ไดมีชายชุดดำกลุ่มหนึ่งห้อม้ามาอย่างรวดเร็ว เป้าหมายคือคนที่ยืนอยู่ทั้งหมด แต่ทว่า....“ท่านทั้งสอง กำลังหนีคนพวกนี้มาสินะ”“เจ้าค่ะ/ขอรับ”ต้วนถงหันมองหน้าหลิวอี้ชิวทันที เมื่อเห็นหนึ่งในบุรุษรูปงามขององค์หญิงหานชิน ลงมือต่อชายชุดดำทั้งหมด เพียงพริบตาทุกอย่างจบลง โดยที่ชายหนุ่มผู้นั้นไร้แม้แต่ร่องรอยขีดข่วน“เอ่อ...เขาคือ...”“ฮั่วอัน เป็นคนของฮูหยินข้าเอง ตอนนี้พวกท่านคงเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ยังไงก็พักกับพวกข้าก่อน เรื่องของพวกท่านหากอยากที่จะบอกเมื่อไหร่ค่อยว่ากันอีกที ท่านป
ภายในกระโจม “ท่านพี่ ไยมิถนอมนางสักหน่อยเล่าเจ้าคะ”หานชินช่วยสามีผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนแสร้งพูดถึงสตรีอีกนางด้วยน้ำเสียงสั่นน้อย ๆ หวังลู่ฉงเชยคางเล็กให้เงยขึ้นสบตา ใบหน้างามงอง้ำเล็กน้อย ชายหนุ่มหัวเราะในลำคอปากของสตรีนั้นมิเคยตรงกับใจเลยสักนิด ต่อให้ยังไม่เอ่ยปากว่ารักต่อกันแม้เพียงครึ่งคำ แต่เมื่อมีสตรีอื่นมาทอดสะพานให้แก่เขา ภรรยาตัวดีที่เคยร้ายกาจ กลับกลายเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่นิดหน่อยก็หน้างอ ประชดประชันไปเสียอย่างนั้น“อยากให้พี่ถนอมนางเช่นนั้นรึ”ชายหนุ่มแสร้งใช้น้ำเสียงไม่อ่อนโยนสักเท่าใดกับภรรยา ทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้างชั่วขณะ ก่อนจะกลับมาเป็นปกติดังเดิม“ก็นางเป็น...เอ่อ เคยเป็นคนรักเก่าของท่านพี่นี่เจ้าค่ะ”“มันก็อาจจะใช่อย่างที่เจ้าพูด เช่นนั้นคุณชายต้วนกับเจ้าก็คงเป็นอย่างที่นางพูดสินะ ใช่สิข้าก็เป็นเพียงสามีที่เจ้าต้องจำใจแต่งด้วย มีหรือจะสู้คุณชายสูงศักดิ์ที่รู้ใจเจ้าไปเสียทุกเรื่อง”หานชินได้แต่อ้าปากค้าง เมื่ออยู่ ๆ จากที่นางเป็นฝ่ายแง่งอน ไยตอนนี้กลับเป็นนางที่ถูกสามีขุ่นเคือง ทั้งยังเข้าใจผิดไปเสียยกใหญ่ด้วยเล่า“ไม่ใช่อย่างนั้นเสียหน่อยนะเจ้าคะ”“คงอยากให้เป
หญิงสาวย่อกายลงคลานสี่ขา ค่อย ๆ แทรกตัวอยู่ระหว่างสองขาแกร่งของสามี ก่อนจะคว้าจับท่อนมังกรอีกครั้ง พร้อมกับขยับรูดลงจนถึงโคน แล้วตามด้วยโพรงปากอุ่นร้อน ที่ครอบครองทั้งท่อนจะสุดเช่นเดียวกันชายหนุ่มยกก้นเด้งสวนรับการดูดกลืนของภรรยา มือหยาบกดศีรษะของนางเอาไว้แน่น พร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อข่มกลั่นการปลดปล่อยอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้ปากร้ายกาจของภรรยาได้ทำหน้าที่ต่อ ชายหนุ่มหายใจหอบถี่ด้วยความกระสันเขาอยากที่จะพลิกร่างบางนั้นให้อยู่เบื้องล่างยิ่งนัก แต่ดูเหมือนศึกนี้นางจะไม่ยินยอมให้เขาได้ลงมือ ท่อนมังกรเปียกชื้นไปด้วยน้ำลายอุ่น ๆ เสียงดูดดึงของนางทำให้สติของชายหนุ่มแทบไม่หลงเหลือหานชินช้อนตามองสามีเล็กน้อย ก่อนที่นางจะหยุดการใช้ปากครอบครองแก่นกายของสามี หญิงสาวทำให้ชายหนุ่มร่ำร้องขอความเห็นใจผ่านทางสายตาอีกครั้ง มือบางเริ่มปลดเปลื้องเสื้อผ้าออกจากกาย เผยให้เห็นความงามของสองเต้าเต่งตึงยอดประทุมกำลังแข็งชูชัน เชิญชวนให้ลิ้มลอง มือบางเลื่อนขึ้นกอบกุมสองเต้าตนเอง ก่อนจะออกแรงบีบคลึงเบา ๆ เป็นการยั่วเย้าสามี ที่นอนส่งสายตาเร้าร้อนมาให้ลิ้นสีหวานค่อย ๆ ตวัดเลียริมฝีปากอวบอิ่มของนาง
กระโจมอีกด้านซึ่งเป็นที่พักของหลิวอี้ชิว และติดกันจะเป็นของต้วนถง ที่พักของทั้งคู่ถูกจัดให้แยกห่างจากคนในกองทัพพอสมควร“กรี๊ดดดด!!! ข้าไม่เคยรู้สึกอับอายถึงเพียงนี้มาก่อนเลยในชีวิต หวังลู่ฉงคิดว่าตัวเองเป็นใคร กล้าดีเยี่ยงไรมาวิจารณ์ข้าเช่นนี้”หลิวอี้ชิวกรีดร้องด้วยความขุ่นเคือง นางแทบไม่อยากที่จะเชื่อหูเลยว่าบุรุษถือตัวเช่นเขา จะกางปีกปกป้ององค์หญิงร่านราคะอย่างหานชินได้“เจ้ามิรู้ความเอง คิดจะตำหนิผู้ใดก็ควรดูให้ดีว่าใช่เวลาที่เหมาะไหม ตอนนี้องค์หญิงเป็นภรรยาของเขา ไม่แปลกที่หวังลู่ฉงจะกางปีกปกป้องนาง”“จะถึงอย่างนั้น ก็ไม่ควรดูหมิ่นข้าขนาดนั้น”“หานชินคือภรรยา ส่วนเจ้าคืออดีตคนเคยสนิท เข้าใจหรือไม่ ฮ่า ๆ ข้าว่าเจ้าควรกลับเมืองหลวงไปซะ”“ต้วนถง เจ้าคนทรยศ จะไปตายที่ไหนก็ไปเลย แทนที่จะเข้าข้างข้าที่เป็นญาติ กลับไปเข้าข้างผู้อื่น”“ข้าไม่ได้เข้าข้างผู้อื่น แค่อยากให้เจ้ารู้จักที่จะรอเวลาสักหน่อย เจ้ากับนางต่างกันมากในทุกหนทาง หากอยากชนะใจบุรุษ จริตมารยาเท่านั้น ที่จะทำให้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่เจ้าปรารถนา”“อย่างไร”ต้วนถงก้าวเข้าประชิดร่างของหลิวอี้ชิว ก่อนจะกระซิบบางอย่า เพื่อให้
แม่ทัพหนุ่มมองไปยังต้นเหตุ ที่เขาคิดว่าต้องใช่อย่างแน่นอน เพราะในตอนนี้หลิวอี้ชิวคอยชวนเขาคุย ทั้งยังคอยตักอาหารให้แก่เขาจนแทบจะล้นแล้วนั่นเอง“น้องหญิง กุ้งของโปรดเจ้า”“วันนี้ข้าแพ้กุ้งเจ้าค่ะ”“องค์หญิงนี่ปูนึ่งที่ท่านชอบ”ต้วนถงคีบเนื้อปูนึ่งที่แกะแล้ววางในถ้วยของหานชิน หญิงสาวยิ้มเล็กน้อยก่อนจะคีบเข้าปาก โดยชำเลืองมองสามีเล็กน้อย ก่อนจะสะบัดใบหน้างามไปอีกทาง เมื่อสามีมองมาที่นาง“พี่ลู่ฉง ไก่อบที่ท่านชอบ”“ดึกมากแล้ว มื้อค่ำควรที่จะจบลงดีหรือไม่ทุกท่าน”ทุกคนที่นั่งร่วมกินมื้อค่ำ ถึงกับอ้าปากค้างกับการยุติมื้ออาหารของแม่ทัพหนุ่ม หานชินที่กำลังเคี้ยวอาหารอยู่ถึงกับสำลักจนหน้าแดง นางไม่คิดว่าหวังลู่ฉงจะเป็นคนเช่นนี้“นั่นอย่างไรเล่า น้องหญิงวันนี้เจ้าก็แพ้ปูอีกสินะ ไปเถอะพี่จะพาเจ้าไปกินยา”ไม่พูดเปล่าแม่ทัพหนุ่มลุกขึ้นช้อนอุ้มร่างภรรยา แล้วเดินออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว ปล่อยให้แขกทั้งสองที่ยังอยู่ในอาการตกใจมองตามด้วยความงุนงงต้วนถงจำต้องวางตะเกียบลง ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกกล่าวว่าเขาจะกลับแล้วให้กับญาติผู้น้องของตนเอง หลิวอี้ชิวที่ยังคงมึนงงกับสิ่งที่แม่ทัพหนุ่มกระทำ ได้แต่ลุกเ
“โอ้วววว อ๊า...อ๊ะ...อ๊า...ดีอย่างนั่น”หญิงสาวครางกระเส่าด้วยความเสียวซ่าน ใบหน้างามแหงนสะบัดไปมา มือบางกดศีรษะของชายหนุ่มให้แนบเนินสวาทของนาง ยิ่งเมื่อปลายลิ้นระรัวเร็วยังเม็ดสวาท ก้นงอนงามขยับยกขึ้นรับการสัมผัสทำให้หญิงสาวพึงใจยิ่งนักต้วนถงดูดเม้มเม็ดสวาท สลับลากเลียตามร่องกลีบบางยาว ๆ ก่อนจะสอดนิ้วเข้าไปในเส้นทางฉ่ำเยิ้ม“กรี๊ดดด อ๊า...โอ้วววว...ข้าเสียวเหลือเกิน โอ้ววววววววว”อี้ชิวเด้งรับการจู่โจม พร้อมส่งเสียงหวีดร้องด้วยความเสียวซ่าน ชายหนุ่มขยับนิ้วเข้าออกช้า ๆ ก่อนจะเร่งจังหวะให้กระชั้นถี่ขึ้น โดยที่ปากหนายังคงดูดเม้มเม็ดสวาทแรง ๆ ไปพร้อมกันหญิงสาวเพิ่มแรงกดศีรษะของชายหนุ่มให้แนบชิดมากขึ้น ก้นงามได้เด้งสวนรับนิ้วไปพร้อม ๆ กัน ทำให้น้ำหวานไหลออกมาตามการเข้าออกของนิ้วแกร่งมากขึ้นตามไปด้วยชายหนุ่มถอนนิ้วออกจากรูสวาท แล้วขยับลุกขึ้นยืน ก่อนจะปลดสายรัดกางเกงออก เผยให้หญิงสาวเห็นถึงความใหญ่โตของแก่นกายชายหนุ่ม มือหยาบรวบช้อนใบหน้างามให้เงยขึ้น ก่อนจะบดจูบหนัก ๆ อีกครั้ง“ทำให้ข้าสิ”ชายหนุ่มกระซิบข้างหูด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ก่อนจะยืนชิดขอบโต๊ะ หญิงสาวไม่รอช้าขยับลุกนั่ง มือบางจับ
“ทำไม! ท่านคิดจะร้องขอชีวิตจากข้าเช่นนั้นรึ”แววตาไหวระริกด้วยความตื่นเต้นพลันฉายชัดให้เห็น เรียวปากบางคลี่ยิ้มกว้าง“ไม่จำเป็น เพราะข้ารู้ว่ามันไม่มีทางเป็นไปได้”แม่ทัพหนุ่มตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ เหมือนกับสถานการณ์ที่กำลังตกเป็นรองของเขา มิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย“ยโสยิ่งนัก ไป๋เจี้ยนถง ข้าเองก็อยากรู้นัก ว่าท่านจะผยองเช่นนี้ได้อีกนานแค่ไหน”เมื่อได้ยินคำปฏิเสธอย่างไรเยื่อใย ความขุ่นเคืองพลันบังเกิดขึ้นมาภายในใจของหญิงสาว ประหนึ่งภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุก็มิปาน“สิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นที่ข้ามองอยู่เสมอ เจ้าอยากทำร้ายข้านั้นมิใช่สิ่งที่เหนือความคาดหมาย แต่การที่เจ้าขายแผ่นดินบ้านเกิด นี่ต่างหากที่ทำให้ข้าไม่อาจลดตัวร้องขอสิ่งใดจากคนเช่นเจ้า”“เก็บคำพูดอันสวยงามของท่านแม่ทัพ ไปรอตอบคำถามของฝ่าบาทในยมโลกจะดีกว่านะ เพราะข้าสนแค่คนที่ข้ารักเท่านั้น ผู้อื่นหาได้อยู่ในสายตาข้าไม่”แม้คำพูดจะยังถากถางชายหนุ่ม ทว่าความรู้สึกบางอย่างเตือนให้นางระวังตัวจากบุรุษผู้นี้ คนเช่นไป๋เจี้ยนถงเช่นนั้นรึจะพลาดพลั้งได้โดยง่าย เขากรำศึกมาตั้งแต่อายุสิบห้าย่อมยากที่จะถูกลวงได้โดยง่าย‘หรือว่า....’ “ขนาดนี
สามเดือนต่อมา “ท่านลุง เหตุใดท่านพี่ยังมิกลับมาอีกเล่า” เพ่ยเพ่ยเอ่ยถามพ่อบ้าน “เรียนฮูหยิน ข้าน้อยได้ส่งคนไปดูที่ค่ายทหารแล้วขอรับ” “ท่านลุงมีสิ่งใดที่ยังมิได้บอกข้าอยู่หรือไม่” เพ่ยเพ่ยจ้องพ่อบ้านด้วยสายตาคาดคั้น นางอาจเป็นเพียงท่านหญิงผู้บอบบางในสาตาผู้อื่น แต่นั่นมันชูเพ่ยเพ่ยที่ตายไปแล้ว มิใช่นางคนปัจจุบัน “ข้าน้อยคิดว่าฮูหยิน เอ่อ...กลับไปพักสักหน่อยเถอะนะขอรับ นี่ก็ดึกมากแล้ว” “จะให้ข้าหาคำตอบเอง หรือจะบอกข้ามา” ชายชราได้แต่อ้ำอึ้ง เมื่อถูกนายหญิงบีบคั้นทั้งคำพูดและสายตา เวลานี้ท่านหญิงชูดูจะมิใช่สตรีอ่อนหวานไร้เดียงสาเช่นทุกวัน แต่เป็นอีกคนที่เขาเองเหมือนจะมิรู้จักเลยก็ว่าได้ “เอ่อ...” “สามีข้าหายไปสองวัน คิดว่าจะปิดข้าอีกนานแค่ไหนกัน” “เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสองวันก่อนขอรับ....” ในที่สุดพ่อบ้านชราก็ไม่อาจที่จะปิดบัง ความจริงกับผู้เป็นนายหญิงได้อีก การหายตัวไปของท่านแม่ทัพ นับเป็นความสั่นคลอนภายในกองทัพ หากเรื่องนี้แพร่งพรายออกไป “ท่านล
ชายหนุ่มพยายามข่มความต้องการเอาไว้ หากทำเช่นใจต้องการในตอนนี้ อาจเป็นครั้งแรกที่มิน่าประทับใจเท่าใดนัก ชายหนุ่มพรมจูบไปตามผิวเนียนละเอียดอย่างเชื่องช้ามือหนาลูบไล้ขึ้นลงตามท่อนขาเรียวงาม ก่อนจะมาหยุดยังเนินเนื้อที่ปกคลุมไปด้วยปุยขนบาง ๆ ทำให้ความต้องการแล่นพล่านไปทั่วกายอีกครั้ง ท่อนเอ็นเจ็บร้าวเรียกร้องการปลดปล่อยนิ้วแกร่งค่อย ๆ กรีดลงตามร่องภายใต้ปุยขนสีดำ เพียงปลายนิ้วสัมผัสกับติ่งเล็กด้านใน ร่างบางถึงกับสะดุ้งเฮือกด้วยความเสียวซ่าน มือบางที่สอดอยู่ภายใต้กลุ่มผมหนาของสามี เผลอขยุ้มอย่างแรง“พี่จะทำให้ครั้งแรกของเราเป็นที่จดจำ และจะเป็นเช่นนี้จนชั่วชีวิตสามีภรรยาของเรา”ชายหนุ่มเอ่ยเบา ๆ โดยที่เขาทำเพียงช้อนสายตาขึ้นมองภรรยา ก่อนจะพรมจูบสลับตวัดปลายลิ้นเลียไปทั่วหน้าท้องแบนราบ“อ่า ท่านพี่ข้าเสียวยิ่ง...อ่า”เพ่ยเพ่ยครางออกมาเมื่อนิ้วของสามีขยับเคลื่อนไหวมิหยุด หญิงสาวพูดด้วยน้ำเสียงขาดห่วง เมื่อความเสียวกระสันกำลังครอบครองกายนางแม่ทัพหนุ่มเลื่อนใบหน้าลงต่ำ ก่อนจะใช้มือแยกขาเรียวออกกว้าง ปลายลิ้นสากลากลงตามร่องสวาทอย่างเชื่องช้า ยิ่งเวลานี้กลีบบางแยกออกเผยให้เห็นเม็ดสวาทสีแดง ควา
“เจี้ยนถง” “ที่เจ้าแสดงอาการหึงหวงข้า เพียงเพราะอยากชนะเพ่ยเพ่ยก็เท่านั้น หาได้คิดอย่างที่เจ้าเพียรบอกตนเองเลยแม้แต่น้อย” “ฮ่า ๆ ใช่แล้วจะทำไม นางมารน้อยนั่น ร้ายกาจกว่าที่ท่านรู้เสียอีกเจี้ยนถง” “ข้าเหมือนลาโง่เช่นนั้นรึ ข้าแค่พอใจในนางมารน้อยของข้าที่นางเป็นเช่นนั้น และเจ้าล้ำเส้นแตะต้องนาง” อี้ชิวถึงกับใบหน้าซีดเผือด เมื่อได้ยินความจริงจากปากของชายหนุ่ม เช่นนั้นแสดงว่าตลอดเวลาที่นางอยู่กับชูเพ่ยเพ่ย ชายหนุ่มเห็นมันอยู่โดยตลอด และนางมารน้อยนั่นก็ต้องรู้อยู่แล้วเช่นกัน “ช่างสมกันยิ่งนัก” “นี่คงเป็นความจริงใจเดียว ที่เจ้ากล่าวออกมาสินะ ข้าขอบคุณก็แล้วกันที่เจ้ามองเห็นมันแล้ว” “ท่านมันไร้หัวใจ เจี้ยนถง” “หึ ๆ หากข้าเป็นเช่นเจ้าว่ามาจริง เจ้าไม่คงอยู่ที่นี่กระมังแม่นางอี้ชิว แต่เพราะข้ามีหัวใจ เจ้าจึงมิสมควรได้รับการอภัย ที่แตะต้องหัวใจของข้า” “ฮ่า ๆ มีตรงไหนที่ข้าพ่ายแก่นางมารน้อยจอมเจ้าเล่ห์กัน” อี้ชิวอยากจะกรีดร้องออกมาให้สุดเสียงเหลือเกิน ทว่านางกลับทำได้เพียงหัวเร
เพี๊ยะ ๆ เสียงฝ่ามือกระทบใบหน้างามดังให้ได้ยินชัดเจน อี้ชิวรู้ตัวอีกทีใบหน้าของนางได้สะบัดไปมาหลายรอบ เลือดสีแดงไหลออกมาจากมุมปาก หญิงสาวกำหมัดแน่นด้วยความเคียดแค้น นางเป็นผู้ฝึกยุทธ์มีหรือจะไม่รู้ว่าแรงของฝ่ามือที่กระทบใบหน้าของตนเองนั้น แฝงไปด้วยพลังยุทธ์ “เจ้าท้าทายข้า เช่นนั้นวันนี้เป็นข้าที่จะลงมือสั่งสอนเจ้าสักหน่อย” เอ่ยจบร่างงามได้พุ่งเข้าหาคนที่ยืนนิ่งอยู่เบื้องหน้า ปึก! เพียงฝ่ามือเดียวเพ่ยเพ่ยเซถอยไปไกล พรึ่บ! ก่อนที่ร่างของหญิงสาวจะล้มลงถึงพื้นดิน กลับมีท่อนแขนแกร่งเข้ามารับเอาไว้ทันเสียก่อน “ท่านพี่ อึก!” เพ่ยเพ่ยกระอึกเลือดสีแดงออกมาคำใหญ่ ทำให้แม่ทัพหนุ่มถึงกลับร้อนใจ เมื่อเห็นอาการของภรรยา ชายหนุ่มช้อนอุ้มร่างหญิงสาวขึ้นสู่อ้อมแขน ก่อนจะหันไปมองคนที่ลงมือต่อภรรยาของเขา “หากนางเป็นอันใดไป ชีวิตเจ้าจะไม่เหลือแม้แต่ชื่อให้ผู้คนได้กล่าวถึง” “แต่นางลงมือต่อข้าก่อนนะเจ้าคะท่านแม่ทัพ” “เพ่ยเพ่ย ไร้วรยุทธ์ไหนเลยจะลงมือต่อเจ้าได้รุนแรง เพียงฝ่ามือบาง ๆ ของนาง รึจะเจ็บปวดถึงชีวิตเช่นที่เจ้าทำต่อน
เส้นทางสู่วัดชิงอัน ฮี่ ๆ ม้าที่กำลังวิ่งมาเต็มกำลังจำต้องหยุดลง อาการแตกตื่นของม้ามิได้ทำให้ทุกคนตกใจ เท่ากับที่มีร่างของใครอีกคนนอนนิ่งอยู่กลางถนนขวางทางอยู่ แท่ทัพหนุ่มโน้มกายปลอบใจอาชาคู่ใจ เมื่อม้าทุกตัวสงบลง ทหารคนสนิทได้วิ่งลงไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่บนพื้น ก่อนจะวิ่งกลับมาหาผู้เป็นนาย “เรียนท่านแท่ทัพ นางยังมีลมหายใจอยู่ขอรับ” “พาไปยังอารมด้วยเลยก็แล้วกัน ที่นั่นมีไต้ซือถงอยู่คงพอจะรักษานางได้” “ขอรับท่านแม่ทัพ” ชายหนุ่มเร่งกลับไปยังร่างที่แน่นิ่งอยู่ ก่อนจะช้อนอุ้มร่างบางขึ้นสู่อ้อมแขน ในขณะที่ม้าของแม่ทัพหนุ่มก้าวผ่าน ชายหนุ่มมองเห็นใบหน้างามนั้นอย่างชัดเจน ก่อนจะกระตุ้นม้าให้วิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว โดยไม่แม้แต่จะสนใจหญิงสาวในอ้อมแขนของคนสนิท ‘มองเมินข้าเกินไปแล้วนะ เจี้ยนถง’ หญิงสาวขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอยู่ภายในใจ นางไม่คิดเลยว่าการกลับมาครั้งนี้ จะไม่อยู่ในสายตาของแม่ทัพหนุ่มเลย ‘เจ้านำพาหัวใจข้าไปเมื่อครั้งในอดีต เมื่อมันตายไปแล้วก็นับว่าผ่านพ้น เวลานี้ใจของข้าได้กำเนิดใหม่
“สมควรที่จะเป็นเช่นนี้ เจ้าเล่นเดินไปทั่วเมือง” ชายหนุ่มประคองภรรยาไปนั่ง ทุกการกระทำของสองสามีภรรยา ทำให้ร่างระหงที่เพิ่งก้าวพ้นประตูเข้ามาหยุดชะงักไปชั่วขณะ ต่างจากเพ่ยเพ่ยที่กำลังยิ้มกริ่มด้วยความพอใจ ‘ชั้นเชิงของเจ้าที่ใช้นับว่าชาญฉลาด แต่ยังอ่อนหัดหากเทียบกับโลกที่ข้าจากมาอี้ชิว’ เพ่ยเพ่ยยังคงแสร้งออเซาะสามี ด้วยนิสัยของความเป็นเด็กที่ทำให้แม่ทัพหนุ่มยากที่จะปฏิเสธได้ ชายหนุ่มย่อกายลงตรงหน้าของภรรยา ก่อนจะนวดที่น่องเรียวงาม เพ่ยเพ่ยยิ้มกว้างอย่างผู้ชนะ พร้อมชำเลืองมองไปยังหญิงสาวผู้มาใหม่ นางไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดจากสามีเลยนับตั้งแต่แต่งงาน ทว่านางจงใจทำให้ทุกช่วงเวลาอันเอื่อยเฉื่อยระหว่างนางกับเขา ให้ทุกครรลองสายตาของเขามีเพียงนาง โดยที่เขาไม่รู้ตัว แล้วเช่นนี้จะมีสตรีใดเล่าจะมาช่วงชิงสายตาของเขาไปจากนางได้ ‘ชีวิตอีกโลกข้ามัวแต่เก็บงำความรู้สึก มาชีวิตนี้ข้าจะไม่ยินยอมเสียโอกาสอีกเป็นอันขาด’ “คราวหลังห้ามทำเช่นนี้อีกรู้หรือไม่” “เจ้าค่ะ ข้าจะมิดื้อรั้นกับท่านพี่” เพ่ยเพ่ยตอบรับคำของสาม
“วันนี้เจ้าสมควรถูกลงโทษ” “ข้ายินดีรับ” เอ่ยจบชายหนุ่มได้ประทับจูบอีกครั้ง มือหนาเคล้นคลึงก้นงอนงาม โดยที่ท่อนเอ็นของเขาในเวลานี้อยู่ในกำมือบอบบาง ที่ล้วงเข้าไปในกางเกงของเขา “อ่า อื้อ อี้ชิว อ่า” ชายหนุ่มถึงกับขาสั่นเทา เมื่อมือนุ่มขยับเคลื่อนรูดไปตามท่อนเอ็นที่กำลังแข็งชูชันด้วยความเสียวซ่านจากการถูกปลุกเร้า หลังจากถอนริมฝีปากออกได้เพียงครู่เดียว กางเกงของเขาได้หลุดร่วงลงไปกองอยู่แทบเท้า โดยที่ร่างระหงนั่งลงคุกเข่าอยู่ตรงหน้า ปลายลิ้นเล็กตวัดผ่านปลายท่อนเอ็น ที่กำลังบานออกจนเผยให้เห็นรูเล็ก ๆ ที่มีน้ำใส ๆ ไหลเยิ้มออกมา หญิงสาวระรัวปลายลิ้นยังรู สลับดูดส่วนปลายแรง ๆ เพียงครู่เดียวท่อนเอ็นกว่าครึ่งลำ ได้อยู่ในปากอุ่นร้อนของหญิงสาว มือบางรูดขึ้นลงพร้อมกับห่อปากดูดรั้งท่อนเอ็นเอาไว้แน่นชายหนุ่มใช้สองมือจับศีรษะงามเอาไว้แน่น พร้อมทั้งขยับสะโพกเด้งสวนรับแรงดูดกลืนนั้นด้วยความเสียวซ่าน เสียงลมหายใจเสมือนม้าศึกของชายหนุ่ม ทำให้หญิงสาวเพิ่มแรงดูดดึงท่อนเอ็นให้มากขึ้นชายหนุ่มไม่อาจทานทนต่อแรงกระตุ้นได้อีกต่อไป ชายหนุ่มถ
ทุกคนค้อมศีรษะให้แก่หญิงสาว ที่เวลานี้ยืนขึ้นค้อมหัวให้แก่ทุกคนอย่างนอบน้อม เพ่ยเพ่ยยังใจเย็นรั้งรอสามีอยู่เช่นเดิม ร่างสูงก้าวออกมายังหน้ากระโจมเป็นคนสุดท้าย คิ้วเข้มขมวดเป็นปม ซึ่งน้อยคนนักจะได้เห็นการแสดงสีหน้าเช่นนี้ของแม่ทัพหนุ่ม “ท่านพี่ เพ่ยเพ่ยขออภัยเจ้าค่ะ ที่ดื้อรั้นรั้งรอท่านพี่อยู่ตรงนี้” น้ำเสียงดูเหมือนกำลังสำนึกผิด ทว่ารอยยิ้มและแววตานั้นหาได้เป็นเช่นคำพูดไม่ “เจ้ามีสิ่งใดเร่งด่วนเช่นนั้นรึ จึงได้มาหาข้าถึงที่นี่” แม่ทัพหนุ่มแสร้งไม่เห็นแววตาไหวระริกของภรรยา ทว่าเขากลับเอ่ยถามนางด้วยน้ำเสียงราบเรียบ หญิงสาวไม่ได้ตอบคำถามของสามี ทำเพียงมองไปยังตะกร้าที่วางอยู่บนโต๊ะ ก่อนจะหันกลับไปส่งยิ้มละมุนให้แก่สามี แววตาที่เคยสดใส เวลานี้สลดลงเล็กน้อย ด้วยความกริ่งเกรงในสายตาของผู้เป็นสามี “เจ้าไม่เห็นต้องลำบากเช่นนี้เลย ไปเถอะที่นี่คงมิเหมาะให้กินอาหารสักเท่าใดนัก”ชายหนุ่มก้าวเข้ามาคว้าตะกร้าอาหาร ก่อนจะเดินนำไปยังทิศทางด้านหลังค่ายทหาร ร่างบางก้มหน้าน้อย ๆ เดินตามสามีไปเงียบ ๆ เพ่ยเพ่ยเบิกตากว้างเมื่อเห็นทิวท