แค่ก! แค่ก! แค่ก!
“พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์
“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา
“ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น
“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...
“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว
“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
“จับมือฉันไว้” ฉันเอื้อมมือไปยังร่างหนาตรงหน้า ส่วนอีกข้างยังคงจับกิ่งไม้ไว้แน่น มือหนาของเขาเอื้อมมาคว้ามือบางของฉันไว้แน่นฉันใช่แรงทั้งหมดที่ตัวเองมีออกแรงดึงร่างสูงตรงหน้า
“ช่วยดันตัวขึ้นมาด้วยสินายตัวหนักมากเลย อึบ!” ฉันค่อยๆ ดึงร่างหนาขึ้นมาอย่างช้าๆ พร้อมกับร่างสูงเองก็พยายามดันร่างของตัวเองขึ้นมาด้วยอีกแรง เราทั้งสองช่วงกันดึงดันอย่างทุลักทุเล ทำให้ฉันรู้ว่าร่างสูงตรงหน้าตัวใหญ่และสูงมากแค่ไหน
“อีกนิด อึบ...ว๊าย!” ฉันร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจเนื่องจากฉันใช้แรงทั้งหมดที่ตัวเองมีดึงร่างของเขาขึ้นมาบวกกับเขาเองก็ออกแรงทั้งหมดที่ตัวเองมี ทำให้ฉันเสียหลักหงายหลังลงไปนอนกองกับพื้นก่อนที่ร่างสูงตรงหน้าจะเสียหลักลงมาทับอยู่เหนือร่างของฉัน
“นาย!” ฉันค่อยๆดันอกแกร่งของเขาออกเบาๆ ร่างสูงตรงหน้าก็ทำตามอย่างว่าง่าย เค้าค่อยๆทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ ฉันอย่างหมดแรง
“นายเดินไหวไหม ออกแรงช่วยฉันด้วยนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างหนาตรงหน้า พร้อมกับค่อยๆเข้าไปพยุงร่างนั้นขึ้นมาอย่างยากลำบาก เพราะร่างหนาที่เต็มไปด้วยมัดกล้าม ความสูงที่ดูยังไงก็เกิน 180 ในขณะที่ฉันส่วนสูงเพียง 160 เซนติเมตรเท่านั้นมันทำให้การช่วยเหลือของฉันเต็มไปด้วยความทุลักทุเล
แขนแกร่งพาดลงบนบ่าบางของฉันก่อนที่ฉันจะพาเค้าเดินเข้ามายังเรือนของฉันที่อยู่ไม่ไกล ยิ่งเข้าใกล้แสงไฟก็ยิ่งเห็นใบหน้าของเขาชัดขึ้น รอยเขียวคล้ำบนใบหน้าของเขาจนบวมช้ำแทบจะดูไม่ได้เลย ฉันไม่อยากจะจินตนาการเลยว่าชายคนนี้เขาต้องเจออะไรมาบ้าง
ฉันพยุงเขาให้นั่งลงยังบันไดเรือน ก่อนที่ฉันจะรีบเดินออกไปตามคนมาช่วย แต่แล้ว...
“ปะ ไป” มือหนาของร่างสูงคว้ามือบางของฉันไว้แน่น ฉันก้มลงมองมือหนาของเขาอีกครั้ง ก่อนจะสังเกตเห็นรอยสักลวดลายที่ประหลายคลายกับตะขาบอยู่บนหลังมือขวาของเขา
“ฉันจะไปตามคนมาช่วย”
“มะ ไม่ ดะ...”
“ไม่ได้หรอ? ทำไมละ?” ฉันเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าออกไปด้วยความสงสัยทั้งๆ ที่เขาเจ็บขนาดนี้
“ชะ เชื่อฉัน” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงสั่น
“…”
“นะ...”
“งั้นนายช่วยฉันพาตัวเองขึ้นไปด้านบนทีนะ” ฉันช่างใจอยู่สักแป๊บก่อนจะเอ่ยบอกกับร่างหนาตรงหน้า เราทั้งสองพากันขึ้นไปบนเรือนอย่างทุลักทุเล ‘ตัวหนักชะมัด’
“อีกนิดนะ...”
ฟุบ!!
ร่างหนาหมดสติก่อนจะฟุบลงไปที่พื้นดึงให้ร่างบางของฉันล้มลงไปนั่งคลุกเข่าลงข้างๆ เค้าตามแรงฉุดของร่างสูง
“อ๊ะ!”
“เอาน่ะ ช่วยแล้วก็ช่วยให้สุดๆ ไปเลยสิบัว”
ฉันค่อยๆ ลากร่างสูงที่หลับไหลไม่ได้สติของเค้าจากทางด้านหลังเข้าไปด้านใน อุณหภูมิที่สูงขึ้นของร่างหนาตรงหน้าทำให้ฉันรับรู้ได้ทันทีว่าเขามีไข้ ฉันค่อยๆ ยกร่างหนาขึ้นไปนอนบนฟูกอย่างเบามือ
“เรานี่ก็แข็งแกร่งเหมือนกันนะเนี่ย ผู้ชายตัวหนักกว่าช้างฉันยังยกขึ้นมาได้”
“ขออนุญาตแล้วกันนะปล่อยไว้แบบนี้นายได้เป็นปอดบวมก่อนแน่ๆ” ฉันเอ่ยบอกกับชายตรงหน้าที่นอนหลับใหลไม่ได้สติเพราะพิษไข้ มือบางของฉันค่อยๆบรรจงถอดชุดให้ฉันเค้าออกจากร่างหนาทีละตัวอย่างช้าๆ เผยให้เห็นมัดกล้ามแน่นๆ ซิกแพคได้รูปของเขา เค้าดูเป็นผู้ชายที่ดูแลตัวเองดีมากๆเลยคนนึง
“หุ่นดีจัง...ฮึ่ย บัวชมพูพูดอะไรบ้าๆ”
ฉันเอาผ้าขาวม้าของพ่อออกมาคลุมส่วนล่างของเค้าเอาไว้ ก่อนจะค่อยๆ เลื่อนมือบางของตัวเองมาปลดกระดุมกางเกงยีนส์ตัวหนาของเขา พร้อมกับดึงมันออกอย่างยากลำบาก เนื่องจากกางเกงยีนส์ของเค้าเปียกน้ำจนชุ่มยิ่งทำให้น้ำหนักของมันเพิ่มขึ้นบวกกับมันแนบกับขาแกร่งของเขาทำให้มันไม่ง่ายเลยที่ฉันจะดึงมันออกมา
“เฮ้ย!!...การถอดเสื้อผ้าผู้ชายมันยากขนาดนี้เลยเลอะ”
ฉันบรรจงเช็ดตัวให้กับร่างหนาตรงหน้าก่อนจะเอาเสื้อและกางเกงของพ่อฉันใส่ให้กับร่างสูงตรงหน้าไปก่อน ซึ่งมันดูเล็กลงไปเลยเมื่ออยู่บนตัวของผู้ชายคนนี้ หลังจากแต่งตัวให้กับร่างสูงเสร็จฉันจึงนำผ้าห่มผืนขนาดไม่หนาและไม่บางจนเกินไปมาห่มให้กับเขา
“สองผืนเลยละกันอากาศหนาวเกินไป”
“นาย นาย ได้ยินฉันไหม” ฉันเรียกร่างสูงที่ยังคงหลับไหลไม่ได้สติเบาๆที่ข้างหูของเขา
“อือ” เค้าครางออกมาเบาๆ เปลือกตาบางของร่างสูงตรงหน้าขยับช้าๆ ถึงเขาจะไม่ได้ลืมตาขึ้นมามองฉันแต่เขาก็ทำให้ฉันรู้ว่าเขารู้สึกตัวแล้ว
“กินยาลดไข้หน่อยนะ” ฉันเอ่ยขึ้นพร้อมกับจะพยุงร่างสูงตรงหน้าขึ้นอย่างช้าๆ ก่อนจะป้อนยาลดไข้ให้กับเขาไปสองเม็ดตามด้วยน้ำเปล่าล้างคอ
“ค่อยๆนะ” ฉันว่างเขาลงนอนตามเดิมก่อนจะบิดผ้าที่ชุบน้ำวางลงบนหน้าผากหนาของเขา
“เสร็จสักที...ไปอาบน้ำอีกสักรอบแล้วกัน” คิดได้ดังนั้นฉันก็เดินออกไปจัดการกับตัวเองอีกครั้ง
หลังจากที่ฉันอาบน้ำแต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่จนเรียบร้อยแล้ว ฉันจึงกลับเข้ามาปูที่นอนของตัวเองข้างๆเขา เนื่องจากฟูกหนาของฉันถูกร่างสูงยึดไปแล้ว ทำให้ฉันต้องใช้ผ้าห่มผืนบางที่เหลือปูนอนแทน
ถึงคืนนี้จะเป็นคืนแรกที่ฉันต้องนอนกับผู้ชายสองต่อสอง แต่ฉันว่าฉันมั่นใจได้ในระดับหนึ่งเลยนะ คืนนี้ฉันน่าจะนอนหลับได้อย่างไม่ต้องกังวลอะไร เพราะดูจากสภาพของชายข้างๆฉันแล้ว เขาน่าจะไม่มีแรงมากพอที่จะลืมตาด้วยซ้ำ
“นอนๆไปเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองพร้อมกับทิ้งตัวลงนอนยังที่นอนของตัวเอง ก่อนจะเข้าสู่ห้วงนิทราไปอย่างรวดเร็วด้วยความเหนื่อยล้า
2.00 น.
“ปวดหลังชะมัด”
เสียงสายฝนจางๆที่เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งหลังจากหยุดไปได้ไม่นานปลุกให้ฉันตื่นจากฝัน ฉันค่อยๆลุกขึ้นจากที่นอนอย่างยากลำบากหลังของฉันปวดร้าวไปหมดเพราะที่นอนของฉันแข็งมาก
ฉันลุกออกจากที่นอนก่อนจะเดินไปจุดตะเกียงที่อยู่มุมของห้อง หลังจากนั้นจึงเดินมานั่งข้างๆ ร่างสูงที่ยังคงนอนหลับใหลไม่ได้สติอยู่บนฟูกหนา
“ไข้ไม่ลด”
หลังมือบางของฉันวางลงบนหน้าผากหนาอย่างเบามือ จากนั้นฉันค่อยๆบิดผ้าเช็ดตัวผืนบางของเขา พร้อมกับเริ่มเช็ดตัวให้กับเขาอีกครั้งหลังจากที่สัมผัสดูแล้วไข้เขายังไม่ลดลงเลย
ฉันเช็ดตัวให้กับเขาอย่างช้าๆจนกระทั่งสายตาของฉันสบเข้ากับดวงตาบวมช้ำจากการที่ถูกทำร้ายมาอย่างหนักของร่างสูงที่จ้องมายังฉัน ฉันไม่มั่นใจว่าเขาตื่นมาตั้งแต่ตอนไหนรู้ตัวอีกทีสายตาคู่นั้นก็จ้องฉันอยู่ก่อนแล้ว
“กินยาลดไข้อีกสักเม็ดดีไหมนะ” ฉันพูดขึ้นก่อนจะพยุงเขาลงนั่งเพื่อจะได้ทานยาได้ถนัด
“อือ” ร่างสูงครางออกมาเบาๆ ฉันเลือนไปสบตากับเขาเล็กน้อย
“เจ็บหรอนายโดนมาหนักมากเลยนี่น่า อดทนหน่อยนะ”
“ฉันทำแผลให้นายไปบ้างแล้ว เดี๋ยวก็หายเชื่อมือฉัน” ฉันก้มมองดูผ้าพันแผลที่ตัวเองทำไว้เมื่อตอนหัวค่ำที่ยังคงมีเลือดสีแดงสดซึมออกมาเล็กน้อย
“…”
“นอนต่อเถอะ” ฉันบรรจงห่มผ้าให้กับร่างสูงตรงหน้าอย่าเบามือเพื่อเพิ่มความอบอุ่นให้แก่เขา
“...”
“นอนสิหลับตา” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้ง เขายังคงมองมาที่ฉันอยู่อย่างนั้น
ฉันทิ้งตัวลงนอนยังที่นอนของตัวเองอีกครั้งก่อนจะหันไปมองยังร่างสูงที่นอนอยู่ข้างๆ
“หลับ...ตา นายต้องนอนพักเยอะๆนะรู้ไหม มีอะไรก็เรียกฉันนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนที่ดวงตาของฉันจะปิดลงด้วยความเหนื่อยล้า...
6.00 น.
“อือ”
“ฉันทำนายตื่นรึป่าว...ไข้ลดลงบ้างแล้วแต่ยังต้องเช็ดตัวอยู่” ฉันเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าออกไปด้วยเสียงสดใส พร้อมกับเช็ดตัวให้กับเค้าไปด้วย
“…”
“หิวไหม?”
“…” ร่างสูงส่ายหัวเบาๆเพื่อเป็นคำตอบให้กับฉัน
“ได้ไง อย่างน้อยก็ต้องกินสักหน่อยจะได้กินยา” ฉันเอ่ยบอกกับเขาเบาๆ ก่อนจะช่วยพยุงร่างสูงให้นั่งลง พร้อมยืนขันน้ำให้เขาล้างปาก
“เหมือนฉันซ้อมป้อนข้าวคนแก่เลยอ่ะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าด้วยรอยยิ้ม ฉันรู้สึกว่าดวงตาของร่างสูงตรงหน้าที่กำลังจ้องมาที่ฉันมันดูแปลกๆยังไงก็ไม่รู้
“อิ่มแล้วหรอ?”
“…”
“งั้นนายนั่งแบบนี้สักแป๊บนะให้อาหารย่อยก่อน” ฉันนำข้าวและยาแก้ปวดให้เขาทานจนเรียบร้อยแล้ว ก่อนจะออกมาเตรียมลูกประคบเพื่อประคบตามรอยฟกช้ำตามตัวของเขา
ถึงจะไม่เคยทำลูกประคบเองมาก่อนแต่ฉันเคยเห็นยายของฉันทำ ฉันเป็นคนที่มีความจำที่ดีน่ะเลยนำมาทำเองได้ไม่ยาก
หลายคนอาจสงสัยทำไมฉันถึงช่วยเขาทั้งๆ ที่ฉันไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าเขาเป็นใครมาจากไหน ฉันเองก็หาเหตุผลให้กับสิ่งที่ตัวเองทำลงไปไม่ได้เหมือนกัน แต่สิ่งที่แน่นอนคือ ฉันไม่สามารถมองข้ามเขาไปได้จริงๆ น้องหมาน้องแมวที่เดือดร้อนฉันยังไม่เคยปฏิเสธที่จะช่วยเหลือเลยสักครั้ง นี่เขาเป็นคนทั้งคนเลยนะฉันจะใจร้ายทิ้งเขาไว้แบบนั้นได้ไงกัน
“นายชื่ออะไรหรอ?” ฉันถามร่างสูงตรงหน้าในขณะที่สายตายังคงจ้องมองไปยังรอยช้ำตรงหน้าอย่างใจจดใจจ่อ
“…”
“ยังเจ็บแผลที่ปากอยู่ใช่ไหม?”
“...ดะ...”
“ไม่เป็นไรยังไม่ต้องฝืน” ฉันเอ่ยบอกกับเขาด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะประคบรอยช้ำบริเวณมุมปากอย่างเบามือ
“ดะ ดีน” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงสั่น
“นายชื่อดีน…ส่วนฉันชื่อบัว”
“ฉันมีเรื่องอยากสอบสวนนายเยอะเลย แต่รอให้นายหายดีกว่านี้ก่อนแล้วกัน”
แอ๊ดดดดดดด! !!“ฉันต้มน้ำใบบัวบกไว้ให้นายด้วย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันสังเกตุเห็นว่าวันนี้ใบหน้าของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีก“น้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน ลดการอักเสบนายต้องดื่มให้หมดนะเข้าใจไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยื่นแก้วในมือให้เขา“...” เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบคำถามของฉัน“ดีมาก รอให้มันเย็นกว่านี้ก็ได้ดื่มตอนนี้เดี๋ยวมันจะลวกปากนาย”“…” ฉันวางแก้วใบบัวบกไว้ข้างๆ ก่อนที่มือบางของฉันจะวางลงที่หน้าผากของเขา พร้อมกับมืออีกข้างของฉันวางลงที่หน้าผากของตัวเองเพื่อเป็นการเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างสูงตรงหน้า“เหมือนนายจะมีไข้”“ยะ อย่า บะ บอก คะ ใคร”ฉันพยายามจับใจความสิ่งที่ร่างสูงพยายามจะบอกกับฉัน ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน ‘อย่าบอกใคร’ ยิ่งเขาย้ำฉันแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เรื่องราวเข้าไปใหญ่เลย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของฉัน ‘เขาเป็นใคร?’ ‘ใครทำร้ายเขา?’ ‘แล้วทำไมต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ?’“ฉันเข้าใจแล้ว นายอย่าพึ่งพูดมากเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปด้ว
“พังหมดเลย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นฝายน้ำล้นตรงหน้าของฉัน น้ำป่ายังคงไหลหลากอยู่เลยสังเกตจากสีของน้ำที่ยังคงขุ่นมัว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวเป็นอย่างที่ฉันคิดว่าเรายังไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้“นายนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูรอบๆนี้ก่อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าหลังจากที่ฉันปูเสื่อที่พกมาด้วยเรียบร้อยแล้ว“เธอจะไปไหน” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ“เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูรอบๆไง หูนายมีปัญหาปะ”“เธอก็ดูอยู่นี่ไงไม่เห็นต้องเดินไปไหน” เขาเอ่ยบอกกับฉันหน้าตาเฉย พร้อมกับมองมายังฉันอย่างไม่เข้าใจ“นายกลัวรึไง” ฉันยืนเท้าเอวพร้อมกับมองไปยังร่างสูงอย่างไม่เข้าใจเขาเช่นกัน ฉันจะมาที่นี่คนเดียวก็จะตามมาด้วย พอฉันจะเดินไปดูรอบๆคนเดียวก็พูดเหมือนจะไม่ให้ฉันไปอีก ‘หัวจะปวดนะกับผู้ชายคนนี้’“…”“ฉันไม่ไปไกลหรอกเดี๋ยวฉันกลับมา นายนั่งพักอยู่นี่แหละ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้เขาคัดค้านอะไรอีก“บัว” ร่างสูงตะโกนเรียกตามหลังฉันมา“ไม่ฟังแล้ว” ฉันก็ตะโกนตอบกลับเขาไปทันทีเช่นกัน“ทำไมเธอดื้อจังวะ”“เรื่องของฉัน แบร่!” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปหลอกเค้าจ
3 วันต่อมา...8.00 น.“เอากระเป๋ามาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ พร้อมกับมือหนาของเขาหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของฉันไปสะพายไว้ วันนี้เราสองคนมีภารกิจตามล่าหาสัญญาณโทรศัพท์“ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเดินนำเขาออกไปด้านนอก ฉันเลือกอ้อมไปทางด้านหลังของหมู่บ้านมันอาจจะไกลกว่าทางปกติอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุดสองสามวันมานี้ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วอาจจะยังหลงเหลือรอยช้ำอยู่บ้างก็ตาม ฉันนับถือใจเขามากเลยถ้าเป็นคนอื่นโดนมาหนักขนาดนี้อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้“อุ๊ย!!” ในขณะที่ฉันคิดอะไรไปเรื่อยๆ ด้วยความเหม่อลอยทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตุเห็นก้อนหินตรงหน้าทำให้ฉันสะดุดมันแต่...“ระวัง” ร่างสูงเอ็ดฉันเบาๆ พร้อมกับมือหนาโอบเข้าที่เอวบางของฉันไว้แน่น ถ้าไม่ได้เขาจับฉันไว้ป่านี้ฉันคงได้ไปจับกบอยู่ที่พื้นแล้วล่ะ“ขอบใจนะ”“อืม...”“…/…”“นะ นายช่วยเอามือออกจากเอวฉันก่อนได้ไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงด้านหลังเบาๆ หลังจากที่เราเงียบใส่กันไปแป๊บนึง ร่างสูงจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดออกไปอย่างช้าๆ“เดินระวังด้วย” เขาเอ่ยตามหลังฉันมาเสียงเรียบ“อืม”ติ้ง
“ใจเย็นๆ อาการเธอดูแปลกๆนะ”“อือ ดีนฉันร้อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงกระเส่า ก่อนที่ฉันจะล้มลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว“ตั้งสติ” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่สามารถทำให้ฉันมีสติได้เลยจริงๆ ความร้อนในกายของฉันมันยิ่งเดือดพลานมากขึ้นไปอีก“ระ ร้อน” ฉันพยายมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของร่างสูงตรงหน้า แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแรงฉันสู้แรงของเขาไม่ได้“มีใครเอาอะไรให้เธอกินรึป่าว” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเครียด“มะ ไม่มี” ฉันสายหัวแรงๆ ฉันรู้ทุกอย่างว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย“แล้วเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง”“อื้อ นายอย่าถามมากได้ไหม...ฉันร้อน” ฉันตะคอกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง“ดะ ดีน” ฉันครางเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา“อย่ามามองฉันแบบนี้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง“ดีน มองฉันหน่อยน้า” ฉันอ้อนร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความยับยั้งช่างใจเองก็เช่นเดียวกัน ฉันดึงมือของตัวเอ
พายุฝนฟ้าคะนองในฤดูฝนช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดฝนตกอย่างหนักพร้อมกับลมกระโชกแรงทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังเสียหายไปตามๆกัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านหนองไม้หวายที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วยเช่นกัน กินเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสามกว่าๆ แล้วก็ตาม บนถนนที่เงียบเหงาไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมาทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำบนท้องถนนในยามนี้จึงมีเพียงรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วลัดเลอะไปตามถนนสายหลักที่คดโค้งไปตามแนวของสันเขาอย่างชำนาญ ก่อนจะหักเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกใหญ่ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบยิ่งขับเข้ามาลึกเท่าไหร่จากถนนสองเลนก็เหลือเพียงเลนเดียวจากถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรังลำห้วยขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจของหมู่บ้านหนองไม้หวาย ห้วยแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปีทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยบริเวณนี้มีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ทำการเกษตรของเกษตรกร หรือแม้แต่เป็นแห่งรวมความสนุกสนานเสียงหัวเราะของชาวบ้านหลายช่วงวัยที่ได้มาคลายร้อน
“ใจเย็นๆ อาการเธอดูแปลกๆนะ”“อือ ดีนฉันร้อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงกระเส่า ก่อนที่ฉันจะล้มลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว“ตั้งสติ” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่สามารถทำให้ฉันมีสติได้เลยจริงๆ ความร้อนในกายของฉันมันยิ่งเดือดพลานมากขึ้นไปอีก“ระ ร้อน” ฉันพยายมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของร่างสูงตรงหน้า แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแรงฉันสู้แรงของเขาไม่ได้“มีใครเอาอะไรให้เธอกินรึป่าว” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเครียด“มะ ไม่มี” ฉันสายหัวแรงๆ ฉันรู้ทุกอย่างว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย“แล้วเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง”“อื้อ นายอย่าถามมากได้ไหม...ฉันร้อน” ฉันตะคอกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง“ดะ ดีน” ฉันครางเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา“อย่ามามองฉันแบบนี้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง“ดีน มองฉันหน่อยน้า” ฉันอ้อนร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความยับยั้งช่างใจเองก็เช่นเดียวกัน ฉันดึงมือของตัวเอ
3 วันต่อมา...8.00 น.“เอากระเป๋ามาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ พร้อมกับมือหนาของเขาหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของฉันไปสะพายไว้ วันนี้เราสองคนมีภารกิจตามล่าหาสัญญาณโทรศัพท์“ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเดินนำเขาออกไปด้านนอก ฉันเลือกอ้อมไปทางด้านหลังของหมู่บ้านมันอาจจะไกลกว่าทางปกติอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุดสองสามวันมานี้ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วอาจจะยังหลงเหลือรอยช้ำอยู่บ้างก็ตาม ฉันนับถือใจเขามากเลยถ้าเป็นคนอื่นโดนมาหนักขนาดนี้อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้“อุ๊ย!!” ในขณะที่ฉันคิดอะไรไปเรื่อยๆ ด้วยความเหม่อลอยทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตุเห็นก้อนหินตรงหน้าทำให้ฉันสะดุดมันแต่...“ระวัง” ร่างสูงเอ็ดฉันเบาๆ พร้อมกับมือหนาโอบเข้าที่เอวบางของฉันไว้แน่น ถ้าไม่ได้เขาจับฉันไว้ป่านี้ฉันคงได้ไปจับกบอยู่ที่พื้นแล้วล่ะ“ขอบใจนะ”“อืม...”“…/…”“นะ นายช่วยเอามือออกจากเอวฉันก่อนได้ไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงด้านหลังเบาๆ หลังจากที่เราเงียบใส่กันไปแป๊บนึง ร่างสูงจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดออกไปอย่างช้าๆ“เดินระวังด้วย” เขาเอ่ยตามหลังฉันมาเสียงเรียบ“อืม”ติ้ง
“พังหมดเลย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นฝายน้ำล้นตรงหน้าของฉัน น้ำป่ายังคงไหลหลากอยู่เลยสังเกตจากสีของน้ำที่ยังคงขุ่นมัว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวเป็นอย่างที่ฉันคิดว่าเรายังไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้“นายนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูรอบๆนี้ก่อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าหลังจากที่ฉันปูเสื่อที่พกมาด้วยเรียบร้อยแล้ว“เธอจะไปไหน” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ“เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูรอบๆไง หูนายมีปัญหาปะ”“เธอก็ดูอยู่นี่ไงไม่เห็นต้องเดินไปไหน” เขาเอ่ยบอกกับฉันหน้าตาเฉย พร้อมกับมองมายังฉันอย่างไม่เข้าใจ“นายกลัวรึไง” ฉันยืนเท้าเอวพร้อมกับมองไปยังร่างสูงอย่างไม่เข้าใจเขาเช่นกัน ฉันจะมาที่นี่คนเดียวก็จะตามมาด้วย พอฉันจะเดินไปดูรอบๆคนเดียวก็พูดเหมือนจะไม่ให้ฉันไปอีก ‘หัวจะปวดนะกับผู้ชายคนนี้’“…”“ฉันไม่ไปไกลหรอกเดี๋ยวฉันกลับมา นายนั่งพักอยู่นี่แหละ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้เขาคัดค้านอะไรอีก“บัว” ร่างสูงตะโกนเรียกตามหลังฉันมา“ไม่ฟังแล้ว” ฉันก็ตะโกนตอบกลับเขาไปทันทีเช่นกัน“ทำไมเธอดื้อจังวะ”“เรื่องของฉัน แบร่!” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปหลอกเค้าจ
แอ๊ดดดดดดด! !!“ฉันต้มน้ำใบบัวบกไว้ให้นายด้วย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันสังเกตุเห็นว่าวันนี้ใบหน้าของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีก“น้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน ลดการอักเสบนายต้องดื่มให้หมดนะเข้าใจไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยื่นแก้วในมือให้เขา“...” เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบคำถามของฉัน“ดีมาก รอให้มันเย็นกว่านี้ก็ได้ดื่มตอนนี้เดี๋ยวมันจะลวกปากนาย”“…” ฉันวางแก้วใบบัวบกไว้ข้างๆ ก่อนที่มือบางของฉันจะวางลงที่หน้าผากของเขา พร้อมกับมืออีกข้างของฉันวางลงที่หน้าผากของตัวเองเพื่อเป็นการเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างสูงตรงหน้า“เหมือนนายจะมีไข้”“ยะ อย่า บะ บอก คะ ใคร”ฉันพยายามจับใจความสิ่งที่ร่างสูงพยายามจะบอกกับฉัน ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน ‘อย่าบอกใคร’ ยิ่งเขาย้ำฉันแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เรื่องราวเข้าไปใหญ่เลย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของฉัน ‘เขาเป็นใคร?’ ‘ใครทำร้ายเขา?’ ‘แล้วทำไมต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ?’“ฉันเข้าใจแล้ว นายอย่าพึ่งพูดมากเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปด้ว
แค่ก! แค่ก! แค่ก! “พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา “ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
พายุฝนฟ้าคะนองในฤดูฝนช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดฝนตกอย่างหนักพร้อมกับลมกระโชกแรงทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังเสียหายไปตามๆกัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านหนองไม้หวายที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วยเช่นกัน กินเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสามกว่าๆ แล้วก็ตาม บนถนนที่เงียบเหงาไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมาทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำบนท้องถนนในยามนี้จึงมีเพียงรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วลัดเลอะไปตามถนนสายหลักที่คดโค้งไปตามแนวของสันเขาอย่างชำนาญ ก่อนจะหักเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกใหญ่ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบยิ่งขับเข้ามาลึกเท่าไหร่จากถนนสองเลนก็เหลือเพียงเลนเดียวจากถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรังลำห้วยขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจของหมู่บ้านหนองไม้หวาย ห้วยแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปีทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยบริเวณนี้มีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ทำการเกษตรของเกษตรกร หรือแม้แต่เป็นแห่งรวมความสนุกสนานเสียงหัวเราะของชาวบ้านหลายช่วงวัยที่ได้มาคลายร้อน