พายุฝนฟ้าคะนองในฤดูฝนช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดฝนตกอย่างหนักพร้อมกับลมกระโชกแรงทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังเสียหายไปตามๆกัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านหนองไม้หวายที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วยเช่นกัน กินเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสามกว่าๆ แล้วก็ตาม บนถนนที่เงียบเหงาไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมาทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำ
บนท้องถนนในยามนี้จึงมีเพียงรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วลัดเลอะไปตามถนนสายหลักที่คดโค้งไปตามแนวของสันเขาอย่างชำนาญ ก่อนจะหักเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกใหญ่ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบยิ่งขับเข้ามาลึกเท่าไหร่จากถนนสองเลนก็เหลือเพียงเลนเดียวจากถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรัง
ลำห้วยขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจของหมู่บ้านหนองไม้หวาย ห้วยแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปีทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยบริเวณนี้มีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ทำการเกษตรของเกษตรกร หรือแม้แต่เป็นแห่งรวมความสนุกสนานเสียงหัวเราะของชาวบ้านหลายช่วงวัยที่ได้มาคลายร้อนกัน
“กูว่าทิ้งมันไว้ที่ห้วยนี่แหละว่ะ” เสียงชายคนขับพูดขึ้นทันทีที่เห็นป้ายบอกทางไปลำห้วยไม้หวาย เพราะความกระสับกระส่ายจากการขาดเหล้ามาหลายชั่วโมง เหงื่อที่ไหลออกมาทั่วตัวสร้างความหงุดหงิดให้กับเขาเป็นอย่างมาก ถึงแม้ว่าเครื่องปรับอากาศภายในรถตู้คันนี้จะยังคงทำงานอย่างหนักเพื่อให้อุณหภูมิภายในรถต่ำลงก็ไม่ได้ช่วยให้ชายคนนี้รู้สึกดีขึ้นได้เลย
“แต่นายสั่งให้ทิ้งมันที่หน้าผา” ชายชุดดำอีกคนที่นั่งข้างๆเอ่ยค้านขึ้นอย่างหัวเสีย ด้วยเพราะนายของพวกเขาย้ำนักย้ำหนามาว่าจะต้องทิ้งมันลงที่หน้าผาเท่านั้น อย่าให้มันรอดกลับไปได้โดยเด็ดขาดไม่อย่างนั่นพวกเราแย่แน่
“มึงเชื่อกูทิ้งมันลงน้ำยังไงมันก็ตาย”
“เออๆ งั้นก็ทิ้งมันลงไปในห้วยนี่แหละ ถ้ามันรอดมาได้ก็ไม่ใช่คนแล้วว่ะ” ชายชุดดำคนเดิมเอ่ยขึ้นอีกครั้งอย่างตัดรำคาญเพื่อนของตัวเอง ก่อนจะหันกลับไปมองชายอีกคนที่นอนไม่ได้สติอยู่ด้านหลังของรถ
ตูม!
“ไปเว้ยไปกินเหล้ากัน” ชายคนขับรถเอ่ยขึ้นเสียงดังเพื่อบอกกับเพื่อนของตัวเองที่เอาแต่จ้องมองไปยังผิวน้ำตรงหน้าอย่างช่างใจ
“ไปมึง” ชายชุดดำทั้งสองคนพากันขึ้นรถ นั่งประจำตำแหน่งของตัวเองก่อนจะขับออกไปทันทีด้วยความเร็วสูงท่ามกลางสายฝนที่ยังคงตกลงมาอย่างหนัก
แค่ก! แค่ก!
…
16.00 น.
“พ่อกำนัน พ่อกำนัน” เสียงแหลมของหญิงสาววัยกลางคนตะโกนเรียกเสียงดังมาตั้งแต่ปากทางเข้าด้วยความรีบร้อน
“มีอะไรกระถิน พี่กำนันเข้าไปในเมืองตั้งแต่เช้ายังไม่กลับมาเลยลูก” เสียงหวานของนายหญิงของเรือนขานรับออกมาอย่างเป็นกันเองทันทีที่เห็นว่าคนที่มาตะโกนเรียกสามีของเธอเป็นหลานสาวที่เธอรู้จักเป็นอย่างดี แม่สายหยุดที่ปีนี้อายุจะเข้าเลขห้าแล้วแต่ความสวยทั้งภายนอกและภายในของเธอยังคงเป็นที่เรื่องลือกันไปทั่วทั้งอำเภอ
“ฝายน่ะจ่ะ...มันเหมือนจะพังพวกฉันไม่มีใครที่มีความรู้เรื่องนี้เลยว่าจะมาตามพ่อกำนันให้ไปช่วยดูให้หน่อยน่ะจ่ะ”
“แล้วทำไงดีพ่อกำนันก็ไม่อยู่” แม่สายหยุดบอกกับร่างบางตรงหน้าอย่างคิดไม่ตก ถึงเธอจะไม่ได้มีความรู้เรื่องฝายน้ำล้นอะไรนี่หรอก แต่ถ้ากระถินขับรถมาถึงที่นี่ในขณะที่ฝนกำลังตกหนักแบบนี้แสดงว่าสถานการณ์ที่นั่งน่าจะไม่ดีแน่ๆ
“บัวไปเองค่ะแม่ ฝายน้ำล้นเป็นความคิดของบัว”
“…”
“บัวต้องรู้วิธีรักษามันแน่นอนค่ะ” เสียงแก่นแก้วของหญิงสาววัยกำลังซนวิ่งออกมาจากทางด้านหลังของบ้านเรือนไทยยกทรงสูง พร้อมกับมือข้างหนึ่งที่ถือสุ่มสาน หรือสุ่มดักปลาสำหรับปลาน้ำตื้นเป็นอุปกรณ์ที่ชาวบ้านระแวกนี้นิยมนำไปใช้ดักปลาตามท้องนานั่นเอง
“จะไปคนเดียวได้หรอลูก” แม่สายหยุดเอ่ยถามลูกสาวเพียงคนเดียวออกไปด้วยความเป็นห่วง
“ได้สิจ้ะแม่ นี่บัวชมพูลูกสาวพ่อกำนันทองเปลวกับแม่สายหยุดเชียวนะ” บัวชมพูพูดออกมาด้วยความภาคภูมิใจ
“ก็ได้...” สายหยุดยอมให้ลูกสาวเพียงคนเดียวไปแต่โดยดี ด้วยเพราะรู้ดีว่าลูกสาวของตนเอาตัวรอดเก่งแค่ไหน แถมทั้งฉลาดและเฉลียวได้พ่อมาอีกต่างหากเรื่องการใช้ชีวิตแม่สายหยุดจึงไม่ค่อยเป็นห่วงลูกสาวสักเท่าไหร่
“ป้าฝากดูแลบัวด้วยนะกระถิน” แม่สายหยุดหันไปกำชับกับกระถินอีกครั้ง ถึงเธอจะรู้จักลูกสาวของตัวเองดี แต่หัวอกของคนเป็นแม่ก็ยังอดเป็นห่วงลูกสาวไม่ได้อยู่ดี
“แม่อยู่กับยายสองคนปิดบ้านดีๆนะคะเดี๋ยวบัวกลับมา” บัวเอ่ยบอกกับมารดาของเธอด้วยน้ำเสียงสดใส ก่อนจะวิ่งไปยังกระบะคันเก่าของกระถินที่จอดอยู่ไม่ไกล
รถกระบะขับออกไปจากบ้านของกำนันทองเปลว ก่อนจะเลี้ยวขึ้นไปยังถนนคอนกรีตด้านหน้าขับตรงไปบนถนนเส้นนี้อีกประมาณ 15 กิโลก็เป็นทางไปหมู่บ้านชาวเขา ซึ่งอยู่ภายใต้การดูแลของตำบลหนองไม้หวายนี้เช่นกัน ขับมาได้ไม่นานก็สิ้นสุดทางของถนนคอนกรีต ทางข้างหน้าที่เหลือเป็นทางลูกรังแดง แต่ตอนนี้กลายเป็นโคลนไปซะแล้ว
“ไหวหรือพี่กระถิน” บัวชมพูเอ่ยถามคนขับข้างๆออกมาด้วยความประหม่า
“เชื่อใจโฟวิลอีแก่ของพี่เถอะบัว” กระถินเอ่ยบอกกับบัวชมพูด้วยความภาคภูมิใจในรถของตัวเอง
“ฮ่าๆๆ สนุกแล้วสิลุยเลยพี่กระถิน”
สองสาวขับรถโฟวิลคันเก่าแต่สมรรถนะของรถยังใหม่เอี่ยมมาจนถึงสะพานคอนกรีตที่มีอายุหลายสิบปีถูกซ่อมแซมมาแล้วหลายสิบครั้งตามอายุการใช้งานของมัน รถกระบะคันเก่าขับผ่านไปอย่างช้าๆ ก่อนจะจอดลงบนเนินที่ห่างจากสะพานแห่งนี้ไม่ไกลมากนัก สองสาวลงมาจากรถแล้วมองไปยังสะพานตรงหน้าด้วยความรู้สึกกังวลอยู่น้อยๆ
“ดูจากโครงสร้างไม่น่าไหวแล้วนะพี่กระถิน น้ำไหลแรงขนาดนี้ด้วยไม่นานต้องพังลงมาแน่ๆ” บัวชมพูเอ่ยออกมาในขณะที่สายตาของเธอยังคงจับจ้องไปยังสะพานตรงหน้า
“ถ้าพังตอนนี้แย่แน่ทางเข้าออกมีทางเดียวถูกตัดขาดไปแบบนี้ ละ...”
โครมมมมมม !!!
กระถินยังพูดไม่ทันจบสะพานตรงหน้าก็พังลงไปต่อหน้าต่อตาของทั้งสองคน ทางคมนาคมเส้นเดียวของหมู่บ้านถูกตัดขาดไปเป็นที่เรียบร้อย เส้นทางที่เหลือเป็นเส้นทางสำหรับเดินเท้าตัดผ่านป่าไปทางด้านหลังของหมู่บ้านประมาณ 8-9 กิโลเมตรถึงจะเจอถนนที่เชื่อมกับเส้นทางหลัก และที่สำคัญเส้นทางเดินป่าถือว่าโหดเอาเรื่องอยู่เหมือนกันเนื่องจากต้องเดินขึ้นเขาที่มีความชันค่อนข้างสูง ส่วนอีกเส้นทางถ้าต้องการเข้าไปในตัวหมู่บ้านต้องเดินไปตามทางหลักกว่า 20 กิโลเมตร ชาวบ้านจึงมักจะใช้วิธีฝากผู้นำของหมู่บ้านผู้ซึ่งมีรถยนต์เพียงคันเดียวซื้อเข้ามาซะมากกว่า ส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกของใช้จำเป็น ส่วนพวกอาหารการกินชาวบ้านมักจะหาของป่าระแวกนี้มาทำเป็นอาหารตามวิถีดั้งเดิม และที่สำคัญรายได้หลักของชาวบ้านก็มาจากของป่าที่แต่ละคนหามาได้และรวมกันใส่รถไปขายที่ตลาดหรือบางทีก็จะมีแม่ค้าพ่อค้าจากด้านนอกเข้ามาซื้อและมาขายของถึงที่ ดังนั้นสะพานแห่งนี้จึงเป็นเหมือนหัวใจหลักของหมู่บ้านแห่งนี้เลยก็ว่าได้
หมู่บ้านชาวเขาแห่งนี้ปัจจุบันมีชาวบ้านอาศัยอยู่เพียง 30 หลังคาเรือนซึ่งบ้านแต่ละหลังปลูกสร้างเป็นบ้านไม้ยกพื้นสูงขึ้นมาไม่มากนัก ปูหลังคาด้วยหญ้าแฝกกันลมกันฝนได้เป็นอย่างดี หน้าร้อนก็ยังช่วยระบายอากาศได้ดีเช่นกันทำให้รู้สึกเย็นสบายต่างจากหลังคาเหล็กโดยสิ้นเชิง ส่วนเรื่องไฟฟ้ายังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินเรื่องขอเสาไฟเข้ามา ส่วนของน้ำประปาชาวบ้านยังคงใช้น้ำของลำห้วยที่ไหลผ่านหมู่บ้าน ซึ่งน้ำในลำห้วยสายนี้ในสำหรับอุปโภคบริโภคมาหลายชั่วอายุคนแล้ว
“พ่อดำสวัสดีค่ะ” บัวชมพูเอ่ยทักทายผู้ใหญ่บ้านอย่างนอบน้อม พ่อดำหรือผู้ใหญ่ดำเป็นพ่อของกระถินและยังเป็นเพื่อนสนิทของกำนันทองเปลวพ่อของบัวชมพูอีกด้วย นั่นยิ่งทำให้พ่อดำและชาวบ้านต่างก็รู้จักบัวชมพูเป็นอย่างดีและทุกคนต่างก็รักใคร่เอ็นดูเธอเป็นอย่างมาก ด้วยนิสัยที่ดื้อด้านไม่ยอมคน แต่ก็ฉลาดหลักแหลมที่ถอดแบบพ่อของเธอมาไม่มีผิด ส่วนใบหน้าสวยคมที่ซ่อนความหวานหยดย้อยไว้ภายใต้รอยยิ้มถือได้ว่าถอดแบบมาจากพ่อและแม่ของเธอไม่มีผิดเพี้ยนจะเรียกว่าสำเนาถูกต้องเลยก็ได้
“เมื่อกี้บัวเดินไปดูฝายมาแล้วนะคะ ตอนนี้ยังซ่อมไม่ได้ค่ะ” บัวชมพูเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าไปตามความจริงจากสิ่งที่เธอเห็นมา
“ทำไมล่ะลูกบัว” ผู้ใหญ่ดำเอ่ยถามหลานสาวตรงหน้าออกไปด้วยความกังวล
“น้ำป่ายังคงไหลแรงเกินไปค่ะ ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยเราคงต้องรอไปก่อนไม่งั้นจะเป็นอันตรายได้ค่ะ”
“หนูบัวว่ายังไงพ่อก็ว่าอย่างนั้น แล้วยิ่งตอนนี้สะพานถูกตัดขาดแบบนี้กลับบ้านตอนนี้ไม่ได้แล้วล่ะลูก เมื่อกี้พ่อเดินขึ้นไปคุยกับพ่อของหนูมาสัญญาณโทรศัพท์ก็ไม่ค่อยจะมีไม่รู้ว่ามันรู้เรื่องรึป่าว” ผู้ใหญ่ดำเอ่ยบอกกับหลานสาวตรงหน้าเสียงเครียด สีหน้าของผู้ใหญ่แฝงไปด้วยความกังวลอย่างเห็นได้ชัด
“ถ้าพ่อทองรู้ว่าบัวอยู่ที่นี่กับลุงดำพ่อทองไม่เป็นห่วงหรอกค่ะ แต่บัวคงต้องฝากท้องหลายวันหน่อยนะคะ” บัวชมพูเอ่ยบอกกับชายวัยกลางคนตรงหน้าพร้อมส่งยิ้มไปให้ท่าน
“ฮ่าๆๆ ลูกอยากกินอะไรบอกป้าแมวได้เลยลูกไม่ต้องเกรงใจ” ผู้ใหญ่ดำพูดไปหัวเราะไปด้วยความเอ็นดูหลานสาวตัวเล็กตรงหน้า
“ได้เลยค่ะ งั้นเดี๋ยวบัวไปดูเรือนก่อนนะคะ”
“บัวคืนนี้นอนกับพี่เถอะ” เสียงกระถินกระโกนลงมาจากบนเรือนของตัวเอง
“นั่นสิลูก ที่นั่นยังไม่ได้ปักกวาดเช็ดถูเลย” ป้าแมวภรรยาของลุงดำเอ่ยขึ้นมาอีกคน
“เดี๋ยวบัวไปเก็บกวาดเอาค่ะ ที่เรือนของพ่อมีหนังสือการ์ตูนของบัวอยู่คืนนี้บัวว่าจะอ่านให้หนำใจไปเลย” บัวชมพูเอ่ยบอกกับทั้งสามคนตรงหน้าเสียงดังฟังชัด
[BUA’S PART]
เรือนไม้ท้ายหมู่บ้านถูกสร้างไม่ไกลจากลำห้วยไม้หวายที่ไหลผ่านหมู่บ้าน บ้านทั้งหลังถูกสร้างสูงขึ้นไปจนมั่นใจได้ว่าต่อให้มีน้ำป่าไหลหลากปริมาณน้ำก็จะไม่สามารถสร้างความเสียหายให้กับเรือนหลังนี้ได้
“งั้นเดี๋ยวป้าไปเอาข้าวใส่ปิ่นโตให้ก่อนลูก ไปถึงเรือนจะได้อาบน้ำสระผมก่อนเดี๋ยวจะไม่สบายเข้าลูก” ป้าแมวเอ่ยบอกกับฉันด้วยความเอ็นดูก่อนที่ท่านจะเดินเข้าไปด้านในเพื่อเตรียมข้าวปลาอาหารให้กับฉัน ผ่านไปสักพักป้าแมวก็เดินเอาปิ่นโตและน้ำเปล่าขวดใหญ่อีก 3-4 ขวดใส่ไว้ในถุงผ้าก่อนที่ท่านจะยื่นมันมาให้กับฉันพร้อมกับร่มอีก 1 คัน
“ขอบคุณค่ะ บัวไปก่อนนะคะ” พูดจบฉันก็รีบกึ่งวิ่งกึ่งเดินไปยังเรือนของพ่อทองซึ่งตั้งอยู่ท้ายของหมู่บ้านทันที
ถึงเรือนหลังนี้จะตั้งอยู่กลางป่าท้ายหมู่บ้านแต่ด้านในก็เต็มไปด้วยข้าวของมากมายที่พ่อกำนันพ่อของฉันแกขนมาเก็บไว้เผื่อมันจะเป็นประโยชน์ให้กับชาวบ้านได้ ของส่วนใหญ่ก็จะเป็นพวกยารักษาโรค เครื่องนุ่งห่ม ผ้าห่มผ้านวมต่างๆ ถึงจะมีไม่มากแต่พอถึงคราวจำเป็นมันก็ถือว่ามีประโยชน์มากทีเดียว
ฉันค่อยๆก้าวขึ้นบันไดอย่างระมัดระวัง ก่อนจะก้าวยาวไปยังชานหน้าบ้านรูปตัวแอลที่กว้างประมาณ 2.5 เมตร เรือนหลังนี้ถูกออกแบบมาอย่างดีโดยบัวชมพูคนนี้นั่นเอง ฉันค่อยๆ ว่างของในมือของตัวเองลงบนโต๊ะไม้ที่ตั้งอยู่ไม่ไกลอย่างช้าๆ จากนั้นจึงหยิบไฟแช็คที่วางอยู่บนชั้นวางของไม่ไกลออกมาจุดตะเกียงเจ้าพายุจนรอบบ้านทำให้บ้านหลังนี้สว่างไสวขึ้นมาทันที ของทุกอย่างยังคงวางไว้อย่างเป็นระเบียบ และที่สำคัญแทบจะไม่มีร่องรอยของฝุ่นอยู่เลยด้วยซ้ำนั่นก็คงเป็นเพราะป้าแมวท่านมักจะแวะเวียนเข้ามาทำความสะอาดที่นี่อยู่ตลอดนั่นเอง
ฉันเดินไปปัดที่นอนขนาด 5 ฟุต ที่ไม่ค่อยมีคนใช้งานมันสักเท่าไหร่ให้สะอาดเหมือนใหม่ เพียงเท่านี้ที่นี่ก็เป็นเหมือนสวรรค์ของฉันแล้วล่ะ ได้นอนฟังเสียงน้ำไหลผสานเข้ากับสายฝนที่ยังคนตกลงมาไม่ขาดสาย มันช่างให้ความสงบกับฉันได้มากทีเดียวฉันจงถือโอกาสนี้พักผ่อนไปซะเลย
“ไปอาบน้ำก่อนดีกว่าเรา ถ้าช้ากว่านนี้น้ำจะเย็นจัดเดี๋ยวอาบไม่ได้กันพอดี” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะหยิบเอาผ้าถุงที่วางอยู่ในลังใส่เสื้อผ้าของตัวเองออกมา ฉันจัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกแล้วเปลี่ยนเป็นนุ่งกระโจมอกแทน ก่อนจะเดินออกมามือบางของฉันไม่ลืมที่จะคว้าเอาไฟฉายกับร่มที่ป้าแมวให้มาติดมือมาด้วย และเนื่องจากเรือนหลังนี้ไม่มีห้องน้ำในตัวทำให้ฉันต้องเดินออกไปยังห้องน้ำที่ถูกสร้างขึ้นให้ห่างจากลำห้วยประมาณ 50 เมตรเห็นจะได้ ในเวลาปกติฉันก็ถือว่ามันไม่ได้ไกลอะไรมาก แต่ในยามที่ฝนตกแบบนี้มันต่างออกไปฉันกลับคิดว่าห้องน้ำนี้ถูกสร้างไกลแสนไกลยังไงก็ไม่รู้
10 นาทีผ่านไปไวเหมือนโกหกจะว่าฉันวิ่งผ่านน้ำก็ได้ น้ำในอ่างมันเย็นจัดจนฉันทนอาบมันนานกว่านี้ไม่ไหวแล้ว ฉันค่อยๆเปลี่ยนนุ่งผ้าถุงผืนใหม่ที่นำติดมือมาด้วย ก่อนจะเดินกางร่มออกมาด้านนอก ฉันค่อยๆเดินไปยังเรือนไม้อย่างระมัดระวังเพื่อไม่ให้น้ำโคลนมากระเด็นโดนขาของตัวเอง
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
“อือออ...” ฉันหลับตาลงทันทีด้วยความกลัวขาเรียวของฉันหยุดเดินอย่างอัตโนมัติทันทีที่ได้ยินเสียงแปลกๆดังเข้ามา ‘หูฝาด หูฝาด’ ฉันพยายามสะกดจิตของตัวเอง แต่...
แค่ก! แค่ก! แค่ก!
แค่ก! แค่ก! แค่ก! “พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา “ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
แอ๊ดดดดดดด! !!“ฉันต้มน้ำใบบัวบกไว้ให้นายด้วย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันสังเกตุเห็นว่าวันนี้ใบหน้าของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีก“น้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน ลดการอักเสบนายต้องดื่มให้หมดนะเข้าใจไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยื่นแก้วในมือให้เขา“...” เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบคำถามของฉัน“ดีมาก รอให้มันเย็นกว่านี้ก็ได้ดื่มตอนนี้เดี๋ยวมันจะลวกปากนาย”“…” ฉันวางแก้วใบบัวบกไว้ข้างๆ ก่อนที่มือบางของฉันจะวางลงที่หน้าผากของเขา พร้อมกับมืออีกข้างของฉันวางลงที่หน้าผากของตัวเองเพื่อเป็นการเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างสูงตรงหน้า“เหมือนนายจะมีไข้”“ยะ อย่า บะ บอก คะ ใคร”ฉันพยายามจับใจความสิ่งที่ร่างสูงพยายามจะบอกกับฉัน ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน ‘อย่าบอกใคร’ ยิ่งเขาย้ำฉันแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เรื่องราวเข้าไปใหญ่เลย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของฉัน ‘เขาเป็นใคร?’ ‘ใครทำร้ายเขา?’ ‘แล้วทำไมต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ?’“ฉันเข้าใจแล้ว นายอย่าพึ่งพูดมากเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปด้ว
“พังหมดเลย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นฝายน้ำล้นตรงหน้าของฉัน น้ำป่ายังคงไหลหลากอยู่เลยสังเกตจากสีของน้ำที่ยังคงขุ่นมัว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวเป็นอย่างที่ฉันคิดว่าเรายังไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้“นายนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูรอบๆนี้ก่อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าหลังจากที่ฉันปูเสื่อที่พกมาด้วยเรียบร้อยแล้ว“เธอจะไปไหน” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ“เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูรอบๆไง หูนายมีปัญหาปะ”“เธอก็ดูอยู่นี่ไงไม่เห็นต้องเดินไปไหน” เขาเอ่ยบอกกับฉันหน้าตาเฉย พร้อมกับมองมายังฉันอย่างไม่เข้าใจ“นายกลัวรึไง” ฉันยืนเท้าเอวพร้อมกับมองไปยังร่างสูงอย่างไม่เข้าใจเขาเช่นกัน ฉันจะมาที่นี่คนเดียวก็จะตามมาด้วย พอฉันจะเดินไปดูรอบๆคนเดียวก็พูดเหมือนจะไม่ให้ฉันไปอีก ‘หัวจะปวดนะกับผู้ชายคนนี้’“…”“ฉันไม่ไปไกลหรอกเดี๋ยวฉันกลับมา นายนั่งพักอยู่นี่แหละ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้เขาคัดค้านอะไรอีก“บัว” ร่างสูงตะโกนเรียกตามหลังฉันมา“ไม่ฟังแล้ว” ฉันก็ตะโกนตอบกลับเขาไปทันทีเช่นกัน“ทำไมเธอดื้อจังวะ”“เรื่องของฉัน แบร่!” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปหลอกเค้าจ
3 วันต่อมา...8.00 น.“เอากระเป๋ามาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ พร้อมกับมือหนาของเขาหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของฉันไปสะพายไว้ วันนี้เราสองคนมีภารกิจตามล่าหาสัญญาณโทรศัพท์“ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเดินนำเขาออกไปด้านนอก ฉันเลือกอ้อมไปทางด้านหลังของหมู่บ้านมันอาจจะไกลกว่าทางปกติอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุดสองสามวันมานี้ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วอาจจะยังหลงเหลือรอยช้ำอยู่บ้างก็ตาม ฉันนับถือใจเขามากเลยถ้าเป็นคนอื่นโดนมาหนักขนาดนี้อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้“อุ๊ย!!” ในขณะที่ฉันคิดอะไรไปเรื่อยๆ ด้วยความเหม่อลอยทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตุเห็นก้อนหินตรงหน้าทำให้ฉันสะดุดมันแต่...“ระวัง” ร่างสูงเอ็ดฉันเบาๆ พร้อมกับมือหนาโอบเข้าที่เอวบางของฉันไว้แน่น ถ้าไม่ได้เขาจับฉันไว้ป่านี้ฉันคงได้ไปจับกบอยู่ที่พื้นแล้วล่ะ“ขอบใจนะ”“อืม...”“…/…”“นะ นายช่วยเอามือออกจากเอวฉันก่อนได้ไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงด้านหลังเบาๆ หลังจากที่เราเงียบใส่กันไปแป๊บนึง ร่างสูงจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดออกไปอย่างช้าๆ“เดินระวังด้วย” เขาเอ่ยตามหลังฉันมาเสียงเรียบ“อืม”ติ้ง
“ใจเย็นๆ อาการเธอดูแปลกๆนะ”“อือ ดีนฉันร้อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงกระเส่า ก่อนที่ฉันจะล้มลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว“ตั้งสติ” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่สามารถทำให้ฉันมีสติได้เลยจริงๆ ความร้อนในกายของฉันมันยิ่งเดือดพลานมากขึ้นไปอีก“ระ ร้อน” ฉันพยายมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของร่างสูงตรงหน้า แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแรงฉันสู้แรงของเขาไม่ได้“มีใครเอาอะไรให้เธอกินรึป่าว” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเครียด“มะ ไม่มี” ฉันสายหัวแรงๆ ฉันรู้ทุกอย่างว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย“แล้วเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง”“อื้อ นายอย่าถามมากได้ไหม...ฉันร้อน” ฉันตะคอกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง“ดะ ดีน” ฉันครางเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา“อย่ามามองฉันแบบนี้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง“ดีน มองฉันหน่อยน้า” ฉันอ้อนร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความยับยั้งช่างใจเองก็เช่นเดียวกัน ฉันดึงมือของตัวเอ
“ใจเย็นๆ อาการเธอดูแปลกๆนะ”“อือ ดีนฉันร้อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงกระเส่า ก่อนที่ฉันจะล้มลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว“ตั้งสติ” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่สามารถทำให้ฉันมีสติได้เลยจริงๆ ความร้อนในกายของฉันมันยิ่งเดือดพลานมากขึ้นไปอีก“ระ ร้อน” ฉันพยายมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของร่างสูงตรงหน้า แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแรงฉันสู้แรงของเขาไม่ได้“มีใครเอาอะไรให้เธอกินรึป่าว” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเครียด“มะ ไม่มี” ฉันสายหัวแรงๆ ฉันรู้ทุกอย่างว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย“แล้วเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง”“อื้อ นายอย่าถามมากได้ไหม...ฉันร้อน” ฉันตะคอกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง“ดะ ดีน” ฉันครางเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา“อย่ามามองฉันแบบนี้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง“ดีน มองฉันหน่อยน้า” ฉันอ้อนร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความยับยั้งช่างใจเองก็เช่นเดียวกัน ฉันดึงมือของตัวเอ
3 วันต่อมา...8.00 น.“เอากระเป๋ามาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ พร้อมกับมือหนาของเขาหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของฉันไปสะพายไว้ วันนี้เราสองคนมีภารกิจตามล่าหาสัญญาณโทรศัพท์“ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเดินนำเขาออกไปด้านนอก ฉันเลือกอ้อมไปทางด้านหลังของหมู่บ้านมันอาจจะไกลกว่าทางปกติอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุดสองสามวันมานี้ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วอาจจะยังหลงเหลือรอยช้ำอยู่บ้างก็ตาม ฉันนับถือใจเขามากเลยถ้าเป็นคนอื่นโดนมาหนักขนาดนี้อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้“อุ๊ย!!” ในขณะที่ฉันคิดอะไรไปเรื่อยๆ ด้วยความเหม่อลอยทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตุเห็นก้อนหินตรงหน้าทำให้ฉันสะดุดมันแต่...“ระวัง” ร่างสูงเอ็ดฉันเบาๆ พร้อมกับมือหนาโอบเข้าที่เอวบางของฉันไว้แน่น ถ้าไม่ได้เขาจับฉันไว้ป่านี้ฉันคงได้ไปจับกบอยู่ที่พื้นแล้วล่ะ“ขอบใจนะ”“อืม...”“…/…”“นะ นายช่วยเอามือออกจากเอวฉันก่อนได้ไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงด้านหลังเบาๆ หลังจากที่เราเงียบใส่กันไปแป๊บนึง ร่างสูงจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดออกไปอย่างช้าๆ“เดินระวังด้วย” เขาเอ่ยตามหลังฉันมาเสียงเรียบ“อืม”ติ้ง
“พังหมดเลย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นฝายน้ำล้นตรงหน้าของฉัน น้ำป่ายังคงไหลหลากอยู่เลยสังเกตจากสีของน้ำที่ยังคงขุ่นมัว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวเป็นอย่างที่ฉันคิดว่าเรายังไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้“นายนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูรอบๆนี้ก่อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าหลังจากที่ฉันปูเสื่อที่พกมาด้วยเรียบร้อยแล้ว“เธอจะไปไหน” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ“เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูรอบๆไง หูนายมีปัญหาปะ”“เธอก็ดูอยู่นี่ไงไม่เห็นต้องเดินไปไหน” เขาเอ่ยบอกกับฉันหน้าตาเฉย พร้อมกับมองมายังฉันอย่างไม่เข้าใจ“นายกลัวรึไง” ฉันยืนเท้าเอวพร้อมกับมองไปยังร่างสูงอย่างไม่เข้าใจเขาเช่นกัน ฉันจะมาที่นี่คนเดียวก็จะตามมาด้วย พอฉันจะเดินไปดูรอบๆคนเดียวก็พูดเหมือนจะไม่ให้ฉันไปอีก ‘หัวจะปวดนะกับผู้ชายคนนี้’“…”“ฉันไม่ไปไกลหรอกเดี๋ยวฉันกลับมา นายนั่งพักอยู่นี่แหละ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้เขาคัดค้านอะไรอีก“บัว” ร่างสูงตะโกนเรียกตามหลังฉันมา“ไม่ฟังแล้ว” ฉันก็ตะโกนตอบกลับเขาไปทันทีเช่นกัน“ทำไมเธอดื้อจังวะ”“เรื่องของฉัน แบร่!” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปหลอกเค้าจ
แอ๊ดดดดดดด! !!“ฉันต้มน้ำใบบัวบกไว้ให้นายด้วย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันสังเกตุเห็นว่าวันนี้ใบหน้าของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีก“น้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน ลดการอักเสบนายต้องดื่มให้หมดนะเข้าใจไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยื่นแก้วในมือให้เขา“...” เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบคำถามของฉัน“ดีมาก รอให้มันเย็นกว่านี้ก็ได้ดื่มตอนนี้เดี๋ยวมันจะลวกปากนาย”“…” ฉันวางแก้วใบบัวบกไว้ข้างๆ ก่อนที่มือบางของฉันจะวางลงที่หน้าผากของเขา พร้อมกับมืออีกข้างของฉันวางลงที่หน้าผากของตัวเองเพื่อเป็นการเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างสูงตรงหน้า“เหมือนนายจะมีไข้”“ยะ อย่า บะ บอก คะ ใคร”ฉันพยายามจับใจความสิ่งที่ร่างสูงพยายามจะบอกกับฉัน ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน ‘อย่าบอกใคร’ ยิ่งเขาย้ำฉันแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เรื่องราวเข้าไปใหญ่เลย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของฉัน ‘เขาเป็นใคร?’ ‘ใครทำร้ายเขา?’ ‘แล้วทำไมต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ?’“ฉันเข้าใจแล้ว นายอย่าพึ่งพูดมากเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปด้ว
แค่ก! แค่ก! แค่ก! “พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา “ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
พายุฝนฟ้าคะนองในฤดูฝนช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดฝนตกอย่างหนักพร้อมกับลมกระโชกแรงทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังเสียหายไปตามๆกัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านหนองไม้หวายที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วยเช่นกัน กินเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสามกว่าๆ แล้วก็ตาม บนถนนที่เงียบเหงาไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมาทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำบนท้องถนนในยามนี้จึงมีเพียงรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วลัดเลอะไปตามถนนสายหลักที่คดโค้งไปตามแนวของสันเขาอย่างชำนาญ ก่อนจะหักเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกใหญ่ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบยิ่งขับเข้ามาลึกเท่าไหร่จากถนนสองเลนก็เหลือเพียงเลนเดียวจากถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรังลำห้วยขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจของหมู่บ้านหนองไม้หวาย ห้วยแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปีทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยบริเวณนี้มีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ทำการเกษตรของเกษตรกร หรือแม้แต่เป็นแห่งรวมความสนุกสนานเสียงหัวเราะของชาวบ้านหลายช่วงวัยที่ได้มาคลายร้อน