“พังหมดเลย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นฝายน้ำล้นตรงหน้าของฉัน น้ำป่ายังคงไหลหลากอยู่เลยสังเกตจากสีของน้ำที่ยังคงขุ่นมัว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวเป็นอย่างที่ฉันคิดว่าเรายังไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้
“นายนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูรอบๆนี้ก่อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าหลังจากที่ฉันปูเสื่อที่พกมาด้วยเรียบร้อยแล้ว
“เธอจะไปไหน” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ
“เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูรอบๆไง หูนายมีปัญหาปะ”
“เธอก็ดูอยู่นี่ไงไม่เห็นต้องเดินไปไหน” เขาเอ่ยบอกกับฉันหน้าตาเฉย พร้อมกับมองมายังฉันอย่างไม่เข้าใจ
“นายกลัวรึไง” ฉันยืนเท้าเอวพร้อมกับมองไปยังร่างสูงอย่างไม่เข้าใจเขาเช่นกัน ฉันจะมาที่นี่คนเดียวก็จะตามมาด้วย พอฉันจะเดินไปดูรอบๆคนเดียวก็พูดเหมือนจะไม่ให้ฉันไปอีก ‘หัวจะปวดนะกับผู้ชายคนนี้’
“…”
“ฉันไม่ไปไกลหรอกเดี๋ยวฉันกลับมา นายนั่งพักอยู่นี่แหละ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้เขาคัดค้านอะไรอีก
“บัว” ร่างสูงตะโกนเรียกตามหลังฉันมา
“ไม่ฟังแล้ว” ฉันก็ตะโกนตอบกลับเขาไปทันทีเช่นกัน
“ทำไมเธอดื้อจังวะ”
“เรื่องของฉัน แบร่!” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปหลอกเค้า
จริงๆฉันแค่อยากเดินสำรวจดูรอบนี้เพื่อดูวัสดุที่จะใช้ซ่อมแซ่มฝายเท่านั้นไม่ได้จะไปไหนไกลหรือนานนักหรอก
“มองหาอะไรหรอ?” ฉันเอ่ยถามร่างสูงตรงหน้าที่นั่งหันหลังให้ฉันอย่างสงสัย ฉันเห็นเขาชะเง้อคอมองหาอะไรมาสักพักแล้ว เขาหันหลังมามองที่ฉันเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปเช่นเดิม
“…”
“เหมือนนายงอลฉันเลย ฉันไปแป๊บเดียวเอง” ฉันเอ่ยบอกร่างสูงออกไปอย่างไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนักก่อนจะนั่งลงข้างๆเขา
“เธอทำอะไร” ร่างสูงถามฉันขึ้นพร้อมกับขยับเข้ามาหาฉันเล็กน้อย ก่อนจะมองมายังภาพที่ฉันกำลังสเก็ต
“ฉันสเก็ตภาพน่ะ”
“ฝีมือดี...”
“แน่นอนสิฉันอุตส่าห์เรียนมาตั้งหลายปี”
“เธอเรียนจบอะไรมา?” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ
“ฉันจบมัณฑนศิลป์…แล้วนายล่ะจบอะไรมาหรอ?” ฉันเอ่ยถามร่างสูงข้างๆกลับไป ก่อนจะหันไปจ้องมองฉันนิ่งๆ
“ฉันจบบริหาร”
“ว๊าว!! สุดยอดไปเลย”
“เธอฝีมือดีทำไมไม่ออกไปทำงานข้างนอก?” เขาเอ่ยถามฉันอีกครั้ง วันนี้เขากินยาผิดประเภทมารึป่าวนะปกตินอกจากตีกัน ฉันกับเขาคุยกันดีๆแทบจะนับครั้งได้เลย แต่วันนี้มาแปลกเขาพูดไม่หยุดและยังสงสัยนู้นนี่เต็มไปหมดเลย
“ฉันพึ่งเรียนจบยังไม่ได้รับปริญญาเลย อีกอย่างงานช่วงนี้หายากด้วยฉันเลยถือโอกาสช่วงนี้พักไปก่อนน่ะ” ฉันตอบคำถามเขากลับไป ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาสเก็ตภาพของฉันต่อไป
“อ่อ”
“นายหลอกถามฉันไม่ยุติธรรมเลยทีฉันถามนายไม่เห็นจะตอบเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปอย่างงอลๆ
“คำถามของเธอมันจะทำให้ตัวเธอเองตกอยู่ในอันตราย” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ
“นายพูดเหมือนกับโดนมาเฟียไล่ล่าเลยอ่ะ” ฉันพูดออกไปเรื่อยอย่างไม่ได้ใส่ใจมากนัก เพราะนี่มันชีวิตจริงนะไม่ใช่นิยายที่จะโดนมาเฟียตามล่ามันคงไม่มีหรอกน่า
“...”
“นายเงียบทำไมไม่เถียงฉันล่ะ เดี๋ยวฉันก็คิดว่านายโดนมาเฟียตามล่าจริงๆหรอก”
“ไร้สาระ”
“เอ้า! หมอนี่นิทำไมต้องว่าด้วย” ฉันหันไปมองร่างร่างสูงตาขวาง อย่าให้บัวชมพูต้องแปลงร่างนะฉันพูดด้วยดีๆ มาว่าฉันไร้สาระซะงั้น
“บ้านเธออยู่ที่นี่รึป่าว”
“ไม่ตอบ ฉันไม่อยากคุยกับนาย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงเสียงเรียบพร้อมกับหันหน้าหนีเขาไปอีกทาง
“หึ งอลรึไง” เขาขยับเข้ามาใกล้ฉันพร้อมกับก้มลงมามองฉันใกล้
“นี่นาย” ฉันเอ็ดเขาเสียงดังออกมาด้วยความตกใจ พร้อมกับผลักอกเขาออกไปเบาๆ ทันทีที่ใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงเข้ามาใกล้ใบหน้าของฉัน
“เธองอล”
“เออฉันงอล...นายช่วยเงียบหน่อยฉันต้องการสมาธิ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงเสียงเงียบ ก่อนจะตั้งสติและตั้งใจทำงานตรงหน้าต่อ
15.00 น.
“ดีน ดีนตื่นเถอะ” ฉันเรียกร่างสูงที่นอนพักสายตาข้างๆฉันเบาๆ
“…” เขาลืมตามองมาทางฉันเล็กน้อย
“เรากลับกันเถอะ เดี๋ยวพวกชาวบ้านคงจะพากันกลับมาแล้ว” ฉันเอ่ยบอกกับเขาเสียงใส ก่อนจะเก็บของตรงหน้าลงกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของตัวเอง
“มาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบก่อนจะดึงกระเป๋าออกจากมือของฉัน พร้อมกับสะพายไว้ด้านหลังของเขาเรียบร้อย
“นายนี่อวดเก่งจัง ร่างกายตัวเองก็ยังไม่แข็งแรงดี” ฉันพึมพำกับตัวเองเบาๆ
“ฉันได้ยิน เลิกบ่นแล้วกลับกันได้แล้ว”
“เชิญค่าคุณผู้ชาย” ฉันเอ่ยประชดเขาเบาๆ
~ครืนนนนน~ ~ครืนนนนน~
“รีบไปกันเถอะ” ฉันรีบเดินตามร่างสูงออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงร้อง ถ้าช้ากว่านี้มีหวังได้เปียกปอนกลับเรือนแน่ๆ และอีกเหตุผลถึงจะมีทางเดินแต่ถ้าฝนตกก็จะทำให้พื้นลื่นมันอาจทำให้เราทั้งสองคนได้รับบาดเจ็บได้
“ให้ฉันช่วยไหม” ฉันเดินเข้าไปถามเขาเสียงอ่อน ขากลับทางเดินจะค่อนข้างยากกว่าตอนเรามาเนื่องจากขามาเราเดินลงเขาเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นขากลับก็เป็นเหมือนหนังชีวิตเลยล่ะเพราเราต้องเดินขึ้นเขาถึงจะไม่ไกลเท่าไหร่แต่ก็ทำให้เหนื่อยเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
“…” เขาไม่ตอบฉันแต่เขากลับยื่นแขนแกร่งอีกข้างของเขาที่ว่างอยู่มายังฉัน ฉันมองไปที่เขาเล็กน้อยก่อนจะคว้าแขนแกร่งของเขาไว้ เราทั้งคู่จะเดินไปตามทางพร้อมกันโดยที่ฉันเองก็ไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนช่วยใครกันแน่
“ดีน...ทำไมนายถึงสักตะขาบที่หลังมือหรอ?” ฉันเอ่ยถามเขาออกไปด้วยความสงสัยทันทีที่เห็นรอยสักตะขาบบนหลังมือหนาที่จับไม้เท้าไว้แน่น ถ้าสังเกตุดีๆเหมือนฉันจะเห็นรอยแผลเป็นที่บริเวณรอยสักของเขาด้วย
“ความเจ็บปวด” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันนิ่งๆ
“เจ็บปวด?”
“เหนื่อยไหม?” เขาหยุดเดินก่อนจะเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ เราสบตากันเล็กน้อยใบหน้าหล่อเหลาของร่างสูงตรงหน้าเต็มไปด้วยเหงื่อที่ไหลออกมาจนเปียกชุ่ม อากาศค่อนข้างอบอ้าวอีกไม่นานฝนคงจะตกลงมาแน่ๆ
“ฉันเหนื่อยนิดนึง นายละไหวไหม” ฉันเอ่ยถามร่างสูงกลับไป
~ครืนนนนน~ ~ครืนนนนน~
“ฉันไหว” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ
“ดีน! ถ้านายไม่ไหวก็บอกฉันตรงๆ นายไม่ต้องเข้มแข็งตลอดเวลาก็ได้นี่” ฉันเดินไปยืนตรงหน้าขวางทางเขาไว้ หลังจากนั้นฉันจึงเอ่ยบอกกับชายตรงหน้าด้วยน้ำเสียงจริงจัง
ฉันไม่รู้หรอกนะว่าเขาโตมาในสภาพแวดล้อมแบบไหน หรือในชีวิตของเขาเคยผ่านอะไรมาบ้าง เท่าที่ฉันสัมผัสได้จากผู้ชายคนนี้ คือเขาเหมือนมีเรื่องราวมากมายเก็บซ่อนอยู่ภายในใจ ถึงปากของเขาจะหนักไม่ยอมพูดออกมา แต่สิ่งที่แววตาของเขามันแสดงออกมามันไม่สามารถหลอกฉันได้
“…”
“ฉันเคยบอกนายแล้วดีน ฉันไม่รู้ว่านายแบกรับอะไรไว้อย่างน้อยก็ตอนอยู่ที่นี่ถ้านายเจ็บนายก็บอกกับฉัน ถ้านายเหนื่อยนายไม่ไหวก็บอกกับฉัน”
“…”
“สำหรับฉันนายไม่จำเป็นต้องเข้มแข็ง ไม่ต้องเก่งอยู่ตลอดเวลาหรอกนะ ถึงเราจะพึ่งรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ฉันไม่เคยต้องการอะไรจากนาย”
“…”
“นายเป็นคนนะดีนนายมีเลือดมีเนื้อ นายมีหัวใจเหมือนๆกับฉัน ถ้านายเหนื่อยก็แค่เหนื่อย ถ้านายไม่ไหวนายก็ไม่จำเป็นต้องเก็บหรือกดมันไว้” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงเรียบ
ฟุบ!
“อ๊ะ!!” เขาดึงฉันเข้าไปกอดไว้แน่นถึงฉันจะตกใจอยู่บ้าง แต่มันเหมือนฉันรับรู้ได้ถึงแรงกดดัน และความรู้สึกมากมายที่ผู้ชายคนนี้แบบรับมันเอาไว้ฉันกอดตอบเขาหลวมๆ
“ฉันเจ็บท้อง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ใบหน้าของเขายังคงวางอยู่บนบ่าบางของฉัน
“ไม่เป็นไรๆเดี๋ยวเรานั่งพักกันตรงนี้ก่อนเนอะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงเบาๆ พร้อมกับลูบหลังของเขาเบาๆไปด้วย
“นั่งขอนไม้นี่ก่อนนะ ฉันขอดูแผลหน่อย” ฉันพยุงร่างสูงนั่งลงบนขอนไม้ที่อยู่ไม่ไกล ก่อนที่ฉันจะเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าของเขาพร้อมกับย่อตัวนั่งลงตรงหน้าของเขา ฉันค่อยๆเปิดเสื้อของเขาขึ้นช้าๆก่อนจะเห็นรอยเขียวช้ำที่หน้าท้องของเขา ตอนนี้คงยังทำอะไรไม่ได้กลับไปถึงเรือนค่อยประคบเอาอย่างน้อยก็ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดให้เขาได้บ้าง
“อือ” เขาครางออกมาเบาๆทันทีที่มือของฉันสัมผัสโดนรอยเขียวช้ำของเขา
“ฉันขอโทษ เดี๋ยวกลับไปฉันประคบให้นะ” ฉันเอ่ยบอกกับเขาเสียงอ่อน ก่อนจะปิดเสื้อเขาลงตามเดิม
“ฉันอยากให้นายไปหาหมอ อย่าน้อยก็ไปเอกซเรย์ดูสักหน่อยก็ยังดี”
“…”
~ครืนนนนน~ ~ครืนนนนน~
“ดื่มน้ำก่อน” ฉันยื้อขวดน้ำเปล่าให้กับร่างสูงก่อนจะเดินกลับไปนั่งลงข้างๆเขา
“เธอกินก่อน” เขาเอ่ยบอกกับฉันนิ่งๆก่อนจะดันมือที่ถือขวดน้ำอยู่มาทางฉัน
“อืม” ฉันทำตามเขาอย่างว่าง่าย เพราะถ้ามัวแต่เกี่ยงกันฉันว่าวันนี้คงไม่มีใครได้ดื่มน้ำกันพอดี
“เธอมีโทรศัพท์รึป่าว”
“มีสิแต่ที่นี่ไม่มีสัญญาณหรอกนะ เราต้องเดินขึ้นไปบนเขาอีกทาง” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงเสียงใส ก่อนจะยื่นขวดน้ำไปให้เขา
“ฉันจำเป็นต้องใช้มัน”
“ได้สิ นายรีบหายเดี๋ยวฉันพาขึ้นไป” ฉันเอ่ยบอกกับฉันพร้อมรอยยิ้ม ไม่ว่าเขาจะเป็นใครมาจากไหนเขาก็คงมีครอบครัวที่ยังรอเขาอยู่นี่เนอะ เขาขาดการติดต่อไปนานขนาดนี้ครอบครัวของเขาคงจะเป็นห่วงน่าดู
“เราไปกันเถอะ”
ซ่า! ซ่า! ซ่า!
อีกประมาณสามเมตรเราทั้งสองก็จะถึงเรือนอยู่แล้วเชียว ฝนดันตกลงมาซะก่อนทำให้เส้นทางตรงหน้าขาวไปหมดตอนนี้วิสัยทัศโดยรอบย่ำแย่มาก ฉันกอดแขนแกร่งของเขาไวไม่ยอมห่างพร้อมกับพยุงร่างสูงข้างๆไว้แน่น ฝนมันตกค่อนข้างหนักฉันกลัวว่าเขาจะลื่นล้มลงไปและแผลของเขาจะระบมไปมากกว่าเดิม
ส่วนมือหนาของเขาก็กุมมือของฉันไว้แน่นเช่นกัน อีกเพียงไม่กี่เมตรก็จะถึงเรื่องอยู่แล้วแต่มันเหมือนไกลแสนไกลเหลือเกิน
ซ่า! ซ่า! ซ่า!
“ถึงสักที” ฉันบ่นออกมาเบาๆ ทันทีที่เดินเข้ามาถึงเรือน
“เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเดี๋ยวไม่สบาย” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบตามแบบของเขา
“นายเข้าไปเปลี่ยนข้างบนเถอะ เดี๋ยวฉันเอาผ้าแล้วไปอาบน้ำ”
“อืม”
“บัว” เสียงพี่กระถินตะโกนแข่งกับสายฝนอยู่ที่หน้าประตู
“จ้าพี่” ฉันรีบตะโกนตอบพี่กระถินทันที
“หาที่หลบสิ” ฉันกระซิบบอกกับร่างสูงเบาๆ
“…” ร่างสูงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหลบข้างๆตู้ ภาพที่ฉันเห็นมันทำให้ฉันต้องกลั้นขำจนหน้าแดงเพราะภาพที่เห็นคือ ร่างหนาที่แอบในช่องว่างซึ่งมันพอดิบพอดีกับตัวของเขาจนทำให้ขยับตัวไปไหนไม่ได้ สงสารก็สงสาร จะขำก็ขำ
“บัว”
แอ๊ดดดดด!!!
“จ้า” ฉันขานรับพี่กระถินเสียงใสพร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เธอทันทีที่ประตูเรือนถูกเปิดออก
“ทำไมตัวเปียกแบบนี้ล่ะ ไปซนที่ไหนมา”
“บัวไปดูฝายมาค่ะ นี่ก็กำลังจะไปอาบน้ำ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส
“งั้นรีบไปอาบน้ำเลย พี่เอาข้าวเย็นมาให้บัวจะได้ไม่ต้องเดินไป” พี่กระถินเอ่ยบอกกับฉันก่อนจะยื่นปิ่นโตในมือของเธอมาให้ฉัน
“ขอบคุณจ้าพี่กระถิน”
“จ้า...เอ่อบัวอีก 3 วันจะมีงานแต่งในหมู่บ้านเผื่อบัวอยากเห็นพิธีกรรมของที่นี่”
“บัวอยากเห็นค่ะ”
3 วันต่อมา...8.00 น.“เอากระเป๋ามาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ พร้อมกับมือหนาของเขาหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของฉันไปสะพายไว้ วันนี้เราสองคนมีภารกิจตามล่าหาสัญญาณโทรศัพท์“ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเดินนำเขาออกไปด้านนอก ฉันเลือกอ้อมไปทางด้านหลังของหมู่บ้านมันอาจจะไกลกว่าทางปกติอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุดสองสามวันมานี้ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วอาจจะยังหลงเหลือรอยช้ำอยู่บ้างก็ตาม ฉันนับถือใจเขามากเลยถ้าเป็นคนอื่นโดนมาหนักขนาดนี้อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้“อุ๊ย!!” ในขณะที่ฉันคิดอะไรไปเรื่อยๆ ด้วยความเหม่อลอยทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตุเห็นก้อนหินตรงหน้าทำให้ฉันสะดุดมันแต่...“ระวัง” ร่างสูงเอ็ดฉันเบาๆ พร้อมกับมือหนาโอบเข้าที่เอวบางของฉันไว้แน่น ถ้าไม่ได้เขาจับฉันไว้ป่านี้ฉันคงได้ไปจับกบอยู่ที่พื้นแล้วล่ะ“ขอบใจนะ”“อืม...”“…/…”“นะ นายช่วยเอามือออกจากเอวฉันก่อนได้ไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงด้านหลังเบาๆ หลังจากที่เราเงียบใส่กันไปแป๊บนึง ร่างสูงจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดออกไปอย่างช้าๆ“เดินระวังด้วย” เขาเอ่ยตามหลังฉันมาเสียงเรียบ“อืม”ติ้ง
“ใจเย็นๆ อาการเธอดูแปลกๆนะ”“อือ ดีนฉันร้อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงกระเส่า ก่อนที่ฉันจะล้มลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว“ตั้งสติ” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่สามารถทำให้ฉันมีสติได้เลยจริงๆ ความร้อนในกายของฉันมันยิ่งเดือดพลานมากขึ้นไปอีก“ระ ร้อน” ฉันพยายมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของร่างสูงตรงหน้า แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแรงฉันสู้แรงของเขาไม่ได้“มีใครเอาอะไรให้เธอกินรึป่าว” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเครียด“มะ ไม่มี” ฉันสายหัวแรงๆ ฉันรู้ทุกอย่างว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย“แล้วเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง”“อื้อ นายอย่าถามมากได้ไหม...ฉันร้อน” ฉันตะคอกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง“ดะ ดีน” ฉันครางเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา“อย่ามามองฉันแบบนี้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง“ดีน มองฉันหน่อยน้า” ฉันอ้อนร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความยับยั้งช่างใจเองก็เช่นเดียวกัน ฉันดึงมือของตัวเอ
พายุฝนฟ้าคะนองในฤดูฝนช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดฝนตกอย่างหนักพร้อมกับลมกระโชกแรงทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังเสียหายไปตามๆกัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านหนองไม้หวายที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วยเช่นกัน กินเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสามกว่าๆ แล้วก็ตาม บนถนนที่เงียบเหงาไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมาทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำบนท้องถนนในยามนี้จึงมีเพียงรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วลัดเลอะไปตามถนนสายหลักที่คดโค้งไปตามแนวของสันเขาอย่างชำนาญ ก่อนจะหักเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกใหญ่ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบยิ่งขับเข้ามาลึกเท่าไหร่จากถนนสองเลนก็เหลือเพียงเลนเดียวจากถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรังลำห้วยขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจของหมู่บ้านหนองไม้หวาย ห้วยแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปีทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยบริเวณนี้มีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ทำการเกษตรของเกษตรกร หรือแม้แต่เป็นแห่งรวมความสนุกสนานเสียงหัวเราะของชาวบ้านหลายช่วงวัยที่ได้มาคลายร้อน
แค่ก! แค่ก! แค่ก! “พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา “ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
แอ๊ดดดดดดด! !!“ฉันต้มน้ำใบบัวบกไว้ให้นายด้วย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันสังเกตุเห็นว่าวันนี้ใบหน้าของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีก“น้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน ลดการอักเสบนายต้องดื่มให้หมดนะเข้าใจไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยื่นแก้วในมือให้เขา“...” เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบคำถามของฉัน“ดีมาก รอให้มันเย็นกว่านี้ก็ได้ดื่มตอนนี้เดี๋ยวมันจะลวกปากนาย”“…” ฉันวางแก้วใบบัวบกไว้ข้างๆ ก่อนที่มือบางของฉันจะวางลงที่หน้าผากของเขา พร้อมกับมืออีกข้างของฉันวางลงที่หน้าผากของตัวเองเพื่อเป็นการเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างสูงตรงหน้า“เหมือนนายจะมีไข้”“ยะ อย่า บะ บอก คะ ใคร”ฉันพยายามจับใจความสิ่งที่ร่างสูงพยายามจะบอกกับฉัน ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน ‘อย่าบอกใคร’ ยิ่งเขาย้ำฉันแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เรื่องราวเข้าไปใหญ่เลย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของฉัน ‘เขาเป็นใคร?’ ‘ใครทำร้ายเขา?’ ‘แล้วทำไมต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ?’“ฉันเข้าใจแล้ว นายอย่าพึ่งพูดมากเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปด้ว
“ใจเย็นๆ อาการเธอดูแปลกๆนะ”“อือ ดีนฉันร้อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงกระเส่า ก่อนที่ฉันจะล้มลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว“ตั้งสติ” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่สามารถทำให้ฉันมีสติได้เลยจริงๆ ความร้อนในกายของฉันมันยิ่งเดือดพลานมากขึ้นไปอีก“ระ ร้อน” ฉันพยายมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของร่างสูงตรงหน้า แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแรงฉันสู้แรงของเขาไม่ได้“มีใครเอาอะไรให้เธอกินรึป่าว” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเครียด“มะ ไม่มี” ฉันสายหัวแรงๆ ฉันรู้ทุกอย่างว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย“แล้วเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง”“อื้อ นายอย่าถามมากได้ไหม...ฉันร้อน” ฉันตะคอกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง“ดะ ดีน” ฉันครางเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา“อย่ามามองฉันแบบนี้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง“ดีน มองฉันหน่อยน้า” ฉันอ้อนร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความยับยั้งช่างใจเองก็เช่นเดียวกัน ฉันดึงมือของตัวเอ
3 วันต่อมา...8.00 น.“เอากระเป๋ามาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ พร้อมกับมือหนาของเขาหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของฉันไปสะพายไว้ วันนี้เราสองคนมีภารกิจตามล่าหาสัญญาณโทรศัพท์“ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเดินนำเขาออกไปด้านนอก ฉันเลือกอ้อมไปทางด้านหลังของหมู่บ้านมันอาจจะไกลกว่าทางปกติอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุดสองสามวันมานี้ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วอาจจะยังหลงเหลือรอยช้ำอยู่บ้างก็ตาม ฉันนับถือใจเขามากเลยถ้าเป็นคนอื่นโดนมาหนักขนาดนี้อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้“อุ๊ย!!” ในขณะที่ฉันคิดอะไรไปเรื่อยๆ ด้วยความเหม่อลอยทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตุเห็นก้อนหินตรงหน้าทำให้ฉันสะดุดมันแต่...“ระวัง” ร่างสูงเอ็ดฉันเบาๆ พร้อมกับมือหนาโอบเข้าที่เอวบางของฉันไว้แน่น ถ้าไม่ได้เขาจับฉันไว้ป่านี้ฉันคงได้ไปจับกบอยู่ที่พื้นแล้วล่ะ“ขอบใจนะ”“อืม...”“…/…”“นะ นายช่วยเอามือออกจากเอวฉันก่อนได้ไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงด้านหลังเบาๆ หลังจากที่เราเงียบใส่กันไปแป๊บนึง ร่างสูงจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดออกไปอย่างช้าๆ“เดินระวังด้วย” เขาเอ่ยตามหลังฉันมาเสียงเรียบ“อืม”ติ้ง
“พังหมดเลย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นฝายน้ำล้นตรงหน้าของฉัน น้ำป่ายังคงไหลหลากอยู่เลยสังเกตจากสีของน้ำที่ยังคงขุ่นมัว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวเป็นอย่างที่ฉันคิดว่าเรายังไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้“นายนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูรอบๆนี้ก่อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าหลังจากที่ฉันปูเสื่อที่พกมาด้วยเรียบร้อยแล้ว“เธอจะไปไหน” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ“เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูรอบๆไง หูนายมีปัญหาปะ”“เธอก็ดูอยู่นี่ไงไม่เห็นต้องเดินไปไหน” เขาเอ่ยบอกกับฉันหน้าตาเฉย พร้อมกับมองมายังฉันอย่างไม่เข้าใจ“นายกลัวรึไง” ฉันยืนเท้าเอวพร้อมกับมองไปยังร่างสูงอย่างไม่เข้าใจเขาเช่นกัน ฉันจะมาที่นี่คนเดียวก็จะตามมาด้วย พอฉันจะเดินไปดูรอบๆคนเดียวก็พูดเหมือนจะไม่ให้ฉันไปอีก ‘หัวจะปวดนะกับผู้ชายคนนี้’“…”“ฉันไม่ไปไกลหรอกเดี๋ยวฉันกลับมา นายนั่งพักอยู่นี่แหละ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้เขาคัดค้านอะไรอีก“บัว” ร่างสูงตะโกนเรียกตามหลังฉันมา“ไม่ฟังแล้ว” ฉันก็ตะโกนตอบกลับเขาไปทันทีเช่นกัน“ทำไมเธอดื้อจังวะ”“เรื่องของฉัน แบร่!” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปหลอกเค้าจ
แอ๊ดดดดดดด! !!“ฉันต้มน้ำใบบัวบกไว้ให้นายด้วย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันสังเกตุเห็นว่าวันนี้ใบหน้าของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีก“น้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน ลดการอักเสบนายต้องดื่มให้หมดนะเข้าใจไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยื่นแก้วในมือให้เขา“...” เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบคำถามของฉัน“ดีมาก รอให้มันเย็นกว่านี้ก็ได้ดื่มตอนนี้เดี๋ยวมันจะลวกปากนาย”“…” ฉันวางแก้วใบบัวบกไว้ข้างๆ ก่อนที่มือบางของฉันจะวางลงที่หน้าผากของเขา พร้อมกับมืออีกข้างของฉันวางลงที่หน้าผากของตัวเองเพื่อเป็นการเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างสูงตรงหน้า“เหมือนนายจะมีไข้”“ยะ อย่า บะ บอก คะ ใคร”ฉันพยายามจับใจความสิ่งที่ร่างสูงพยายามจะบอกกับฉัน ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน ‘อย่าบอกใคร’ ยิ่งเขาย้ำฉันแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เรื่องราวเข้าไปใหญ่เลย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของฉัน ‘เขาเป็นใคร?’ ‘ใครทำร้ายเขา?’ ‘แล้วทำไมต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ?’“ฉันเข้าใจแล้ว นายอย่าพึ่งพูดมากเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปด้ว
แค่ก! แค่ก! แค่ก! “พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา “ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
พายุฝนฟ้าคะนองในฤดูฝนช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดฝนตกอย่างหนักพร้อมกับลมกระโชกแรงทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังเสียหายไปตามๆกัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านหนองไม้หวายที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วยเช่นกัน กินเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสามกว่าๆ แล้วก็ตาม บนถนนที่เงียบเหงาไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมาทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำบนท้องถนนในยามนี้จึงมีเพียงรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วลัดเลอะไปตามถนนสายหลักที่คดโค้งไปตามแนวของสันเขาอย่างชำนาญ ก่อนจะหักเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกใหญ่ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบยิ่งขับเข้ามาลึกเท่าไหร่จากถนนสองเลนก็เหลือเพียงเลนเดียวจากถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรังลำห้วยขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจของหมู่บ้านหนองไม้หวาย ห้วยแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปีทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยบริเวณนี้มีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ทำการเกษตรของเกษตรกร หรือแม้แต่เป็นแห่งรวมความสนุกสนานเสียงหัวเราะของชาวบ้านหลายช่วงวัยที่ได้มาคลายร้อน