3 วันต่อมา...
8.00 น.
“เอากระเป๋ามาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ พร้อมกับมือหนาของเขาหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของฉันไปสะพายไว้ วันนี้เราสองคนมีภารกิจตามล่าหาสัญญาณโทรศัพท์
“ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเดินนำเขาออกไปด้านนอก ฉันเลือกอ้อมไปทางด้านหลังของหมู่บ้านมันอาจจะไกลกว่าทางปกติอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุด
สองสามวันมานี้ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วอาจจะยังหลงเหลือรอยช้ำอยู่บ้างก็ตาม ฉันนับถือใจเขามากเลยถ้าเป็นคนอื่นโดนมาหนักขนาดนี้อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้
“อุ๊ย!!” ในขณะที่ฉันคิดอะไรไปเรื่อยๆ ด้วยความเหม่อลอยทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตุเห็นก้อนหินตรงหน้าทำให้ฉันสะดุดมันแต่...
“ระวัง” ร่างสูงเอ็ดฉันเบาๆ พร้อมกับมือหนาโอบเข้าที่เอวบางของฉันไว้แน่น ถ้าไม่ได้เขาจับฉันไว้ป่านี้ฉันคงได้ไปจับกบอยู่ที่พื้นแล้วล่ะ
“ขอบใจนะ”
“อืม...”
“…/…”
“นะ นายช่วยเอามือออกจากเอวฉันก่อนได้ไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงด้านหลังเบาๆ หลังจากที่เราเงียบใส่กันไปแป๊บนึง ร่างสูงจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดออกไปอย่างช้าๆ
“เดินระวังด้วย” เขาเอ่ยตามหลังฉันมาเสียงเรียบ
“อืม”
ติ้ง ติ้ง ติ้ง ติ้ง ติ้ง !!!
ทันทีที่เราเดินเข้ามายังบริเวณที่พอจะมีสัญญาณโทรศัพท์ เสียงข้อความจากโทรศัพท์ของฉันที่ถูกปิดมานานก็ดังขึ้นมาเป็นระยะๆ ถึงที่นี่ไฟฟ้าจะยังคงเข้าไม่ถึง แต่บ้านของพ่อดำมีเครื่องปั่นไฟไว้ใช่เฉพาะยามจำเป็น รวมถึงฉันมีเพาเวอร์แบงค์ติดตัวมาด้วยทำให้ฉันยังพอมีแบตสำรองอยู่บ้าง
เราทั้งสองคนมาหยุดอยู่ที่ลานเล็กๆ ซึ่งมีม้านั่งตามแบบภูมิปัญญาของชาวบ้านอยู่บริเวณนี้ด้วย ซึ่งจุดนี้เป็นจุดที่สัญญาณโทรศัพท์แรงที่สุด ฉันยื่นโทรศัพท์ของตัวเองไปให้กับร่างสูงตรงหน้าทำธุระของเขาก่อน
“นายเอาไปใช้ก่อนสิ”
“แต่ข้อความ...?” เขาถามฉันเสียงเรียบ
“นายเอาไปใช้ก่อนเถอะน่า อย่ามัวแต่เถียงฉันเลยนายไม่ชนะฉันหรอก” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส พร้อมกับส่งสายตาทะเล้นตามแบบของฉันไปหยอกล้อเขา
“หึ...” ร่างสูงยิ้มเล็กน้อยที่มุมปาก ก่อนจะรับโทรศัพท์ในมือของฉันไป
10 นาทีผ่านไป...
“นี่...ขอบใจ” ร่างสูงเดินกลับมาหาฉันก่อนจะยื่นโทรศัพท์กลับคืนมาให้ฉัน
“เรียบร้อยแล้วหรอ”
“อืม”
ฉันรับโทรศัพท์มาก่อนจะเปิดดูข้อความตามแอปพิเคชั่นต่างๆ มีทั้งแชตของเพื่อนรูมเมท แชตกลุ่มคณะที่คุยกันเยอะแยะมากมาย รวมถึงเพื่อนที่ทักมาถามไถ่ตามประสาคนคุ้นเคยกัน
ฉันไม่มีค่อยมีเพื่อนสนิทมากมายสักเท่าไหร่ มันอาจจะเป็นเพราะนิสัยของฉันด้วยที่ชอบความสันโดษ ฉันมักจะชอบทำอะไรคนเดียวเสมอ แต่ถึงอย่างนั้นฉันก็มีรุ่นพี่ที่สาขาที่สนิทมากๆอยู่สองคน นั่นก็คือเฮียภูผาพี่รหัสของฉันและอีกคนก็คือเจ้ไอรีนซึ่งเธอเป็นแฟนสาวคนสวยของเฮียภูผาและยังพวงตำแหน่งป้ารหัสของฉันอีกด้วย
ถึงฉันจะเป็นคนค่อนข้างโลกส่วนตัวสูง แต่ถ้าฉันต้องเข้าสังคมกับเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันฉันก็สามารถเข้ากับพวกเขาได้ดี ฉันสามารถสังสรรค์กับเพื่อนๆ ทุกคนได้ตามเอ็นเนอร์จี้ของตัวเอง
-เฮียภูผา-
‘โทรไม่ติด?’
‘ข้อความไม่อ่าน?’
‘นี่น้องตัวแสบของเฮียถูกลักพาตัวไปรึป่าว ถ้าไม่โทรกลับมาหาเฮียด้วย?’
-เจ้ไอรีน-
‘บัวติดต่อกลับมาหาเจ้ด้วย’
‘อยู่ๆ ก็หายไปเลยเจ้เป็นห่วง’
ฉันนั่งอ่านข้อความของเฮียภูผากับเจ้ไอรีนไปก็ยิ้มไป ความน่ารักของทั้งสองคนไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนก็ไม่เคยลดลงเลย ทั้งสองยังคงดูแลและซับพอร์ตฉันเสมอมา
“ฮัลโลวววววว เจ่เจ้ของหนู” ฉันต่อสายหาเจ้ไอรีนทันทีที่อ่านข้อความของเธอจบ
(กว่าจะติดต่อได้นะยัยตัวแสบ) เสียงดุๆของเฮียภูผาดังมาจาปลายสาย
“เกิดเรื่องนิดหน่อยอะเฮีย ว่าแต่เฮียกับเจ่เจ้สบายดีปะ” ฉันเอ่ยถามปลายสายออกไปด้วยน้ำเสียงสดใส
(ช่วงนี้ก็ไม่ค่อยสบายเท่าไหร่)
“มีใครเป็นอะไรรึเปล่าคะ” ฉันรีบถามปลายสายออกไปทันทีด้วยความเป็นห่วง
(บริษัทเฮียพึ่งเปิด นักออกแบบคนแรกของบริษัทก็ติดต่อไม่ได้แบบนี้จะไม่ให้เฮียเครียดได้ไง)
“เฮียเปิดบริษัทแล้วหรอคะ?” ฉันร้องออกมาด้วยความตกใจปนดีใจ เฮียภูผาเคยบอกกับฉันไว้ว่าถ้าเขาเรียนจบแล้วเขาอยากจะเปิดบริษัทรับออกแบบเล็กๆ แต่ขอเวลาหาประสบการณ์ก่อนซึ่งฉันไม่คิดว่าเฮียแกจะใช้เวลาหาประสบการณ์เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้นหลังจากเรียนจบ
(ใช่จ้า...เจ่เจ้รอบัวอยู่นะ) เสียงของเจ้ไอรีนดังเข้ามาจากปลายสาย
“ตอนนี้บัวติดปัญหาอยู่นิดนึงค่ะ แต่เดี๋ยวออกไปได้บัวจะรีบติดต่อกลับไปนะคะ” ฉันเอ่ยบอกกับปลายสายเสียงอ่อน
ฉันอยากทำงานนี้อย่างไม่ต้องสงสัยในตัวเองเลย ฉันยอมรับในฝีมือของพวกพี่ๆ ทั้งสองคนมาตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังเรียนอยู่แล้ว ฉันอยากจะเรียนรู้ อยากจะฝึกฝนตัวเองให้เก่งเหมือนกับพี่ๆทั้งสองของฉัน
(เจ่เจ้รอนะบัว)
“ค่า แล้วเจอกันนะคะ” ฉันเอ่ยบอกกับทั้งสองก่อนจะกดตัดสายไป
“หึ”
“ยิ้มอะไรของนาย” ฉันหันไปถามร่างสูงตรงหน้าเบาๆ อย่างไม่เข้าใจ
“เธอดูมีความสุข” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหยิบขวดน้ำยื่นมาให้ฉัน
“แน่นอนสิ...หลังจากที่ฉันนั่งคิดนอนคิดมาหลายวัน วันนี้ฉันรู้แล้วว่าตัวเองอยากทำอะไร” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงพร้อมรอยยิ้มอย่างคนมีความหวัง
“อืม ถ้ามันเป็นความสุขของเธอก็ลงมือทำมันซะ เธอจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจทีหลัง”
“แน่นอน”
“หึ...”
“เรากลับกันเลยไหม หรือนายอยากใช้โทรศัพท์ต่อรึป่าว”
“ไม่แล้ว”
“งั้นเรากลับกันเลยไหม”
“ฉันได้ยินเสียงน้ำตกเราไม่นั่งพักกันที่นั่งก่อนดีไหม?” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ
“นายอยากไปหรอ?” ฉันเองก็ถามเขากลับไปเช่นกัน
“อืม”
“งั้นก็ไปสิ” ฉันเดินนำเขาไปทางน้ำตก ซึ่งมันอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เรายืนอยู่
“ลำธารสายนี้ไหลผ่านเรือนเราใช่ไหม” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ
“ไม่นะ จริงๆรอบหมู่บ้านมีน้ำตกและลำห้วยเล็กๆอยู่หลายสายเลย ว่าแต่นายอยากรู้ไปทำไมหรอ?” ฉันเอ่ยถามร่างสูงออกไปด้วยความสงสัย
“ฉันแค่อยากรู้”
“นายกำลังหาว่าน้ำตกที่นายถูกโยนลงมาอยู่ตรงไหนใช่ไหม?” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันกลับไปเผชิญหากับเขา
“...”
“ลำห้วยไม้หวายเป็นลำห้วยเดียวที่มีถนนตัดผ่าน ฉันว่านายน่าจะ...”
“อืม” เขาขานรับฉันเบาๆ
“.../...” เราทั้งสองพากันมาหยุดยังบริเวณเนินหินเล็กๆข้างน้ำตก ฉันเลือกนั่งลงยังโขกหินเล็กๆ ตามมาด้วยร่างสูงที่เดินเข้ามานั่งลงข้างๆฉัน
“ดีนวันนั้นนายกลัวไหม?” ฉันหันไปมองร่างสูงข้างๆ พร้อมกับเอ่ยถามเขาออกไปอย่างสงสัย
“ไม่”
“…” ฉันมองเขานิ่งๆ คำตอบของเขามันเป็นคำตอบที่ฉันไม่เข้าใจ
“ฉันไม่เคยกลัว ถ้าตายก็แค่ตาย”
“คำตอบพระเอกมากค่ะ นายมีชีวิตเดียวนะเว้ย” ฉันเอ็ดเขาออกไปเบาๆ ถึงเขาจะไม่กลัวตายแต่เขาก็ไม่ควรใช้ชีวิตอย่างประมาท
“ฉันรู้ตัวเองดีว่าตายยาก...โจรกระจอกแบบพวกมันทำให้ฉันตายไม่ได้หรอก” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ
“นายรู้หรอว่าใครเป็นคนทำร้ายนาย”
“อืม ฉันรู้” เขาเอ่ยบอกกับฉันนิ่งๆ พร้อมกับสายตาที่ยังคงจ้องมองไปยังน้ำตกที่ไหลลงมาตามแรงโน้มถ่วงของโลก
“ถ้านายออกไปจากที่นี่แล้ว ต้องระวังตัวให้มากๆนะดีน นายอาจจะไม่ได้โชคดีแบบครั้งนี้” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงข้างๆอีกครั้ง เราสองคนสบตากันเล็กน้อย
“มันจะไม่มีครั้งต่อไป”
“โอ้ยยยย ที่ฉันพูดคือฉันไม่อยากให้นายประมาทค่า” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงอย่างเอือมๆ
“เป็นห่วงฉันรึไง?” เขาเอ่ยถามฉันนิ่งๆ
“ไม่อ่ะ ฉันกลัวผี”
“หึ” ร่างสูงยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย
18.00 น.
“นาย...ฉันไปก่อนนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะรีบเก็บเสื้อผ้าพับใส่กระเป๋าของตัวเอง ฉันเจอชุดพื้นเมืองของแม่อยู่ในตู้ แต่ฉันไม่มีความสามารถมากพอที่จะใส่เองเลยจำเป็นต้องไปให้พี่กระถินช่วยแต่งตัว
“กลับตอนไหน” ร่างสูงเอ่ยถามฉันขึ้น
“ไม่รู้ ฉันไปก่อนนะสายแล้ว” ฉันรีบวิ่งออกไปทันทีที่เก็บของเรียบร้อย
“เดินดีๆ อย่างวิ่ง”
...
“เรียบร้อยแล้วบัว” พี่กระถินพูดขึ้นหลังจากที่เธอโพกศีรษะด้วยผ้าขาวเรียบร้อยแล้ว
“ว๊าวววว!! หลานป้าสวยจังเลยลูก” ป้าแมวชมฉันทันทีที่เห็นฉันเดินออกมาจากห้องนอนของพี่กระถิน ป้าแมวส่งยิ้มหวานมาให้ฉันพร้อมกับมือของแกลูบลงที่แก้มของฉันอย่างเอ็นดูก่อนจะบีบเอาด้วยความหมั่นเขี้ยว
“ง่า...ป้าแมว”
“ฮ่าฮ่า ไปกันลูกลุงดำรออยู่”
“ไปค่ะ”
“สงสัยกำนันทองเปลวต้องเตรียมเช็ดปืนแล้วมั้ง มีลูกสาวสวยขนาดนี้” พ่อดำพูดขึ้นพร้อมกับส่งยิ้มมาให้ฉัน
“พ่อดำก็ชมเกินไปบัวจะลอยแล้วนะคะ”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ไปกันเถอะลูก” ฉันเดินตามทั้งสามคนไปอย่างทุลักทุเลเนื่องจากฉันยังไม่ค่อยคุ้นชินกับเสื้อผ้าที่ฉันสวมใส่อยู่เท่าไหร่นัก เสื้อปั๊ดเป็นเสื้อแขนยาว สาบเสื้อทั้งสองเฉียงมาผูกไว้ที่เอาด้านข้าง ผ้าซิ่นที่ยาวถึงตาตุ่มทำให้ฉันเดินค่อนข้างลำบาก
เราทั้งสี่คนเดินมาจนถึงเรือนที่จัดงานแต่งซึ่งบ้านหลังนี้ตั้งอยู่ท้ายของหมู่บ้าน ช่วงนี้เป็นงานตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงเล็กๆ แต่สิ่งที่ฉันสนใจที่สุดก็คือ การขับลื้อ (การขับร้อง) และการฟ้อนของชาวพื้นเมืองซึ่งมันไม่ได้มีให้เห็นกันบ่อยๆ
“ฮัดชิ้ว!!” ฉันจามออกมาเบาๆ ฉันมีอาการคัดจมูกเล็กน้อยตั้งแต่เมื่อคืน แต่ยังโชคดีที่ไม่มีไข้หรือมีอาการอื่นๆร่วมด้วย
“ไหวไหมบัว” พี่กระถิ่นเอ่ยถามฉันด้วยความเป็นห่วง
“ไหวคะ บัวคัดจมูกนิดเดียวเอง” ฉันเอ่ยบอกกับร่างบางตรงหน้าพร้อมกับรอยยิ้มจางๆ
“นั่งตรงนี่เลยจ้าพี่ผู้ใหญ่” ลุงเจ้าของงานเอ่ยบอกกับพ่อดำอย่างเป็นกันเอง น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความยินดีปรีดาจนทำให้ฉันอดยิ้มตามไม่ได้เลย
20.00 น.
“ฮัดชิ้ว!!” ฉันยังคงจามอยู่ตลอดเวลายิ่งอากาศเย็นลงมันก็ยิ่งทำให้อาการของฉันหนักขึ้น ในขณะที่ชาวบ้านยังคงฟ้อนรำกันอย่างสนุกสนาน
“พี่กระถินเดี๋ยวบัวมานะคะ ฮัดชิ้ว!!”
“ไปไหนหรอบัว” พี่กระถินเอ่ยถามฉันออกมาด้วยความเป็นห่วง
“บัวจะไปขอน้ำร้อนอุ๊ยดื่มสักหน่อยค่ะ พี่กระถินรอบัวอยู่นี่นะเดี๋ยวบัวมาค่ะ”
“ได้จ่ะ”
“ฮัดชิ้ว!! ค่ะ” ฉันตอบกลับพี่กระถิน ก่อนจะรีบลุกไปยังครัวไฟซึ่งอยู่ไม่ไกลจากบริเวณนี้ทันที
“อุ๊ยจ้าบัวขอน้ำร้อนแล้วนึงนะคะ”
“ในกาเลยหนูบัว” อุ๊ยหันมาบอกกับฉันเล็กน้อยก่อนที่แกจะหันไปสนใจกับขนมตรงหน้าของแกต่อ
“อุ๊ยทำคนเดียวเลยหรอคะ”
“คนอื่นมันไปฟ้อนกันหมดแล้วลูก”
“ข้างนอกสนุกกันใหญ่เลยนะคะ” ฉันเอ่ยบอกกับท่านพร้อมกับเทน้ำในกาใส่แก้วไม้ไผ่ตรงหน้าไปด้วย จะว่าไปทำไมเขาถึงต้องต้มน้ำเยอะขนาดนี้ด้วยฉันมองไปยังกาที่วางอยู่บนเตาตั้งสองใบแนะ
“ใช่ลูก”
“ฮัดชิ้ว!! อือ” น้ำอะไรกลิ่นแปลกๆ รสชาติก็ยังแปลกๆอีกด้วย แต่ดื่มแล้วก็ชุ่มคอดีเหมือนกัน
“อือ...” ฉันดื่มจนหมดก่อนจะเดินไปล้างแก้วไว้ตามเดิม
“ขอบคุณค่าอุ๊ย”
“จ้าลูก”
สองข้างทางที่ฉันเดินกลับมาในงานเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่อากาศช่วงนี้ค่อนข้างเย็น แต่ทำไมฉันกลับร้อนแบบนี้นะ เหงื่อไหลออกมาจนเต็มใบหน้าของฉัน อาการคัดจมูกหายไปแต่ความร้อนกลับเพิ่มเข้ามาแทน
“พี่กระถินบัวกลับเรือนก่อนนะคะ” ฉันพยายามเอ่ยบอกกับพี่กระถินด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้เป็นปกติที่สุดเท่าที่ฉันจะทำได้
“ไม่ไหวหรอบัวเดี๋ยวพี่เดินไปส่ง”
“บัวไหวค่ะแค่ง่วงนอนเฉยๆ พี่กระถินอยู่ที่นี่เถอะนะคะมีไฟตลอดทางแบบนี้บัวเดินกลับเองได้ค่ะ”
“งั้นบัวเดินดูทางด้วยนะ” พี่กระถินเอ่ยบอกกับฉันด้วยความเป็นห่วง
ช่วงที่หมู่บ้านมีงานตลอดทั้งเส้นทางหลักของหมู่บ้านจะถูกประดับประดาไปด้วยตะเกียงไฟสองฟากข้าง จึงทำให้ถนนทั้งเส้นเต็มไปด้วยแสงสว่างจนสุดถนน
ส่วนเรื่องผู้คนที่นี่ยิ่งไม่ต้องเป็นห่วง เพราะพวกเขาไว้ใจได้ทุกคนในหมู่บ้านรู้จักฉันเป็นอย่างดี และถึงจะมีงานเลี้ยงแต่คนในหมู่บ้านแห่งนี้ไม่นิยมดื่มของมึนเมากัน ดังนั้นฉันถึงค่อนข้างวางใจว่าฉันจะปลอดภัย นอกจากจะไม่มีใครทำอันตรายฉันแล้วทุกคนในหมู่บ้านยังดูแลฉันเป็นอย่างดีอีกด้วย
“ค่า” พูดจบฉันก็เดินออกไปทันที
ฉันรู้สึกร้อนมากมันร้อนไม่ใช่เพราะอากาศแน่ๆ หมอกเหมยปกคลุมไปทั่วบริเวณขนาดนี้
“อือ ทำไมร้อนอย่างนี้นะ” ฉันปาดเหงื่อออกจากใบหน้าและลำคออย่างลวกๆ ก่อนจะรีบวิ่งกลับเรือนไปให้ไวที่สุด อย่างน้อยตอนนี้คิดอะไรไม่ออกขอกลับไปให้ถึงเรือนก่อนค่อยว่ากัน
“อือ” ฉันครางออกมาเบาๆ ฉันร้อนราวกับว่าข้างในของฉันมันจะแหลกออกมาเป็นเสี่ยงๆ อยู่แล้ว
ปัง ปัง ปัง ปัง ปัง!!!
ฉันทุบประตูเรือนของตัวเองเสียงดัง แต่มันก็ดังไม่เท่าเสียงของหัวใจฉันที่มันเต้นโครมครามจนแทบจะหลุดออกมาจากอกฉันได้อยู่แล้ว ฉันดึงผ้าโพกหัวที่เปียกชุ่มออกก่อนจะทิ้งมันลงอย่างไม่สนใจใยดี
“นะ นายเปิดประตูในฉันที”
“เป็น...?” ทันทีที่ประตูเรือนเปิดออกฉันรีบดันอกร่างสูงเข้าไปด้านในทันที ก่อนจะรีบเปิดตู้เสื้อผ้ารื้อผ้าหาชุดสำหรับเปลี่ยนทันที
“เธอเป็นอะไร” ร่างสูงเดินเข้ามาหาฉัน เขาค่อยๆย่อตัวลงนั่งข้างๆฉัน ก่อนจะมองสำรวจฉันพร้อมกับเอ่ยถามขึ้นอย่างสังเกตเห็นความผิดปกติของฉัน
“ฉะ ฉันร้อน” ฉันดึงคอเสื้อของตัวเองออกอย่างแรง จนนิ้วเรียวของฉันขูดเขากับลำคอเป็นรอยแดงยาว ร่างสูงตรงหน้าดึงมือของฉันออกก่อนจะกุมมือบางของฉันไว้แน่
“ใจเย็นๆ อาการเธอดูแปลกๆนะ”“อือ ดีนฉันร้อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงกระเส่า ก่อนที่ฉันจะล้มลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว“ตั้งสติ” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่สามารถทำให้ฉันมีสติได้เลยจริงๆ ความร้อนในกายของฉันมันยิ่งเดือดพลานมากขึ้นไปอีก“ระ ร้อน” ฉันพยายมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของร่างสูงตรงหน้า แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแรงฉันสู้แรงของเขาไม่ได้“มีใครเอาอะไรให้เธอกินรึป่าว” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเครียด“มะ ไม่มี” ฉันสายหัวแรงๆ ฉันรู้ทุกอย่างว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย“แล้วเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง”“อื้อ นายอย่าถามมากได้ไหม...ฉันร้อน” ฉันตะคอกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง“ดะ ดีน” ฉันครางเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา“อย่ามามองฉันแบบนี้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง“ดีน มองฉันหน่อยน้า” ฉันอ้อนร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความยับยั้งช่างใจเองก็เช่นเดียวกัน ฉันดึงมือของตัวเอ
พายุฝนฟ้าคะนองในฤดูฝนช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดฝนตกอย่างหนักพร้อมกับลมกระโชกแรงทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังเสียหายไปตามๆกัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านหนองไม้หวายที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วยเช่นกัน กินเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสามกว่าๆ แล้วก็ตาม บนถนนที่เงียบเหงาไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมาทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำบนท้องถนนในยามนี้จึงมีเพียงรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วลัดเลอะไปตามถนนสายหลักที่คดโค้งไปตามแนวของสันเขาอย่างชำนาญ ก่อนจะหักเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกใหญ่ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบยิ่งขับเข้ามาลึกเท่าไหร่จากถนนสองเลนก็เหลือเพียงเลนเดียวจากถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรังลำห้วยขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจของหมู่บ้านหนองไม้หวาย ห้วยแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปีทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยบริเวณนี้มีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ทำการเกษตรของเกษตรกร หรือแม้แต่เป็นแห่งรวมความสนุกสนานเสียงหัวเราะของชาวบ้านหลายช่วงวัยที่ได้มาคลายร้อน
แค่ก! แค่ก! แค่ก! “พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา “ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
แอ๊ดดดดดดด! !!“ฉันต้มน้ำใบบัวบกไว้ให้นายด้วย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันสังเกตุเห็นว่าวันนี้ใบหน้าของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีก“น้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน ลดการอักเสบนายต้องดื่มให้หมดนะเข้าใจไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยื่นแก้วในมือให้เขา“...” เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบคำถามของฉัน“ดีมาก รอให้มันเย็นกว่านี้ก็ได้ดื่มตอนนี้เดี๋ยวมันจะลวกปากนาย”“…” ฉันวางแก้วใบบัวบกไว้ข้างๆ ก่อนที่มือบางของฉันจะวางลงที่หน้าผากของเขา พร้อมกับมืออีกข้างของฉันวางลงที่หน้าผากของตัวเองเพื่อเป็นการเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างสูงตรงหน้า“เหมือนนายจะมีไข้”“ยะ อย่า บะ บอก คะ ใคร”ฉันพยายามจับใจความสิ่งที่ร่างสูงพยายามจะบอกกับฉัน ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน ‘อย่าบอกใคร’ ยิ่งเขาย้ำฉันแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เรื่องราวเข้าไปใหญ่เลย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของฉัน ‘เขาเป็นใคร?’ ‘ใครทำร้ายเขา?’ ‘แล้วทำไมต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ?’“ฉันเข้าใจแล้ว นายอย่าพึ่งพูดมากเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปด้ว
“พังหมดเลย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นฝายน้ำล้นตรงหน้าของฉัน น้ำป่ายังคงไหลหลากอยู่เลยสังเกตจากสีของน้ำที่ยังคงขุ่นมัว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวเป็นอย่างที่ฉันคิดว่าเรายังไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้“นายนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูรอบๆนี้ก่อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าหลังจากที่ฉันปูเสื่อที่พกมาด้วยเรียบร้อยแล้ว“เธอจะไปไหน” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ“เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูรอบๆไง หูนายมีปัญหาปะ”“เธอก็ดูอยู่นี่ไงไม่เห็นต้องเดินไปไหน” เขาเอ่ยบอกกับฉันหน้าตาเฉย พร้อมกับมองมายังฉันอย่างไม่เข้าใจ“นายกลัวรึไง” ฉันยืนเท้าเอวพร้อมกับมองไปยังร่างสูงอย่างไม่เข้าใจเขาเช่นกัน ฉันจะมาที่นี่คนเดียวก็จะตามมาด้วย พอฉันจะเดินไปดูรอบๆคนเดียวก็พูดเหมือนจะไม่ให้ฉันไปอีก ‘หัวจะปวดนะกับผู้ชายคนนี้’“…”“ฉันไม่ไปไกลหรอกเดี๋ยวฉันกลับมา นายนั่งพักอยู่นี่แหละ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้เขาคัดค้านอะไรอีก“บัว” ร่างสูงตะโกนเรียกตามหลังฉันมา“ไม่ฟังแล้ว” ฉันก็ตะโกนตอบกลับเขาไปทันทีเช่นกัน“ทำไมเธอดื้อจังวะ”“เรื่องของฉัน แบร่!” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปหลอกเค้าจ
“ใจเย็นๆ อาการเธอดูแปลกๆนะ”“อือ ดีนฉันร้อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงกระเส่า ก่อนที่ฉันจะล้มลงไปนั่งอยู่ตรงหน้าเขา ใบหน้าของเราอยู่ห่างกันเพียงเล็กน้อยเท่านั้น มันยิ่งทำให้หัวใจของฉันแทบหลุดออกมาจากอกอยู่แล้ว“ตั้งสติ” เขาเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ แต่คำพูดของเขาไม่สามารถทำให้ฉันมีสติได้เลยจริงๆ ความร้อนในกายของฉันมันยิ่งเดือดพลานมากขึ้นไปอีก“ระ ร้อน” ฉันพยายมดึงมือตัวเองออกจากการจับกุมของร่างสูงตรงหน้า แต่มันก็ไม่เป็นผลเลยแรงฉันสู้แรงของเขาไม่ได้“มีใครเอาอะไรให้เธอกินรึป่าว” ร่างสูงเอ่ยถามฉันเสียงเครียด“มะ ไม่มี” ฉันสายหัวแรงๆ ฉันรู้ทุกอย่างว่าตัวเองทำอะไรลงไป แต่เหมือนกับว่าฉันไม่สามารถควบคุมตัวเองได้เลย“แล้วเธอกินอะไรเข้าไปบ้าง”“อื้อ นายอย่าถามมากได้ไหม...ฉันร้อน” ฉันตะคอกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง“ดะ ดีน” ฉันครางเรียกชื่อเขาเบาๆ พร้อมกับส่งยิ้มหวานไปให้เขา“อย่ามามองฉันแบบนี้” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ ก่อนจะหันหน้าหนีไปอีกทาง“ดีน มองฉันหน่อยน้า” ฉันอ้อนร่างสูงตรงหน้าเสียงอ่อน ตอนนี้สติของฉันแทบจะไม่หลงเหลืออยู่แล้ว ความยับยั้งช่างใจเองก็เช่นเดียวกัน ฉันดึงมือของตัวเอ
3 วันต่อมา...8.00 น.“เอากระเป๋ามาเดี๋ยวฉันสะพายเอง” ร่างสูงเอ่ยบอกกับฉันเสียงเรียบ พร้อมกับมือหนาของเขาหยิบกระเป๋าเป้ใบใหญ่ของฉันไปสะพายไว้ วันนี้เราสองคนมีภารกิจตามล่าหาสัญญาณโทรศัพท์“ขอบใจนะ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้า ก่อนจะเดินนำเขาออกไปด้านนอก ฉันเลือกอ้อมไปทางด้านหลังของหมู่บ้านมันอาจจะไกลกว่าทางปกติอยู่บ้างแต่มันก็เป็นเส้นทางที่ปลอดภัยสำหรับเขาที่สุดสองสามวันมานี้ร่างกายของเขาเริ่มกลับมาแข็งแรงแล้วอาจจะยังหลงเหลือรอยช้ำอยู่บ้างก็ตาม ฉันนับถือใจเขามากเลยถ้าเป็นคนอื่นโดนมาหนักขนาดนี้อาจจะไม่รอดแล้วก็ได้“อุ๊ย!!” ในขณะที่ฉันคิดอะไรไปเรื่อยๆ ด้วยความเหม่อลอยทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตุเห็นก้อนหินตรงหน้าทำให้ฉันสะดุดมันแต่...“ระวัง” ร่างสูงเอ็ดฉันเบาๆ พร้อมกับมือหนาโอบเข้าที่เอวบางของฉันไว้แน่น ถ้าไม่ได้เขาจับฉันไว้ป่านี้ฉันคงได้ไปจับกบอยู่ที่พื้นแล้วล่ะ“ขอบใจนะ”“อืม...”“…/…”“นะ นายช่วยเอามือออกจากเอวฉันก่อนได้ไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงด้านหลังเบาๆ หลังจากที่เราเงียบใส่กันไปแป๊บนึง ร่างสูงจึงค่อยๆคลายอ้อมกอดออกไปอย่างช้าๆ“เดินระวังด้วย” เขาเอ่ยตามหลังฉันมาเสียงเรียบ“อืม”ติ้ง
“พังหมดเลย” ฉันร้องออกมาเบาๆ ทันทีที่เห็นฝายน้ำล้นตรงหน้าของฉัน น้ำป่ายังคงไหลหลากอยู่เลยสังเกตจากสีของน้ำที่ยังคงขุ่นมัว กระแสน้ำยังไหลเชี่ยวเป็นอย่างที่ฉันคิดว่าเรายังไม่สามารถซ่อมแซมมันได้ในตอนนี้“นายนั่งรอฉันอยู่ตรงนี้ก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะเดินไปดูรอบๆนี้ก่อน” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าหลังจากที่ฉันปูเสื่อที่พกมาด้วยเรียบร้อยแล้ว“เธอจะไปไหน” เขาเอ่ยถามฉันเสียงเรียบ“เดี๋ยวฉันจะไปเดินดูรอบๆไง หูนายมีปัญหาปะ”“เธอก็ดูอยู่นี่ไงไม่เห็นต้องเดินไปไหน” เขาเอ่ยบอกกับฉันหน้าตาเฉย พร้อมกับมองมายังฉันอย่างไม่เข้าใจ“นายกลัวรึไง” ฉันยืนเท้าเอวพร้อมกับมองไปยังร่างสูงอย่างไม่เข้าใจเขาเช่นกัน ฉันจะมาที่นี่คนเดียวก็จะตามมาด้วย พอฉันจะเดินไปดูรอบๆคนเดียวก็พูดเหมือนจะไม่ให้ฉันไปอีก ‘หัวจะปวดนะกับผู้ชายคนนี้’“…”“ฉันไม่ไปไกลหรอกเดี๋ยวฉันกลับมา นายนั่งพักอยู่นี่แหละ” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าเสียงใส ก่อนจะเดินออกไปทันทีไม่รอให้เขาคัดค้านอะไรอีก“บัว” ร่างสูงตะโกนเรียกตามหลังฉันมา“ไม่ฟังแล้ว” ฉันก็ตะโกนตอบกลับเขาไปทันทีเช่นกัน“ทำไมเธอดื้อจังวะ”“เรื่องของฉัน แบร่!” ฉันหยุดเดินก่อนจะหันไปหลอกเค้าจ
แอ๊ดดดดดดด! !!“ฉันต้มน้ำใบบัวบกไว้ให้นายด้วย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าที่ยังคงมองมาที่ฉันด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง ฉันสังเกตุเห็นว่าวันนี้ใบหน้าของเขาบวมช้ำกว่าเมื่อคืนนี้ซะอีก“น้ำใบบัวบกมีสรรพคุณแก้อาการช้ำใน ลดการอักเสบนายต้องดื่มให้หมดนะเข้าใจไหม” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าอีกครั้งด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนจะยื่นแก้วในมือให้เขา“...” เขาพยักหน้าเบาๆ เพื่อเป็นการตอบคำถามของฉัน“ดีมาก รอให้มันเย็นกว่านี้ก็ได้ดื่มตอนนี้เดี๋ยวมันจะลวกปากนาย”“…” ฉันวางแก้วใบบัวบกไว้ข้างๆ ก่อนที่มือบางของฉันจะวางลงที่หน้าผากของเขา พร้อมกับมืออีกข้างของฉันวางลงที่หน้าผากของตัวเองเพื่อเป็นการเช็คอุณหภูมิร่างกายของร่างสูงตรงหน้า“เหมือนนายจะมีไข้”“ยะ อย่า บะ บอก คะ ใคร”ฉันพยายามจับใจความสิ่งที่ร่างสูงพยายามจะบอกกับฉัน ก่อนจะสรุปได้ว่าเขาพูดอะไรกับฉัน ‘อย่าบอกใคร’ ยิ่งเขาย้ำฉันแบบนี้มันยิ่งทำให้ฉันอยากรู้เรื่องราวเข้าไปใหญ่เลย คำถามมากมายเกิดขึ้นในหัวของฉัน ‘เขาเป็นใคร?’ ‘ใครทำร้ายเขา?’ ‘แล้วทำไมต้องปิดเรื่องนี้ไว้ไม่ให้ใครรู้ด้วยล่ะ?’“ฉันเข้าใจแล้ว นายอย่าพึ่งพูดมากเลย” ฉันเอ่ยบอกกับร่างสูงตรงหน้าออกไปด้ว
แค่ก! แค่ก! แค่ก! “พ่อจ้าแม่จ้าช่วยลูกด้วย” ฉันร้องออกมาเสียงหลงพร้อมกับยกมือขึ้นไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์“ไม่สิ! อยู่นี่มาตั้งนานไม่เคยเจอเลย” ฉันค่อยลืมตาขึ้นพร้อมกับส่องไฟฉายไปรอบๆ บริเวณที่ฉันอยู่เพื่อให้แน่ใจบางทีฉันอาจจะหูฝาดไปเองก็ได้นี่นา “ผีจะมีได้ไง” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนที่สายตาของฉันจะไปสะดุดเข้ากลับอะไรบางอย่างที่ขยับอยู่ใกล้กับโขดหิน ลักษณะมันเหมือนกับมือของคนกำลังจับกิ่งไม่อยู่ยังไงยังงั้น“ถ้าเป็นผีก็คงขึ้นมาหลอกเราแล้วล่ะ น้ำไหลแรงขนาดนี้ผีก็ผีเถอะ” ฉันเอ่ยบอกกับตัวเองก่อนจะเดินไปเรือนนอนของตัวเอง ไวกว่าความคิดมือบางของฉันก็หันไฟฉายไปยังบริเวณที่มีสิ่งผิดปกติอีกครั้งเพื่อให้มั่นว่าฉันตาฝาดไปจริงๆ แต่แล้ว...“ฮึ่ย! คนนี่หว่า” ด้วยความตกใจฉันจึงรีบวิ่งไปยังลำห้วยด้านล่างทันที ฉันไม่ได้ตาฝาดไปแน่ๆ เค้าต้องเป็นคนอย่างแน่นอนและที่สำคัญมือหนาที่จับกิ่งไม้อยู่นั้นแทบจะหมดแรงลงไปทุกทีแล้ว“นายๆ ได้ยินฉันไหม” ฉันตะโกนเรียกร่างสูงตรงหน้าเสียงดัง ในขณะที่ฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมาอีกครั้งสายฟ้าที่พาดผ่านลงมาเป็นแสงวูบวาบ ตามมาด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังสนั่นหวั่นไหวไปทั่วบริเวณ
พายุฝนฟ้าคะนองในฤดูฝนช่วงเดือนกันยายน ส่งผลให้หลายพื้นที่ของประเทศเกิดฝนตกอย่างหนักพร้อมกับลมกระโชกแรงทำให้บ้านเรือนหลายหลังพังเสียหายไปตามๆกัน ไม่ต่างอะไรกับหมู่บ้านหนองไม้หวายที่ได้รับผลกระทบจากพายุลูกนี้ด้วยเช่นกัน กินเวลากว่าหลายชั่วโมงแล้วที่ฝนยังคงตกลงมาอย่างหนักและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด ท้องฟ้าที่มืดครึ้มมาตลอดทั้งวันจนตอนนี้เวลาล่วงเลยมาจนถึงบ่ายสามกว่าๆ แล้วก็ตาม บนถนนที่เงียบเหงาไร้ผู้คนสัญจรไปมาเนื่องจากสภาพอากาศที่ไม่เอื้ออำนวยให้ออกมาทำกิจวัตรอย่างเช่นที่เคยทำบนท้องถนนในยามนี้จึงมีเพียงรถตู้คันใหญ่ที่ขับมาด้วยความเร็วลัดเลอะไปตามถนนสายหลักที่คดโค้งไปตามแนวของสันเขาอย่างชำนาญ ก่อนจะหักเลี้ยวซ้ายบริเวณสามแยกใหญ่ สองข้างทางเริ่มเปลี่ยนเป็นป่ารกทึบยิ่งขับเข้ามาลึกเท่าไหร่จากถนนสองเลนก็เหลือเพียงเลนเดียวจากถนนคอนกรีตก็เปลี่ยนเป็นถนนลูกรังลำห้วยขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนหัวใจของหมู่บ้านหนองไม้หวาย ห้วยแห่งนี้มีน้ำตลอดทั้งปีทำให้ชาวบ้านที่อยู่อาศัยบริเวณนี้มีน้ำใช้สำหรับอุปโภคบริโภค ทำการเกษตรของเกษตรกร หรือแม้แต่เป็นแห่งรวมความสนุกสนานเสียงหัวเราะของชาวบ้านหลายช่วงวัยที่ได้มาคลายร้อน