“ตอนที่น้องชายเสียชีวิต นายก็ไม่ได้เห็นศพใช่ไหม”“ไม่เห็น และไม่รู้ด้วยซ้ำ เพราะตอนนั้นฉันขึ้นลงติดต่องานที่ต่างประเทศเป็นว่าเล่น อาพงศ์กลัวฉันไม่มีสมาธิ เลยไม่ได้บอกในตอนนั้น และเผาศพในวันถัดมา แกบอกแค่นี้...”“มันเป็นไปได้เหรอที่จะไม่รอนายมาเผาศพน้องตัวเองเป็นครั้งสุดท้าย”“ฉันมัวแต่เสียใจและมัวแต่หาเหตุผลกับการฆ่าตัวตายของเตชิน เลยไม่ได้สนใจตรงจุดนี้...”“แล้วหากศพนั้นไม่ใช่กระดูกของเตชินล่ะ”ดวงตาที่ดูสิ้นหวังกระจ่างวาบขึ้น แล้วสลดลงอย่างเดิม “มันมีด้วยเหรอวะ ที่ต้องทำกันขนาดนี้”“แล้วมีอะไรที่คนเราจะทำไม่ได้...ในเมื่อนายก็เห็นแล้วนี่ ว่าสิ่งที่นายพงศ์กับเตชินทำ มันก็เกินเหลือเชื่อ” เดร์หยุดพูดแล้วมองอาการของเพื่อนรักอย่างรู้สึกเห็นใจมาก “นายไม่ต้องคิดมาก เดี๋ยวฉันจะส่งคนตามดูอาพงศ์ให้เอง ส่วนคนที่นายควรสนใจตอนนี้คือคนที่นายไปทำร้ายเขา นายจะไปแก้ตัวกับเขายังไง หรือนายมีแผนในใจอยู่แล้ว”“ยังเลย...” ตะวันตอบน้ำเสียงเครียดอย่างคนสิ้นหนทาง...หลังจากที่คุยกับเดร์ในทุกๆ เรื่อง ตะวันก็กลับมาบ้าน และเห็นป้าปุกยืนรดน้ำต้นไม้อยู่“ทำไมมารดน้ำต้นไม้เอง”“ว่างๆ ก็เลยอยากช่วยค่ะ”“อาพงศ์ล่ะ”
ในขณะหนึ่งที่ตะวันยกแก้ววิสกี้ขึ้นดื่ม สายตาก็ปะทะกับเจ้าของใบหน้าขาวผ่องที่กระทบแสงไฟสลัวอยู่ไม่ไกลน้ำเหนือ...แล้วแก้ววิสกี้ก็ถูกวางลงที่เดิม เจ้าของร่างสูงใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ ตัดสินใจลุกขึ้นยืนเต็มความสูง“จะกลับแล้วหรือครับ” บาร์เทนเดอร์ที่มองเจ้าของใบหน้าหล่อเหลาอยู่เป็นระยะถามขึ้นตะวันหันมามองสายตาด้วยสายตาเป็นมิตร...อย่างน้อย ก็มีคนสนใจว่าเขาจะไปจะมาตอนไหน “เปล่า ว่าจะไปทักทายคนรู้จักหน่อย” แล้วมองไปยังหนุ่มหล่อที่กำลังคุยโทรศัพท์สีหน้าเคร่งเครียดอยู่“คนรู้จัก...ใช่น้ำหนือหรือเปล่าครับ” เพราะเห็นว่าสายตาที่ว่างเปล่าก่อนหน้านี้เป็นประกายหวามไหวขึ้นทันทีที่มองไปตรงจุดนั้น“รู้จักด้วยเหรอ...”“เป็นรุ่นน้องของเพื่อนที่ทำงานนี่แหละครับ...”“รุ่นน้อง หรือแฟน” ตะวันแกล้งโยนหินถามทาง“โอ๊ย เคนเขาชอบผู้หญิงครับ...” น้ำเสียงกลั้วขำรีบบอก “ส่วนน้ำเหนือเคยได้ยินว่าเขาปิดกั้นตัวเองนะครับ แล้วให้เพื่อนพี่ชายคนสนิท เป็นไม้...รับหน้าอยู่ครับ”“เชื่อได้แน่เหรอ...” เจ้าของดวงตาเรียบลึกถามไม่มั่นใจ“ผมก็ไม่แน่ใจนะครับ...แต่ถ้าคุณอยากรู้ ผมแนะนำให้ไปถามเพื่อนผมที่ชื่อเคนเลยครับ”“เพื่อนนายชื่
ตะวันถอนหายใจเป็นช่วงจังหวะที่เครื่องดื่มถูกส่งมาพร้อมกัน ต่างคนจึงยกขึ้นดื่ม แต่น้ำเหนือกระดกทีเดียวหมดแก้ว“นี่ ทำไมไม่ค่อยๆ กิน เดี๋ยวก็สำลักตาย”“มันขมเฝื่อนติดคอ...ต้องยกซดแบบนี้แหละ” แล้ววางแก้วดันไปให้พนักงานชงต่อตะวันส่ายหน้า คิดจะมาเป็นนักดื่มแต่ท่าทางไม่ให้เอาเสียเลย...“เฮอะ ไม่เมาให้รู้ไป...” ตะวันเปรยโดยไม่ได้สนใจสีหน้าคนที่ได้ยินนักซึ่งช่วงจังหวะนั้นรุ่นพี่ที่น้ำเหนือสนิทด้วยเดินเข้ามาเห็น “เหนือมาแล้วเหรอ...อ้าว ไม่ใช่ไอ้กรนี่ แต่...อ้อ สวัสดีครับ...” ‘เพื่อนคุณแยม’ ประโยคหลังเคนคิดในใจแล้วยิ้มพาดผ่านเผื่อไปยังเพื่อนที่เป็นบาร์เทนเดอร์ด้วย อีกฝ่ายก็ยิ้มรับ“ตามสบายนะครับ...วันนี้รู้สึกว่าคุณแยมไม่อยู่” เคนเอ่ยบอกหนุ่มหล่อที่นั่งพูดคุยอยู่กับรุ่นน้องด้วยท่าทางเป็นกันเอง ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย“อืม...” ตะวันตอบในลำคอ ท่าทางปกติ เคนสลัดความคลางแคลงใจทิ้ง เพราะสถานที่แบบนี้ ความสัมพันธ์ที่เพียงถูกตาถูกใจ ก็คลิกเข้าหากันได้ไม่ยาก“งั้นไม่กวนนะ...เออ หากเมากลับบ้านไม่ไหวก็บอกนะ จะเรียกแท็กซี่ให้” บอกรุ่นน้องที่สนิทด้วยแววตากรุ้มกริ่ม“โธ่พี่ ผมนึกว่าพี่จะพาผมไปส่งบ้าน”“เชอะ
นอกชานเมืองที่ไม่มีรถวิ่งพลุกพล่านตะวันจึงเร่งความเร็ว ไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทาง บ้านพักหลังใหญ่มีรั้วรอบขอบชิด ด้านกำแพงและทางเดินมีไฟส่องสว่างเป็นระยะๆ ตะวันเลือกจอดรถเลยประตูรั้วไปและมองหาคนของเดร์ แต่สองข้างทางไม่มีรถใครอื่นจึงเลิกมองหา ก่อนจะก้าวลงจากรถมองไปที่ประตูรั้วจึงเห็นว่ามันไม่ได้ล็อกไว้ไม่นานรถเก๋งอีกคันก็แล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ และเมื่อเห็นว่าเป็นเดร์ ตะวันก็เดินเข้าไปหาสีหน้ากังวล“ไม่เห็นคนของนาย...”“พวกมันเฝ้ามาทั้งวัน เลยขอตัวไปหาอะไรกินแถวๆ นี้ ก่อนที่นายจะมาถึงนี่แหละ ไม่ถึงสิบห้านาทีคงกลับมาสมทบ”ตะวันพยักหน้า แต่ก็ยังติดใจจึงถามย้ำ “...นายมั่นใจว่าเป็นบ้านของอาพงศ์จริงๆ เหรอ”“คนของฉันเฝ้าดูจนมั่นใจ ว่าอาพงศ์เข้าไปและยังไม่ออกมา...”“อาพงศ์อาจจะมาหาใคร...”“แล้วนายคิดว่ามาหาใคร...”“ก็ไม่รู้...”“นั่นไง เพราะไม่รู้ว่ามาหาใครกันแน่ นายถึงต้องมาให้เห็นกับตา เพราะหากเราจะง้างปากเขา นายก็ไม่ได้คำตอบหรอก...” หยุดมองหน้าเพื่อนที่เห็นว่ากำลังใช้ความคิด แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนคิดนานไป เดร์จึงถามขึ้นอีก “นายจะเข้าไปคนเดียวหรือว่าไง” คนพร้อมเคียงข้างหรี่ตารอคำตอบตะวันถอนหายใจ
ทั้งที่มือสั่นประหนึ่งคนจับไข้ ค่อยๆ ยื่นไปจับลูกบิดแล้วหมุนช้าๆ ซึ่งมันไม่ได้ล็อก ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม จนหยุดกลั้นหายใจ แล้วผลักประตูเปิด...ภาพตรงหน้าคือใครคนหนึ่งที่ถูกล่ามโซ่ไว้“เตชิน” เหมือนยืนอยู่ใจกลางพายุ ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลตีวุ่นเข้าหากัน “เตชินนายยังไม่ตาย...” เสียงที่เรียกดังพอให้คนที่ก้มหน้าฟุบอยู่บนเข่าเงยหน้าขึ้นมาดวงตาอิดโรยหรี่ตาเพ่งมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อมั่นใจว่าใช่คนที่ตัวเองรู้จักดี “น้ำเหนือ...นายมาได้ยังไง” น้ำเสียงแห้งแหบเปรยขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา “น้ำเหนือจริงด้วย ช่วยฉันด้วย” เตชินผู้ถูกขังมาแรมปีตะเกียกตะกายคลานมาหา แต่ติดตรงที่ข้อเท้าถูกล่ามโซ่เส้นใหญ่เอาไว้จึงมาไม่ถึงน้ำเหนือเมื่อมั่นใจว่าคนตรงหน้าที่ถูกกรอกหูว่าตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ ก็วิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจแล้วทรุดตัวลงนั่ง สวมกอดกันด้วยความดีใจ ก่อนจะดันคนที่ผ่ายผอมออกห่าง สองมือจับไปบนแขนที่บัดนี้เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก อย่างคนถูกทิ้งให้อดอยาก“ทำไมถึงเป็นแบบนี้...” น้ำเหนือขอบตาร้อนผ่าว ก่อนจะไล่สายตามองสำรวจไปบนร่างกายของเพื่อนรัก หยุดอยู่ที่ข้อเท้า ซึ่งถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ บนผิว
น้ำเหนือน้ำตาร่วงริน เมื่อเห็นภาพสองพี่น้องที่กอดคอกันสะอื้นไห้ โดยไม่ห่วงภาพพจน์โดยเฉพาะตะวัน อีกทั้งไม่สนใจว่าตัวเองจะเสียเลือดมากแค่ไหน...“เชี่ย” เดร์ที่เข้ามาไม่ทันการร้องเสียงหลง และยิ่งเห็นภาพตรงหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าจะตกใจสภาพของใครก่อน ระหว่างน้องชายเพื่อนที่ถูกล่ามด้วยโซ่หรือคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้หัวแตกเลือดอาบไปทั้งหน้า“คุณตะวันไปหาหมอก่อนนะครับ” เสียงน้ำเหนือร้อนรนขึ้น เมื่อเห็นว่าเลือดไม่หยุดไหลแต่คนเจ็บไม่ได้มีทีท่าใส่ใจ กลับส่งสายตาเศร้าผิดหวังมองคนของตัวเอง แต่แล้วก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกร้าวของเดร์สั่งขึ้น“จับอาพงศ์ไว้” เดร์หันไปสั่งลูกน้อง“อย่ามายุ่ง” พงศ์ต่อต้าน ไม่ยอมให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองเข้าถึงตัว“หรือจะให้เรียกตำรวจ” เดร์ตะคอกถามเสียงกร้าว หากแต่คนผิดไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านตะวันออกอาการตกใจกับคำพูดของเดร์อย่างเห็นได้ชัด แล้วรีบพูดขึ้น “ไม่ๆ ฉันจัดการเอง...” เจ็บจนเกือบทนไม่ไหวแต่ยังประคองตัวกัดฟันเพื่อห้ามเพื่อนไว้ เพราะไม่อยากให้ใครทำรุนแรงกับอาพงศ์“นี่เขาทำกับนาย ทำกับเตชินขนาดนี้ นายยังจะกลัวอะไรอีก”“นายไม่ได้มาอยู่จุดนี้ นายไม่รู้หรอก...”“เออ...ฉันไม่รู้
น้ำเหนือเงยหน้าสบตาอย่างไม่เชื่อหู...จากที่อยากต่อว่าคนทำตัวรุ่มร่ามก็ต้องเก็บคำเอาไว้ เหลือไว้เพียงสายตาเห็นใจที่เต็มไปด้วยความสับสนทำไมต้องเป็นเรา...น้ำเหนือครุ่นคิด และทำไมตัวเองถึงใจง่ายปล่อยให้อีกฝ่ายจูบ...“ลำบากใจหรือเปล่า” ตะวันถามด้วยความข้องใจเมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองจูบไปนั้นยืนนิ่งเหมือนคนคิดหนัก“ทำไมต้องเป็นผม” ถามด้วยความไม่มั่นใจดวงตาที่แฝงความดุดันไม่ยอมใครก่อนหน้านั้นอ่อนแสงลงไปมาก “หากใจไม่ตรงกัน นายคงไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้นกับนายไม่ใช่เหรอ”น้ำเหนืออึกอัก ดวงหน้าเป็นสีระเรื่อ “ตอบไม่ตรงคำถาม...ผมถามว่าทำไมต้องเป็นผม” สายตาเร่งเร้าเอาคำตอบสายตาหวั่นไหวตอบกลับเสียงทุ้มนุ่ม “ถ้าคนมันไม่ใช่ใครเขาอยากไปทำ...”“แล้วไม่คิดว่าผมจะชกหน้าคุณเหรอ” น้ำเหนือชักสีหน้าดื้อใส่ตอบกลับ“หรือจะบอกว่าเราใจไม่ตรงกัน...”“ก็มันไวเกินไป...พูดกับคุณแล้วไม่รู้เรื่อง นี่เห็นว่าเป็นพี่ชายเพื่อนนะ...หึย...จะไปดูเตชินจะไปด้วยกันไหม” ไม่รู้จะต่อว่าหรือจับประเด็นตรงไหนก่อนดีจึงตัดบท“ก็นำไปสิ...”เมื่ออีกฝ่ายออกปาก น้ำเหนือจึงรีบเดินออกไป พร้อมหัวใจที่เต้นแรงและใบหน้าฉาบสีเรื่อกว่าเดิม โดยตะวันย
ย้อนไปเมื่อปีก่อน“เป็นอะไร ทำไมไม่บอก” เมื่อรถจอดสนิทหน้ามุข พายุก็ถามอีกครั้ง“บอกไม่เป็นอะไรไง พี่รีบกลับไปเถอะ” จากที่เป็นคนพูดน้อย แต่เมื่อได้ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปพอกรึ่มๆ ก็ตอบเสียงฉะฉาน ซ้ำยังชักสีหน้าจนคู่สนทนาอย่างพายุรับรู้ได้ว่าต้องมีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจแต่มันคืออะไรล่ะ...“นี่ไง ไล่พี่แบบนี้แล้วบอกว่าไม่มีอะไร มันเป็นไปได้หรือ...”พายุไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้อีกฝ่ายหงุดหงิด หลังจากนั่งดื่มกันอยู่ดีๆ หันมาอีกทีอีกฝ่ายก็ชักสีหน้างอและบอกให้พาไปส่งบ้าน“ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียว” เตชินตวาดใส่แล้วเปิดประตูเดินลงจากรถทั้งที่มีอาการเซเนื่องจากดื่มหนักกว่าทุกครั้งพายุที่ยังรู้สึกค้างคาใจเปิดประตูลงตามมารั้งแขนไว้ แต่ก็ถูกสลัดออก เขาจึงมองด้วยสายตาอ่อนใจแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าหม่น“เป็นอะไรต้องบอกสิ จะได้ง้อถูก”“ม่ายต้อง พี่กลับไปเหอะ” น้ำเสียงยานคางตอบด้วยความหงุดหงิดกว่าเดิม“ได้ งั้นพี่รอให้เตชินอารมณ์ดีกว่านี้ แล้วพี่จะโทรมาคุยด้วยใหม่นะ”พายุจึงยอมไปก่อน คิดว่ารอให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีแล้วค่อยโทรมาคุยใหม่ จึงขับรถกลับออกไปหลังจากที่รถของพายุขับออกไปแล้ว เตชินก็ยืนหน้าบอกบุญไม่รับแล