ตะวันถอนหายใจเป็นช่วงจังหวะที่เครื่องดื่มถูกส่งมาพร้อมกัน ต่างคนจึงยกขึ้นดื่ม แต่น้ำเหนือกระดกทีเดียวหมดแก้ว“นี่ ทำไมไม่ค่อยๆ กิน เดี๋ยวก็สำลักตาย”“มันขมเฝื่อนติดคอ...ต้องยกซดแบบนี้แหละ” แล้ววางแก้วดันไปให้พนักงานชงต่อตะวันส่ายหน้า คิดจะมาเป็นนักดื่มแต่ท่าทางไม่ให้เอาเสียเลย...“เฮอะ ไม่เมาให้รู้ไป...” ตะวันเปรยโดยไม่ได้สนใจสีหน้าคนที่ได้ยินนักซึ่งช่วงจังหวะนั้นรุ่นพี่ที่น้ำเหนือสนิทด้วยเดินเข้ามาเห็น “เหนือมาแล้วเหรอ...อ้าว ไม่ใช่ไอ้กรนี่ แต่...อ้อ สวัสดีครับ...” ‘เพื่อนคุณแยม’ ประโยคหลังเคนคิดในใจแล้วยิ้มพาดผ่านเผื่อไปยังเพื่อนที่เป็นบาร์เทนเดอร์ด้วย อีกฝ่ายก็ยิ้มรับ“ตามสบายนะครับ...วันนี้รู้สึกว่าคุณแยมไม่อยู่” เคนเอ่ยบอกหนุ่มหล่อที่นั่งพูดคุยอยู่กับรุ่นน้องด้วยท่าทางเป็นกันเอง ก็รู้สึกแปลกใจไม่น้อย“อืม...” ตะวันตอบในลำคอ ท่าทางปกติ เคนสลัดความคลางแคลงใจทิ้ง เพราะสถานที่แบบนี้ ความสัมพันธ์ที่เพียงถูกตาถูกใจ ก็คลิกเข้าหากันได้ไม่ยาก“งั้นไม่กวนนะ...เออ หากเมากลับบ้านไม่ไหวก็บอกนะ จะเรียกแท็กซี่ให้” บอกรุ่นน้องที่สนิทด้วยแววตากรุ้มกริ่ม“โธ่พี่ ผมนึกว่าพี่จะพาผมไปส่งบ้าน”“เชอะ
นอกชานเมืองที่ไม่มีรถวิ่งพลุกพล่านตะวันจึงเร่งความเร็ว ไม่นานก็ถึงจุดหมายปลายทาง บ้านพักหลังใหญ่มีรั้วรอบขอบชิด ด้านกำแพงและทางเดินมีไฟส่องสว่างเป็นระยะๆ ตะวันเลือกจอดรถเลยประตูรั้วไปและมองหาคนของเดร์ แต่สองข้างทางไม่มีรถใครอื่นจึงเลิกมองหา ก่อนจะก้าวลงจากรถมองไปที่ประตูรั้วจึงเห็นว่ามันไม่ได้ล็อกไว้ไม่นานรถเก๋งอีกคันก็แล่นเข้ามาจอดใกล้ๆ และเมื่อเห็นว่าเป็นเดร์ ตะวันก็เดินเข้าไปหาสีหน้ากังวล“ไม่เห็นคนของนาย...”“พวกมันเฝ้ามาทั้งวัน เลยขอตัวไปหาอะไรกินแถวๆ นี้ ก่อนที่นายจะมาถึงนี่แหละ ไม่ถึงสิบห้านาทีคงกลับมาสมทบ”ตะวันพยักหน้า แต่ก็ยังติดใจจึงถามย้ำ “...นายมั่นใจว่าเป็นบ้านของอาพงศ์จริงๆ เหรอ”“คนของฉันเฝ้าดูจนมั่นใจ ว่าอาพงศ์เข้าไปและยังไม่ออกมา...”“อาพงศ์อาจจะมาหาใคร...”“แล้วนายคิดว่ามาหาใคร...”“ก็ไม่รู้...”“นั่นไง เพราะไม่รู้ว่ามาหาใครกันแน่ นายถึงต้องมาให้เห็นกับตา เพราะหากเราจะง้างปากเขา นายก็ไม่ได้คำตอบหรอก...” หยุดมองหน้าเพื่อนที่เห็นว่ากำลังใช้ความคิด แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนคิดนานไป เดร์จึงถามขึ้นอีก “นายจะเข้าไปคนเดียวหรือว่าไง” คนพร้อมเคียงข้างหรี่ตารอคำตอบตะวันถอนหายใจ
ทั้งที่มือสั่นประหนึ่งคนจับไข้ ค่อยๆ ยื่นไปจับลูกบิดแล้วหมุนช้าๆ ซึ่งมันไม่ได้ล็อก ยิ่งทำให้ใจเต้นแรงขึ้นกว่าเดิม จนหยุดกลั้นหายใจ แล้วผลักประตูเปิด...ภาพตรงหน้าคือใครคนหนึ่งที่ถูกล่ามโซ่ไว้“เตชิน” เหมือนยืนอยู่ใจกลางพายุ ความรู้สึกทั้งหมดทั้งมวลตีวุ่นเข้าหากัน “เตชินนายยังไม่ตาย...” เสียงที่เรียกดังพอให้คนที่ก้มหน้าฟุบอยู่บนเข่าเงยหน้าขึ้นมาดวงตาอิดโรยหรี่ตาเพ่งมอง ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อมั่นใจว่าใช่คนที่ตัวเองรู้จักดี “น้ำเหนือ...นายมาได้ยังไง” น้ำเสียงแห้งแหบเปรยขึ้นอย่างไม่เชื่อสายตา “น้ำเหนือจริงด้วย ช่วยฉันด้วย” เตชินผู้ถูกขังมาแรมปีตะเกียกตะกายคลานมาหา แต่ติดตรงที่ข้อเท้าถูกล่ามโซ่เส้นใหญ่เอาไว้จึงมาไม่ถึงน้ำเหนือเมื่อมั่นใจว่าคนตรงหน้าที่ถูกกรอกหูว่าตายไปแล้วยังมีชีวิตอยู่ ก็วิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจแล้วทรุดตัวลงนั่ง สวมกอดกันด้วยความดีใจ ก่อนจะดันคนที่ผ่ายผอมออกห่าง สองมือจับไปบนแขนที่บัดนี้เหลือเพียงหนังหุ้มกระดูก อย่างคนถูกทิ้งให้อดอยาก“ทำไมถึงเป็นแบบนี้...” น้ำเหนือขอบตาร้อนผ่าว ก่อนจะไล่สายตามองสำรวจไปบนร่างกายของเพื่อนรัก หยุดอยู่ที่ข้อเท้า ซึ่งถูกล่ามไว้ด้วยโซ่ บนผิว
น้ำเหนือน้ำตาร่วงริน เมื่อเห็นภาพสองพี่น้องที่กอดคอกันสะอื้นไห้ โดยไม่ห่วงภาพพจน์โดยเฉพาะตะวัน อีกทั้งไม่สนใจว่าตัวเองจะเสียเลือดมากแค่ไหน...“เชี่ย” เดร์ที่เข้ามาไม่ทันการร้องเสียงหลง และยิ่งเห็นภาพตรงหน้า โดยที่ไม่รู้ว่าจะตกใจสภาพของใครก่อน ระหว่างน้องชายเพื่อนที่ถูกล่ามด้วยโซ่หรือคนเป็นเพื่อนที่ตอนนี้หัวแตกเลือดอาบไปทั้งหน้า“คุณตะวันไปหาหมอก่อนนะครับ” เสียงน้ำเหนือร้อนรนขึ้น เมื่อเห็นว่าเลือดไม่หยุดไหลแต่คนเจ็บไม่ได้มีทีท่าใส่ใจ กลับส่งสายตาเศร้าผิดหวังมองคนของตัวเอง แต่แล้วก็สะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงกร้าวของเดร์สั่งขึ้น“จับอาพงศ์ไว้” เดร์หันไปสั่งลูกน้อง“อย่ามายุ่ง” พงศ์ต่อต้าน ไม่ยอมให้ชายฉกรรจ์ทั้งสองเข้าถึงตัว“หรือจะให้เรียกตำรวจ” เดร์ตะคอกถามเสียงกร้าว หากแต่คนผิดไม่ได้มีทีท่าสะทกสะท้านตะวันออกอาการตกใจกับคำพูดของเดร์อย่างเห็นได้ชัด แล้วรีบพูดขึ้น “ไม่ๆ ฉันจัดการเอง...” เจ็บจนเกือบทนไม่ไหวแต่ยังประคองตัวกัดฟันเพื่อห้ามเพื่อนไว้ เพราะไม่อยากให้ใครทำรุนแรงกับอาพงศ์“นี่เขาทำกับนาย ทำกับเตชินขนาดนี้ นายยังจะกลัวอะไรอีก”“นายไม่ได้มาอยู่จุดนี้ นายไม่รู้หรอก...”“เออ...ฉันไม่รู้
น้ำเหนือเงยหน้าสบตาอย่างไม่เชื่อหู...จากที่อยากต่อว่าคนทำตัวรุ่มร่ามก็ต้องเก็บคำเอาไว้ เหลือไว้เพียงสายตาเห็นใจที่เต็มไปด้วยความสับสนทำไมต้องเป็นเรา...น้ำเหนือครุ่นคิด และทำไมตัวเองถึงใจง่ายปล่อยให้อีกฝ่ายจูบ...“ลำบากใจหรือเปล่า” ตะวันถามด้วยความข้องใจเมื่อเห็นว่าคนที่ตัวเองจูบไปนั้นยืนนิ่งเหมือนคนคิดหนัก“ทำไมต้องเป็นผม” ถามด้วยความไม่มั่นใจดวงตาที่แฝงความดุดันไม่ยอมใครก่อนหน้านั้นอ่อนแสงลงไปมาก “หากใจไม่ตรงกัน นายคงไม่ยอมให้ฉันทำแบบนั้นกับนายไม่ใช่เหรอ”น้ำเหนืออึกอัก ดวงหน้าเป็นสีระเรื่อ “ตอบไม่ตรงคำถาม...ผมถามว่าทำไมต้องเป็นผม” สายตาเร่งเร้าเอาคำตอบสายตาหวั่นไหวตอบกลับเสียงทุ้มนุ่ม “ถ้าคนมันไม่ใช่ใครเขาอยากไปทำ...”“แล้วไม่คิดว่าผมจะชกหน้าคุณเหรอ” น้ำเหนือชักสีหน้าดื้อใส่ตอบกลับ“หรือจะบอกว่าเราใจไม่ตรงกัน...”“ก็มันไวเกินไป...พูดกับคุณแล้วไม่รู้เรื่อง นี่เห็นว่าเป็นพี่ชายเพื่อนนะ...หึย...จะไปดูเตชินจะไปด้วยกันไหม” ไม่รู้จะต่อว่าหรือจับประเด็นตรงไหนก่อนดีจึงตัดบท“ก็นำไปสิ...”เมื่ออีกฝ่ายออกปาก น้ำเหนือจึงรีบเดินออกไป พร้อมหัวใจที่เต้นแรงและใบหน้าฉาบสีเรื่อกว่าเดิม โดยตะวันย
ย้อนไปเมื่อปีก่อน“เป็นอะไร ทำไมไม่บอก” เมื่อรถจอดสนิทหน้ามุข พายุก็ถามอีกครั้ง“บอกไม่เป็นอะไรไง พี่รีบกลับไปเถอะ” จากที่เป็นคนพูดน้อย แต่เมื่อได้ดื่มแอลกอฮอล์เข้าไปพอกรึ่มๆ ก็ตอบเสียงฉะฉาน ซ้ำยังชักสีหน้าจนคู่สนทนาอย่างพายุรับรู้ได้ว่าต้องมีสิ่งที่ค้างคาอยู่ในใจแต่มันคืออะไรล่ะ...“นี่ไง ไล่พี่แบบนี้แล้วบอกว่าไม่มีอะไร มันเป็นไปได้หรือ...”พายุไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรให้อีกฝ่ายหงุดหงิด หลังจากนั่งดื่มกันอยู่ดีๆ หันมาอีกทีอีกฝ่ายก็ชักสีหน้างอและบอกให้พาไปส่งบ้าน“ตอนนี้ผมอยากอยู่คนเดียว” เตชินตวาดใส่แล้วเปิดประตูเดินลงจากรถทั้งที่มีอาการเซเนื่องจากดื่มหนักกว่าทุกครั้งพายุที่ยังรู้สึกค้างคาใจเปิดประตูลงตามมารั้งแขนไว้ แต่ก็ถูกสลัดออก เขาจึงมองด้วยสายตาอ่อนใจแล้วพูดขึ้นด้วยสีหน้าหม่น“เป็นอะไรต้องบอกสิ จะได้ง้อถูก”“ม่ายต้อง พี่กลับไปเหอะ” น้ำเสียงยานคางตอบด้วยความหงุดหงิดกว่าเดิม“ได้ งั้นพี่รอให้เตชินอารมณ์ดีกว่านี้ แล้วพี่จะโทรมาคุยด้วยใหม่นะ”พายุจึงยอมไปก่อน คิดว่ารอให้อีกฝ่ายอารมณ์ดีแล้วค่อยโทรมาคุยใหม่ จึงขับรถกลับออกไปหลังจากที่รถของพายุขับออกไปแล้ว เตชินก็ยืนหน้าบอกบุญไม่รับแล
เตซินสอดตัวเข้าใต้ผ้าห่ม แล้วดึงชายผ้าห่มคลุมใบหน้าอย่างรำคาญเมื่อได้ยินดังอยู่ใกล้ๆ แต่แรงขยับทำให้จากที่ไม่อยากตื่น ตาก็สว่างโร่ เมื่อรับรู้ได้ว่าบนเตียงตัวเอง มีคนอื่นนอนอยู่ด้วย ใจพลันคิด เมื่อคืนพี่พายุไม่ได้กลับไปนอนบ้านเหรอ...ดึงผ้าห่มออกจากศีรษะแล้วมองไปยังคนข้างๆ“เฮ้ย อาพงศ์” แล้วรีบเลิกผ้าห่มขึ้นเพื่อมองสำรวจร่างกายใต้ผ้าห่มของตัวเองเตชินตกใจแทบสิ้นสติเมื่อเสื้ออาภรณ์ใดๆ บนร่างกายไม่มีแม้แต่ชิ้นเดียว“ใช่ครับ...” พงศ์ตอบสีหน้าราบเรียบ หากแต่เตชินหน้าบิดเบี้ยวเหยเก แล้วมองสำรวจไปรอบห้องด้วยแววตาตื่นตระหนก และพบว่าเสื้อผ้าของตัวเองวางกองอยู่บนพื้นอย่างไม่ไยดี และใกล้ๆ กันนั้นก็เป็นเสื้ออีกชุด ซึ่งไม่ต้องบอกว่าเป็นของใคร...“หมายความว่าไง อาพงศ์ทำอะไรผมเมื่อคืน”ไม่อยากเดา และไม่อยากยอมรับความจริงเสียงทุ้มหนักหัวเราะออกมาแล้วเอ่ยถาม “ทำไม รับไม่ได้เหรอ เมื่อคืนคุณเตชินยังบอกว่าชอบอยู่เลย” แล้วยกมือถือในมือขึ้นสูงอีกครั้งเตชินหน้าตื่นแล้วค่อยๆ กลายเป็นสีเรื่อ เมื่อจำได้เลือนรางว่ามันรู้สึกดีจริงๆ ในตอนนั้น“นี่อาพงศ์ถ่ายภาพผมเก็บไว้หรือครับ” แล้วรีบเบี่ยงตัวหลบ“ก็เอาไว้ดูต
“กว่าจะมาได้...แล้วนี่แต่งตัวจะไปไหนอีก” พอเห็นว่าคนที่ตัวเองตั้งตารอเดินผ่านประตูเข้ามา อีกทั้งแต่งตัวเหมือนเตรียมจะออกข้างนอก ก็ถามเสียงขุ่นสีหน้าไม่พอใจ“อาพงศ์วุ่นวายกับผมเกินไปแล้วนะ...อย่าให้ผมรู้สึกไม่ดีกับอามากไปกว่านี้เลยนะครับ ผมขอร้อง...” เตชินเอ่ยเสียงเศร้าแกมขอร้อง หากแต่ผู้สูงวัยกว่ากลับยืนนิ่งเหมือนไม่รับรู้สิ่งที่พูด เตชินจึงพูดต่อ “เรื่องที่เกิดขึ้นแล้ว เรากลับไปแก้ไขไม่ได้ ผมขอให้มันจบไปได้ไหมครับ...ผมไม่อยากให้อาพงศ์มาจมอยู่กับเรื่องที่เราได้ทำผิดพลาดไป อาจจะเป็นผมที่วางตัวไม่ดี ผมขอโทษอาพงศ์ด้วยนะครับ” เตชินเป็นฝ่ายยอมรับผิดเสียเองเพื่อตัดจบทุกปัญหาหากแต่คนสูงวัยกว่ากลับยิ้มร้าย “มันไม่ง่ายแบบนั้นน่ะสิ...ฮ่า ฮ่า” เสียงหัวเราะนั้นเยียบเย็นจนน่ากลัวเตชินขนลุกซู่ ประหวั่นกับอาการและท่าทางที่เปลี่ยนไปของอาพงศ์ ไม่มีแล้วสายตาและคำพูดที่อบอุ่นใจอย่างเมื่อก่อนเตชินถอยหลัง รู้สึกหวาดกลัวท่าทางแปลกๆ ของอาพงศ์ที่ตอนนี้เหมือนคนไร้สติไปเสียแล้ว“มานี่...มาดูอะไรนี่ อาอุตส่าห์ไปทำมาเลยนะ” มืออาพงศ์คว้าหมับที่ข้อมือเล็กกระชากอย่างแรงจนร่างเตชินเข้ามาอยู่ในอ้อมกอด“อาพงศ์ปล่อย