“จบเกียรตินิยมรัฐศาสตร์ ต้องมายืนงงอยู่ในดงวัว หรือเขาเรียกฝูงวัวกันนะ” หญิงสาวยืนงงๆ หลังลงจากรถสองแถว ซึ่งลุ้นมาตลอดทางว่าจะโดนพาเข้ารกเข้าพงไปก่อนถึงจุดหมายปลายทางหรือไม่ แต่เมื่อถึงที่หมายซึ่งป้ายเขียนเอาไว้ว่า ไร่ใจเดียวทำให้สบายใจขึ้น ส่วนไอ้เจ้าฝูงวัวที่ห้อมล้อมอยู่ไม่รู้ว่ามาต้อนรับพนักงานใหม่หรืออย่างไร หญิงสาวชะเง้อชะแง้มองเข้าไปภายใน ซึ่งมีต้นไม้ใหญ่เขียวขจีปกคลุมอยู่ โดยฝูงวัวยังคงหยุดยืนประหนึ่งว่าหญิงสาวเป็นพวกเดียวกัน สาวเจ้าค่อยๆ ขยับตัวเพื่อฝ่าวงล้อมโดยมีที่หมายก็คือ บ้านหลังใหญ่ที่อยู่ไกลสุดลูกหูลูกตา โดยไม่รู้ว่าต้องใช้เวลาเดินนานขนาดไหน
“แค่เริ่มต้นก็เหนื่อยขนาดนี้ แล้วจะอยู่ได้นานสักเท่าไรกันว๊ะ” ไม่ทันขาดคำสายฝนก็เริ่มโปรยปรายลงมา
“เอา เอาเข้าไปจัดมาให้เต็มที่ ต้อนรับอย่างหนักหน่วงเลย นี่ยังไม่เจอแม่นายใจเดียวเลยนะเนี่ย” หญิงสาวเดินบ่นพึมพำตากฝนที่เริ่มลงหนาเม็ดขึ้นเรื่อยๆ จึงต้องกึ่งเดินกึ่งวิ่งเพื่อจะได้ถึงที่หมายเร็วขึ้น เพราะไม่อย่าง นั้นมีหวังคงได้เป็นไข้ก่อนเริ่มงาน
กางเกงสีขาวที่สวมใส่มากลายเป็นสีเทากระดำกระด่างเต็มไปด้วยขี้โคลน หญิงสาวยืนหอบอยู่ด้านหน้าตัวบ้าน ซึ่งไม่มีผู้คนโดยมีป้ายบอกเอา ไว้ว่าเป็นสำนักงาน เสียงหัวเราะดังแว่วๆ พอได้ยินปะปนมากับเสียงฝนที่ตกหนักขึ้นเรื่อยๆ อากาศหนาวเหน็บในความรู้สึกสำหรับคนที่เพิ่งมาถึง
“จะไหวไหมขอรับ คนงานมาใหม่ใส่กางเกงสีขาว เอ๊ะหรือควรเรียก ว่าสีโคลน เสียงของชายหนุ่มที่ดังขึ้นทำให้หญิงสาวรู้สึกขุ่นเคืองใจ แต่ด้วยเพิ่งมาใหม่ จึงเลือกที่จะสงบเสงี่ยมเจียมตัว
“มาถึงปากประตูแล้ว น่าจะไหวนะคะ” หญิงสาวบอกพร้อมกับรีบพนมมือไหว้ โดยไม่ได้สนใจเลยว่าผู้ชายคนนั้นเป็นใคร แต่ดูท่าทางน่าจะอายุมากกว่าตัวเอง
“ตามมา” ชายหนุ่มพูดขึ้น ขณะมองดูหญิงสาวซึ่งแต่งตัวเหมือนสาวชาวกรุงที่เคยเห็นมาบ้างทำให้ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรนัก แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ ไม่รู้ทำไมแม่นายถึงได้เลือกแม่สาวคนนี้เข้ามาทำงานมากกว่า
“ตามไปไหน” เมื่อน้ำเสียงห้วนมา จึงมีน้ำเสียงห้วนๆ ตอบกลับไป
“ไม่มาก็ตามใจ หรือจะยืนหนาวตายอยู่ก็เรื่องของคุณ” ชายหนุ่มบอกและรีบเดินนำหน้าไป
“ยังๆ เดินทางมาก็ลำบากจะแย่ ยังจะมาเจอคนแย่ๆ อีกหรือ ไม่อยากคิดเลยว่า แม่นายของที่นี่จะขนาดไหน” หญิงสาวบ่นพึมพำ แต่รีบเดินตามชายหนุ่มที่พูดจาห้วนๆ ไป เพราะไม่อย่างนั้นมีหวังได้ยืนหนาวตายอยู่หน้าสำนักงาน เพราะมองไปไม่เห็นใครนอกจากชายหนุ่มหน้านิ่งที่พูดด้วยน้ำเสียงห้วนๆ แถมยังไอ้เจ้าเสียงหัวเราะกวนๆ กับสายตาที่มองมาแปลกๆ นั่นอีก
“ห้องเธอ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและพักผ่อนตามสบาย มื้อเย็นพร้อมกันตอนห้าโมง อ๊ะๆ อย่ามาพูดโน่นนี่อะไรนัก กรุณาทำตาม ถ้าไม่มาก็ไม่มีอะไรให้กิน เข้าใจ๋” ชายหนุ่มยิ้มๆ รอยยิ้มนั้นแสนจะกวนในความรู้สึกของหญิงสาวที่เพิ่งมาใหม่
“กราบขอบพระคุณในความกรุณาค่ะ” หญิงสาวรับกุญแจห้องพักมาจากชายหนุ่มที่แกล้งดึงๆ เอาไว้ครู่หนึ่งก่อนจะปล่อยมือ
ห้องพักสะอาดสะอ้านอย่างผิดความคาดหมาย หญิงสาวยิ้มๆ ก่อนจะรีบเปิดกระเป๋าเพื่อไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที เพราะใบหน้าซีดเผือดแถมมือยังเหี่ยวย่นค่อนข้างมาก ซึ่งนั่นคงเป็นผลของความหนาวเหน็บที่แทบจะกัดกินเข้าไปถึงกระดูก
“เปิดห้องน้ำจะเจอตุ่มน้ำหรือเปล่าว๊ะ ตายแน่แกเอ๊ย ถ้าต้องอาบน้ำเย็นๆ จากตุ่ม” หญิงสาวบ่นพึมพำ แต่ก็รีบเข้าห้องน้ำไปทันที ซึ่งเครื่องทำน้ำอุ่นคือสิ่งแรกที่เห็นทำให้คนที่รู้สึกหนาวอยู่สบายใจขึ้น
น้ำอุ่นที่พร่างพรมอยู่บนเรือนร่างเปลือยเปล่าทำให้ร่างกายที่อ่อนล้าจากการเดินทางสดชื่นขึ้นมาก การนั่งรถทัวร์มาหนึ่งคืนกับอีกค่อนวันและยังต้องนั่งปุเลงปุเลงมากับรถสองแถวอีกไกลโขจากตัวเมือง ซึ่งเมื่อนึกถึงยิ่งทำให้รู้สึกท้อ แต่ในเมื่อตัดสินใจแล้วอย่างไรคงต้องอยู่ให้ได้ บางทีคนเราก็ต้องแสวงหาพื้นที่ของตัวเอง ซึ่งนั่นจึงทำให้หญิงสาวเลือกที่จะมาเป็นผู้ช่วยเจ้าของไร่แห่งนี้ เสียงเคาะประตูด้านหน้าดังขึ้น คนที่อาบน้ำอยู่รีบออกไปโดยมีเพียงผ้าเช็ดตัวที่สวมใส่เอาไว้ เมื่อมองผ่านช่องประตูด้านหน้าเห็นว่าเป็นผู้หญิงยืนหันหลังให้อยู่ จึงเปิดแง้มประตูและโผล่หน้าออกไปเล็กน้อย เสื้อเชิ้ตลายสกอตกับกางยีนเก่าและขาด เมื่อดูแล้วคิดว่าไม่น่าจะตามแฟชั่นทำให้หญิงสาวที่โผล่หน้าไปยิ้มๆ แต่เมื่อเธอคนนั้นหันมาทำเอาคนที่ยิ้มอยู่เมื่อสักครู่นิ่งงันไป เพราะแววตาที่ได้เห็นดูน่าเกรงขามเสียจนแทบไม่กล้าจะสบตาด้วย
“หนูชื่อ ปรายฝน ค่ะ เป็นผู้ช่วยของแม่นายใจเดียว”
“มีคนบอกแล้วใช่ไหมว่าเวลาอาหารกี่โมง ถ้าเลยหกโมงเย็นจะไม่มีอะไรให้ทาน” น้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนทำให้คนได้ยินสบายใจขึ้น
“ขอบคุณค่ะ” ปรายฝนบอกขอบคุณแล้วยิ้มๆ ให้
“ถ้าจะเปิดประตูคุยกับใคร กรุณาแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อน ถ้าเกิดเป็นคนงานจะทำอย่างไร” เสียงเข้มๆ ทำเอาคนได้ยินทำหน้าจ๋อยทันที
“ถ้าเป็นผู้ชายก็ไม่เปิดสิคะ ป้าก็” ปรายฝนพูดขึ้น
“เอ๊านี่ยา อ้อถ้าอยากได้เสื้อผ้าเหมือนชาวบ้านเข้าใส่ ก็ไปเบิกได้ที่สำนักงาน แต่ถ้าอยากเป็นชาวกรุงและเป็นจุดสนใจ หรือเป็นดาวเด่นล่ะก็แต่งตัวได้ตามอัธยาศัยของเธอเลยก็แล้วกัน”
“ยามีแล้ว ขอบคุณค่ะ แต่มีข้อสงสัยนิดหนึ่งค่ะ คนที่นี่พูดจาแย่ๆ เหมือนกันทุกคนหรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม
“ต้องไปทำความรู้จักเอาเอง อยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็กลับบ้านไป”
“โธ่ รบกันด้วยฝีปาก งานถนัดเลยค่ะ กราบขอบพระคุณเป็นอย่างสูงค่ะ ป้า อุตส่าห์เอายามาให้ ป่วยตายตำรวจไม่จับแม่นายหรอกมั้ง หรือว่าที่นี่มีคนตายแปลกๆ” ปรายฝนยิ้มๆ
“แปลกแบบไหน แบบหาศพไม่เจออย่างนั้นหรือเปล่า รีบไปแต่งตัวดีกว่า เดี๋ยวข้าวปลาจะไม่เหลือให้กิน”
“มากันแต่ละคน ไม่รู้แม่นายจะขนาดไหนเน๊าะ” ปรายฝนรำพึงแต่ก็ยิ้มๆ ที่อย่างน้อยได้เห็นถึงความห่วงใยของคนที่เอายามาให้
“ปรายต้องอยู่ได้ ปรายต้องอยู่ได้ ปรายต้องอยู่ได้” ปรายฝนพูดเพื่อเป็นการปลุกขวัญและกำลังใจให้ตัวเอง
ปรายฝนยิ้มๆ มองดูอาหารในถาดหลุมเหมือนในโรงเรียนที่อยู่ตามต่างจังหวัด แต่อาหารไม่ได้น้อยนิดเหมือนที่เคยเห็น สิ่งที่ดีที่สุด คือ การได้เห็นรอยยิ้มของผู้คนบ้าง หลังจากได้เห็นคนหน้านิ่งมาสองคนแล้ว
“นั่งสิ” ผู้หญิงคนหนึ่งพูดขึ้น เมื่อเห็นปรายฝนยืนงงๆ ถือถาดอาหารอยู่ในมือ
“ผู้ช่วยแม่นายล่ะสิ” ผู้หญิงที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามถาม
“ค่ะ ชื่อ ปรายฝน”
“ร เรือ หรือ ล ลิง ล่ะ” ผู้หญิงที่เอ่ยชวนนั่งถาม ปรายฝนหัวเราะหึๆ
“ปราย ร.เรือ สิ หมายถึงปรายๆ น้ำฝนที่กระเซ็นออกไปน่ะ”
“นึกว่าปลายฤดูฝน เราชื่อ กลอย”
“ส่วนเราชื่อ ปลา ชื่อจริงไม่ต้องหรอกเนอะ”
“เรียกเรา ปราย สั้นๆ ก็ได้” ปรายฝนยิ้มๆ หลังจากได้พูดคุยกับคนที่น่าจะรุ่นราวคราวเดียวกับตัวเอง ซึ่งหลังจากพูดคุยกันได้ครู่หนึ่งก็ทราบว่าเป็นเจ้าหน้าที่ในส่วนสำนักงาน อาหารที่ดูธรรมดากลับสร้างรอยยิ้มให้กับคนที่คิดเอาไว้ล่วงหน้าว่า ถ้ามาอยู่กลางป่ากลางเขาคงได้ผอมบาง เพราะคงรับประทานอาหารไม่ได้แน่ แต่กลับกลายเป็นว่า ผัดผักซึ่งเป็นผักที่ปลูกเองทำให้สัมผัสได้ถึงความสดทำให้ผักกรอบหวานและอร่อยมาก
“ไข่ต้มยังอร่อยเลย ใช่ไหมล่ะ” ปลาพูดแล้วยิ้มๆ เมื่อปรายฝนยิ้มๆและรีบพยักหน้าทันที
“ไม่ต้องเหยาะซอสหรือน้ำปลาเลย กินกับผัดผักดีงามมากๆ”
“ไม่อ้วนด้วย” กลอยบอก
“ผักกับไข่ และข้าวกล้อง” ปรายฝนอมยิ้ม
“แถมน้ำเต้าหู้ด้วยจ้ะ เด็กใหม่” ปลาพูดขึ้น ก่อนลุกไปตักน้ำเต้าหู้ ใส่แก้วมาวางให้
“ดีจัง จะได้หายหนาว” ปรายฝนยิ้มๆ
“มีเสื้อกันหนาวติดมาบ้างหรือเปล่า ที่นี่อากาศเย็น ถ้าฝนลงหนักๆจะหนาวกว่าปกติ” กลอยถามและบอกกับปรายฝน
“ไม่มีเลย หนาวมากเลยหรือ”
“อารมณ์บนดอยเลยล่ะ เธอเอ๊ย” ปลาพูดขึ้น
“ห่มผ้านวมก็เอาอยู่มั้ง” ปรายฝนพูดพึมพำ
“คืนนี้ก็รู้ เอาไว้พรุ่งนี้จะเอาเสื้อหนาๆ มาฝาก”
“ขอบใจจ้ะ แต่เดินไปเอาเลยก็ได้ จะได้รู้ว่ากลอยกับปลานอนที่ไหน”
“โน่นเดินไกลอยู่ ฝนยังตกพรำๆ ด้วย ไข้จะกินเอานา” ปลาพูดขึ้น แต่เงียบไป เมื่อเห็นปรายฝนโบกไม้โบกมือให้ใครบางคน จึงรีบหันไปมอง
“เอามือลง” คนนั่งอยู่ข้างๆ ดึงแขนของปรายฝน แต่เจ้าตัวยังคงดื้อดึงที่จะโบกไม้โบกมือขึ้นอีก จนกระทั่งหญิงสาวที่ดูสูงวัยสวมเสื้อเชิ้ตลายสกอตกับกางยีนขาดๆ เดินมาทำให้ทุกคนเงียบไป จนปรายฝนรู้สึกแปลกใจอยู่เหมือนกัน
“ป้ามาช้าไปนะ ห้าโมงจะครึ่งแล้ว เดี๋ยวก็ไม่มีอะไรกินหรอก”
“ไม่ต้องห่วง ฉันอยู่ที่นี่มานาน กินข้าวที่นี่มาตั้งแต่สาวจนแก่ เธอนั่นแหละ รีบกิน รีบเข้านอนแต่หัวค่ำ เพราะต้องตื่นตั้งแต่เช้ามืด”
“สำนักงานที่ไหนเปิดแต่เช้ามืด แม่นายดุมากหรือ ป้า”
“ไอ้ปราย” กลอยพูดกระซิบกระซาบ
“คงดุมั้ง” หญิงสูงวัยพูดขึ้น
“แบบนั้นต้องแก่กว่าป้าเยอะแน่ๆ ถึงได้เป็นแม่นาย” ปรายฝนยัง คงพูดไปเรื่อย แต่ทุกคนเงียบมาก เมื่อมองไปรอบๆ ไม่มีใครรับประทานอาหารเลยมัวแต่มองมาที่ตัวเธอซึ่งกำลังสนทนาอยู่กับหญิงสูงวัย
“กับฉันเธอยังเรียกป้า แล้วแม่นายเธอต้องเรียกยายล่ะมั้ง ไปล่ะเสีย เวลาฉันกินข้าวกินปลา” หญิงสูงวัยบอก
“เดี๋ยวค่ะ ป้าไม่บอกชื่อหน่อยเหรอ เราคุยกันตั้งเยอะแล้วนา”
“บรรลัยมาก ไอ้ปรายเอ๊ย” กลอยรำพึงออกมาเบาๆ ไม่กล้าที่จะมองไปทางหญิงสูงวัย ซึ่งหันกลับมาหยุดยืนอยู่ที่เดิม
“ฉันชื่อ ใจเดียว จ้ะ ฉันไปกินข้าวได้หรือยัง เดี๋ยวเลยเวลาอดกินกันพอดี” หญิงสูงวัยพูดจบรีบไปหยิบถาดอาหารและเดินไปเข้าแถวเหมือน กับคนอื่นที่เพิ่งมาถึงเช่นกัน
“ใจเดียว ตายล่ะ ฉัน” ปรายฝนหันมามองสบตากับกลอยและปลาที่ทำหน้าเจื่อนๆ ก่อนจะพยักหน้าพร้อมๆ กัน
“ป้านั่นน่ะ แม่นาย” ปลาหัวเราะเล็กๆ เมื่อเห็นปรายฝนหน้าจ๋อยไปทันที เมื่อหวนนึกถึงสิ่งที่ตัวเองได้พูดคุยและแถมยังต่อปากต่อคำไปกับเจ้าของไร่โดยไม่รู้ตัว
“พรุ่งนี้จะโดนไล่กลับเลยไหมล่ะ ฉัน” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ แต่นั่นได้สร้างรอยยิ้มให้กับทุกคนที่บางคนถึงกับหัวเราะออกมาเลยทีเดียว
ความเงียบมาพร้อมกับเวลาที่ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้า แสงไฟพอมีให้เห็นบ้าง แต่ไม่ได้มากมายอะไรนัก ปรายฝนออกมายืนอยู่หน้าห้องพักมองผ่านความมืดมิดที่อยู่ตรงหน้า ความหนาวเย็นที่กลอยกับปลาบอกเริ่มเผยตัวตนเข้ามาในความรู้สึกเมื่อลมเย็นๆ พัดมากระทบเข้าที่ร่างกาย หลัง จากรับประทานอาหารเย็น ปรายฝนเดินสำรวจบ้านหลังใหญ่ที่ด้านหน้าเป็นส่วนสำนักงานและด้านข้างเป็นห้องพักของตัวเอง แต่ไม่เห็นคนอื่น เพราะทุกคนแยกย้ายไปตามเรือนพักซึ่งมองเห็นได้จากบริเวณที่ยืนอยู่ “หนาวเข้าไปถึงกระดูกเลย เข้าห้องที่กว่า” ปรายฝนรำพึงออกมา “เดี๋ยว” เสียงนั้นทำให้รีบหันไปทันที ถึงแม้จะมืดมิด แต่แสงสว่างที่มีอยู่เพียงเล็กน้อยยังพอช่วยให้เห็นว่าเป็นแม่นายเจ้าของไร่ “คะ” ปรายฝนขมวดคิ้วเล็กน้อย “เสื้อกันหนาว ตัวใหญ่ไปสักหน่อย แต่ดีกว่าไม่มีใส่ มันเก่าไปหน่อย เพราะฉันใส่มานานมากแล้ว ถ้าอุ่นไม่พอในห้องมีกระติกน้ำร้อนเอาน้ำใส่ขวดแก้วแล้วห่อผ้าไว้ กอดหรือวางเอาไว้ใต้ผ้าห่มพอช่วยได้ ฉันไม่อยากให้มาป่วยตายที่นี่ เด็กสมัยนี้ไม่คิดเตรียมตัวอะไรเอาเสียเลย” แม่นายใจเดียวพูดจบก็ยื่นเส
ปรายฝนยืนส่องกระจกหมุนตัวไปมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่เมื่อนึกถึงเสื้อผ้าที่คนอื่นๆ สวมใส่จึงคิดได้ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วควรหลิ่วตาตาม ซึ่งจริงอย่างที่แม่นายใจเดียวบอก เสื้อผ้าชุดที่สวมใส่มากับชุดที่เพิ่งถอดเปลี่ยนมีหวังคงซักให้กลับคืนมาเป็นสภาพเดิมไม่ได้แน่ เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้น ปรายฝนจึงรีบเดินไปดูผ่านช่องเล็กๆ ก่อนจะเปิดออก “พรุ่งนี้มีงานเลี้ยงที่ไร่ข้างๆ ฉันอยากให้เธอไปด้วย” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝนที่ขมวดคิ้วจ้องมอง “รวมอยู่ในหน้าที่ผู้ช่วยด้วยหรือคะ เรื่องออกงาน” ปรายฝนถาม “ในสัญญาไม่ได้ระบุเวลาทำงานของเธอ” แม่นายใจเดียวบอก “โหดร้าย” ปรายฝนบ่นพึมพำ “ไปเลือกเสื้อผ้าที่ห้องฉันดู เพราะต้องแต่งตัวเรียบร้อยนิดหนึ่ง” “เสื้อผ้าแม่นาย” ปรายฝนยิ้มๆ แล้วทำหน้าเหยเก “แค่ให้ไปเลือกดู ฉันรู้ว่าเธอน่ะสาวทันสมัย เผื่อเอาที่ฉันมีมารวม กับที่เธอมีอาจเข้ากันได้” แม่นายใจเดียวบอก “ขอบคุณค่ะ สะดวกให้ไปดูได้ตอนไหนคะ” ปรายฝนถาม “รออยู่ตรงนี้ เดี๋ยวฉันไปเปิดประตูห้องให้ ตรงนั้นมีประตูเชื่
ปรายฝนปวดเมื่อยตามเนื้อตัว ด้วยความไม่ค่อยคุ้นชินกับการทำ งานในไร่สักเท่าไรนัก แม้งานดูไม่ยากอะไร แต่การเก็บพืชผักผลไม้จำนวนมากก็เหนื่อยเอาเรื่องและยังปวดไปหมดในทุกส่วนบนร่างกายเลยทีเดียว “ไหนว่าให้มาเป็นผู้ช่วยแม่นาย” ปรายฝนบ่นพึมพำ “ตอนมาใหม่ๆ ปลาก็คิดเหมือนปรายนั่นแหละ แต่อีกสักพักก็ชินไปเอง อย่าไปบ่นให้แม่นายได้ยินเข้าล่ะ มีหวังได้โดนใช้งานหนักกว่าเดิมแน่ๆ ทุกคนโดนมาหมดแล้ว” ปลาหัวเราะ เมื่อเห็นปรายฝนยิ้มเจื่อนๆ “เดี๋ยวต้องขับรถพาแม่นายไปงานเลี้ยงอีก อยากนอนชะมัดเลย” “งานเลี้ยงของอร่อยเยอะ ข้าวเย็นที่โรงอาหารไม่ต้องกินเลย” “ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนดีกว่า ถ้าเสร็จช้ากว่าแม่นายมีหวังโดนเอ็ดไปอีกหลายเพลา” ปรายฝนหัวเราะเล็กๆ เมื่อได้พูดนินทาเจ้านาย แม่นายใจเดียวมองดูตัวเองผ่านกระจกเงาที่อยู่ตรงหน้า ริ้วรอยมีให้เห็นเด่นชัดขึ้นเรื่อยๆ แต่นั่นไม่ได้ทำให้รู้สึกไม่ดีแต่อย่างใด การต้องไปงานเลี้ยงมากกว่าที่สร้างความรู้สึกอึดอัดให้ “ค่อยดูเป็นผู้เป็นคนหน่อย” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น เมื่อออกจากห้องเ
ปรายฝนรับประทานอาหารเช้าพร้อมกันคนอื่นๆ ที่โรงอาหารซึ่งมีเสียงพูดคุย เสียงหัวเราะให้ได้ยินอยู่ตลอดเวลา แต่เมื่อมองดูรอบๆ ไม่เห็นแม่นายใจเดียว ตอนออกมาจากห้องพักก็ชะเง้อชะแง้ดูไปทางด้านหน้าที่พักแต่ไร้เงาเจ้าของไร่ “แม่นายไร่โน้นเอาอาหารเช้ามาส่ง แม่นายไร่นี้เลยอยู่รับรองที่เรือนรับรองแขก” ปลาพูดขึ้น ปรายฝนขมวดคิ้วเมื่อได้ยิน “ปรายไม่ได้อยากรู้สักหน่อย” ปลากับกลอยยิ้มๆ เมื่อได้ยิน “อ้าวนึกว่ามองหาอยู่ เพราะคนอื่นๆ ก็ยังไม่คุ้นเคยกันนี่ ปลาเลยคิดว่าปรายมองหาแม่นาย” ปลาบอกแล้วหันไปยิ้มกับกลอย “แต่ก็แปลกนะ ร้อยวันพันปีไม่เคยเห็นจะมา” กลอยพูดขึ้น “นั่นสิ” ปลาพูดขึ้นรีบรับประทานอาหารเพื่อเตรียมตัวไปทำงาน “สนิทกันไม่เคยไปมาหาสู่หรอกหรือ” ปรายฝนเอ่ย “ไม่เคยมา เพิ่งเห็นครั้งแรกนี่แหละ” เสียงของไตรดังขึ้นก่อนจะนั่งลงข้างๆ ปรายฝน “เจอที่งานเลี้ยงเห็นออกจะสนิทกัน” ปรายฝนพูดด้วยน้ำเสียงแปร่งๆทำเอาอีกสามคนที่นั่งอยู่ด้วยจ้องมองพร้อมๆ กัน “พี่ได้ยินมาว่า ตอนสาวๆ สนิทสนมกัน แต่พอแม
ใจเดียวหลังจากเข้ามากราบสักการะพระประธานในอุโบสถยังคงนั่งนิ่งๆ อยู่ภายใน โดยมีแพรพรรณนั่งอยู่ด้วยข้างๆ อย่างเงียบๆ ไม่มีการพูดคุยหรือสนทนาใดๆ ทั้งสองคนรับไหว้ผู้คนที่รู้จักซึ่งเข้ามาทักทายตลอด “ออกไปหาน้ำดื่ม กินขนมกันดีกว่า” แพรพรรณกระซิบบอกใกล้ๆ ใกล้เสียจนปลายจมูกสัมผัสเบาๆ ไปที่หูของใจเดียวที่รีบลุกขึ้นทันที ใจเดียวมองดูรอบๆ หวังว่าจะได้เห็นปรายฝน จนกระทั่งได้ยินเสียงตะโกนโหวกเหวกจึงเงยหน้าขึ้นไปมองที่ชิงช้าสวรรค์ แม่นายใจเดียวโบกไม้โบกมือให้ปรายฝนที่ยิ้มสวยๆ ให้ “จะได้เป็นลูกบุญธรรมแม่นายซะล่ะมั้ง เราน่ะ ปราย” กลอยพูดขึ้น ปรายฝนขมวดคิ้ว “นั่นสิ เราอยู่มานานยังไม่กล้าโหวกเหวกเรียกแม่นายเลย” ปลายิ้มและหัวเราะออกมา เมื่อเห็นปรายฝนทำหน้าจ๋อย “น่าเกลียดเหรอ” ปรายฝนถาม “ไม่หรอก แม่นายยิ้มสวยเลยน่ะ” กลอยบอก “เวลายิ้มสวยดีออก อยากให้แม่นายยิ้มบ่อยๆ” ปรายฝนพูดขึ้น “หนุ่มๆ ตอมกันหึ่ง ได้ยินคนเก่าคนแก่พูดกัน สวยแบบไม่ต้องเสริมเติมแต่งอะไรเลย เวลายิ้มน้อยๆ ให้เห็นต้องเรียกว่างดงาม เขาว่
เสียงตะโกนโหวกเหวกทำให้คนที่กำลังรับประทานอาหารเช้าหันไปมองทางด้านหน้าสำนักงาน เมื่อเห็นว่าเป็นแขกของแม่นายใจเดียว ทุกคนจึงเพียงแค่ยิ้มน้อยๆ ระหว่างรับประทานอาหารเช้า ปรายฝนยิ้มจางๆ มองสบตากับแม่นายใจเดียวที่ยิ้มให้เช่นกัน ปลากับกลอยและไตรถอนใจเพราะนอกจากคนเป็นมารดาที่แวะเวียนมาทุกวัน เช้านี้เพิ่มลูกสาวที่ส่งเสียงจนทุกคนตกใจรีบหันไปมอง ไม่รู้ว่าจะมาสร้างความวุ่นวายใจให้กับเจ้าของไร่หรือไม่ “สวัสดีค่ะ น้าเดียว” จันจิราพนมมือไหว้ทันที เมื่อเห็นเจ้าของไร่ออก มาต้อนรับ “ทานอาหารเช้ากันมาหรือยังคะ” ใจเดียวถาม “ยังเลย รู้ว่ายังไงเดียวคงเตรียมไว้ให้” แพรพรรณพูดขึ้น “เดี๋ยวจัดการให้จ้ะ เชิญที่เรือนรับรองแขกดีกว่า” ใจเดียวบอก “แพรไม่อยากเป็นแขก” “แม่คะ แม่กำลังทำให้น้าเดียวอึดอัดนะ” จันจิราพูดขึ้น “ไม่หรอก แขกไปใครมาน้าก็ต้อนรับหมดนั่นแหละ” ใจเดียวยิ้มๆ “ปรายล่ะคะ น้าเดียว” จันจิราถาม “ทานอาหารเช้าอยู่ที่โรงอาหารโน่น” ใจเดียวบอก “ถ้าอย่างนั้น จันไปทานข้าวที่โรงอาห
แพรพรรณโวยวายใส่ลูกสาวตั้งแต่ขึ้นรถ จนขับมาถึงที่ไร่ตัวเองซึ่งทำเอาจันจิรานั่งหน้างอมาตลอดทาง “ช่วยเหลืออะไรไม่ได้เลย ลูกสาวฉัน” แพรพรรณพูดบ่น “บอกให้แยกปรายออกไป จันก็ทำให้แล้ว แม่จะเอายังไงอีก” “ไม่เอายังไง จันต้องไปกับแม่ที่ไร่นั้นทุกวัน” แพรพรรณพูดเสียงเข้ม “น้าเดียวรำคาญตายพอดี แม่คิดดีแล้วหรือคะ” จันจิราถาม “ฉันไม่สนใจ อะไรที่ฉันอยากได้ ฉันก็ควรได้เหมือนพ่อเธอนั่นแหละ” แพรพรรณพูดขึ้น “เอาแต่ใจตัวเองหนักมาก จันเป็นบ้างไม่ต้องมาถามเลยว่าเหมือนใครกัน” จันจิราบ่นพึมพำมองดูมารดาที่ลงจากรถแล้วรีบเข้าบ้านไปก่อน จันจิราตะโกนไล่หลังมารดาไป โดยบอกว่าตัวเองจะเข้าไปในเมืองไม่ทันได้ทัดทานหรือหันมาพูดอะไร จันจิราก็ขับรถออกจากไร่ไปแล้ว “ยายจันนะ ยายจัน พึงพาอะไรไม่ได้เลย งานการก็ไม่คิดจะช่วยดูแลเอาแต่เที่ยวกับขอเงินเท่านั้น” แพรพรรณมองดูเสื้อผ้าและเนื้อตัวทำให้รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้น เพราะเสียเวลาและโอกาสที่จะได้อยู่ใกล้ชิดกับใจเดียว “ต้องเหนื่อยขนาดไหนคะ กว่าจะมาถึงวันนี้ได้”
พลบค่ำแล้วแต่ฝนคงยังตกหนักและท่าทางคงไม่หยุดตกเอาง่ายๆ แม่นายใจเดียวเลยตัดสินใจเข้าพักในโรงแรมที่ห้องพักเกือบเต็ม โดยเหลือห้องพักเพียงแค่ห้องเดียวเท่านั้น “คงต้องนอนที่นี่ พรุ่งนี้เช้าค่อยกลับ ขับรถฝ่าฝนไปมีหวังกลับไม่ถึงไร่แน่” แม่นายใจเดียวบอกกับปรายฝน “ยังไงก็ได้ค่ะ แต่คนที่ไร่จะเป็นห่วงเอาสิคะ ปรายโทรฯ ไปแจ้งกับปลาหรือกลอยดีกว่า” ปรายฝนบอก แต่ไม่ได้หยิบโทรศัพท์มือถือมาด้วย “ฉันจัดการเอง” แม่นายใจเดียวหยิบโทรศัพท์ออกมาจากถุงผ้าที่ถืออยู่ ภาพของหญิงสาวจึงปรากฏให้เห็นที่หน้าจอ ปรายฝนเห็นเพียงครู่เดียวแต่มั่นใจว่า ไม่ใช่รูปแม่นายใจเดียว ซึ่งเจ้าตัวรีบขยับมือถือยกขึ้นทันทีเมื่อเห็นปรายฝนมองดูโทรศัพท์ที่ถืออยู่ ปรายฝนเงียบไปตั้งแต่เห็นภาพที่หน้าจอโทรศัพท์มือถือ กาแฟถูกนำมาให้ หลังจากแม่นายใจเดียวแจ้งกับพนักงานจากชั้นล่างของโรงแรมที่เข้าพัก ปรายฝนยิ้มน้อยๆ และบอกขอบคุณพนักงาน “ขอบคุณค่ะ” “ครับผม” กาแฟกลิ่นหอมกับรอยยิ้มน้อยๆ ของคนที่นั่งเงียบๆ อ่านหนังสืออยู่กำลังถอดแว่นออก เมื่อปรายฝนนำกาแฟมาว
“ปรายเองค่ะ” เป็นข้อความจากปรายฝนส่งถึงผู้อ่าน “จบแบบนี้ไม่ได้สิ ปรายไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้นสักหน่อยเนอะ เดี๋ยวจะค่อยๆ เล่าให้ฟังก็แล้วกัน อย่าเพิ่งไปว่าคนเขียนเขาเข้าล่ะ” ปรายฝนหัวเราะคนเขียนก็เช่นกัน “จบแบบที่พิมพ์คำว่า จบ น่ะ ยังไม่สมบูรณ์ต้องอ่านต่อจากตอนพิเศษ ปรายจะเล่าว่ากลับมาอย่างไร แม่นายดีใจขนาดไหนหรือยังคงเฉยๆเหมือนครั้งแรกที่ได้พบกัน พร้อมกันหรือยัง ไปค่ะตามกลับไปที่ไร่ ณ วันหนึ่งที่ฝนตกอากาศเย็นเฉียบเหมือนเดิมยังกับลอกตอนต้นเรื่องกันมาเลย มาๆ ตามมาให้ไวค่ะ” ปรายฝนหัวเราะ เมื่อนึกถึงวันที่นั่งรถสองแถวมาลงที่หน้าไร่เหมือนครั้งแรก แต่ครั้งนี้ความรู้สึกต่างกัน แม้ฝนจะตกจนพื้นชื้นแฉะแต่ไม่มากอะไรเหมือนครั้งก่อนที่เลอะเทอะและเละเทะเรียกว่า พอกดินโคลนเข้าไปพบเจ้านายกันเลยทีเดียว ปรายฝนหยุดยืนอยู่ที่ทางเข้าไร่และมองดูรอบๆ ซึ่งเปลี่ยนแปลงไปมากและแอบนึกถึงเจ้าของไร่ขึ้นมา ไม่รู้จะเปลี่ยนไปมากมายเหมือนสถานที่หรือไม่ ภาพของวันแรกกลับเข้ามาในความรู้สึก แต่ความสบายใจได้เข้ามาแทนที่ความกังวลใจ ปรายฝนไม่รู้อะไรเกี่ยวกับแม่นายใจเดียวหรือไร่ใจเด
ภาพแม่นายใจเดียวที่ปั่นจักรยานไปทำงานตรวจดูไร่รอบๆ เป็นภาพที่เห็นจนเป็นเรื่องปกติยิ่งเวลาเลยผ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ภาพในครั้งเก่าที่มีคนปั่นจักรยานให้ซ้อนท้ายจางหายไป แต่แม่นายใจเดียวของทุกคนยังมีรอยยิ้มสดใสอยู่เสมอ “คิดถึงปรายเหมือนกันนะ หายเงียบไปเลย” ปลาพูดขึ้น ขณะยืนมองตามแม่นายใจเดียวที่ขี่จักรยานไปไกลลิบแล้ว “ต่างคนต่างใช้ชีวิต แม่นายมีความสุขก็ไม่เห็นต้องไปถามหาเลย” กลอยพูดยิ้มๆ และยังคิดถึงปรายฝนอยู่เสมอ “เป็นเด็กแท้ๆ ดันใช้การเขียนโปสการ์ดแทนการโทรศัพท์มา ไม่รู้คิดยังไง แต่สิ่งที่รู้ก็คือ แม่นายของพวกเรายังคงสดใสและมีความสุขก็พอแล้ว” ปลายิ้มๆ เพราะแรกๆ แอบเคืองปรายฝนอยู่เหมือนกันที่ไม่มีการติดต่อมา แม่นายใจเดียวยิ้มๆ เมื่อเห็นจันจิราอยู่กับไตรที่ชายไร่ส่วนเชื่อมต่อ เพราะยิ่งนานวันจันจิราได้พิสูจน์ให้เห็นว่า มีความสามารถพอที่จะดูแลไร่ต่อจากบิดาซึ่งเสียชีวิตไปหลายปีแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างในไร่เปลี่ยนแปลงไปในระยะสองสามปีที่ผ่านมา ไตรเป็นที่ปรึกษาให้กับจันจิรา ซึ่งพิสูจน์ตัวเองจนไตรใจอ่อนตกปากรับคำที่จะคบหากันฉันท์คนรักและจะแ
ปรายฝนทำเป็นหลับตาปี๋ เมื่อแม่นายใจเดียวถอดเสื้อผ้าเพื่อให้ช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ “ทำไม มันเหี่ยวย่นจนถึงกับต้องหลับตาเลยหรือ” แม่นายใจเดียวถามและจ้องมองดูคนที่ยังคงทำเป็นหลับตาอยู่ “ไม่กล้าลืมตา กลัวใจตัวเองต่างหาก” ปรายฝนบอก “ลืมตาได้แล้ว เช็ดตัวให้แต่ไม่ลืมตาจะเช็ดได้ยังไงกัน” เสียงหัวเราะของปรายฝนทำให้แม่นายใจเดียวยิ้มได้ เพราะตั้งแต่ได้ทราบข่าวเรื่องการสูญเสียแม้แต่รอยยิ้มก็แทบจะไม่ได้เห็นเลย ปรายฝนลืมตาขึ้นรู้สึกดีที่เห็นรอยยิ้มทะเล้นของคนที่ไม่มีอาภรณ์ใดๆ ติดกายเลย “ยังรู้สึกดีกับเด็กขี้เหวี่ยงอยู่หรือเปล่าคะ” ปรายฝนถาม ขณะขยับเข้ามาใกล้ๆ “ดีนิดหน่อย” แม่นายใจเดียวยิ้มๆ “นิดเดียวเองเหรอ เสียใจนะเนี่ย” ปรายฝนมองดูแววตาที่กลับมาดูอ่อนโยนและทำให้หัวใจรู้สึกอบอุ่นได้อีกครั้ง “จ้องแบบนี้ท่าจะไม่ดี ถ้าจะเช็ดตัวให้ก็รีบๆ หน่อยและถ้าอยากทำอย่างอื่นก็ต้องยิ่งรีบมากๆ ด้วย” แม่นายใจเดียวอมยิ้มกับจุมพิตเล็กๆ ของปรายฝนที่จูบนิดหนึ่งแล้วรีบเช็ดเนื้อเช็ดตัวให้ ปรายฝนเอามือแตะเบาๆ ไปที
แม่นายใจเดียวออกจากบ้านไปตั้งแต่เช้ามืด ปรายฝนลงมาจากชั้นบนและแต่งตัวเตรียมไปวัดเห็นแม่บ้านจัดโต๊ะอาหารเอาไว้ที่เดียว “น่าสงสารคุณเขาออกนะคะ ต้องมาอยู่ไกลบ้านมากและเหนื่อยกับคุณปรายทุกวันอีก” แม่บ้านซึ่งอยู่ในเหตุการณ์เมื่อคืนบอกกับปรายฝน “ร่างเด็กเกเรเข้าสิงปราย ขอบคุณค่ะ คุณแม่บ้าน” ปรายฝนบอกก่อนจะถอนใจ เมื่อกลับมานึกถึงความไม่น่ารักของตัวเอง ความเศร้าและเสียใจกับการจากไปของบิดา โดยปรายฝนคิดว่าตัวเองเป็นต้นเหตุทำให้อาการโรคหัวใจกำเริบหนักขึ้นจนถึงแก่ชีวิต เพราะดวงฤทธิ์มาบอกเรื่องของแม่นายใจเดียวให้บิดาทราบ ปรายฝนคิดว่านั่นน่า จะเป็นสาเหตุของการสูญเสีย ภาพของแม่นายใจเดียวที่พูดคุยอยู่กับอาหมอทำให้ปรายฝนถอนใจ เมื่อแม่นายใจเดียวหันมาปรายฝนทำท่าจะยิ้มให้แต่แววตาเรียบนิ่งที่ได้เห็นสัมผัสได้ถึงความเย็นชา ปรายฝนยังคงยิ้มน้อยๆ ให้ก่อนจะหันไปมองตามสายตาของแม่นายใจเดียว ถึงได้รู้ว่าดวงฤทธิ์มายืนอยู่ข้างๆ เยื้องไปทางด้านหลัง ไตรมาช่วยงานในวันสุดท้าย เพราะต้องดูแลไร่ใจเดียว ถึงแม้เพิ่งมาแต่ได้ช่วยงานอย่างขยันขันแข็ง โดยเฉพาะงานที่ต้องใ
ปรายฝนเงียบมาตลอดการเดินทาง นายแพทย์ซึ่งปรายฝนเรียกว่าอาหมอได้ช่วยจัดการเรื่องการจัดเตรียมพิธีศพ โดยมีแม่นายใจเดียวช่วยอีกแรง ซึ่งปรายฝนเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวที่ท่านมี จึงต้องรับหน้าที่ดูแลเรื่องการจัดการให้เรียบร้อย “พ่อเป็นโรคหัวใจหรือคะ อาหมอ” ปรายฝนถาม “พ่อเราไม่ยอมให้บอกใคร อาอยากให้บอกปราย แต่ท่านไม่ยอม” “เพราะปรายหรือเปล่าที่ทำให้อาการทรุดลง” ปรายฝนเริ่มมีน้ำตาไหลรินออกมา “ใช่สิ พ่อรู้เรื่องปรายกับแม่นายเจ้าของไร่อาการเลยทรุด” คำพูดของดวงฤทธิ์ทำให้ปรายฝนกับแม่นายใจเดียวหันไปมองพร้อมๆ กัน “ฤทธิ์ใช่เรื่องที่จะมาโทษกันไหม” อาหมอพูดดุ “ผู้ใหญ่ควรต้องรับผิดชอบ” ดวงฤทธิ์พูดกระทบแม่นายใจเดียว “ฝากดูแลปรายด้วยนะครับ คุณใจเดียว” “ดิฉันจะดูแลอย่างดีเลยค่ะ” นายแพทย์จ้องมองดวงฤทธิ์อย่างไม่ค่อยพอใจนักที่พูดโทษปรายฝนว่าเป็นสาเหตุทำให้บิดาของตัวเองเสียชีวิต “เช็ดน้ำตาก่อน ปรายต้องหยุดร้องไห้แล้วล่ะ เพราะต้องรับแขก” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “อยู่กับปรายนะ ปรายไม่เหลือ
ปรายฝนมาอาบน้ำเข้านอนก่อนปล่อยให้ผู้ใหญ่ดื่มและพูดคุยกัน รอยยิ้มจางลงเมื่อนึกถึงรูปภาพผู้หญิงที่หน้าจอโทรศัพท์ของแม่นายใจเดียว ที่ได้เห็นตอนเข้าเมืองไปทำธุระด้วยกัน “ไม่คิดสิ เรื่องเก่านมนานแล้ว” ปรายฝนพูดบ่นกับตัวเอง แต่สายตาวาววับของแม่นายแพรพรรณนั่นทำให้กลับมาคิดมากทั้งๆ ที่ตัวเองมีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับแม่นายใจเดียวมากขึ้น หรือเป็นเพราะความใกล้ชิดทำให้ยิ่งคิดมากกว่าเดิม โดยเฉพาะตอนกอดกันที่ปลายไร่ตรงทางเชื่อมระหว่างไร่ทั้งสอง ปรายฝนมองดูเพดานห้องคอยฟังเสียงประตูห้องแม่นายใจเดียว “ถ้าไม่กลับมานอนที่ห้องล่ะ” ปรายฝนบ่นพึมพำและทำหน้างอโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่เสียงประตูห้องของแม่นายใจเดียวก็ดังขึ้น ปรายฝนรีบลุกขึ้นนั่งทันทีและมีรอยยิ้มกว้างมากขึ้น เมื่อได้ยินเสียงปลดล็อกประตูกั้นห้องระหว่างตัวเองกับแม่นายใจเดียวดังขึ้น หัวใจกระโดดโลดเต้นแต่ทำเป็นนิ่งนั่งหน้าง้ำคิดว่าแม่นายใจเดียวจะเข้ามาดู หากแต่กลับได้ยินเสียงเปิดเข้าไปในห้องน้ำทำเอาคนที่หัวใจลิงโลดอยู่เมื่อครู่ทำหน้าจ๋อยล้มตัวลงนอนหันหลังให้ “เด็กขี้เซา” แม่นายใจเดียวพูดขึ้นและจูบเบาๆ
“เสียวสันหลังวาบนึกว่าจะไล่ปรายกลับไปด้วย” ปรายฝนพูดเสียงอ่อยๆ มองดูมือที่แม่นายใจเดียวยังจับอยู่ “เสียตัวไปแล้ว ใครจะยอมเสียใจอีกล่ะ” แม่นายใจเดียวพูดขึ้น “ตายแล้วเป็นสาวเป็นนางพูดเรื่องเสียตงเสียตัว อายชาวบ้านเขานะคะ” ปรายฝนพูดยิ้มๆ “คุณรู้สึกเหมือนปรายพยายามสู้เพื่อจะได้อยู่ด้วยกัน คุณควรทำอย่างนั้นเหมือนกันไม่ใช่หรือ” แม่นายใจเดียวบอกปรายฝนที่หันไปดูรอบๆ ไม่เห็นใครจึงจูบเล็กๆ ไปที่ริมฝีปากเรียวสวยของเจ้าของไร่ “ปรายเป็นเด็กมีปัญหา ไปที่ไหนก็สร้างปัญหาให้เขาไปหมด” “คนมายืนเอาใจช่วยกันทั้งไร่ อย่าลืมคิดถึงความน่ารักของตัวเองด้วยล่ะ อีกอย่างเหมือนจะได้พี่ชายที่แสนดีด้วยนะ เราน่ะ” แม่นายใจเดียวยิ้ม เมื่อนึกถึงไตรที่พร้อมจะปกป้องทั้งตัวเธอและปรายฝน “พี่ไตรเป็นพี่ชายปรายตั้งแต่วันแรกที่เจอแล้วล่ะค่ะ มีแต่คนคิดมากเท่านั้นแหละที่แอบคิดเป็นอื่น” ปรายฝนหัวเราะคิกคัก เมื่อแม่นายใจเดียวทำท่าเหมือนจะเขกที่ศีรษะ “ไม่เป็นอะไรใช่ไหม ถ้าคุณฤทธิ์ไปบอกพ่อเรื่องของเรา” “ปรายมันเด็กดื้อ พ่อคงปล่
แม่นายใจเดียวถอนใจ แต่ความรู้สึกจากสัมผัสอ่อนโยนทำให้ยอม คล้อยตามโดยปล่อยให้ปรายฝนคลอเคลียชิดใกล้ แม้ก่อนหน้าจะห้ามใจเอาไว้ได้ แต่ครั้งนี้หัวใจที่เคยว่างเปล่าได้มีสาวน้อยเข้าไปยึดครองพื้นที่ในหัวใจเอาไว้ ถึงจะรวดเร็วแต่ความรู้สึกผูกพันแน่นแฟ้นมีมากมายเสียจนลืม ความเป็นผู้ใหญ่ในตัวไปเลยทีเดียว “ปรายถอดเสื้อให้นะคะ” ปรายฝนกระซิบบอกแล้วจูบเบาๆ ที่แก้ม แม่นายใจเดียวพยักหน้าเล็กน้อย เรือนร่างเปลือยเปล่าเคลิ้มไหวไปกับสัมผัสของหญิงสาวที่จ้องมองอย่างไม่วางตาคล้ายอยากบันทึกทุกสัดส่วนเอาไว้ จุมพิตที่กำลังทาบทับที่หน้าท้องทำเอาแม่นายใจเดียวถึงกับหยุดหายใจ ปรายฝนคลอเคลียไม่ยอมออกห่าง โดยค่อยๆ จุมพิตไปตามเรือนร่าง จนแม่นายใจเดียวรู้สึกร่างกายอ่อนแรง แต่หญิงสาวตัวเล็กๆ ซึ่งมีเรือนร่างแสนน่ารักน่าเอ็นดูเสียจนทำให้แม่นายใจเดียวพลิกตัวให้ปรายฝนนอนลง โดยเอาตัวเองทาบทับเอาไว้ไม่ ให้ถอยห่างไปไหน สายตาของทั้งคู่ผสานกันปรายฝนค่อยๆ บรรจงเขี่ยเส้นผมแม่นายใจเดียวที่ลงมาปรกหน้าและนำไปทัดไว้ที่หู จุมพิตร้อนแรงเริ่มเบียดชิดเข้าหาโดยปรายฝนตอบรับอย่างร้อนแรงปนเปกับอ่อนหวาน ซึ่งน
ไตรถอนใจ เพราะเมื่อกลับมาที่สำนักงานถึงได้ทราบเรื่องแขกที่มาหาปรายฝน ปลากับกลอยรายงานอย่างละเอียด แต่ไตรแปลกใจกับการไปพบปรายฝนรอแม่นายใจเดียวอยู่ที่ทางเข้าออกทั้งสองไร่ทั้งตอนที่ได้พบกันและดูเหมือนช่วงเย็นด้วย “คงไม่ต้องหาผู้ช่วยใหม่ ถ้าปรายกลับไปแม่นายคงไม่รับผู้ช่วยแล้ว” ไตรพูดขึ้น “น่าเสียดายนะคะ ช่วยงานได้ตั้งเยอะ ทั้งงานแม่นาย งานเอกสาร เข้ากับคนงานได้ดีด้วย ยิ่งคนแก่ยิ่งพูดชมกันทุกคนเลยว่า คุณผู้ช่วยจิตใจดี” ปลาบอกกับไตร “ดูค่ะ แม่นายเดินมาไม่ซ้อนจักรยานเหมือนทุกวัน” ไตรหันไปมอง ดูเห็นแม่นายเดินอยู่ลิบๆ แต่ปรายฝนกำลังนำจักรยานไปจอดข้างสำนักงาน “ผู้ชายคนนั้นท่าทางเป็นอย่างไร” ไตรถาม “หล่อมากค่ะ เป็นดารานักร้อง คนงานตื่นเต้นมาขอถ่ายรูปกันเต็มเลยค่ะ” ปลารายงานให้ไตรทราบ “ถ้าปรายกลับไป แม่นายจะเป็นอย่างไร” ไตรคิดแต่ไม่ได้พูดออกมารีบออกไปจูงจักรยานเพื่อไปรับแม่นาย “พี่ไตรอย่าไปเลย รออยู่ที่นี่ดีกว่า” กลอยรีบมาทักท้วง “จริงของกลอย แม่นายอาจจะเดินคิดอะไรมาเรื่อยๆ ไปกินข้าวกันดีก